ร้านนี้ก็ขายอาหารทะเลทั่วไป แต่สิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาที่สุราษฎร์ธานีก็คือ หอยนางรมสดๆ ตัวใหญ่แบบนี้ครับ (หอยนางรมถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถึงขนาดเอาไปตั้งเป็นคำขวัญเลยทีเดียว)
พอทานอาหารเสร็จ ผมก็เรียก Grab กลับไปที่โรงแรม จัดการเช็คอิน แล้วก็ได้เวลาเที่ยวครับ
จริงๆในเมืองสุราษฎร์ธานีไม่ค่อยมีที่เที่ยวอะไรเด่นๆเท่าไหร่ แต่ถ้าจะเที่ยวจริงๆก็พอจะมีที่เที่ยวอยู่บ้าง โดยสถานที่ๆจะมาแนะนำในวันนี้ทั้งหมดสามารถเดินได้จากโรงแรมราชธานี
คนสุราษฎร์แท้ๆ จะนิยมเรียกบริเวณตัวเมืองสุราษฎร์ธานีว่า บ้านดอน ซึ่งครอบคลุมสถานที่ทั้งหมดที่ผมจะมารีวิวในวันนี้ครับ
ที่แรกคือ พระมหาโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมแกรนิตขาว สูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรมราชธานีมาก เดินไปแค่ 1 นาที (160 เมตร) ตั้งอยู่ภายใน ศาลเจ้าของมูลนิธิมุทิตาจิตธรรมสถาน
องค์เจ้าแม่สลักจากหินแกรนิตขาว มีความสูงถึง 12 เมตร และถือว่าสูงที่สุดในประเทศไทย ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปี และใช้งบประมาณสูงถึง 40 ล้านบาท โดยได้รับจากผู้มีจิตศรัทธาทั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และในจังหวัดอื่นๆของไทย
ว่ากันว่า ความสูง 12 เมตร ของพระมหาโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม นั้นมีความหมายซ่อนไว้ นั้นก็คือ เลข 12 ซึ่งหมายถึง 12 ราศี กล่าวคือ ทุกราศีหากได้มาสักการะบูชาล้วนเป็นสิริมงคล
ถัดมาคือ วัดพัฒนาราม เป็นวัดเก่าตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2439 มี หลวงพ่อพัฒน์ นารโท เป็นผู้สร้างวัดและเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ด้วยเงินเพียง 6 บาท
วัดพัฒนารามเป็นวัดสำคัญที่สร้างขึ้นในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ เคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ของทางราชการมาจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในพ.ศ. 2475 นอกจากนี้ ภายในพระอุโบสถยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีความน่าสนใจ เพราะเป็นจิตรกรรมแบบไทยประเพณีที่แสดงเรื่องราวทางพุทธประวัติพร้อมกับข้อความอธิบายใต้ภาพแต่ละห้อง โดยสอดแทรกสภาพวิถีชีวิตของผู้คนสุราษฎร์ธานีในยุคสมัยนั้น โดยมี จุดเด่นอยู่ที่การปรากฏภาพของชาวต่างชาติและการแต่งกายที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก
หลวงพ่อพัฒน์ มรณภาพลงในท่านั่งสมาธิในปีพ.ศ. 2485 และได้มีการบรรจุศพของท่านเก็บไว้จนกระทั่งปี พ.ศ. 2491 เมื่อเปิดโลงที่บรรจุสังขารท่านอีกครั้งปรากฏว่าสังขารไม่เน่าเปื่อยแม้ว่าท่านได้มรณภาพลงไปหลายปีแล้วก็ตาม ทำให้ท่านเป็นที่ศรัทธาของประชาชนชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาจนถึงทุกวันนี้
ทุกจังหวัดของประเทศไทยต้องมีศาลหลักเมืองไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวสักการะของประชาชนภายในจังหวัด ที่สุราษฎร์ก็เช่นเดียวกันครับ แต่ความพิเศษของศาลหลักเมืองสุราษร์ธานี ที่นี่คือ มีการผสมผสานศิลปะแบบศรีวิชัย ซึ่งเป็นรากเหง้าของจังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปด้วย
จากศาลหลักเมืองเราสามารถเดินไป สะพานข้ามแม่น้ำตาปี และทางเดินริมฝั่งแม่น้ำตาปี
แม่น้ำตาปี เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของประเทศไทย มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหลวงในจังหวัดนครศรีธรรมราช และไหลสู่อ่าวไทยบริเวณบ้านดอนแห่งนี้
เนื่องจากแม่น้ำตาปี ไหลผ่ากลางเมืองสุราษฎร์ ดังนั้นทางเทศบาลเมืองจึงสร้างที่พักผ่อนหย่อนใจทั้งทางเดินริมฝั่งแม่น้ำ สวนสาธารณะ รวมไปถึงสะพานที่จะใช้ข้ามแม่น้ำ ผมจึงแนะนำให้มาเดินเที่ยวตอนเย็น ชมพระอาทิตย์ตกดิน จะได้บรรยากาศดีมากครับ
ใกล้กับสะพานจะเป็นท่าเรือ เราสามารถขึ้นเรือจากที่นี่ไปยังเกาะต่างๆ ทั้งสมุย พะงัน และเกาะเต่าได้ด้วย
เกาะกลางแม่น้ำตรงนี้เรียกว่า เกาะลำพู เป็นสวนสาธารณะและที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวสุราษฎร์ธานีครับ
ถ้าใครเดินเที่ยวเมืองสุราษฎร์จนถึงตอนเย็น ผมแนะนำให้ไปที่ ตึกเก่า สะพานโค้ง ครับ
จริงๆ ในเมืองสุราษฎร์มีตึกเก่าๆ อายุมากกว่า 100 ปีในสไตล์ชิโนโปรตุกีสอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ตึกที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นก็คงเป็นตึกที่ ถนนเศรษฐภักดี ซึ่งมีสะพานโค้งเชื่อมระหว่างตึก 2 แห่ง
บริเวณรอบๆนี้ยังเป็นที่ตั้งของตลาดขายของเก่า ผสมผสานกับความวินเทจของตึกรอบๆบริเวณนี้
ที่นี่ยังมี Street art สวยๆ คล้ายๆกับที่ปีนัง หรือเบตงที่ผมเพิ่งไปมาก่อนหน้านี้ แม้จะมีไม่เยอะเท่า แต่ผมว่าก็สวยงามใช้ได้เลย ดังนั้น ถ้าใครมีเวลาแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่กันเยอะๆนะครับ
ผมเที่ยวชมที่ตึกเก่า สะพานโค้งเป็นที่สุดท้าย จากนั้นก็กลับที่พักเพื่อไปพักผ่อนนอนเอาแรง สำหรับการเที่ยวในวันพรุ่งนี้ต่อไป รีวิวในตอนแรกของจังหวัดสุราษฎร์ธานีก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ
บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง