ภูเขาไฟนี้ยังคงประทุอยู่เรื่อยๆ ช่วงใดที่มีการประทุ เค้าจะปิดไม่ให้เข้าชม ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสมาชมที่นี่ ถือว่าคุณโชคดีสุดๆ (แบบผม) นอกจาก Kawah Ratu แล้ว ที่นี่ยังมีปากปล่องอื่นๆ แต่เนื่องจากส่วนใหญ่เดินไกล หรือไม่ก็ปิดเพื่อความปลอดภัย เราจึงไม่ได้ไปชมครับ ค่าเข้าชมภูเขาไฟ Tangkuban Perahu - วันหยุด ค่าเข้าชมต่อคน 300,000 รูเปียะ + ค่ารถ 35,000 รูเปียะต่อคัน - วันธรรมดา ค่าเข้าชมต่อคน 200,000 รูเปียะ + ค่ารถ 25,000 รูเปียะต่อคัน (ดังนั้น ควรจัดทริปมาที่นี่ในวันธรรมดา)
คำเตือน: 1. สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของที่นี่ไม่ใช่ตัวภูเขาไฟ แต่เป็นคนขายของ และคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นไกด์บริเวณนี้ พวกนี้จะตามเราทุกฝีก้าว พอสบโอกาสก็อาจจะชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์เรา ดังนั้นใครจะมาที่นี่ต้องระวังตัวมากๆ และควรเดินทางเป็นกลุ่มตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปจะดีที่สุดครับ 2. ถ้าไม่อยากเสียเงิน ไม่ควรให้ไกด์พวกนี้ช่วยถ่ายรูป หรือนำทางเราให้ เพราะเค้าจะหาเรื่องขอเงินเรา 3. คนขับรถของเราแนะนำว่า ควรอยู่แค่บริเวณ Kawah Ratu จะปลอดภัยที่สุด ไม่ควรลงไปที่ปล่องอื่น (ใน Tripadvisor ก็แนะนำอย่างนี้เช่นกัน) ตำนานภูเขาไฟ Tangkuban Perahu ชื่อ Tangkuban Perahu แปลว่า ภูเขาไฟเรือคว่ำ ซึ่งมีที่มาจากนิทานปรัมปราของแถบเมืองบันดุงดังนี้ครับ กาลครั้งหนึ่ง มีหญิงสาวผู้หนึ่งนามว่า ดายัง ซัมบี เธอมีบุตรชายคนเดียวนามว่า ซังกูเรียง แต่ซังกูเรียงนิสัยไม่ดี และไม่เชื่อฟังเทพเจ้า แถมยังด่าทอเทพเจ้าจนทำให้ทั้งคนทั้งเทพเอือมระอา วันหนึ่งดายัง ซัมบีทนไม่ไหวเลยตัดสินใจนำซังกูเรียงไปปล่อยกลางป่า โดยเธอได้แต่ภาวนาว่าถ้าลูกชายพอมีบุญอยู่พอก็คงรอดจากอันตรายอันมีมากมายในป่าได้ เมื่อเทพเจ้ารู้ว่าเธอเอาลูกนิสัยเสียไปปล่อยนั้นก็ดีใจ ดายัง ซัมบีจึงได้รับพรให้สวยงามเป็นอมตะ หลายสิบปีต่อมา ซังกูเรียงยังไม่ตายและได้เติบโตเป็นหนุ่มกลับมายังบันดุงอีกครั้ง เขาตกหลุมรักดายัง ซัมบีผู้เป็นแม่ ทันทีที่แรกเห็น ซังกูเรียงจำมารดาตนไม่ได้ ในขณะที่ดายัง ซิมบียังจำบุตรตนได้ไม่เคยลืม แต่เธอก็ไม่กล้าบอกความจริงกับเขา และแล้ว ซังกูเรียงก็ขอดายัง ซิมบีแต่งงาน เธอจึงออกอุบายให้เขาสร้างเรือขนาดใหญ่เพื่อใช้ข้ามวิมานให้สำเร็จก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจึงจะยอมแต่งงานด้วย ซังกูเรียงได้ร่ายมนต์เรียกยักษ์และมังกรที่เป็นเพื่อนตนให้มาช่วยกันสร้างเรือจนใกล้เสร็จ ดายัง ซิมบีแอบดูอยู่ก็ตกใจ เพราะหากเรือเสร็จนางก็ต้องแต่งงานกับลูกชายของตนเอง นางจึงชวนชาวเมืองบันดุงให้ช่วยกันนำผ้าสีแดงสดมาขึงที่ขอบฟ้าประหนึ่งว่าดวงอาทิตย์กำลังขึ้น ซังกูเรียงหลงกลเข้าใจว่าพระอาทิตย์กำลังขึ้นจริง ๆ เขาจึงเสียใจ และหงายเรือที่ต่อใกล้เสร็จนั้นขว้างออกไปโดยแรง และเรือยักษ์ลำนี้จึงคว่ำและกลายมาเป็นภูเขาไฟลูกนี้นั่นเอง
VIDEO
หลังจากชมภูเขาไฟเสร็จ เราก็มารับประทานอาหารเที่ยงที่ร้าน KLC resto ซึ่งตั้งอยู่ในเมือง Lembang หลังจากนั้น เราก็ไปเที่ยว Lembang Floating Market กันต่อครับ
ตลาดน้ำเล็มบัง ( Lembang Floating Market) นอกจากภูเขาไฟ Tangkuban Perahu แล้ว บริเวณเมือง Lembang ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวให้พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่ง นั่นก็คือ Lembang Floating Market หลายคนอาจจะคิดว่า ที่นี่ก็เหมือนตลาดน้ำในเมืองไทย แต่ผมว่าบรรยากาศต่างกันนะ ที่นี่จะเหมือนสวนสาธารณะที่มีบึง แล้วมีคนมาขายของเยอะๆมากกว่า ก็เป็นอีกอารมณ์ที่แปลกดีค่าเข้าชม: 20,000 รูเปียะ (แถมกาแฟฟรีด้วย)
ในเมื่อมาตลาดที่นี่ ผมก็ขอแนะนำขนมหวานที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาที่บันดุงก็คือ กล้วยชีส ( Pisang keju) ครับ กล้วยของที่นี่จะเป็นกล้วยลูกใหญ่ เอามาทอดในน้ำมันอ่อนๆ แล้วโรยด้วยชีส นม และช็อคโกแลต เป็นขนมที่ผมว่าอร่อยที่สุดของทริปนี้เลย
ใครเป็นสายถ่ายรูปไม่ควรพลาดที่นี่ เพราะนอกจากตลาดน้ำแล้ว ที่นี่ยังมี Rainbow garden และเมืองจำลอง Kota Mini อีกด้วยครับ (เสียค่าเข้าชมเพิ่ม)
น้ำตกตะโค๊ะ ( Curug Dago Waterfall) สำหรับคนอินโด และคนชาติอื่นๆแล้ว ที่นี่อาจไม่ใช่ที่เที่ยวยอดฮิต ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครใส่ลงไปในโปรแกรมเที่ยว และรีวิวที่นี่หายากมาก แต่สำหรับคนไทยแล้ว ที่นี่มีความสำคัญอย่างยิ่งครับ (ต้องขอบคุณคนขับรถของเรา ที่แนะนำที่นี่มาให้)ค่าเข้าชม: เข้าฟรี แต่ควรให้ Tip กับคนที่ดูแลแถวนั้น ข้อมูลจากหนังสือตามรอยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสเกาะชวาสามครา ระบุว่า ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้เคยเสด็จเยือนน้ำตกแห่งนี้ถึง 2 ครั้ง ในการเสด็จประพาสครั้งสุดท้าย พระองค์ได้ทรงจารึกอักษรพระปรมาภิไธย “จปร” ไขว้ พร้อมกับตัวอักษร “ร.ศ.120” ลงบนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับน้ำตกนี้
ต่อมา ในหลวงรัชกาลที่ 7 ก็ได้เสด็จเยือนที่นี่เช่นกัน และได้ทรงจารึกพระปรมาภิไธย “ปปร” พร้อมกับตัวอักษร “พ.ศ. 2472” ไว้ด้วย ปัจจุบันสถานทูตไทยร่วมกับรัฐบาลอินโดนีเซียได้จัดสรรงบประมาณสร้างศาลาทรงไทยครอบพระปรมาภิไธยทั้งสององค์ที่ทรงจารึกไว้เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนที่นี่เพื่อให้คงสภาพสมบูรณ์ต่อไปอีกนานเท่านาน และเป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับอินโดนีเซียครับ
หลังจากชมน้ำตกเสร็จแล้ว เราก็เดินทางกลับเข้าตัวเมืองบันดุง เพื่อไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ไทย ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 80 ปีที่แล้ว ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร์ได้เข้าทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และได้ทำการกุมตัว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งเป็นเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 7 และอัญเชิญเสด็จยังพระที่นั่งอนันตสมาคม
