Welcome to my blog
2 วัน 1 คืน สงขลา นครประวัติศาสตร์แห่งดินแดนสองทะเล


สถานที่ท่องเที่ยว : เกาะหนู เกาะแมว, สงขลา Thailand
พิกัด GPS : 7° 14' 9.36

ทริปนี้เป็นทริปแรกของปี 64 ของผมครับ สาเหตุที่จัดทริปนี้ขึ้นมา เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา ผมงานยุ่งมาก จนรู้สึกว่า พลังงานชีวิตเริ่มหมด จนต้องหาทางชาร์จแบตตัวเอง และด้วยความที่ไม่มีเวลาแพลนเที่ยวอะไรมากมาย ก็เลยตัดสินใจไปเที่ยวเมืองที่คุ้นเคยอย่าง จังหวัดสงขลา ครับ

สำหรับรีวิวในตอนนี้ จะเป็นการรีวิวการเดินทางท่องเที่ยวของผมในส่วนของ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา นะครับ จริงๆแล้ว เราไม่ได้เที่ยวแค่ที่นี่ที่เดียว แต่ยังไปที่ เกาะหลีเป๊ะ อีกด้วย แต่ผมจะขอแบ่งเป็นตอนๆ เพื่อความสะดวกในการอ่านบล็อกนะครับ

 
รู้จักกับเมืองสงขลา

หลายคนคงรู้จัก สงขลา ในฐานะที่เป็นจังหวัดสำคัญในแถบภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งมีประชากรมากเป็นอันดับสองของภาคใต้ (รองจากจังหวัดนครศรีธรรมราช) แต่ในรีวิวนี้ผมจะขอเน้นเฉพาะที่ตัวเมืองสงขลาเป็นหลักเท่านั้นนะครับ


ถ้าพูดถึงตัวเมืองสงขลา จริงๆแล้วที่นี่เป็นเมืองโบราณตั้งแต่ยุคต้นอยุธยาที่มีชื่อเรียกว่า สิงขร หรือ ซิงกอรา ต่อมาในยุคสมเด็จพระเอกาทศรถ ก็ได้มีชาวชวาที่ชื่อว่า ดาโต๊ะ โกมอลล์ ซึ่งลี้ภัยการเมือง และได้พาบริวารมาสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นบริเวณ เขาหัวแดง ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับเมืองสงขลาในปัจจุบัน

 

เมืองสงขลาก็ได้พัฒนาขึ้นโดยลำดับ จนกลายเป็นเมืองท่านานาชาติ ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระเอกาทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยาจึงทรงแต่งตั้งให้ดาโต๊ะ โกมอลล์เป็นข้าหลวงผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ต่อมา ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมืองสงขลาไม่ยอมรับอำนาจของพระเจ้าปราสาททอง เพราะมาจากการทำรัฐประหาร จึงทำการแข็งเมือง แม้ว่าทางอยุธยาพยายามปราบปรามหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ สงขลาจึงเป็นเป็นอิสระจากอยุธยานานถึง 38 ปี จนกระทั่งถูกตีแตกในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเมืองก็ถูกยุบลงไป
 

หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง สงขลาได้ถูกผนวกขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของสยามในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาจนถึงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว สงขลามีเจ้าเมืองเป็นคนจีน แซ่เฮา ซึ่งเป็นต้นตระกูล ณ สงขลา นั่นเองครับ

ปัจจุบัน เมืองเก่าสงขลา ตั้งอยู่บริเวณที่เรียกว่า บ่อยาง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ เทศบาลนครสงขลา และเนื่องจากเมืองนี้มีความสำคัญทั้งทางด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตชุมชน จึงมีความพยายามผลักดันให้ย่านเมืองเก่าที่นี่เป็นมรดกโลก 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางจากอำเภอหาดใหญ่ ไปยังอำเภอเมืือง จังหวัดสงขลา
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Lake Inn Hotel)
  • เที่ยวเขาตังกวน/ แหลมสมิหลา/ ประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ
  • เดินทางกลับที่พัก
วันที่สอง
  • เช้า: เที่ยวย่านเมืองเก่าสงขลา/ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา/ บ้านพธำมะรงค์
  • บ่าย: เดินทางออกจากเมืองสงขลา 

ที่พักที่เมืองสงขลา

โรงแรมเลคอินน์ (Lake Inn) 
เป็นที่พักของผมที่เมืองสงขลาครับ จริงๆต้องขอบคุณเพจ Lost is fun ของคุณโอ๊ต-ครับ-ผม แห่งห้องบลูแพลนเน็ตที่แนะนำโรงแรมนี้ ที่นี่เป็นที่พักใกล้ย่านเมืองเก่าสงขลา เห็นวิวทะเลสาบสงขลา ใกล้แหล่งท่องเที่ยวและย่านของกินต่างๆ

 
 
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากที่นี่เป็นโรงแรมเก่าครับ หลายคนอาจจะมองว่า คลาสสิค แต่บางคนก็อาจจะมองว่า น่ากลัว ก็แล้วแต่ชอบนะครับ สำหรับสภาพห้องโดยรวม ก็ถือว่า สะอาดใช้ได้ ผมจองที่พักนี้โดยตรงผ่านเพจของโรงแรม ได้ที่ราคาคืนละ 600 บาทครับ (ไม่รวมอาหารเช้านะ แต่ไม่เป็นปัญหา เพราะแถวนั้นมีของกินอร่อยๆเยอะมาก)
 

 
ถ้าใครสนใจจะจอง ติดต่อได้ทางเพจนี้นะครับ
https://www.facebook.com/โรงแรมเลคอินน์-669619326506132/

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้ เราเริ่มต้นจากหาดใหญ่ครับ สำหรับการเดินทางจากหาดใหญ่เพื่อไปที่ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ให้เราขึ้นรถตู้ที่ หน้าหอนาฬิกาหาดใหญ่ หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่า หน้าหอ ค่ารถตู้จะอยู่ที่ 34 บาทครับ
 

 
รถตู้จะพาเรามาส่งที่ หอนาฬิกาเมืองสงขลา จากตรงนี้ สามารถเรียกสามล้อ วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือ Grab ให้ไปส่งที่โรงแรมได้ แต่ผมเลือกนั่งวินมอเตอร์ไซค์แถวนั้นครับ เลยได้เรื่องตั้งแต่วันแรกเลย
 

 
จริงๆ จากหอนาฬิกาเมืองสงขลา ไปที่ โรงแรมเลคอินน์ ที่อยู่ใกล้กับประตูเมืองเก่าสงขลา ระยะทางจริงๆมันแค่ 1 กิโลกว่าๆ ถ้านั่งวินมันควรจะอยู่ที่ 20-30 บาท แต่ด้วยความที่ผมปากหนัก คิดว่า เรามาที่นี่หลายรอบแล้ว เลยไม่ได้ถามราคาก่อนขึ้น พอไปถึงโรงแรมเลยโดนเรียกราคาไป 60 บาท พอเถียงอยู่ซักพัก คนขับก็ไม่ยอม ด้วยความที่ขี้เกียจทะเลาะเลยยอมให้ไป แต่หลังจากนั้น ผมเลิกขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่นี่เลยครับ เรียก Grab ไปเลย อาจจะแพงกว่านิดหน่อย แต่ไม่โดนแบบนี้แน่นอน


เนื่องจากเรามาถึงที่พักตอนบ่ายแล้ว เลยไม่ค่อยมีเวลาเที่ยวมากนัก ในวันแรก ผมเลยเน้นเที่ยวที่ เขาตังกวน, แหลมสมิหลา, ประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ (การเดินทางไปยังแต่ละจุด สามารถเรียก grab win ไปได้ ค่ารถจะอยู่ระหว่าง 30-40 บาทครับ)

เขาตังกวน เป็นเนินเขาเล็กๆของเมืองสงขลา ที่เราต้องลิฟต์ขึ้นไป (ค่าลิฟต์ = 30 บาท)

 

ด้านบนเขาตังกวนจะมีเจดีย์พระธาตุคู่เมืองสงขลา ซึ่งเป็นเจดีย์โบราณไม่ทราบที่มา แต่ถูกบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อมาในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุ ให้มาประดิษฐานไว้ เพื่อเป็นที่สักการะบูชาของประชาชนชาวสงขลา
 

นอกจากเจดีย์ ที่นี่ยังเป็นที่ประดิษฐานขององค์หลวงปู่ทวดด้วยครับ
 

ด้านบนเราสามารถมองเห็นวิวเมืองสงขลาได้แบบพาโนราม่า ถ้าขึ้นมาบนนี้ จะสังเกตว่า เมืองสงขลา ล้อมรอบด้วยทะเล 2 ฝั่งคือ ทะเลอ่าวไทย และ ทะเลสาบสงขลา ด้วยเหตุนี้ สงขลาจึงถูกเรียกว่าเป็น เมืองสองทะเล
 



ถ้ามองออกไปทางทะเลฝั่งอ่าวไทย จากบนนี้เราจะมองเห็น เกาะหนูและเกาะแมว ครับ
 

นอกจากนี้ จากด้านบนของเขาตังกวน จะมีบันไดเดินลงมายัง ศาลาพระวิหารแดง ซึ่งเป็นอาคารพลับพลาที่ประทับของในหลวงรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้รับอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมมาจากทางยุโรป
 

ใครมาสงขลา แล้วไม่ได้แวะที่ หาดสมิหลา ผมว่าเหมือนมาไม่ถึงสงขลาครับ สิ่งที่น่าสนใจลำดับแรกคือ ประติมากรรมนางเงือก ซึ่งปัจจุบันมีอายุมากกว่า 50 ปีแล้ว และเคยโดนวางระเบิดไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่ปัจจุบันถูกซ่อมแซมจนสวยเหมือนเดิมแล้ว
 

ประติมากรรมหนูกับแมว อยู่ใกล้ๆกับนางเงือกครับ สร้างขึ้นตามตำนานเกาะหนูเกาะแมวที่กล่าวไว้ว่า

มีพ่อค้าชาวจีนผู้หนึ่งคุมเรือสำเภาเดินทางมาค้าขายระหว่างจีนกับสงขลาเป็นประจำ วันหนึ่งพ่อค้าผู้นี้ได้ซื้อหมากับแมวลงเรือไปยังเมืองจีนด้วย

หมากับแมวอยู่บนเรือนานๆเกิดความเบื่อหน่ายจึงปรึกษาหาวิธีการที่จะกลับบ้าน และได้ทราบว่าพ่อค้ามีดวงแก้ววิเศษที่ทำให้ไม่จมน้ำ แมวจึงคิดอุบายโดยให้หนูไปขโมยแก้ววิเศษของพ่อค้ามา และหนูขอหนีขึ้นฝั่งไปด้วย ทั้งสามว่ายน้ำหนีลง จากเรือโดยที่หนูอมดวงแก้วเอาไว้ในปาก ขณะนั้นหนูนึกขึ้นได้ว่าถ้าถึงฝั่ง หมากับแมวคงจะแย่งเอาดวงแก้วไปจึงคิดที่จะหนี ฝ่ายแมวซึ่งว่ายหลังมาก็คิดเช่นกัน จึงว่ายน้ำรี่ไปหาหนู หนูตกใจว่ายน้ำหนีไม่ทันระวังตัว ดวงแก้ววิเศษที่อมไว้จึงตกลงจม หายไปในน้ำ

หนูและแมวต่างก็หมดแรงจมน้ำตายกลายเป็นเกาะหนูเกาะแมวอยู่ที่อ่าวหน้าเมือง ในขณะที่หมาตะเกียกตะกายว่ายน้ำไปจนถึงฝั่ง แต่ก็สิ้นใจตายด้วยความเหน็ดเหนื่อยกลายเป็นหินบริเวณเขาตังกวนอยู่ริมอ่าวสงขลา ส่วนดวงแก้ววิเศษที่หล่นจากปากหนูแตก ละเอียดกลายเป็นหาดทรายแก้วอยู่ทางด้านเหนือของแหลมสน


หาดสมิหลาถือเป็นชายหาดที่คึกคักที่สุดของเมืองสงขลาครับ ในวันหยุดจะมีผู้คนมากมายมาเล่นน้ำ ปิกนิก รวมทั้งขี่ม้าด้วย


บริเวณหาดสมิหลาจะมีซุ้มประตูเมืองให้เราถ่ายรูปเล่น
 

 
ใกล้ๆหาดสมิหลาจะมีวงเวียนรูปคนอ่านหนังสือ หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า วงเวียนเช็คชื่อ เพราะมีความเชื่อแปลกๆในหมู่วัยรุ่นสงขลาว่า ถ้ามาที่นี่จะต้องขับรถรอบวงเวียนนี้ แล้วขานชื่อออกมาดังๆว่า “(ชื่อตัวเอง) มาครับ/มาค่ะ” (เพื่ออะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน)
 

 
ใครที่ไปสิงคโปร์ก็ต้องไปถ่ายรูปกับเมอร์ไลอ้อนใช่ไหมครับ ส่วนคนที่มาสงขลา ก็ต้องมาถ่ายรูปกับ ประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ตรงปากทางที่ทะเลสาบสงขลามาบรรจบกับทะเลอ่าวไทยครับ
 



วันที่สอง

สำหรับแผนเที่ยวในวันนี้ เราจะเน้นเที่ยวใกล้ๆกับโรงแรมของเรา เริ่มกันที่ ย่านเมืองเก่าสงขลา ครับ

เมืองเก่าสงขลา ตั้งอยู่บนถนนสามสายในตัวเมืองสงขลา ได้แก่ ถนนนครใน, ถนนนครนอก และ ถนนนางงาม สิ่งที่น่าสนใจของย่านนี้ก็คือ ที่นี่ยังมีการคงเอกลักษณ์ดั้งเดิม ได้แก่ ห้องแถวแบบจีน และ ตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีส รวมทั้งยังมี สตรีทอาร์ท สวยๆด้วยครับ






 
ประตูเมืองเก่าสงขลา ใครมาย่านนี้ก็ต้องถ่ายรูปที่นี่


โรงสีข้าวโบราณ หับ โห้ หิ้น เป็นโรงสีข้าวโบราณ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นโรงน้ำแข็ง และปัจจุบันได้ถูกใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆของชุมชนย่านเมืองเก่าสงขลา

 

บ้านนครใน เป็นบ้านเก่าที่ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่เราสามารถเข้ามาชมได้ฟรีๆครับ
 
 

 

ศาลหลักเมืองสงขลา เป็นศาลหลักเมืองเพียงไม่กี่แห่งของประเทศไทยที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีน
 


ศาลเจ้าพ่อกวนอู ตั้งอยู่ข้างๆศาลหลักเมือง


ในเมื่อมาเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ผมมักจะหาโอกาสมาพิพิธภัณฑ์ของเมืองครับ อย่างที่สงขลาก็มี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา

เดิมที่นี่เป็นคฤหาสน์ของผู้ช่วยเจ้าเมืองสงขลา พระยาสุนทรานุรักษ์ (เนตร ณ สงขลา) ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลาเมื่อปี พ.ศ. 2421 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2437 จึงใช้เป็นที่พำนักและว่าราชการของพระยาวิจิตรวรศาสตร์ ข้าหลวงพิเศษตรวจราชการเมืองสงขลา หลังจากนั้นได้ใช้เป็นศาลาว่าการมณฑล นครศรีธรรมราช และเป็นศาลากลางจังหวัดตามลำดับจนถึงปี พ.ศ. 2496 ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนอาคาร แห่งนี้เป็นโบราณสถาน และปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑสถานของชาติ

 


ภายในพิพิธภัณฑ์จะจัดแสดงเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คน และโบราณวัตถุที่พบในแถบจังหวัดสงขลา และแถบภาคใต้ตอนล่าง รวมทั้งให้ข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองสงขลา ใครเป็นสายประวัติศาสตร์ต้องชอบที่นี่ครับ



 
 
ที่นี่มีค่าเข้าชม คนละ 30 บาทนะครับ ส่วนตัว ผมว่าคุ้มค่าเกินราคา ได้ทั้งความรู้ และเป็นที่พักเหนื่อยคลายร้อน หลังจากเดินเที่ยวย่านเมืองเก่าสงขลา
 

ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์จะมี กำแพงเมืองเก่า ซึ่งเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2379 เดิมประกอบด้วยป้อมปราการหลายป้อม ได้รับอิทธิพลการก่อสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบจีน ใช้หินแดงเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง และบนกำแพงเมืองประดับประดาด้วยอิฐโบราณสีเขียวที่นำเข้ามาจากประเทศจีน

ในอดีต กำแพงเมืองนี้ประกอบด้วยป้อมปราการหลายป้อม แต่ปัจจุบันถูกรื้อออกหมด จนเหลือแค่ส่วนที่เราเห็น ที่ตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองสงขลาครับ


บ้านพธำมะรงค์ เดิมเป็นบ้านพักประจำตำแหน่งพัศดีเรือนจำสงขลา ของ รองอำมาตย์โทขุนวินิจทัณฑกรรม (บึ้ง ติณสูลานนท์) ซึ่งเป็นบิดาของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ

 
 

หลังจากเที่ยวชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านพธำมะรงค์ และกำแพงเมืองเก่าเสร็จแล้ว ผมก็ข้ามถนนไปที่โรงเรียนอนุบาลสงขลา เพื่อขึ้นรถตู้กลับไปยังหาดใหญ่ รีวิวเที่ยวเมืองสงขลาก็จบลงเพียงเท่านี้ครับ

เมืองสงขลานับเป็นอีกเมืองหนึ่งของไทยที่ผมชอบมากครับ ส่วนตัวผมมองว่า ที่นี่ได้บรรยากาศแบบเดียวกับที่ปีนัง คือมีความเป็นผสมผสานทางวัฒนธรรมทั้งไทยแบบภาคใต้ และจีน ที่ผสมกันได้อย่างค่อนข้างลงตัว น่าเสียดายว่า คนไทยส่วนใหญ่มักจะมองข้ามที่นี่ไป ผมเลยอยากให้คนมาเที่ยวที่นี่กันเยอะๆนะครับ



Create Date : 14 มิถุนายน 2564
Last Update : 27 เมษายน 2567 8:22:53 น. 1 comments
Counter : 2616 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณKavanich96, คุณnewyorknurse


 
ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: Kavanich96 วันที่: 16 มิถุนายน 2564 เวลา:5:13:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.