Welcome to my blog

3 วัน 2 คืน หลีเป๊ะ เกาะสวรรค์แห่งอันดามันใต้ (ตอนที่ 2: ทัวร์ดำน้ำรอบเกาะหลีเป๊ะ)

 
สถานที่ท่องเที่ยว : เกาะรอกลอย, สตูล Thailand
พิกัด GPS : 6° 31' 11.01" N 99° 11' 12.19" E

สวัสดีครับ หลังจากในตอนที่แล้วที่ผมได้พาทุกคนมาถึงที่เกาะหลีเป๊ะแล้ว ในตอนนี้ผมจะมารีวิวเกี่ยวกับกิจกรรมที่เกาะนี้บ้าง จะมีอะไรบ้าง มาชมกันต่อเลยครับ

วันที่สอง

วันนี้ผมมีแผนไปดำน้ำครับ ปกติทัวร์ดำน้ำเกาะหลีเป๊ะจะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบคือ ทัวร์ดำน้ำโซนใน กับ ทัวร์ดำน้ำโซนนอก ซึ่งโปรแกรมและราคาก็จะแตกต่างกันออกไป ตามที่เห็นด้านล่างนี้

 

 
สำหรับในทริปนี้ ผมเลือกจองทัวร์ดำน้ำโซนนอก แถมฟรีโซนใน 2 เกาะ ในราคา 599 บาท ของ บริษัท เที่ยวสนุกทัวร์ ซึ่งรีวิวบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า บริษัทนี้บริการดีมาก ผมเลยเลือกจองไปครับ

ถ้าใครสนใจจองทัวร์ของบริษัทนี้ สามารถทักเข้าไปสอบถามได้ที่เพจนี้เลยครับ https://www.facebook.com/saleteawsanooktour

ทัวร์นี้เป็นจอยกรุ๊ปเรือหางยาว เริ่มตั้งแต่ 9.30 น. เสร็จตอน 15.00 น.ครับ ภาพรวมของทัวร์นี้คือ ทะเลสวย หาดทรายขาวสะอาด ปลาเยอะ ปะการังยังอุดมสมบูรณ์ เพื่อนร่วมทริปน่ารัก โดยรวมประทับใจครับ

 

จุดแรกที่แวะคือ เกาะหินซ้อน ตรงจุดนี้ เรือให้เราแวะจอดถ่ายรูปแป๊บเดียว
 

จุดต่อไปเป็น เกาะรอกลอย ครับ ส่วนตัวผมชอบจุดนี้ที่สุด แม้ว่าจะเป็นเพียงเกาะเล็กๆ ใกล้กับ เกาะราวี แต่หาดทรายที่นี่ขาว และน้ำทะเลใสมาก
 



ตอนกลางวันทัวร์จะพามากินข้าวที่ อ่าวลิง ครับ ที่มาของชื่อเป็นเพราะที่นี่มีลิงป่าเต็มไปหมด ทัวร์ส่วนใหญ่จะให้แวะกินข้าวกลางวันตรงจุดนี้ ซึ่งต้องระวังลิงแย่งข้าวให้ดีๆนะครับ หลายคนที่นี่โดนลิงแย่งข้าวมาแล้ว (แนะนำให้กินบนเรือจะปลอดภัยมากกว่า)
 



เกาะผึ้ง เป็นจุดดำน้ำที่สวยมาก (เสียดายที่ไม่มีกล้อง gopro ไปถ่ายใต้น้ำ)
 

 
เกาะหินงาม เป็นเกาะที่แปลก เนื่องจากหาดบนเกาะนี้ ไม่ใช่หาดทราย แต่เป็นหินสีดำขนาดเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ซึ่งความแปลกตรงนี้ ทำให้เกาะนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานธรณีโลกสตูล
 



 
แน่นอนว่าด้วยความสวยของหินบนเกาะนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวบางราย ไม่ว่าจะทั้งชาวไทย หรือชาวต่างชาติ แอบหยิบก้อนหินติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วย แต่ก็มีเรื่องเล่าว่าทุกๆ รายต่างพบเจอ คำสาบของเจ้าพ่อตะรุเตา จนต้องรีบส่งหินกลับมาคืนอยู่เสมอ 
 

จุดสุดท้ายของทัวร์นี้ เรียกว่า ร่องน้ำจาบัง ถือเป็นไฮไลท์ของทริปดำน้ำเกาะหลีเป๊ะ ตรงจุดนี้น้ำเชี่ยวมากครับ ต้องค่อยๆเกาะเชือกดำน้ำไป แต่ปะการังที่นี่ก็สวยมาก
 
 
ทริปดำน้ำของเราเสร็จตอนประมาณบ่ายสามโมงครับ พอกลับมาก็พบว่า ตัวเองร่างพังมาก ขอกลับโรงแรมไปนอนพักก่อนดีกว่า

ในช่วงเย็น ผมมาเดินเล่นริมหาดที่ หาดบันดาหยา หรือที่หลายคนเรียกว่า หาดพัทยา ครับ

 





 
ไฮไลท์ของหาดนี้คือ ตอนช่วงค่ำๆจะมีโชว์ควงกระบองไฟ ให้เราดูได้เพลินๆ
 

วันที่สาม

วันนี้ไม่มีแผนเที่ยวอะไรแล้วครับ นอกจากเดินทางกลับกรุงเทพ 

ปกติเรือที่ออกจากเกาะหลีเป๊ะไปยังท่าเรือปากบาราจะมีอยู่ด้วยกัน 3 รอบคือ 9.30, 11.30 และ 13.30 น. แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไป โควิดระบาด นักท่องเที่ยวมีน้อย เค้าเลยยกเลิกรอบ 13.30 น. ผมเลยต้องขึ้นเรือรอบ 11.30 โดยเรือจะใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงครึ่ง โดยเรือจะขับตรงมาที่ท่าเรือปากบาราเลย ไม่ได้แวะเที่ยวที่จุดใดก่อนเหมือนตอนขามา

 
 
จากท่าเรือปากบารา เราก็ขึ้นรถตู้กลับไปยังสนามบินหาดใหญ่ ทริป 3 วัน 2 คืนที่เกาะหลีเป๊ะก็จบเพียงเท่านี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนเที่ยวของทุกคนที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้นะครับ ถ้าใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับทริปของผม หลังไมค์มาถามได้ ยินดีตอบทุกคำถามครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 11 กันยายน 2564    
Last Update : 27 เมษายน 2567 8:29:13 น.
Counter : 2298 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน หลีเป๊ะ เกาะสวรรค์แห่งอันดามันใต้ (ตอนที่ 1: เดินทางสู่เกาะหลีเป๊ะ)


สถานที่ท่องเที่ยว : เกาะตะรุเตา, สตูล Thailand
พิกัด GPS : 6° 32' 25.58" N 99° 40' 36.24" E

ถ้าไปถามคนต่างชาติว่า เวลาที่มาเที่ยวเมืองไทยอยากมาดูอะไรมากที่สุด ผมว่าเกินครึ่งคงตอบว่า อยากมาเห็นทะเลเมืองไทย เพราะทะเลไทยสวยที่สุดติดอันดับท็อปๆของโลก แต่เป็นที่น่าเสียดายนะครับ คนไทยหลายคน รวมทั้งตัวผมเองกลับมีโอกาสเที่ยวทะเลไทย โดยเฉพาะทะเลใต้ทางฝั่งอันดามันค่อนข้างน้อย อาจจะด้วยปัจจัยด้านงบประมาณ ซึ่งถ้าเป็นช่วงปกติโดยเฉพาะไฮซีซั่น งบประมาณสำหรับทริปเที่ยวทะเลใต้คงจะสูงพอๆกับไปเที่ยวต่างประเทศ ทำให้ช่วงที่ผ่านมา ผมแทบไม่มีโอกาสไปเยือนจังหวัดทางฝั่งอันดามันเลย
               
จนกระทั่งปีนี้มาเจอกับโควิด ทำให้รีสอร์ทและทัวร์หลายๆแห่งเริ่มลดราคา และหันมาจับตลาดคนไทยมากขึ้น ทำให้ผมได้มีโอกาสมาเยือนทะเลใต้ทางฝั่งนี้ สำหรับเกาะหลีเป๊ะเองก็เป็นอีกหนึ่งเกาะที่ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ไปซะที เพราะแพง และมีเวลาจำกัด พอมาทริปนี้ ในเมื่อมาหาดใหญ่ถึง 5 วัน ก็เลยขอจัดหลีเป๊ะซะ 3 วันไปเลย จะได้เที่ยวได้เต็มอิ่ม เป็นการชาร์จแบตให้กับตัวเองครับ

รู้จักกับเกาะหลีเป๊ะ

เกาะหลีเป๊ะ
 เป็นเกาะกลางทะเลอยู่ในเขตจังหวัดสตูล โดยอยู่ห่างจากแผ่นดินของจังหวัดสตูล 85 กิโลเมตร และอยู่ในเขตอำนาจการควบคุมของ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา เกาะหลีเป๊ะ ถือเป็นเกาะที่อยู่สุดท้ายทางตอนใต้ของทะเลอันดามันของไทย เนื่องจากพื้นที่ถัดไปคือทะเลสากลที่เชื่อมกับทะเลของประเทศเพื่อนบ้าน คือ มาเลเซีย


จุดเด่นของทางเกาะหลีเป๊ะ คือ ความเป็นธรรมชาติของปะการังรายล้อมรอบเกาะ มีเวิ้งอ่าวที่สวยงาม หาดทรายละเอียดนิ่มนวลขาวเหมือนแป้ง เกาะหลีเป๊ะ มีชายหาดที่สำคัญ ๆ อยู่ 4 หาด ได้แก่

- หาดบันดาหยา (หาดพัทยา) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะหลีเป๊ะ เป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปมากที่สุด

- หาดซันไรท์ อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะหลีเป๊ะ ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านชาวเล

- หาดซันเซ็ท อยู่ทางทิศตะวันตก ซึ่งหันหน้าเข้ารับแสงของพระอาทิตย์ ตามชื่อของหาด

ช่วงที่เหมาะสมสำหรับการไปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะจะอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายนครับ ช่วงนี้จะเป็นช่วงไฮซีซั่น ทะเลสวย เหมาะแก่การดำน้ำ แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าที่พักก็จะแพงขึ้น ในทางกลับกัน ช่วงมรสุมตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงตุลาคม จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ทะเลจะไม่สวยเท่า บางเกาะอาจปิด แต่ก็มีข้อดีคือ ค่าใช้จ่ายจะถูกลงค่อนข้างมาก ใครจะไปก็ลองชั่งน้ำหนักดูตามสไตล์การเที่ยวของแต่ละคนนะครับ

แผนเที่ยว

 วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางด้วยรถตู้จากหาดใหญ่ไปยังท่าเรือปากบารา
  • นั่งเรือจากท่าเรือปากบารา ไปยังเกาะหลีเป๊ะ ระหว่างทางแวะเที่ยวเกาะตะรุเตา และเกาะไข่
  • เดินทางถึงเกาะหลีเป๊ะ/ เช็คอินเข้าที่พัก (A plus deluxe hotel)
  • ตอนเย็นเดินเล่นที่หาดบันดาหยา (หาดพัทยา) และ walking street
วันที่สอง
  • ทัวร์ดำน้ำรอบเกาะหลีเป๊ะ ทั้งโซนในและโซนนอก
  • ตอนเย็นเดินเล่นที่หาดบันดาหยา (หาดพัทยา) และ walking street
วันที่สาม
  • เดินทางกลับ
 

ที่พักบนเกาะหลีเป๊ะ

ตลอด 3 วัน 2 คืนของผมเกาะหลีเป๊ะ ผมพักที่ A Plus Deluxe Hotel ในราคาคืนละ 950 บาท (ไม่รวมอาหารเช้า) ผ่านทาง booking ครับ (ราคานี้ถือว่าถูกแล้วนะ เมื่อเทียบกับที่พักอื่นๆบนเกาะ)

 

 
ข้อดีของที่นี่คือ แม้ว่าที่นี่จะไม่ติดหาด แต่ก็ทำเลดี เพราะติดกับ walking street และสามารถเดินไปหาดบันดาหยาได้ นอกจากนี้ยังสะอาด พนักงานบริการดี และมีร้านมินิมาร์ทที่ของราคาถูกกว่าเซเว่นบนเกาะอยู่ติดๆกับที่พักเลย ซึ่งถือว่า เหมาะกับคนที่อยากมาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะแต่มีงบน้อยครับ
 

วันที่หนึ่ง

แม้ว่าเกาะหลีเป๊ะเป็นเกาะที่อยู่ในจังหวัดสตูล แต่การเดินทางไปเกาะหลีเป๊ะที่สะดวกที่สุดคือ ตั้งต้นจากหาดใหญ่ แล้วนั่งรถตู้ไปยัง ท่าเรือปากบารา ของจังหวัดสตูล ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นให้นั่งเรือสปีทโบ๊ทจากท่าเรือปากบาราไปยังเกาะหลีเป๊ะ ซึ่งระยะเวลาการเดินทางในขั้นตอนนี้ จะใช้เวลามากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับจำนวนจุดแวะของเรือในแต่ละรอบครับ

 
 

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนคงคิดว่า เกาะหลีเป๊ะไปยากจัง ซึ่งมันก็จริงครับ แต่ก็มีบริษัททัวร์หลายแห่งทำแพคเกจรถรับส่ง+เรือ และอาจจะบวกที่พักและทริปดำน้ำเข้าไปด้วย ซึ่งก็จะช่วยอำนวยความสะดวกให้เรา ไม่ต้องไปหาตั๋ว หรือมีปัญหาเรือการต่อรถต่อเรือให้วุ่นวาย สำหรับทริปนี้ ผมซื้อแพคเกจรถรับส่ง+เรือ จาก Be Nice Lipe travel Thailand ซึ่งเป็นราคาไปกลับระหว่างหาดใหญ่กับเกาะหลีเป๊ะ 1,100 บาทครับ (ราคานี้ลดลงมาแล้วนะครับ ก่อนหน้านี้แพงกว่านี้อีก)

ถ้าใครสนใจจองแพคเกจรถรับส่ง+เรือ สามารถสอบถามกับ Be Nice Lipe Travel Thailand ได้ที่เพจนี้เลยครับ https://www.facebook.com/BeNiceLipeTravelThailand/


คำถามต่อมาคือ แล้วจะเลือกเรือรอบไหนดี ถ้าเป็นช่วงปกติ เรือจะมีอยู่ด้วยกัน 4 รอบคือ 9.30, 11.30, 13.30 และ 15.30 น. แต่สำหรับทริปนี้ ผมเลือกเรือรอบ 11.30 น.ครับ เพราะถ้าขึ้นเรือรอบนิ้ เราจะได้แวะเที่ยว เกาะตะรุเตา และ เกาะไข่ ด้วย (ถ้าเลือกเรือรอบอื่นจะไม่ได้แวะทั้งสองเกาะนี้ หรืออาจจะแวะแค่เกาะไข่ครับ) 

อย่างไรก็ตาม ถ้าใครอยากขึ้นเรือรอบนี้จริงๆ ผมแนะนำให้คืนก่อนหน้านอนที่หาดใหญ่ หรือไม่ก็ต้องขึ้นเครื่องจากกรุงเทพไม่เกิน 8 โมงเช้าครับ ไม่งั้นไม่ทันแน่


เมื่อมาถึงที่ท่าเรือ เราต้องทำการซื้อ บัตรเข้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา โดยราคาคนไทยจะอยู่ที่ 40 บาท และต้องเก็บบัตรนี้ไว้กับตัวตลอดเวลาที่เที่ยวที่นี่ เผื่อเจ้าหน้าที่จะตรวจ เนื่องจากเกาะหลีเป๊ะ รวมทั้งเกาะรอบๆตั้งอยู่ในเขต อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา 


ถ้าขึ้นเรือรอบ 11.30 น. เราจะได้แวะที่ เกาะตะรุเตา ประมาณ 15 นาทีครับ
 

เกาะตะรุเตาเป็นเกาะหลักและเกาะที่ใหญ่ที่สุดของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา อยู่ระหว่างเกาะหลีเป๊ะกับท่าเรือปากบารา และอยู่ห่างจาก เกาะลังกาวี ของประเทศมาเลเซียเพียง 4 กิโลเมตร
 
คำว่า "ตะรุเตา" เพี้ยนมาจากคำในภาษามลายูว่า ตือโละตาวาร์ (Teluk Tawar) แปลว่า "อ่าวจืด" หรือ "อ่าวน้ำจืด" เพราะบนเกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่เดียวที่มีธารน้ำจืดอยู่ด้วย ทำให้ในอดีตเกาะตะรุเตา ถูกใช้เป็นที่คุมขังนักโทษโดยเฉพาะนักโทษการเมือง ทั้งจากคดีกบฏบวรเดช และกบฏนายสิบ ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เกาะตะรุเตาถูกตัดขาดจากแผ่นดินใหญ่ ทำให้เกิดการขาดแคลนทั้งอาหารและยา เรื่องราวในช่วงนี้เคยถูกนำไปสร้างเป็นหนังชื่อว่า นรกตะรุเตา ที่มี คุณสมบัติ เมทะนี เล่นเป็นพระเอกด้วยครับ
 