ต่อมา คณะราษฎร์ได้กราบทูลอัญเชิญเสด็จทูลกระหม่อมบริพัตรออกจากประเทศไทยโดยได้จัดขบวนรถไฟพิเศษพร้อมทหารนับร้อยนายคุ้มกันหนาแน่น วิ่งตลอดไม่มีหยุดพักกว่า 10 ชั่วโมงจากกรุงเทพ ฯ จนถึงปีนัง และนั่นถือเป็นการเสด็จออกจากประเทศไทยโดยไม่ได้เสด็จกลับมาอีกเลยจนสิ้นพระชนม์ จากปีนัง พระองค์ได้เดินทางต่อไปยังอินโดนีเซีย และทรงเลือกบันดุงเป็นที่ประทับ โดยทรงซื้อที่ดินที่ถนนเนลันด์เพื่อปลูกพระตำหนักเป็นเรือนชั้นเดียวแบบชวาผสมดัตช์เพื่อประทับพร้อมครอบครัวและพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ๆ ที่ตามเสด็จลี้ภัยมาด้วยกันที่บันดุง พระองค์ได้สร้างพระตำหนักขึ้นสองหลังชื่อว่า พระตำหนักประเสปัน ( Praseban) และ พระตำหนักดาหาปาตี ( Dahapati) ซึ่งชาวเมืองต่างรู้จักพระตำหนักทั้งสองนี้เป็นอย่างดีร้านอาหาร Dapur Dahapati ร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่อง ซุปหางวัว ( Sop Buntut) และเมนูต่างๆที่ทำจากหางวัว (แนะนำให้ทาน) นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนมาที่นี่ เพียงเพราะต้องการมาทานอาหารอร่อยๆ พร้อมกับซึมซับบรรยากาศบ้านโบราณในสไตล์ดัตช์ แต่สำหรับคนไทย ที่นี่กลับมีเรื่องราวมากมายให้ได้เรียนรู้ครับ
ในอดีตที่นี่ชื่อว่า พระตำหนักดาหาปาตี ซึ่งเป็นพระตำหนักที่ประทับของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี พระขนิษฐา (น้องสาว) ต่างพระมารดาในทูลกระหม่อมบริพัตร และเป็นอีกหนึ่งพระองค์ที่ได้ตามเสด็จมายังบันดุงด้วย
ปัจจุบัน ที่นี่กลายเป็นร้านอาหารซึ่งดำเนินกิจการโดยข้าหลวงชาวชวาที่เคยเฝ้าถวายการดูแลรับใช้ และตกทอดมายังรุ่นลูกหลานที่นับได้ว่าเป็นรุ่นที่ 3
เมื่อเดินไปด้านหลังอาคาร จะพบว่ามีการติดพระรูปสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระชายา พระโอรส-ธิดา และสมาชิกราชสกุลบริพัตร ที่ทางร้านได้อัญเชิญขึ้นประดับบนผนัง พร้อมกับเข้ากรอบเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
โรงเรียนอนุบาลประเสบัน ตั้งอยู่ข้างๆร้านอาหาร Dapur Dahapati ในอดีตที่นี่เป็นพระตำหนักที่ชื่อว่า พระตำหนักประเสบัน ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
ปัจจุบัน ด้านหน้าของพระตำหนักก็ยังคงเหมือนเดิมกับในรูปถ่ายไม่มีผิดเพี้ยนเลยครับ
วงเวียนสยาม ในอดีต บริเวณด้านหน้าของพระตำหนักทั้งสองเป็นวงเวียน เรียกว่า วงเวียนสยาม แต่ปัจจุบัน วงเวียนนี้ไม่มีแล้ว กลายเป็นปั๊มน้ำมันแทน
ผมรับประทานอาหารเย็นที่นี่ และเดินชมพระตำหนักต่างๆ พอได้เวลาสมควรก็กลับที่พัก การเดินทางของทริปบันดุงในวันที่สามก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ อย่างที่ผมเคยอธิบายไปในตอนแรกๆแล้วว่า สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองบันดุงหลายแห่งมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภูเขาไฟหรือน้ำตกที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 เคยเสด็จเยือน จนมีการสร้างอนุสรณ์สถานระลึกไว้ หรืออดีตพระตำหนักของเจ้าฟ้าบริพัตรฯ ซึ่งถ้าใครสนใจจะเที่ยวตามรอยแบบในบล็อกนี้ ผมแนะนำให้ลองติดต่อ บริษัท Diaz travelindo เค้าสามารถจัดทริปอย่างที่ผมไปเที่ยวมาในวันนี้ให้ได้ครับ
เรื่องราวในบันดุงยังไม่จบเพียงเท่านี้ครับ ในตอนหน้าผมจะพาไปพบกับความสวยงามของภูเขาไฟอีกแห่ง พร้อมกับธรรมชาติและวิวทิวทัศน์ที่สวยงามกันต่อ ฝากติดตามในตอนหน้าด้วยนะครับ