เนื่องจากทริปนี้ เราบินไฟลท์เช้า พวกเราเลยตัดสินใจมาทานอาหารเช้าในเมืองนครศรีธรรมราชครับ โดยร้านที่จะมาแนะนำในวันนี้ก็คือ ร้านโกปี๊ ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างของศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราชครับจุดเด่นของร้านนี้คือ อาหารจำพวกติ่มซำ โรตี บักกุ๊ตเต๋ รวมทั้งเมนูข้าวต่างๆ (ส่วนตัว ผมชอบบักกุ๊ตเต๋ของร้านนี้มากที่สุดครับ ใครมาทาน แนะนำให้สั่งเลย)เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ได้เวลาออกเที่ยวกันเลยครับ จุดแรกผมนั่งสองแถวไปทาง สี่แยกท่าวัง เพื่อไปเที่ยว เจดีย์ยักษ์วัดพระเงิน
ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่า เจดีย์นี้สร้างขึ้นในสมัยใด แต่เชื่อว่าสร้างในช่วงปี พ.ศ.18XX โดยชาวลังกาที่มาเผยแพร่ศาสนาพุทธในสุวรรณภูมินอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับการสร้างเจดีย์ยักษ์ว่า ยักษ์เป็นผู้สร้าง กล่าวคือ เมื่อครั้งพระเจ้าศรีธรรมโศกราชสร้างเจดีย์พระบรมธาตุ มีพวกยักษ์เข้ามาท้าพระเจ้าศรีธรรมโศกราชสร้างพระเจดีย์แข่งกัน ใครสร้างเสร็จก่อนและสวยงามกว่าก็จะเป็นฝ่ายชนะ โดยยักษ์มีเงื่อนไขเอาเปรียบว่า ถ้ายักษ์แพ้จะไม่ขัดขวางการสร้างบ้านเมือง แต่ถ้าพระเจ้าศรีธรรมโศกราชแพ้ ยักษ์จะจับพลเมืองกินให้หมดรวมทั้งพระเจ้าศรีธรรมโศกราชด้วย
ผลปรากฏว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงมีบุญญาบารมีมากกว่า ประกอบกับอภินิหารแห่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า จึงทำให้สร้างเจดีย์พระบรมธาตุเสร็จเรียบร้อยก่อนและสวยงามกว่า พวกยักษ์เมื่อแพ้ก็โกรธมาก จึงใช้เท้าถีบยอดเจดีย์ที่ตนสร้างจวนเสร็จแล้วนั้นกระเด็นไปตกกลางทุ่งนอกเมืองด้านทิศตะวันออก แล้วพวกยักษ์ก็หลบไป เจดีย์นี้จึงได้ชื่อว่า "เจดีย์ยักษ์" และมียอดด้วนมาจนทุกวันนี้ หลังจากเที่ยวเจดีย์ยักษ์แล้ว ผมก็นั่งสองแถวมาลงที่หน้า สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งมีสถานที่ๆน่าสนใจหลายที่ ได้แก่ ศาลหลักเมือง, หอพระสูง, วงเวียนน้ำพุ, โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช, กำแพงเมืองเก่า และ อนุสาวรีย์พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
ศาลหลักเมืองนครศรีธรรมราช เป็นที่ประดิษฐานของหลักเมืองนครศรีธรรมราช ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ สนามหน้าเมือง สร้างขึ้นในปี 2532 ประกอบด้วย อาคารทั้งหมด 4 หลัง หลังกลางเป็นที่ประดิษฐานของศาลหลักเมือง ออกแบบให้มีลักษณะ คล้ายศิลปะศรีวิชัย ที่เรียกว่า ทรงเหมราชลีลา ส่วนอาคารเล็กทั้งสี่หลัง ถือเป็นบริวารสี่ทิศ เรียกว่า ศาลจตุโลกเทพ ประกอบด้วย พระเสื้อเมือง ศาลพระทรงเมือง ศาลพระพรหมเมือง และ ศาลพรบันดาลเมือง หอพระสูง ตั้งอยู่บริเวณด้านเหนือของสนามหน้าเมือง ใกล้ๆกับศาลหลักเมืองลักษณะเด่นของหอพระนี้คือ ตั้งอยู่บนเนินดินสูงกว่าระดับพื้นปกติ 2.10 เมตร (เชื่อกันว่า เนินดินตรงนี้ใช้เป็นที่ตั้งของปืนใหญ่ สำหรับสกัดทัพพม่า จึงต้องสูงขึ้นมา) ส่วนประวัติความเป็นมาของหอพระนี้ไม่แน่ชัด เชื่อว่าน่าจะสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย หรือต้นกรุงรัตนโกสินทร์
โรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช ตั้งอยู่บริเวณน้ำพุ สิ่งที่น่าสนใจสำหรับโรงเรียนนี้คือ ภายในมีสระที่ชื่อว่า สระล้างดาบศรีปราชญ์