สิ่งที่น่าสนใจบนเกาะตะรุเตา ได้แก่

1. หมูป่า พระเอกคนสำคัญบนเกาะนี้


2. ศาลเจ้าพ่อเกาะตะรุเตา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2524 เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เจ้าหน้าที่ ที่เคยปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายจนเสียชีวิต
 



3. หาดทรายขาว น้ำทะเลใสแจ๋ว
 



ถัดจากเกาะตะรุเตา จุดต่อไปก็คือ เกาะไข่ ซึ่งไฮไลท์ของเกาะนี้คือ ซุ้มประตูเกาะไข่ เปรียบเสมือนว่า เป็นประตูสู่เกาะหลีเป๊ะครับ
 



 
มีความเชื่อว่าคู่รักคู่ใดได้ลอดซุ้มประตูหินนี้จะสมหวังในความรัก และครองคู่กันอย่างมีความสุข มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง 
 

นอกเหนือจากซุ้มประตู ไฮไลท์ของเกาะนี้ก็คงเป็น หาดทรายขาวสะอาด ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้า ที่ใครมาที่นี่ก็ต้องแวะถ่ายรูปกัน
 



 
เรือของเราออกจากท่าเรือปากบาราตอน 11.30 น. จากนั้นก็แวะเที่ยวเกาะตะรุเตาและเกาะไข่ แล้วจึงมาส่งที่ท่าเรือบนเกาะหลีเป๊ะ ตอนประมาณบ่ายสองครับ โดยท่าเรือบนเกาะหลีเป๊ะจะอยู่ที่ หาดบันดาหยา (หลายคนเรียกว่า หาดพัทยา) ใกล้ๆกับ ถนนคนเดิน (walking street) บนเกาะหลีเป๊ะ จากตรงนี้ เราสามารถเดินไปที่โรงแรม หรือนั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง ให้ไปส่งที่โรงแรมได้เลยครับ


หลังจากเข้าที่พัก ผมพักผ่อนคลายเหนื่อยจากการเดินทาง พอถึงตอนเย็นๆก็ออกมาเดินเล่นตรง walking street และหาดบันดาหยา จากนั้นก็หาอาหารเย็นทานที่ร้านอาหารฮาลาลชื่อว่า ศรีหลีเป๊ะ 
 

 
โดยรวมผมชอบร้านนี้นะ อาหารทะเลสด อร่อย ราคาก็เป็นไปตามมาตรฐานเกาะหลีเป๊ะ 
 

พอทานอาหารเสร็จ ผมก็เดินเล่นอีกนิดหน่อย แล้วก็กลับที่พัก พักผ่อนเตรียมตัวสำหรับทริปดำน้ำในวันรุ่งขึ้นครับ

สำหรับรีวิวในตอนนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ ในตอนหน้า ผมจะมารีวิวทัวร์ดำน้ำรอบเกาะหลีเป๊ะ ยังไงฝากติดตามกันต่อด้วยนะครับ 

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 09 กันยายน 2564    
Last Update : 27 เมษายน 2567 8:27:19 น.
Counter : 1889 Pageviews.  

2 วัน 1 คืน สงขลา นครประวัติศาสตร์แห่งดินแดนสองทะเล


สถานที่ท่องเที่ยว : เกาะหนู เกาะแมว, สงขลา Thailand
พิกัด GPS : 7° 14' 9.36

ทริปนี้เป็นทริปแรกของปี 64 ของผมครับ สาเหตุที่จัดทริปนี้ขึ้นมา เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา ผมงานยุ่งมาก จนรู้สึกว่า พลังงานชีวิตเริ่มหมด จนต้องหาทางชาร์จแบตตัวเอง และด้วยความที่ไม่มีเวลาแพลนเที่ยวอะไรมากมาย ก็เลยตัดสินใจไปเที่ยวเมืองที่คุ้นเคยอย่าง จังหวัดสงขลา ครับ

สำหรับรีวิวในตอนนี้ จะเป็นการรีวิวการเดินทางท่องเที่ยวของผมในส่วนของ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา นะครับ จริงๆแล้ว เราไม่ได้เที่ยวแค่ที่นี่ที่เดียว แต่ยังไปที่ เกาะหลีเป๊ะ อีกด้วย แต่ผมจะขอแบ่งเป็นตอนๆ เพื่อความสะดวกในการอ่านบล็อกนะครับ

 
รู้จักกับเมืองสงขลา

หลายคนคงรู้จัก สงขลา ในฐานะที่เป็นจังหวัดสำคัญในแถบภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งมีประชากรมากเป็นอันดับสองของภาคใต้ (รองจากจังหวัดนครศรีธรรมราช) แต่ในรีวิวนี้ผมจะขอเน้นเฉพาะที่ตัวเมืองสงขลาเป็นหลักเท่านั้นนะครับ


ถ้าพูดถึงตัวเมืองสงขลา จริงๆแล้วที่นี่เป็นเมืองโบราณตั้งแต่ยุคต้นอยุธยาที่มีชื่อเรียกว่า สิงขร หรือ ซิงกอรา ต่อมาในยุคสมเด็จพระเอกาทศรถ ก็ได้มีชาวชวาที่ชื่อว่า ดาโต๊ะ โกมอลล์ ซึ่งลี้ภัยการเมือง และได้พาบริวารมาสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นบริเวณ เขาหัวแดง ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับเมืองสงขลาในปัจจุบัน

 

เมืองสงขลาก็ได้พัฒนาขึ้นโดยลำดับ จนกลายเป็นเมืองท่านานาชาติ ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระเอกาทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยาจึงทรงแต่งตั้งให้ดาโต๊ะ โกมอลล์เป็นข้าหลวงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ต่อมา ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมืองสงขลาไม่ยอมรับอำนาจของพระเจ้าปราสาททอง เพราะมาจากการทำรัฐประหาร จึงทำการแข็งเมือง แม้ว่าทางอยุธยาพยายามปราบปรามหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ สงขลาจึงเป็นเป็นอิสระจากอยุธยานานถึง 38 ปี จนกระทั่งถูกตีแตกในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเมืองก็ถูกยุบลงไป
 

หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง สงขลาได้ถูกผนวกขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของสยามในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาจนถึงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว สงขลามีเจ้าเมืองเป็นคนจีน แซ่เฮา ซึ่งเป็นต้นตระกูล ณ สงขลา นั่นเองครับ

ปัจจุบัน เมืองเก่าสงขลา ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า บ่อยาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ เทศบาลนครสงขลา และเนื่องจากเมืองนี้มีความสำคัญทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตชุมชน จึงมีความพยายามผลักดันให้ย่านเมืองเก่าที่นี่เป็นมรดกโลก 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางจากอำเภอหาดใหญ่ ไปยังอำเภอเมืือง จังหวัดสงขลา
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Lake Inn Hotel)
  • เที่ยวเขาตังกวน/ แหลมสมิหลา/ ประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ
  • เดินทางกลับที่พัก
วันที่สอง
  • เช้า: เที่ยวย่านเมืองเก่าสงขลา/ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา/ บ้านพธำมะรงค์
  • บ่าย: เดินทางออกจากเมืองสงขลา 

ที่พักที่เมืองสงขลา

โรงแรมเลคอินน์ (Lake Inn) 
เป็นที่พักของผมที่เมืองสงขลาครับ จริงๆต้องขอบคุณเพจ Lost is fun ของคุณโอ๊ต-ครับ-ผม แห่งห้องบลูแพลนเน็ตที่แนะนำโรงแรมนี้ ที่นี่เป็นที่พักใกล้ย่านเมืองเก่าสงขลา เห็นวิวทะเลสาบสงขลา ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและย่านของกินต่างๆ

 
 
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่นี่เป็นโรงแรมเก่าครับ หลายคนอาจจะมองว่า คลาสสิค แต่บางคนก็อาจจะมองว่า น่ากลัว ก็แล้วแต่ชอบนะครับ สำหรับสภาพห้องโดยรวม ก็ถือว่า สะอาดใช้ได้ ผมจองที่พักนี้โดยตรงผ่านเพจของโรงแรม ได้ที่ราคาคืนละ 600 บาทครับ (ไม่รวมอาหารเช้านะ แต่ไม่เป็นปัญหา เพราะแถวนั้นมีของกินอร่อยๆเยอะมาก)
 

 
ถ้าใครสนใจจะจอง ติดต่อได้ทางเพจนี้นะครับ
https://www.facebook.com/โรงแรมเลคอินน์-669619326506132/

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้ เราเริ่มต้นจากหาดใหญ่ครับ สำหรับการเดินทางจากหาดใหญ่เพื่อไปที่ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ให้เราขึ้นรถตู้ที่ หน้าหอนาฬิกาหาดใหญ่ หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่า หน้าหอ ค่ารถตู้จะอยู่ที่ 34 บาทครับ
 

 
รถตู้จะพาเรามาส่งที่ หอนาฬิกาเมืองสงขลา จากตรงนี้ สามารถเรียกสามล้อ วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือ Grab ให้ไปส่งที่โรงแรมได้ แต่ผมเลือกนั่งวินมอเตอร์ไซค์แถวนั้นครับ เลยได้เรื่องตั้งแต่วันแรกเลย
 

 
จริงๆ จากหอนาฬิกาเมืองสงขลา ไปที่ โรงแรมเลคอินน์ ที่อยู่ใกล้กับประตูเมืองเก่าสงขลา ระยะทางจริงๆมันแค่ 1 กิโลกว่าๆ ถ้านั่งวินมันควรจะอยู่ที่ 20-30 บาท แต่ด้วยความที่ผมปากหนัก คิดว่า เรามาที่นี่หลายรอบแล้ว เลยไม่ได้ถามราคาก่อนขึ้น พอไปถึงโรงแรมเลยโดนเรียกราคาไป 60 บาท พอเถียงอยู่ซักพัก คนขับก็ไม่ยอม ด้วยความที่ขี้เกียจทะเลาะเลยยอมให้ไป แต่หลังจากนั้น ผมเลิกขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่นี่เลยครับ เรียก Grab ไปเลย อาจจะแพงกว่านิดหน่อย แต่ไม่โดนแบบนี้แน่นอน


เนื่องจากเรามาถึงที่พักตอนบ่ายแล้ว เลยไม่ค่อยมีเวลาเที่ยวมากนัก ในวันแรก ผมเลยเน้นเที่ยวที่ เขาตังกวน, แหลมสมิหลา, ประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ (การเดินทางไปยังแต่ละจุด สามารถเรียก grab win ไปได้ ค่ารถจะอยู่ระหว่าง 30-40 บาทครับ)

เขาตังกวน เป็นเนินเขาเล็กๆของเมืองสงขลา ที่เราต้องลิฟต์ขึ้นไป (ค่าลิฟต์ = 30 บาท)

 

ด้านบนเขาตังกวนจะมีเจดีย์พระธาตุคู่เมืองสงขลา ซึ่งเป็นเจดีย์โบราณไม่ทราบที่มา แต่ถูกบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อมาในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุ ให้มาประดิษฐานไว้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของประชาชนชาวสงขลา
 

นอกจากเจดีย์ ที่นี่ยังเป็นที่ประดิษฐานขององค์หลวงปู่ทวดด้วยครับ
 

ด้านบนเราสามารถมองเห็นวิวเมืองสงขลาได้แบบพาโนราม่า ถ้าขึ้นมาบนนี้ จะสังเกตว่า เมืองสงขลา ล้อมรอบด้วยทะเล 2 ฝั่งคือ ทะเลอ่าวไทย และ ทะเลสาบสงขลา ด้วยเหตุนี้ สงขลาจึงถูกเรียกว่าเป็น เมืองสองทะเล
 



ถ้ามองออกไปทางทะเลฝั่งอ่าวไทย จากบนนี้เราจะมองเห็น เกาะหนูและเกาะแมว ครับ
 

นอกจากนี้ จากด้านบนของเขาตังกวน จะมีบันไดเดินลงมายัง ศาลาพระวิหารแดง ซึ่งเป็นอาคารพลับพลาที่ประทับของในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมมาจากทางยุโรป
 

ใครมาสงขลา แล้วไม่ได้แวะที่ หาดสมิหลา ผมว่าเหมือนมาไม่ถึงสงขลาครับ สิ่งที่น่าสนใจลำดับแรกคือ ประติมากรรมนางเงือก ซึ่งปัจจุบันมีอายุมากกว่า 50 ปีแล้ว และเคยโดนวางระเบิดไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่ปัจจุบันถูกซ่อมแซมจนสวยเหมือนเดิมแล้ว
 

ประติมากรรมหนูกับแมว อยู่ใกล้ๆกับนางเงือกครับ สร้างขึ้นตามตำนานเกาะหนูเกาะแมวที่กล่าวไว้ว่า

มีพ่อค้าชาวจีนผู้หนึ่งคุมเรือสำเภาเดินทางมาค้าขายระหว่างจีนกับสงขลาเป็นประจำ วันหนึ่งพ่อค้าผู้นี้ได้ซื้อหมากับแมวลงเรือไปยังเมืองจีนด้วย

หมากับแมวอยู่บนเรือนานๆเกิดความเบื่อหน่ายจึงปรึกษาหาวิธีการที่จะกลับบ้าน และได้ทราบว่าพ่อค้ามีดวงแก้ววิเศษที่ทำให้ไม่จมน้ำ แมวจึงคิดอุบายโดยให้หนูไปขโมยแก้ววิเศษของพ่อค้ามา และหนูขอหนีขึ้นฝั่งไปด้วย ทั้งสามว่ายน้ำหนีลง จากเรือโดยที่หนูอมดวงแก้วเอาไว้ในปาก ขณะนั้นหนูนึกขึ้นได้ว่าถ้าถึงฝั่ง หมากับแมวคงจะแย่งเอาดวงแก้วไปจึงคิดที่จะหนี ฝ่ายแมวซึ่งว่ายหลังมาก็คิดเช่นกัน จึงว่ายน้ำรี่ไปหาหนู หนูตกใจว่ายน้ำหนีไม่ทันระวังตัว ดวงแก้ววิเศษที่อมไว้จึงตกลงจม หายไปในน้ำ

หนูและแมวต่างก็หมดแรงจมน้ำตายกลายเป็นเกาะหนูเกาะแมวอยู่ที่อ่าวหน้าเมือง ในขณะที่หมาตะเกียกตะกายว่ายน้ำไปจนถึงฝั่ง แต่ก็สิ้นใจตายด้วยความเหน็ดเหนื่อยกลายเป็นหินบริเวณเขาตังกวนอยู่ริมอ่าวสงขลา ส่วนดวงแก้ววิเศษที่หล่นจากปากหนูแตก ละเอียดกลายเป็นหาดทรายแก้วอยู่ทางด้านเหนือของแหลมสน


หาดสมิหลาถือเป็นชายหาดที่คึกคักที่สุดของเมืองสงขลาครับ ในวันหยุดจะมีผู้คนมากมายมาเล่นน้ำ ปิกนิก รวมทั้งขี่ม้าด้วย


บริเวณหาดสมิหลาจะมีซุ้มประตูเมืองให้เราถ่ายรูปเล่น
 

 
ใกล้ๆหาดสมิหลาจะมีวงเวียนรูปคนอ่านหนังสือ หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า วงเวียนเช็คชื่อ เพราะมีความเชื่อแปลกๆในหมู่วัยรุ่นสงขลาว่า ถ้ามาที่นี่จะต้องขับรถรอบวงเวียนนี้ แล้วขานชื่อออกมาดังๆว่า “(ชื่อตัวเอง) มาครับ/มาค่ะ” (เพื่ออะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน)
 

 
ใครที่ไปสิงคโปร์ก็ต้องไปถ่ายรูปกับเมอร์ไลอ้อนใช่ไหมครับ ส่วนคนที่มาสงขลา ก็ต้องมาถ่ายรูปกับ ประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ตรงปากทางที่ทะเลสาบสงขลามาบรรจบกับทะเลอ่าวไทยครับ
 



วันที่สอง

สำหรับแผนเที่ยวในวันนี้ เราจะเน้นเที่ยวใกล้ๆกับโรงแรมของเรา เริ่มกันที่ ย่านเมืองเก่าสงขลา ครับ

เมืองเก่าสงขลา ตั้งอยู่บนถนนสามสายในตัวเมืองสงขลา ได้แก่ ถนนนครใน, ถนนนครนอก และ ถนนนางงาม สิ่งที่น่าสนใจของย่านนี้ก็คือ ที่นี่ยังมีการคงเอกลักษณ์ดั้งเดิม ได้แก่ ห้องแถวแบบจีน และ ตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีส รวมทั้งยังมี สตรีทอาร์ท สวยๆด้วยครับ






 
ประตูเมืองเก่าสงขลา ใครมาย่านนี้ก็ต้องถ่ายรูปที่นี่


โรงสีข้าวโบราณ หับ โห้ หิ้น เป็นโรงสีข้าวโบราณ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นโรงน้ำแข็ง และปัจจุบันได้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆของชุมชนย่านเมืองเก่าสงขลา

 

บ้านนครใน เป็นบ้านเก่าที่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เราสามารถเข้ามาชมได้ฟรีๆครับ
 
 

 

ศาลหลักเมืองสงขลา เป็นศาลหลักเมืองเพียงไม่กี่แห่งของประเทศไทยที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีน
 


ศาลเจ้าพ่อกวนอู ตั้งอยู่ข้างๆศาลหลักเมือง


ในเมื่อมาเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ผมมักจะหาโอกาสมาพิพิธภัณฑ์ของเมืองครับ อย่างที่สงขลาก็มี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา

เดิมที่นี่เป็นคฤหาสน์ของผู้ช่วยเจ้าเมืองสงขลา พระยาสุนทรานุรักษ์ (เนตร ณ สงขลา) ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลาเมื่อปี พ.ศ. 2421 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2437 จึงใช้เป็นที่พำนักและว่าราชการของพระยาวิจิตรวรศาสตร์ ข้าหลวงพิเศษตรวจราชการเมืองสงขลา หลังจากนั้นได้ใช้เป็นศาลาว่าการมณฑล นครศรีธรรมราช และเป็นศาลากลางจังหวัดตามลำดับจนถึงปี พ.ศ. 2496 ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนอาคาร แห่งนี้เป็นโบราณสถาน และปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑสถานของชาติ

 


ภายในพิพิธภัณฑ์จะจัดแสดงเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คน และโบราณวัตถุที่พบในแถบจังหวัดสงขลา และแถบภาคใต้ตอนล่าง รวมทั้งให้ข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองสงขลา ใครเป็นสายประวัติศาสตร์ต้องชอบที่นี่ครับ



 
 
ที่นี่มีค่าเข้าชม คนละ 30 บาทนะครับ ส่วนตัว ผมว่าคุ้มค่าเกินราคา ได้ทั้งความรู้ และเป็นที่พักเหนื่อยคลายร้อน หลังจากเดินเที่ยวย่านเมืองเก่าสงขลา
 

ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์จะมี กำแพงเมืองเก่า ซึ่งเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2379 เดิมประกอบด้วยป้อมปราการหลายป้อม ได้รับอิทธิพลการก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบจีน ใช้หินแดงเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง และบนกำแพงเมืองประดับประดาด้วยอิฐโบราณสีเขียวที่นำเข้ามาจากประเทศจีน

ในอดีต กำแพงเมืองนี้ประกอบด้วยป้อมปราการหลายป้อม แต่ปัจจุบันถูกรื้อออกหมด จนเหลือแค่ส่วนที่เราเห็น ที่ตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองสงขลาครับ


บ้านพธำมะรงค์ เดิมเป็นบ้านพักประจำตำแหน่งพัศดีเรือนจำสงขลา ของ รองอำมาตย์โทขุนวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ซึ่งเป็นบิดาของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ

 
 

หลังจากเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านพธำมะรงค์ และกำแพงเมืองเก่าเสร็จแล้ว ผมก็ข้ามถนนไปที่โรงเรียนอนุบาลสงขลา เพื่อขึ้นรถตู้กลับไปยังหาดใหญ่ รีวิวเที่ยวเมืองสงขลาก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ

เมืองสงขลานับเป็นอีกเมืองหนึ่งของไทยที่ผมชอบมากครับ ส่วนตัวผมมองว่า ที่นี่ได้บรรยากาศแบบเดียวกับที่ปีนัง คือมีความเป็นผสมผสานทางวัฒนธรรมทั้งไทยแบบภาคใต้ และจีน ที่ผสมกันได้อย่างค่อนข้างลงตัว น่าเสียดายว่า คนไทยส่วนใหญ่มักจะมองข้ามที่นี่ไป ผมเลยอยากให้คนมาเที่ยวที่นี่กันเยอะๆนะครับ




 

Create Date : 14 มิถุนายน 2564    
Last Update : 27 เมษายน 2567 8:22:53 น.
Counter : 2614 Pageviews.  

4 วัน 3 คืน นครศรีธรรมราช นครสองธรรม: ธรรมชาติ+ธรรมะ (ตอนที่ 3: เที่ยวชุมชนที่คีรีวงและปากพนัง)


สถานที่ท่องเที่ยว : หมู่บ้านคีรีวง, นครศรีธรรมราช Thailand
พิกัด GPS : 8° 25' 58.75" N 99° 46' 56.96" E

มีคนกล่าวไว้ว่า ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วยคนสองกลุ่ม คนกลุ่มแรก เป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในแถบ อำเภอลานสกา ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขา และหุบเขา คนกลุ่มนี้จะมีอาชีพหลักคือ ทำสวนผลไม้ ทั้งมังคุด เงาะ ทุเรียน สะตอ และหมาก คนกลุุ่มนี้จะถูกเรียกว่า เกลอเขา หรือ เกลอควน ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง จะมีอาชีพเป็นชาวประมง หาปลา เกลือ กะปิ และค้าขายอยู่ริมทะเล เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า เกลอเล

นับแต่อดีต คนสองกลุ่มจะมีวิถีชีวิตที่พึีงพาอาศัยกัน กล่าวคือ คนที่เป็นเกลอเขา ก็จะพายเรือนำสินค้าจากชุมชนตนเอง ไปค้าขายแลกเปลี่ยนกับเกลอเล เป็นวิถีชีวิตที่คงอยู่มานับร้อยปี แม้ว่าในปัจจุบัน การคมนาคมขนส่งจะสะดวกมากยิ่งขึ้น แต่สายใยแห่งความผูกพันของคนทั้งสองกลุ่มก็ยังคงมีอยู่ครับ

ในรีวิวตอนนี้ ผมจะพาทุกคนไปสัมผัสกับวิถีชุมชน 2 แห่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่แรกก็คือ หมู่บ้านคีรีวง ซึ่งอยู่ในอำเภอลานสกา ส่วนอีกที่คือ เมืองปากพนัง แม้ว่าชุมชนทั้งสองแห่งนี้ ผู้คนจะมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยที่หนึ่งเป็นชาวบ้านที่ทำสวนผลไม้ในหุบเขา ส่วนอีกที่เป็นชาวประมงที่มาหากินอยู่บริเวณปากแม่น้ำปากพนัง แต่ทั้งคู่ก็ทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนแท้ๆในภาคใต้ รวมทั้งทำให้เราได้เข้าใจถึงสิ่งที่หล่อหลอมให้นครศรีธรรมราชกลายเป็นแบบที่เราเห็นในทุกวันนี้

วันที่สาม

ถ้าพูดถึง หมู่บ้านคีรีวง หลายคนอาจจะรู้จักที่นี่ในเรื่องการมีอากาศที่บริสุทธิ์ของไทย หรือการมีวิถีชีวิตสุดชิลล์ที่ใครหลายคนชอบมาพักผ่อน เล่นน้ำ อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่ง คีรีวงก็ผ่านเรื่องราวอะไรต่างๆมามากมาย เพราะในอดีตที่นี่เคยเป็นพื้นที่สีแดงที่เป็นพื้นที่สู้รบกับกองกำลังคอมมิวนิสต์ และในปี พ.ศ. 2531 คีรีวงก็ประสบกับเหตุการณ์อุทกภัยที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย แต่ชาวบ้านคีรีวงก็ผ่านเรื่องราวที่เลวร้ายเหล่านี้มาได้ด้วยความเข้มแข็งของชุมชน

จนกระทั่งเมื่อ 20 ปีก่อน ที่นี่ก็เริ่มเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในรูปแบบโฮมสเตย์ และด้วยมนต์เสน่ห์แห่งขุนเขา ธรรมชาติ วิถีชีวิตชุมชนที่เรียบง่าย และได้รับการโปรโมทให้เป็น หมู่บ้านที่อากาศดีที่สุดในประเทศไทย ทำให้ที่นี่บูมขึ้น จนปัจจุบันหมู่บ้านคีรีวงก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราชครับ

จากในตัวเมือง เราสามารถขึ้นรถสองแถวไปที่หมู่บ้านคีรีวงได้ที่ คิวรถสองแถวคีรีวง ซึ่งอยู่ตรงข้าม วิทยาลัยอาชีวศึกษานครศรีธรรมราช ในราคา 25 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีครับ 

รถสองแถวจะไปจอดที่หน้าหมู่บ้าน จากตรงนี้เราต้องเช่าจักรยาน เพื่อปั่นเที่ยวหมู่บ้านในราคา 50 บาท ต่อ 1 วัน

สะพานบ้านคีรีวง ถือเป็นสัญลักษณ์ของหมู่บ้านนี้เลย ถ้าใครมาคีรีวงแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับสะพานนี้ผมว่ามาไม่ถึงนะ

สะพานนี้เป็นสะพานข้ามคลองจันดี ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่หล่อเลี้ยงสวนผลไม้ของชุมชนที่นี่ครับ



วัดคีรีวง เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในแถบนี้ครับ

เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของวัดนี้ คือมีเรื่องเล่ามาว่า มีชาย 5 คน นำโดยทวดนุ่น ซึ่งเป็นคนยุคบุกเบิกของหมู่บ้านคีรีวง ได้มาพบกับเจดีย์เก่า และพระพุทธรูปที่นี่ จึงเชื่อกันว่า ที่นี่เคยเป็นวัดมาก่อน พอคนเริ่มเข้ามาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้เพิ่มขึ้น จึงตัดสินใจบูรณะเจดีย์ และสร้างวัดขึ้นที่นี่

ถ้าปั่นจักรยานลึกเข้าไปในหมู่บ้านซะหน่อย จะเจอกับสะพานแขวน ซึ่งใช้ข้ามลำธารที่เรียกว่า หนานหินท่าหา ครับ (คำว่า หนาน ภาษาใต้ แปลว่า แก่ง ครับ) 



ตรงบริเวณนี้จะเป็นจุดที่คนนิยมลงไปเล่นน้ำ มีร้านค้า ร้านอาหารมากมายให้บริการ บางครอบครัวก็กินไป เม้ามอยไป ส่วนเด็กๆก็เล่นน้ำไป 





ขนมจีนป้าเขียว ขนมจีนเป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองคอนครับ อย่างในเมืองก็มีขนมจีนเมืองคอน ส่วนที่คีรีวงก็มีร้านขนมจีนป้าเขียว

ร้านนี้ได้รับรางวัลมามากมายจากทั้ง Wongnai, กระทรวงพาณิชย์ และหอการค้าจังหวัดนครศรีธรรมราช ถือได้ว่าเป็นร้านที่ห้ามพลาด ถ้ามาที่คีรีวงเลยครับ

ขนมจีนที่นี่จานละ 30 บาท มีน้ำยาแกงใต้ แกงไตปลา น้ำยากะทิ และน้ำพริกครับ


อย่างที่กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า ชาวบ้านคีรีวงทำอาชีพหลักคือ สวนผลไม้ ทีนี้พอผมไม้ที่ออกมาเกินความต้องการของท้องตลาด เค้าก็ต้องหาวิธีการแปรรูป กลายเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของหมู่บ้านคีรีวงครับ


ตัวแรกที่ผมขอแนะนำก็คือ ทุเรียนกวนกาบหมาก ซึงเป็นทุเรียนกวนแบบใต้ เอามาห่อด้วยกาบหมก แล้วย่างด้วยไม้ฟืน ทำให้ได้ทุเรียนกวนที่หวาน หอม มันปลายลิ้น และมีกลิ่นหอมของกาบหมากครับ

อีกตัวคือ มังคุดกวน ตัดเป็นชิ้นพอดีคำ เคี้ยวหนึบ เคี้ยวเพลิน รสเปรี้ยวหวานกำลังดี 

2 ตัวนี้เป็นตัวที่ผมชอบนะครับ จริงๆที่นี่ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมากมาย ทั้งสบู่ แชมพู หรือแม้กระทั่งอากาศจากคีรีวง ก็มีอัดกระป๋องขายให้ซื้อกลับบ้านด้วยนะ

วันที่สี่

วันนี้เป็นวัดสุดท้ายของทริปนครศรีธรรมราชนะครับ โดยในวันนี้ ผมจะพาทุกคนไปสัมผัสกับวิถีชุมชนของ เกลอเล ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชกัน

ชื่อของ อำเภอปากพนัง อาจจะไม่คุ้นหูสำหรับใครหลายคน แต่ถ้าพูดถึง แหลมตะลุมพุก ที่เคยโดย พายุโซนร้อนแฮเรียต พัดถล่ม เมื่อปี พ.ศ. 2505 ผมเชื่อว่า คงเคยได้ยินหรือจำกันได้ใช่ไหมครับ แหลมตะลุมพุกก็อยู่ในอำเภอปากพนังนี่เองครับ

เมืองปากพนัง เป็นเมืองท่ามาตั้งแต่ครั้งอดีต เป็นศูนย์กลางทางการค้าและเศรษฐกิจที่สำคัญ เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเล และมีอ่าวภายในบริเวณปากแม่น้ำปากพนัง เหมาะแก่การเดินเรือและการกระจายสินค้าต่อไปยังหัวเมืองสำคัญอื่น ๆ ทำให้สภาพเศรษฐกิจในสมัยก่อนเฟื่องฟูมาก เนื่องจากมีสำเภอจากเมืองจีน และเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่มาเทียบท่าและกระจายสินค้า

นอกจากนี้ยังปรากฏในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จเยือนปากพนัง ความตอนหนึ่งว่า "อำเภอปากพนังนี้ ได้ทราบอยู่แล้วว่าเป็นที่สำคัญอย่างไร แต่เมื่อไปถึงฝั่งรู้สึกว่าตามที่คาดคะเนนั้น ผิดไปเป็นอันมาก ไม่นึกว่าจะใหญ่โตมั่งมีถึงเพียงนี้"

ปัจจุบัน ปากพนังก็ยังคงเป็นอำเภอที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีท่าเรือประมง รวมทั้งตลาดสินค้าประมงพื้นบ้าน ส่วนในเมืองก็ยังมีตึกเก่าๆ สวยๆ อายุนับร้อยๆปีหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมากครับ

จากในตัวเมืองนครศรีธรรมราช สามารถเดินทางไปปากพนังได้โดย รถเมล์ส้มสายนครศรี-ปากพนัง ในราคา 26 บาท (สามารถขึ้นได้จากถนนราชดำเนิน หน้าซอยพานยมครับ) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง โดยรถเมล์จะไปจอดที่ท่าเรือแม่น้ำปากพนัง

จากท่าเรือตรงนี้ เราต้องนั่งเรือข้ามฟากเพื่อไปเที่ยว ตลาด 100 ปีปากพนัง ในราคาเพียง 1 บาทเท่านั้น!!!

พอข้ามแม่น้ำมาจะเจอกับ ตลาดร้อยปีปากพนัง เป็นตลาดเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ตั้งอยู่บริเวณ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปากพนัง

ที่นี่มีสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่อาหารทะเลสดๆ อาหารพื้นบ้าน ขนม และของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆครับ



ชาวปากพนังมีอาชีพหลักเป็นชาวประมง เราจึงได้เห็นเรือประมงพื้นบ้านหลากสีสันลอยลำ หรือจอดอยู่บริเวณที่ท่าเรือแถวนี้


นอกจากอาชีพประมงแล้ว ชาวปากพนังบางส่วนยังมีอาชีพทำรังนก คือสร้างตึกไว้ แล้วปล่อยให้ร้างเพื่อให้นกนางแอ่นมาทำรัง จากนั้นจะคอยเก็บรังนกไปขาย
 

ในอดีต ปากพนังเมืองที่มีความรุ่งเรือง เราจึงยังพบเห็นร่องรอยความเจริญในอดีตของที่นี่ ได้แก่ บ้านเรือนเก่าๆ ที่บางหลังยังคงมีผู้คนอาศัยอยู่ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการอนุรักษ์อย่างถูกวิธี ก็หวังว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเข้ามาดูแลมรดกทางประวัติศาสตร์ของที่นี่ให้ดีกว่านี้โดยเร็วนะครับ
 

 

 
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวการเดินทางของผมในทริปนครศรีธรรมราชตลอด 4 วัน 3 คืนที่ผ่านมานะครับ โดยรวมผมชอบจังหวัดนี้นะ เพราะส่วนตัว ผมเป็นคนชอบเที่ยวตามเมืองรอง ที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก ซึ่งเมืองเหล่านี้ล้วนแต่มีความน่าสนใจ ทั้งในด้านวิถีชีวิตของผู้คน รวมทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ก็หวังว่ารีวิวทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์ทั้งในด้านการวางแผนเที่ยว และความรู้ต่อผู้อ่านทุกคนนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2564    
Last Update : 27 เมษายน 2567 8:14:31 น.
Counter : 3302 Pageviews.  

4 วัน 3 คืน นครศรีธรรมราช นครสองธรรม: ธรรมชาติ+ธรรมะ (ตอนที่ 2: เส้นทางเลียบทะเลสายขนอม-สิชล)


สถานที่ท่องเที่ยว : เขาพลายดำ, นครศรีธรรมราช Thailand
พิกัด GPS : 9° 5' 21.45" N 99° 54' 32.43" E

ถ้าพูดถึงนครศรีธรรมราช คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไอ้ไข่ จตุคามรามเทพ หรือวัดมหาธาตุกันใช่ไหมครับ แต่จริงๆนครศรีธรรมราชไม่ได้มีดีแค่นั้น ที่นี่ยังมีวิถีชีวิตชาวบ้าน มีชายหาด และท้องทะเลที่มีความสวยงามไม่แพ้จังหวัดอื่นๆในภาคใต้ และที่สำคัญทะเลและชายหาดที่นี่ยังไม่ถูกสปอยล์จากการท่องเที่ยวกระแสหลักมากนัก ทำให้ระหว่างเที่ยว เรายังสามารถพบกับวิถีชีวิตชาวบ้าน ความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล และความเงียบสงบในแบบที่หาไม่ได้จากเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ

สำหรับ รีวิวในตอนนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวยัง 2 อำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราชด้วยกัน นั่นก็คือ อำเภอขนอม และ อำเภอสิชล ครับ ทั้ง 2 อำเภอนี้มีถนนเลียบชายทะเลที่สวยงาม และมีแหล่งท่องเที่ยวสุดอันซีนมากมายที่อาจจะยังไม่โด่งดังมากนัก แต่พอได้มาเยือน ขอบอกเลยว่ามันดีมาก จนผมอยากจะเอามาบอกต่อครับ

วันที่สอง

วันนี้ผมเช่ารถตู้ครับ โดยผมหารถจากกลุ่มในเฟสบุ๊คเกี่ยวกับการท่องเที่ยวนครศรีธรรมราช จนกระทั่งไปถูกใจน้องคนขับรถตู้คนนึง เค้าคิดราคาเช่ารถตู้พร้อมคนขับต่อวันอยู่ที่ 1,500 บาท ไม่รวมค่าน้ำมัน ซึ่งถือว่าถูกกว่าเจ้าอื่น ผมเลยตกลงเช่าครับ (ถ้าใครสนใจน้องคนนี้ หลังไมค์มาได้นะครับ เดี๋ยวผมส่ง contact ให้)

ทริปนี้เริ่มต้นจาก บ้านพักนิทาน (The Old Time Nakhon) ที่พักของเราในเมืองนครศรีธรรมราชครับ โดยเรานัดให้รถมารับตอน 7 โมงเช้า จากนั้นก็ยิงตรงไปที่ขนอมเพื่อไป ขึ้นเรือชมโลมาสีชมพูที่แหลมประทับ จากนั้นจะเที่ยวย้อนลงมา โดยจะแวะเที่ยว เจดีย์ปะการัง จุดชมวิวเนินเทวดา นาแม่เฒ่า จุดชมวิวถนนเลียบชายทะเลเขาพลายดำ ก่อนจะไปปิดท้ายที่ วัดเจดีย์ไอ้ไข่ ในอำเภอสิชลครับ

 

 
อำเภอขนอม เป็นอำเภอที่อยู่เหนือสุดของจังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ติดกับ อำเภอดอนสัก ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ท่าเรือดอนสัก สำหรับการนั่งเรือไปเที่ยวเกาะสมุยครับ

ปัจจุบัน ขนอมเริ่มมีรีสอร์ทผุดขึ้น เพราะที่นี่มีชายหาด และทะเลที่มีความสวยงาม แต่ก็ยังไม่แมสเกินไป ทำให้นักท่องเที่ยวยังน้อยอยู่ หลายคนจึงนิยมมาพักผ่อน เล่นน้ำทะเลกัน

กิจกรรมยอดฮิตที่ต้องห้ามพลาดสำหรับใครที่มาขนอม นั่นก็คือ การนั่งเรือเพื่อชมปลาโลมาสีชมพู ซึ่งเราจะต้องไปขึ้นเรือที่ ท่าเรือแหลมประทับ ซึ่งจะอยู่นอกตัวอำเภอออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร

 

 
แหลมประทับ ถือเป็นจุดที่เหนือสุดของอำเภอขนอม ติดกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรงบริเวณนี้จะมี อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เนื่องจากชาวบ้านเชื่อว่า ท่านเคยเสด็จมาที่แหลมประทับแห่งนี้ครับ
 

 
ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นชาวประมงพื้นบ้าน แต่พอการท่องเที่ยวเริ่มพัฒนา พวกเค้าก็เริ่มหันมาทำอาชีพขับเรือพานักท่องเที่ยวเที่ยวทะเลขนอม โดยโปรแกรมยอดนิยมก็คือ ชมโลมาสีชมพู, สักการะหลวงปู่ทวดที่เกาะนุ้ยนอก, ชมเขาหินพับผ้า โดยเรือ 1 ลำ จะคิดราคาที่ 1,200 บาท สามารถนั่งได้สูงสุด 8 คน (ผมไป 4 คน หารออกมาก็ตกคนละ 300 บาท)

การติดต่อเรือไม่ต้องจองล่วงหน้า สามารถ walk in เข้ามาได้เลยครับ เรือมีเยอะมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเรือ

 

 
คนขับเรือของเราชื่อพี่อุ้มครับ แกเล่าว่าจริงๆแกไม่ใช่คนขนอม แต่มาแต่งงาน เลยลงหลักปักฐานที่นี่ ส่วนน้องคนนั้นก็คือลูกชายของแกครับ
 

 
ไฮไลท์หลักของการมาล่องเรือครั้งนี้ สำหรับผมก็คือ มาดู โลมาสีชมพู นั่นเองครับ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เราได้เจอน้องตัวเป็นๆเลย (รูปนี้ผมถ่ายเองครับ พยายามถ่ายให้ดีที่สุดล่ะ แต่เนื่องจากน้องว่ายน้ำเร็วมาก เลยถ่ายออกมาได้แค่นี้ครับ)
 

ใครที่มาเที่ยวแบบนี้ต้องทำใจไว้เลยว่า โอกาสที่จะเจอปลาโลมาจะอยู่ที่ดวงครับ ต้องทำใจไว้ว่าอาจจะไม่เจอ แต่เท่าที่ถามคนขับเรือมา เค้าบอกว่า ถ้ามาช่วงเช้าๆ โอกาสที่เจอจะมีมากกว่า
 
โลมาที่นี่เป็น โลมาหลังโหนก ซึ่งจะอยู่กันเป็นฝูง ฝูงละ 5-10 ตัว แต่ในอาณาบริเวณทะเลขนอม จะมีโลมาสายพันธุ์นี้อยู่รวมกันประมาณ 50-100 ตัวครับ

 

สาเหตุที่โลมาที่นี่เป็นสีชมพู เนื่องจากท้องทะเลที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ และโลมาที่นี่ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ ทำให้สามารถมีีชีวิตอยู่จนมีอายุมากๆ ซึ่งพอโลมาพวกนี้แก่ สีของผิวหนังก็จะเปลี่ยนเป็นสีชมพูครับ

ท้องทะเลบริเวณนี้ยังมี เขาหินพับผ้า เผาหินรูปร่างแปลกตาที่พบกลางทะเลขนอมไม่ไกลจากแหลมประทับ เกิดจากชั้นตะกอนในท้องทะเลที่มีองค์ประกอบที่แตกต่างต่างกันค่อยๆตกตะกอนลงไปเป็นชั้นๆ
 

 



เขาหินพับผ้าเป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่หาชมได้แค่ไม่กี่ที่บนโลก ว่ากันว่า มีแค่ 2 แห่งบนโลกคือ ที่นี่ กับ Pancake rock ที่ประเทศนิวซีแลนด์

นอกจากเขาหินพับผ้าแล้ว ทะเลตรงนี้ยังมี เกาะนุ้ยนอก เป็นเกาะที่มีความมหัศจรรย์คือ ที่นี่เป็นเกาะกลางทะเลที่อยู่ห่างจากฝั่งไปพอสมควร แต่บนเกาะจะมีหินลักษณะคล้ายรอยเท้าและมี น้ำจืด ไหลออกมาจากหินนั้น (เข้าใจว่าใต้ดินน่าจะมีตาน้ำอยู่)
 

 
ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อหลวงปู่ทวดเดินทางจากจังหวัดสงขลาไปยังกรุงศรีอยุธยา ระหว่างทางเรือเกิดอับปาง มาติดที่เกาะนี้ และขาดแคลนน้ำจืด ท่านจึงใช้เท้าเหยียบน้ำทะเลบริเวณนี้ กลายเป็นแอ่งน้ำจืดขนาดใหญ่ให้ลูกเรือได้ดื่มกิน ดังนั้น ด้านบนของเกาะนี้จึงมีหลวงปู่ทวดประดิษฐานอยู่
 

สิ่งที่ผมชอบของที่นี่ก็คือ ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ครับ อย่างในรูปนี้แนวป่าโกงกางชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้


ตามเกาะและหินต่างๆ ก็ยังมีนกนางแอ่นทำรังอยู่ค่อนข้างมากครับ
 

 
เราล่องเรือเที่ยวทะเลขนอมอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อเที่ยวครบแล้ว ก็กลับเข้าฝั่งเพื่อนั่งรถไปเที่ยวยังจุดต่อไปครับ

เจดีย์ปะการัง ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากแหลมประทับเท่าไหร่ เราจึงขอแวะเที่ยวซะหน่อย


เจดีย์ปะการังเป็นโบราณสถานเก่าแก่ของอำเภอขนอม มีอายุประมาณ 1,000 ปี ตามตำนานกล่าวว่า เจดีย์นี้ถูกสร้างขึ้นโดยเจ้าเมืองและชาวเมืองไชยา ที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะนำทรัพย์สินเงินทองไปช่วยสร้างเจดีย์วัดมหาธาตุ แต่เจดีย์นั้นสร้างเสร็จซะก่อน เลยมาสร้างเจดีย์ขึ้นที่นี่แทนครับ

สิ่งที่น่าสนใจคือ เจดีย์นี้สร้างขึ้นโดยหินปะการัง ซึ่งเป็นหนึ่งในเจดีย์เพียงไม่กี่แห่งของไทยที่ใช้ปะการังเป็นวัสดุในการก่อสร้าง

 

ถัดมาคือ จุดชมวิวเนินเทวดาและเนินนางฟ้า ที่นี่มีค่าเข้าคนละ 20 บาทครับ พอเห็นเก็บค่าเข้าแล้ว หลายคนคงไม่อยากมา แต่บอกเลยว่า เสียเงินไปเหอะ เพราะวิวที่นี่คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์
 

จากตรงนี้ เราจะมองลงไปเห็นทะเล และชายหาดของอำเภอขนอมเป็นแนวยาว และยังมีจุดถ่ายรูปต่างๆอีกเพียบ
 

 
เดินต่อไปอีกนิดจะถึงจุดชมวิวเนินนางฟ้า  จัดทำเป็นระเบียงชมวิวแบบวงกลมท่ามกลางต้นไม้ร่มรื่น ตรงจุดนี้ลมพัดเย็นสบายมาก สามารถชมวิวทะเลได้อีกฝั่งหนึ่ง แต่อาจจะมีต้นไม้บังบ้างเล็กน้อย
 

 
จากขนอม เรามาต่อกันที่ อำเภอสิชล ครับ  เดิมทีการเดินทางระหว่างอำเภอสิชลกับอำเภอขนอมต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน เนื่องจากต้องอ้อมไปอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งจะต้องอ้อมไปมากกว่า 30 กว่ากิโลเมตร จนกระทั่งในปี 2562 ถนนเลียบชายทะเลเขาพลายดำ ก็ได้เปิดขึ้น เป็นการเชื่อมคน 2 อำเภอให้ใกล้กันยิ่งขึ้นครับ

อย่างไรก็ตาม พอถนนเส้นนี้เปิดขึ้น นอกจากจะเป็นเส้นทางสัญจรแล้ว ถนนเส้นนี้กลับกลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของวัยรุ่น และเหล่าฮิปสเตอร์ โดยเฉพาะตรงจุดนี้ ที่มีคนมาจอดรถถ่ายรูปกันแทบจะตลอดเวลา จนมีธุรกิจรับถ่ายรูปอยู่ตรงจุดนี้เลย

 

ใครมาที่นี่ แล้วอยากจอดรถถ่ายรูปก็ได้นะครับ แต่อยากให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยหน่อย เพราะนี่เป็นถนนที่ใช้สัญจร รถบางคันก็ขับมาเร็วๆ อาจจะเบรกไม่ทันได้ครับ
 
น้องหมูป่า สัญลักษณ์สำคัญบนถนนเส้นนี้ แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของอำเภอขนอมและสิชล
 

เลยจากจุดถ่ายรูปไปไม่ไกล จะมีอนุสาวรีย์รูปช้างที่ชื่อว่า พลายดำ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อถนนเส้นนี้อยู่ครับ ตรงนี้จะเป็นจุดชมวิวทะเลและชายหาดของอำเภอขนอมและอำเภอสิชล
 



ในเมื่อมาที่สิชลแล้ว แต่ถ้าไม่ได้แวะที่ วัดเจดีย์ไอ้ไข่ ก็ยังไงอยู่ครับ แม้ว่าผมจะไม่ใช่สายมูหรือสายหวย แต่ความโด่งดังของที่นี่ ก็ขอมาดูหน่อยเหอะว่า ที่นี่เป็นยังไง
 

 
ตำนานเกี่ยวกับไอ้ไข่ เกี่ยวข้องกับ หลวงปู่ทวด ครับ ว่ากันว่า ระหว่างที่หลวงปู่ทวดเดินทางจากสงขลาไปยังอยุธยา ได้พาเด็กชายคนหนึ่งมาด้วยเพื่อปรนนิบัติรับใช้ จนเมื่อมาถึงที่วัดเจดีย์ ท่านก็รับรู้ด้วยญาณว่า ต่อไปภาคภาคหน้า ที่นี่จะเป็นสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงให้เด็กชายคนนั้นคอยดูแลที่นี่ โดยฝากไว้กับขรัวทอง สมภารวัดเจดีย์

เด็กชายคนนี้เป็นเด็กซุกซนตามประสาเด็ก แต่ก็มีอานุภาพพิเศษ แปลกแตกต่างจากเด็กทั่วไป ชอบช่วยเหลือผู้คน หากใครมีปัญหาที่หมดปัญญาจะแก้ไข จะต้องมาออกปาก (ไหว้วาน) ทุกคราไป จึงไม่มีใครเกลียดชังแม้ว่าจะซุกซนเกเร

 

เมื่อเวลาล่วงผ่านไป ด้วยจิตอันแสดงถึงอานุภาพพิเศษ ก็รับรู้ได้ว่าพระอาจารย์ (หลวงพ่อทวด) กำลังจะเดินทางกลับจากกรุงศรีอยุธยา ด้วยกลัวว่าหากพระอาจารย์กลับมาถึง จะนำพาตนกลับสู่ถิ่นฐานที่จากมา ด้วยคำสั่งของพระอาจารย์ ที่สั่งให้เฝ้าและดูแลรักษาวัดเจดีย์ และด้วยสัจจะวาจาที่ให้ไว้ เด็กชายจึงเดินลงสระน้ำภายในวัด เป็นการปลดชีวิตตัวเอง สละร่างเหลือไว้แต่ดวงวิญญาณ ไว้คอยปกปักษ์รักษาวัดเจดีย์ สืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

ไอ้ไข่ เป็นที่เคารพนับถือของชาวนครศรีธรรมราชมาเป็นเวลานานแล้วครับ แต่สำหรับคนจังหวัดอื่นๆ อาจจะยังไม่รู้จักเท่าไหร่ จนกระทั่งดาราคนดังหลายคนถูกหวยกันรัวๆ ทำให้คนจากทุกสารทิศแห่กันมาขอหวยกันที่นี่ จนตอนนี้มีเที่ยวบินจากจังหวัดต่างๆบินมาลงที่นครศรีธรรมราชเต็มไปหมด นี่ถ้าไม่มีโควิด ผมว่า คงมีไฟลท์จากต่างประเทศบินมานครศรีธรรมราชด้วยแน่เลยครับ

วัดเจดีย์ไอ้ไข่เป็นสถานที่สุดท้ายที่เรามาแวะชมในทริปวันนี้ หลังจากเที่ยวและขอหวยแล้ว เราก็เดินทางกลับเข้าตัวเมืองนครศรีธรรมราช ทริปในวันที่สองก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2564    
Last Update : 27 เมษายน 2567 8:09:06 น.
Counter : 2924 Pageviews.  

1  2  3  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.