Welcome to my blog
4 วัน 3 คืน สุราษฎร์ธานี เที่ยววิถีใต้ ณ เมืองหอยใหญ่ไข่แดง (ตอนที่ 1: เดินเล่นที่บ้านดอน)


สถานที่ท่องเที่ยว : อุทยานธรรมเขานาในหลวง, สุราษฎร์ธานี Thailand
พิกัด GPS : 8° 47' 0.04" N 98° 57' 19.05" E

สวัสดีครับ กลับมาพบกันใหม่อีกครั้งกับบล็อกรีวิวท่องเที่ยวของผมนะครับ สำหรับในบล็อกนี้ ผมจะพาทุกคนลงใต้ไปเที่ยวที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีกันครับ

ถ้าพูดถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี หลายคนก็คงจะต้องนึกถึงทะเลสวยๆ อย่างเกาะสมุย หรือเกาะเต่าที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลระดับโลก แต่จริงๆที่สุราษฎร์ธานี ไม่ได้มีดีแค่นั้นครับ ที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ มีวิถีชีวิตท้องถิ่น ภูเขา และเขื่อนสวยๆให้ได้ชมกัน ซึ่งในทริปนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีกันครับ

ทริปนี้ผมไปมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2564 เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน โดยไปกับเพื่อน 2 คน ทริปนี้เน้นประหยัด และไม่มีรถครับ ถ้าใครจะไปเที่ยวสุราษฎร์ธานีในสไตล์คล้ายๆผม สามารถลอกรีวิวของผมได้เลยครับ

รู้จักกับจังหวัดสุราษฎร์ธานี

เป็นจังหวัดในแถบภาคใต้ตอนบน มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และใหญ่เป็นอันดับ 6 ของประเทศไทย ถือเป็นจังหวัดหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีหลักฐานทั้งประวัติศาสตร์และโบราณคดีเก่าแก่  และยังมีแหล่งท่องเที่ยวและอุทยานแห่งชาติหลายแห่ง ทั้งทางทะเล และป่าเขา


ในแง่ประวัติศาสตร์ จังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นที่ตั้งของเมืองเก่า เช่น เมืองไชยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรศรีวิชัย โดยมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นเครื่องยืนยันความรุ่งเรืองในอดีต ได้แก่ พระบรมธาตุไชยา รวมทั้งโบราณวัตถุหลายชิ้นที่จัดแสดงอยู่ใน พิพิธภัณฑสถานไชยา
 

นอกจากนี้ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ยังมีความโดดเด่นในเรื่องวิถีชีวิตชุมชนพื้นบ้าน ของขึ้นชื่อของจังหวัดนี้ ได้แก่ หอยนางรมสุราษฎร์ และ ไข่เค็มไชยา จึงเป็นที่มาของคำขวัญประจำจังหวัดว่า เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมมะ นั่นเองครับ

ปัจจุบัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี มี 19 อำเภอ และมี เทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ซึ่งถือเป็นเทศบาลนครที่ใหญ่เป็นอันดับสองของภาคใต้ รองจากเทศบาลนครหาดใหญ่

 
เที่ยวช่วงไหนดี

อากาศของภาคใต้ในแถบสุราษฎร์ธานี  จะเป็นแบบ “ฝนแปด แดดสี่” คือมีฤดูฝนแปดเดือนตั้งแต่พฤษภาคมไปจนถึงธันวาคม และฤดูแล้ง ตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวครับ ส่วนช่วงที่แนะนำให้เลี่ยงเที่ยวที่นี่คือ ช่วงฤดูหนาวของภาคอื่น นั่นก็คือระหว่างเดือนตุลาคมถึงมกราคม ซึ่งมีโอกาสเจอฝนตกค่อนข้างมาก อาจเจอพายุ น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลากได้

 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยเที่ยวบินที่ VZ350 (เวียดเจ็ท)
  • เดินทางจากสนามบินไปยังโรงแรมด้วย Airport bus ของบริษัทพันทิพย์
  • ทานอาหารเที่ยงที่ร้านลำพูริมฝั่งแม่น้ำตาปี
  • Check in ที่โรงแรมราชธานี
  • เที่ยวในเมืองสุราษฎร์ ได้แก่ วัดพัฒนาราม, เจ้าแม่กวนอิมที่ศาลเจ้ามูลนิธิมุทิตาจิตธรรมสถาน, สะพานข้ามแม่น้ำตาปี, ทางเดินริมฝั่งแม่น้ำตาปี และสะพานโค้ง
วันที่สอง
  • เดินทางสู่อำเภอไชยา เพื่อเที่ยวชมวัดพระบรมธาตุไชยา และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติไชยา
  • เดินทางกลับเข้าตัวเมืองสุราษฎร์ธานี
  • เดินทางไปยังตลาดน้ำประชารัฐบางใบไม้
  • ล่องเรือในคลองร้อยสาย
วันที่สาม
  • เหมารถเที่ยว 1 วัน
  • เดินทางไปยังเขื่อนเชี่ยวหลาน
  • ล่องเรือในเขื่อนเชี่ยวหลาน ชมเขาสามเกลอ แวะให้อาหารปลาที่แพนางไพร
  • แวะชมสันเขื่อนเชี่ยวหลาน
  • เที่ยวชมสะพานแขวนเขาเทพพิทักษ์/ อุทยานธรรมเขานาในหลวง/ ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด
  • เดินทางกลับเข้าตัวเมืองสุราษฎร์ธานี
วันที่สี่
  • เช็คเอาท์
  • เดินทางไปที่สนามบิน/ ออกเดินทางกลับกรุงเทพ ด้วยเที่ยวบินที่ VZ351 (เวียดเจ็ท)


ที่พักที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ตลอดทั้งทริป ผมเลือกพักที่ โรงแรมราชธานี ซึ่งเป็นโรงแรมทำเลดี ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสุราษฎร์ ติดกับท่ารถ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเมือง ใกล้แหล่งของกิน รวมทั้งการตกแต่งในห้อง ความสะอาด และการบริการถือว่า โอเคเลยครับ




 
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียเล็กๆของที่นี่คือ ที่นี่ไม่มีอาหารเช้า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะใกล้ๆมีร้านอาหารเช้าอร่อยเยอะแยะมากมาย สามารถเดินไปทานได้เลย

ราคาของโรงแรมนี้อยู่ที่คืนละ 621 บาท (ผมจองผ่าน booking) หารออกมาต่อคนก็ตกอยู่ที่ 300 กว่าบาทเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าเทียบกับการบริการ ส่วนตัวผมชอบที่นี่มากครับ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรงแรมนี้ สามารถดูได้ที่นี่ https://www.facebook.com/Rajthanihotel/?rf=429404867084732

วันที่หนึ่ง

เช้าวันนี้ ผมออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังจังหวัดสุราษฎร์ธานีด้วยสายการบิน Thai Vietjet Air ไปถึงที่สุราษฎร์ธานีตอน 11 โมงกว่าครับ 

 
 

ท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานี เป็นสนามบินนานาชาติอยู่ห่างจากตัวเมืองสุราษฎร์ธานีประมาณ 30 กิโลเมตร ปัจจุบันมีเที่ยวบินของสายการบินต่างๆทั้งไทยและต่างประเทศไปลง เชื่อมต่อกับจุดหมายปลายทางต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นดอนเมือง, สุวรรณภูมิ, จีน และมาเลเซีย

นักท่องเที่ยวหลายคนยังนิยมใช้สนามบินนี้ เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เขื่อนเชี่ยวหลาน, เขาสก, เกาะสมุย, เกาะพะงัน และ เกาะเต่า ซึ่งมีรถรับส่งจากสนามบินนี้ให้บริการไปยังจุดหมายยอดนิยมเหล่านี้ด้วย ถือว่าเดินทางได้สะดวกไม่ยากเลยครับม

การเดินทางจากสนามบินสุราษฎร์ธานีเข้าเมืองถือว่าทำได้ค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับสนามบินอื่นๆของประเทศไทย เนื่องจากมีบริการค่อนข้างหลากหลายตั้งแต่ Taxi สนามบิน, รถสองแถว ไปจนถึง Airport bus 

สำหรับ Airport bus ของสนามบินสุราษฎร์ธานีเป็นของ บริษัท พันทิพย์ ดังนั้นพอลงจากเครื่องให้หาบูธของบริษัท แล้วซื้อตั๋วเข้าเมืองซึ่งราคาจะอยู่ที่ 100 บาท รถจะวิ่งไปสุดที่คิวรถตรงตลาดเกษตรในเมือง ซึ่งอยู่ใกล้กับที่พักของผมที่จองไว้คือ โรงแรมราชธานี ครับ

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Airport bus ดูได้ที่นี่ https://www.phantiptravel.com/

เนื่องจากโรงแรมนี้สามารถเช็คอินได้ตอนบ่ายสอง แต่ผมมาถึงตั้งแต่ 11 โมงกว่า เลยยังเข้าห้องไม่ได้ ผมจึงไปฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วไปหาอาหารเที่ยงกิน ก่อนจะกลับมาเช็คอินอีกรอบในตอนบ่ายครับ

เรามาทานอาหารเที่ยงที่ ร้านลำพู 3 ซึ่งเป็นร้านที่ทางโรงแรมแนะนำมา ตัวร้านอยู่ริมปากแม่น้ำตาปี นอกเมืองออกไปเล็กน้อย (ผมเรียก Grab จากทางโรงแรมมาที่นี่)


ร้านนี้ก็ขายอาหารทะเลทั่วไป แต่สิ่งที่ห้ามพลาดเมื่อมาที่สุราษฎร์ธานีก็คือ หอยนางรมสดๆ ตัวใหญ่แบบนี้ครับ (หอยนางรมถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถึงขนาดเอาไปตั้งเป็นคำขวัญเลยทีเดียว)
 

พอทานอาหารเสร็จ ผมก็เรียก Grab กลับไปที่โรงแรม จัดการเช็คอิน แล้วก็ได้เวลาเที่ยวครับ

จริงๆในเมืองสุราษฎร์ธานีไม่ค่อยมีที่เที่ยวอะไรเด่นๆเท่าไหร่ แต่ถ้าจะเที่ยวจริงๆก็พอจะมีที่เที่ยวอยู่บ้าง โดยสถานที่ๆจะมาแนะนำในวันนี้ทั้งหมดสามารถเดินได้จากโรงแรมราชธานี

คนสุราษฎร์แท้ๆ จะนิยมเรียกบริเวณตัวเมืองสุราษฎร์ธานีว่า บ้านดอน ซึ่งครอบคลุมสถานที่ทั้งหมดที่ผมจะมารีวิวในวันนี้ครับ

ที่แรกคือ พระมหาโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมแกรนิตขาว สูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรมราชธานีมาก เดินไปแค่ 1 นาที (160 เมตร) ตั้งอยู่ภายใน ศาลเจ้าของมูลนิธิมุทิตาจิตธรรมสถาน

 

 
องค์เจ้าแม่สลักจากหินแกรนิตขาว มีความสูงถึง 12 เมตร และถือว่าสูงที่สุดในประเทศไทย ใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 5 ปี และใช้งบประมาณสูงถึง 40 ล้านบาท โดยได้รับจากผู้มีจิตศรัทธาทั้งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และในจังหวัดอื่นๆของไทย

ว่ากันว่า ความสูง 12 เมตร ของพระมหาโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม นั้นมีความหมายซ่อนไว้ นั้นก็คือ เลข 12 ซึ่งหมายถึง 12 ราศี กล่าวคือ ทุกราศีหากได้มาสักการะบูชาล้วนเป็นสิริมงคล 

 

ถัดมาคือ วัดพัฒนาราม เป็นวัดเก่าตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2439 มี หลวงพ่อพัฒน์ นารโท เป็นผู้สร้างวัดและเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ด้วยเงินเพียง 6 บาท
 

วัดพัฒนารามเป็นวัดสำคัญที่สร้างขึ้นในในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ เคยเป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ของทางราชการมาจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในพ.ศ. 2475 นอกจากนี้ ภายในพระอุโบสถยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่มีความน่าสนใจ เพราะเป็นจิตรกรรมแบบไทยประเพณีที่แสดงเรื่องราวทางพุทธประวัติพร้อมกับข้อความอธิบายใต้ภาพแต่ละห้อง โดยสอดแทรกสภาพวิถีชีวิตของผู้คนสุราษฎร์ธานีในยุคสมัยนั้น โดยมี จุดเด่นอยู่ที่การปรากฏภาพของชาวต่างชาติและการแต่งกายที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก 
 

หลวงพ่อพัฒน์ มรณภาพลงในท่านั่งสมาธิในปีพ.ศ. 2485 และได้มีการบรรจุศพของท่านเก็บไว้จนกระทั่งปี พ.ศ. 2491 เมื่อเปิดโลงที่บรรจุสังขารท่านอีกครั้งปรากฏว่าสังขารไม่เน่าเปื่อยแม้ว่าท่านได้มรณภาพลงไปหลายปีแล้วก็ตาม ทำให้ท่านเป็นที่ศรัทธาของประชาชนชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาจนถึงทุกวันนี้
 

ทุกจังหวัดของประเทศไทยต้องมีศาลหลักเมืองไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวสักการะของประชาชนภายในจังหวัด ที่สุราษฎร์ก็เช่นเดียวกันครับ แต่ความพิเศษของศาลหลักเมืองสุราษร์ธานี ที่นี่คือ มีการผสมผสานศิลปะแบบศรีวิชัย ซึ่งเป็นรากเหง้าของจังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปด้วย 
 



จากศาลหลักเมืองเราสามารถเดินไป สะพานข้ามแม่น้ำตาปี และทางเดินริมฝั่งแม่น้ำตาปี

แม่น้ำตาปี เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของประเทศไทย มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหลวงในจังหวัดนครศรีธรรมราช และไหลสู่อ่าวไทยบริเวณบ้านดอนแห่งนี้

เนื่องจากแม่น้ำตาปี ไหลผ่ากลางเมืองสุราษฎร์ ดังนั้นทางเทศบาลเมืองจึงสร้างที่พักผ่อนหย่อนใจทั้งทางเดินริมฝั่งแม่น้ำ สวนสาธารณะ รวมไปถึงสะพานที่จะใช้ข้ามแม่น้ำ ผมจึงแนะนำให้มาเดินเที่ยวตอนเย็น ชมพระอาทิตย์ตกดิน จะได้บรรยากาศดีมากครับ

 

 

ใกล้กับสะพานจะเป็นท่าเรือ เราสามารถขึ้นเรือจากที่นี่ไปยังเกาะต่างๆ ทั้งสมุย พะงัน และเกาะเต่าได้ด้วย
 

เกาะกลางแม่น้ำตรงนี้เรียกว่า เกาะลำพู เป็นสวนสาธารณะและที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวสุราษฎร์ธานีครับ
 

ถ้าใครเดินเที่ยวเมืองสุราษฎร์จนถึงตอนเย็น ผมแนะนำให้ไปที่ ตึกเก่า สะพานโค้ง ครับ

จริงๆ ในเมืองสุราษฎร์มีตึกเก่าๆ อายุมากกว่า 100 ปีในสไตล์ชิโนโปรตุกีสอยู่ค่อนข้างเยอะ แต่ตึกที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นก็คงเป็นตึกที่ ถนนเศรษฐภักดี ซึ่งมีสะพานโค้งเชื่อมระหว่างตึก 2 แห่ง

 

บริเวณรอบๆนี้ยังเป็นที่ตั้งของตลาดขายของเก่า ผสมผสานกับความวินเทจของตึกรอบๆบริเวณนี้
 
 


ที่นี่ยังมี Street art สวยๆ คล้ายๆกับที่ปีนัง หรือเบตงที่ผมเพิ่งไปมาก่อนหน้านี้ แม้จะมีไม่เยอะเท่า แต่ผมว่าก็สวยงามใช้ได้เลย ดังนั้น ถ้าใครมีเวลาแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่กันเยอะๆนะครับ
 



ผมเที่ยวชมที่ตึกเก่า สะพานโค้งเป็นที่สุดท้าย จากนั้นก็กลับที่พักเพื่อไปพักผ่อนนอนเอาแรง สำหรับการเที่ยวในวันพรุ่งนี้ต่อไป รีวิวในตอนแรกของจังหวัดสุราษฎร์ธานีก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง



Create Date : 15 เมษายน 2564
Last Update : 27 เมษายน 2567 7:55:51 น. 3 comments
Counter : 6350 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณKavanich96


 
ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: Kavanich96 วันที่: 16 เมษายน 2564 เวลา:14:32:15 น.  

 
ตามไปเที่ยวด้วยคนคราบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 16 เมษายน 2564 เวลา:20:29:16 น.  

 
ตามมาครับ คุณทนายอ้วน


โดย: เจ้าสำนักคันฉ่องวารี วันที่: 16 เมษายน 2564 เวลา:21:16:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.