ศรีปราชญ์ เป็นกวีเอกในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา และเป็นบุตรของ พระโหราธิบดี (ถ้าใครเคยดูบุพเพสันนิวาส ศรีปราชญ์เป็นพี่ชายของพี่หมื่น ที่แสดงโดยโป๊ป ธนวรรธน์นั่นเองครับ) วันหนึ่งศรีปราชญ์ ได้กระทำผิดต่อพระสนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม้ว่าจะมีโทษถึงประหาร แต่ด้วยความสามารถจึงทรงเมตตา ลดโทษเหลือเพียงเนรเทศมายังเมืองนครศรีธรรมราชแห่งนี้ แต่เมื่อศรีปราชญ์มาอยู่ที่นี่ ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นชู้กับภรรยาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช จึงถูกประหารชีวิต และก่อนที่เพชฌฆาตจะลงดาบประหารศรีปราชญ์ได้ขออนุญาตเขียนโคลงบทสุดท้ายไว้กับพื้นธรณีว่า
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้ คืนสนองเชื่อว่า สถานที่ๆใช้ล้างดาบที่ใช้ประหารศรีปราชญ์ก็คือ สระล้างดาบศรีปราชญ์ ภายในโรงเรียนแห่งนี้นั่นเอง
กำแพงเมืองเก่า นครศรีธรรมราช ถูกสันนิษฐานว่า สร้างขึ้นครั้งแรกในรัชสมัยของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้มีวิศวกรชาวฝรั่งเศสเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา จึงมีการสร้างกำแพงในรูปแบบของฝรั่งเศส เรียกว่า ชาโต (Chateu) ซึ่งเป็นกำแพงแบบที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ต่อมา เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เมื่อครั้งยังป็นผู้ว่าราชการมณฑลนครศรีธรรมราช ได้สั่งให้รื้อกำแพง นี้ลง แต่ยังคงเหลือกำแพงบางส่วนไว้มาจนถึงปัจจุบัน
ใกล้กับกำแพงเมืองจะมี อนุสาวรีย์พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ประดิษฐานอยู่ใน สวนสาธารณะศรีธรรมาโศกราช ไม่ไกลจากกำแพงเมืองเก่า
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช เป็นปฐมกษัตริย์เป็นต้น ราชวงศ์ปทุมวงศ์ แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ เป็นผู้สร้างเมืองนครศรีธรรมราชจากชุมชนเดิมซึ่งมีชื่อเรียกว่า ตามพรลิงก์ เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 17 จนกลายมาเป็นอาณาจักรใหญ่ในแถบภาคใต้ ก่อนที่จะเข้ารวมอยู่ในอาณาจักรอยุธยา ในต้นพุทธศตวรรษที่ 20
หลังจากเที่ยวบริเวณรอบๆสนามหน้าเมืองแล้ว ผมก็นั่งสองแถวเพื่อไปยังจุดต่อไปก็คือ หอพระอิศวร และ หอพระนารายณ์ ซึ่งสันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นโบราณสถานในศาสนาฮินดู และเป็นที่ประดิษฐานศิวลึงค์, ฐานโยนี รวมทั้งเทวรูปสำริดอีกหลายองค์ อาทิ เทวรูปศิวนาฎราช พระอุมาและพระพิฆเนศ ซึ่งจำลองจากองค์จริงที่เก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช
หอพระนารายณ์ ตั้งอยู่อีกฝั่งถนน ตรงข้ามหอพระอิศวร ภายในประดิษฐานเทวรูปพระนารายณ์ที่สร้างตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 11 (ปัจจุบัน เทวรูปนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช)
ไฮไลท์ของเมืองนครศรีธรรมราชคือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ตามตำนานกล่าวว่า วัดนี้สร้างโดยเจ้าชายทนทกุมารและพระนางเหมชาลา (จากอินเดีย) โดยสร้างขึ้นตามแบบของ เจดีย์กิริเวเทระแห่งลังกา ในปี พ.ศ.854
ต่อมาในรัชสมัยของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชแห่งอาณาจักรตามพรลิงค์ก็ได้ก่อสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ และได้มีการบูรณะซ้ำอีกหลายครั้ง
ซุ้มเจดีย์ เป็นศิลปะแบบลังกา
ทางเดินพระวิหารคด เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปมากมาย
นอกจากตัวองค์เจดีย์ วัดนี้ยังมีสถานที่น่าสนใจ ได้แก่ มณฑปพระพุทธบาท ซึ่งได้มีพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่ภายใน
ปัจจุบัน กรมศิลปากรได้ประกาศให้วัดนี้เป็นโบราณสถาน และเมื่อปี พ.ศ. 2556 ก็ได้มีการขึ้นทะเบียนวัดนี้ให้อยู่ใน บัญชีเบื้องต้นก่อนเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก้ (ก็หวังว่าที่นี่จะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในเร็ววันนะครับ)
ตรงข้ามวัดมหาธาตุ จะเป็น บ้านของขุนรัฐวุฒิวิจารณ์
ขุนรัฐวุฒิวิจารณ์ หรือ นายเขียน มาลยานนท์ รับราชการเป็นนายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยรัชกาลที่ 6
เนื่องจากขุนรัฐวุฒิวิจารณ์ไม่มีบุตร ท่านจึงยกบ้านหลังนี้ให้กับ นายโกวิท ตรีสัตยพันธุ์ ซึ่งได้ใช้บ้านนี้เปิดเป็น โรงเรียนรัฐวุฒิวิทยา และได้เปิดเป็นโรงเรียนอยู่ถึง 47 ปี ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมากมายทั้งสงครามโลกครั้งที่สอง และเหตุการณ์วาตภัยเมื่อปี พ.ศ.2505 (เหตุการณ์ที่แหลมตะลุมพุก)
ในปี พ.ศ. 2529 โรงเรียนแห่งนี้ก็ได้ปิดตัวลง และได้ปรับปรุงเป็นโบราณสถานให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมในปี พ.ศ.2536
จากบ้านขุนรัฐวุฒิวิจารณ์ เราก็เดินมารับประทานอาหารที่ร้านชื่อดังของเมืองนครศรีธรรมราช นั่นก็คือ ขนมจีนเมืองคอน ครับ
เมื่อมาถึงที่นี่ก็ต้องจัดขนมจีนซะหน่อย
ผลไม้อย่างหนึ่งที่ถือเป็น signature ของเมืองคอนคือ มังคุดตัด แบบนี้ครับ (มังคุดตัดคือ มังคุดดิบเอามาเสียบไม้กิน ก็ถือว่าอร่อยไปอีกแบบ)
กินเสร็จก็ได้เวลาเที่ยวต่อ เราเดินออกมาขึ้นรถสองแถวตรงข้ามวัดมหาธาตุ เพื่อไปเที่ยวยัง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ครับ
เดิมที พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช เป็นส่วนหนึ่งของ วัดสวนหลวงตะวันออก ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงโบราณวัตถุที่พบในแถบภาคใต้ตอนบน โดยเน้นจัดแสดงประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคอาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรตามพรลิงค์ จนถึงยุคที่นครศรีธรรมราชเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
ค่าเข้าชม: คนไทย 30 บาท (ปิดวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์)
จากพิพิธภัณฑ์ ผมก็นั่งรถสองแถว กลับที่พัก เพื่อพักผ่อนให้หายเหนื่อยซะหน่อย เมื่อหายเหนื่อยก็มาไปเที่ยวสถานที่สุดท้าย ซึ่งอยู่ตรงข้ามที่พัก (The Old Time Nakhon) นั่นก็คือ บ้านหนังตะลุง ลุงสุชาติ ครับ
ลุงสุชาติ ทรัพย์สิน เป็นศิลปินหนังตะลุง และช่างทำหนังตะลุงฝีมือเยี่ยมของจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยท่านได้ยกระดับหนังตะลุงให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล
ด้านในจะมีการจัดแสดงหนังตะลุงมากมาย ทั้งเทวดา ยักษ์ ตัวตลก รวมทั้งหนังตะลุงนานาชาติ
ที่นี่ยังมีการสาธิตการทำหนังตะลุง โดยคนในครอบครัวของลุงสุชาติด้วยครับ (คุณป้าคนนี้เป็นลูกสะใภ้ของลุง)
สำหรับรีวิวในตอนนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ หวังว่าผู้อ่านคงจะชอบและเป็นประโยชน์นะครับ ในตอนหน้า ผมจะพาทุกคนออกนอกเมืองคอนเพื่อไปดูปลาโลมาสีชมพูที่ขนอม จากนั้นก็จะไปไหว้ขอหวยที่วัดเจดีย์ไอ้ไข่ ที่สิชล เรื่องราวจะเป็นยังไง ฝากติดตามต่อในตอนหน้าด้วยนะครับ
บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง