Welcome to my blog

2 วัน 1 คืน เกาะกูด ทริปพักผ่อนที่รีสอร์ทสไตล์โพลีนีเชียน


 
สถานที่ท่องเที่ยว : Tolani Resort Koh Kood, ตราด Thailand
พิกัด GPS : 11° 38' 19.37

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกาะกูดถือเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ฮอตฮิตขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีชายหาดและทะเลที่สวยงาม มีวิถีชีวิตชุมชน รวมทั้งยังมีรีสอร์ทสวยๆ ระดับดาวเยอะๆผุดขึ้นมากมาย แต่ด้วยความที่ราคาทริปที่เกาะนี้ค่อนข้างแพง ผมเลยมองข้ามเกาะกูดมาตลอด จนกระทั่งทางรัฐบาลมีโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งทำให้เซฟค่าใช้จ่ายในการเที่ยวเกาะไปได้พอสมควร ผมเลยเลือกมาเที่ยวที่นี่ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาครับ

 
 
รู้จักกับเกาะกูด

หลายคนคงไม่ทราบว่า เกาะกูดเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ๆมีความสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ทั้งของไทยและเวียดนามครับ กล่าวคือ ในสมัยรัชกาลที่ 1 องเชียงสือ ซึ่งต่อมาจะกลายเป็น จักรพรรดิยาลอง จักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์เหงียนของเวียดนาม ได้เคยเสด็จมาลี้ภัยอยู่บนเกาะกูดถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกได้หนีกบฎจากเวียดนาม มาอาศัยที่นี่ ก่อนที่จะเข้าไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารของในหลวงรัชกาลที่ 1 ส่วนอีกครั้ง ได้หนีจากรัชกาลที่ 1 เพื่อไปตีเอาบ้านเมืองคืน และต่อมาก็ทำสำเร็จ

 

เกาะกูดมีสถานะเป็นอำเภอครับ โดย อำเภอเกาะกูด เป็นอำเภอใหม่ที่เพิ่งแยกออกจาก อำเภอแหลมงอบ ไปเมื่อปี พ.ศ.2550 นี่เอง โดยเบื้องหลังของการแยกอำเภอ ก็คือเรื่องความมั่นคง เพราะถ้ายังจำกันได้ ในช่วงนั้นทางไทยกับทางกัมพูชาได้มีปัญหาเรื่องเขตแดนทั้งทางบกและทางทะเลกันค่อนข้างหนัก ทางการไทยเลยรีบยกทั้งเกาะกูดและเกาะช้างขึ้นเป็นอีกอำเภอหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในการปกครอง
 

ปัจจุบันเกาะกูด ถือเป็นอีกหนึ่งเกาะของไทย ที่มีรีสอร์ทดีๆเพียบ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาวิถีชีวิตของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ เกาะกูดยังมีการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ น้ำทะเลที่นี่ใสสะอาด ยังคงมีป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เกาะกูดถือเป็นอีกหนึ่งของไทย ที่ผมชอบมากเลยครับ

การเดินทางไปที่เกาะกูด

1. เดินทางจากฝั่งจังหวัดตราด

เราสามารถขึ้นเรือได้ที่ ท่าเรือแหลมศอก ครับ โดยเรือจะไปส่งเราที่ ท่าเรืออ่าวสลัด ของเกาะกูด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ถือ 1 ชั่วโมงครึ่ง แนะนำให้จองเรือล่วงหน้านะครับ โดยเฉพาะช่วงวันหยุด โดยสามารถจองเรือได้ที่นี่ครับ https://www.kohkoodtravel.com/จองเรือ-14791.page

 

2. เดินทางจากเกาะอื่น

จากเกาะช้างหรือเกาะหมากมี เรือบางเบ้าโบ๊ท เป็นเรือที่วิ่งระหว่างเกาะครับ แต่เรือนี้จะวิ่งเฉพาะช่วงไฮซีซั่น (พฤศจิกายน-พฤษภาคม) แนะนำให้โทรเช็คก่อน หรือสอบถามได้ที่เพจนี้ครับ https://www.facebook.com/Koh-Chang-Bang-Bao-Boat-621363851227484


เนื่องจากผมเดินทางจากเกาะหมาก เราเลยเดินทางไปยังเกาะกูดด้วยวิธีนี้ อันนี้เป็นหน้าตาของเรือนะครับ เป็นเรือไม้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
 

 

ท่าเรืออ่าวสลัด ถ้าเห็นองค์พระใหญ่ๆแบบนี้ แสดงว่าเรามาถึงเกาะกูดแล้ว
 

 3. การเดินทางจากท่าเรือไปยังที่พัก

เกาะกูดจะไม่เหมือนกับเกาะช้างตรงที่ว่า เกาะกูดไม่สามารถเอารถข้ามไปได้ แต่ข้อดีคือ เกาะกูดจะมีรถสองแถวรับส่งจากท่าเรือไปส่งยังที่พักต่างๆบนเกาะฟรีครับ (เพราะเค้ารวมค่าใช้จ่ายตรงนี้อยู่ในค่าตั๋วเรือแล้ว)

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ขอบ่นหน่อยครับ เผื่อผู้เกี่ยวข้องเข้ามาอ่านบ้าง รถสองแถวรับส่งที่เกาะกูด ขับแย่มาก (แย่ที่สุดเท่าที่ผมเคยนั่งมาในประเทศไทยล่ะ) ใครจะขึ้น เกาะราวไว้ดีๆเลยนะ ไม่งั้นอาจจะกลิ้งตกรถได้

เหตุการณ์ที่ไม่โอเคมากๆคือ วันกลับผมนั่งรถจากที่พักไปยังท่าเรือ นั่งๆอยู่ ด้วยความที่รถขับเร็ว เก้าอี้รถสองแถวเลยหลุด มีฝรั่งเกือบกลิ้งตกรถครับ โชคดีนะเค้าจับราวไว้ ไม่งั้นเกิดอุบัติเหตุใหญ่แน่


การเดินทางบนเกาะกูด

จริงๆ ผมว่าเกาะกูดเป็นเกาะที่เหมาะสำหรับมานอนค้างรีสอร์ทดีๆ ทำกิจกรรมทางน้ำ โดยไม่ต้องออกไปไหนนะ แต่ถ้าอยากไปจริงๆ สามารถเช่ามอเตอร์ไซค์บนเกาะได้ ที่เที่ยวบนเกาะจะมีพวกน้ำตก ต้นไม้ยักษ์ แล้วก็ชุมชนต่างๆบนเกาะ ถ้าใครมาหลายคน ก็เหมาสองแถวเที่ยว แต่ด้วยความที่เราเจอการขับขี่ของสองแถวที่นี่แล้ว เราเลยตัดสินใจขอพักผ่อนอยู่รีสอร์ทดีกว่าครับ

ถ้าใครสนใจจะเช่าสองแถวให้พาเที่ยวรอบเกาะกูด ลองติดต่อไปที่เพจนี้นะครับ https://www.facebook.com/pongtaxikohkood/ (ให้เป็นข้อมูลไว้ เผื่อใครสนใจ เพราะผมเคยทักไปคุยสอบถามข้อมูล รู้สึกว่าเค้าตอบดีนะ แต่ไม่ได้ใช้บริการ เนื่องจากอยากใช้เวลาอยู่ที่รีสอร์ทมากกว่า)

 
แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางมาถึงที่เกาะกูด
  • เช็คอินเข้าที่พักที่ Tolani resort
  • พักผ่อน เล่นน้ำทะเล พายเรือคายัคไปเที่ยวน้ำตกคลองเจ้า
วันที่สอง
  • พักผ่อน
  • นั่งเรือจากเกาะกูดกลับไปที่ฝั่งจังหวัดตราด
ที่พักบนเกาะกูด

เกาะกูดมีที่พักเยอะมากครับ มีหลายเกรด หลายราคาตั้งแต่คืนละไม่กี่ร้อย ไปจนถึงหลักหลายแสน แต่สำหรับสำหรับทริปนื้ เราเลือกพักที่ ทูลานี รีสอร์ท เกาะกูด (Tolani Resort Koh Kood)

 

 
จริงๆรีสอร์ทนี้เดิมทีใช้ชื่อว่า Away Koh Kood resort แต่ตอนหลังทางเจ้าของเค้าแยกมาทำแบรนด์ของตัวเองในชื่อ ทูลานี (Tolani) ซึ่งธีมในการตกแต่งรีสอร์ทจะเป็น สไตล์โพลีนีเชียน ครับ
 





 

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยนะครับว่า โพลีนีเชียนคืออะไร อยู่ตรงไหนของโลก เลยขอให้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมหน่อยล่ะกัน

โพลีนีเชียน (Polynesian) เป็นชาวเกาะที่อยู่ในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ในแถบ ประเทศตองกา ซามัว ตูวาลู (หลายคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อประเทศพวกนี้ เอาง่ายๆคือ ประเทศพวกนี้อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่เลยนิวซีแลนด์ไปอีกครับ)


รีสอร์ทนี้ระดับสี่ดาวครับ มีการตกแต่งที่ค่อนข้างแปลกตา เพราะเป็นรีสอร์ทสไตล์โพลีนีเชียนแห่งเดียวในประเทศไทย ที่สำคัญที่นี่ติดหาด มีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก เช่น พายคายัค ซับบอร์ด มวยไทย วอลเลย์บอล ซึ่งทั้งหมดนี้ ฟรีครับ ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มแล้ว

ผมนอนที่นี่ 1 คืน เมื่อหักส่วนลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันแล้ว จะอยู่ที่ 3,300 บาทต่อคืน สำหรับห้องแบบ seaview bungalow ถ้าใครสนใจแนะนำให้จองตรงผ่านเว็บนี้ครับ https://www.tolanihotels.com/tolani-resort-koh-kood

 


 









 
Comment: โดยภาพรวม ผมพอใจรีสอร์ทนี้นะครับ ทั้งเรื่องการตกแต่ง พนักงาน ความสะดวกสบายในห้องพัก ถ้าจะติก็คงเป็นเรื่องแมลงกับสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ (เช่น จิ้งจก ตุ๊กแก) ที่มีอยู่เยอะมาก ซึงอันนี้ก็ต้องทำใจ เพราะรีสอร์ทไหนบนเกาะกูดก็มีเหมือนกัน

กิจกรรมบนเกาะกูด

อย่างที่บอกไปแล้วว่า ที่รีสอร์ทที่เราพัก มีกิจกรรมให้ทำเยอะมาก แต่สิ่งที่เราเลือกทำคือ พายคายัค ครับ จากรีสอร์ทของเรา สามารถพายคายัคออกทะเล เข้าคลองที่เรียกว่า คลองเจ้า เพื่อไปเที่ยว น้ำตกคลองเจ้า ได้

 

 
จากตัวรีสอร์ท ไปยังน้ำตก ต้องพายเรือเข้าไป 2-3 กิโลเมตร ถ้าใครจะพายไปแบบผม อย่าลืมเอารองเท้าไปด้วยนะครับ เพราะต้องเดินเข้าไปอีก

น้ำตกคลองเจ้า ถือเป็นน้ำตกประวัติศาสตร์ครับ เพราะในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้เคยเสด็จมาที่น้ำตกนี้ในปี พ.ศ.2454 และได้ทรงสลักพระปรมาภิไธยย่อ วปร ไว้ตรงหินใกล้ๆกับน้ำตกด้วย

 

น้ำตกคลองเจ้ามีอีกชื่อหนึ่งว่า น้ำตกอนัมก๊ก ซึ่งรัชกาลที่ 6 พระราชทานชื่อให้ เพื่อเป็นที่ระลึกถึง องเชียงสือ ที่ได้เคยลี้ภัยมาอาศัยอยู่ที่เกาะกูด ในสมัยรัชกาลที่ 1

เดินทางกลับ

เราเที่ยวเกาะกูดทั้งสิ้น 2 วัน 1 คืนครับ ขากลับเราจองเรือกับ บุญศิริ ผ่านเว็บไซต์ https://boonsiriferry.com/ โดยได้ขอ request ให้รถสองแถวมารับจากรีสอร์ทไปที่ท่าเรือด้วยครับ

พอไปถึง เราต้องเอา  voucher ไปเช็คอิน แล้วค่อยขึ้นเรือ อันนี้เป็นหน้าตาของเรือนะครับ มีหลายชั้น ทั้งห้องแอร์ ที่นั่งแบบรับลมทะเล ไปจนถึงที่นั่งบนดาดฟ้า  

 

เรือจะไปส่งที่ ท่าเรือแหลมศอก ของฝัั่งจังหวัดตราด จากตรงนั้น เราได้ติดต่อแท็กซี่ไว้ล่วงหน้าผ่าน แท็กซี่ได้เลย ตราด เพื่อให้ไปส่งที่สนามบินตราดในราคา 800 บาทไว้ล่วงหน้าแล้ว ใครสนใจเรื่องรถรับส่ง สามารถ scan QR code แล้วทักไลน์ไปสอบถามรายละเอียดได้ ตาม QR code ที่อยู่ด้านล่างนี้ครับ
เราก็เดินทางกลับกรุงเทพด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ เป็นอันจบทริปตราด เกาะหมาก และเกาะกูดเพียงเท่านี้ครับ

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2565    
Last Update : 28 เมษายน 2567 22:57:14 น.
Counter : 2287 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน เกาะหมาก เกาะโลว์คาร์บอนแห่งท้องทะเลตะวันออก


สถานที่ท่องเที่ยว : ฺBlue Pearl Bar เกาะหมาก, ตราด Thailand
พิกัด GPS : 11° 49' 19.31

เมื่อพูดถึงจังหวัดตราด ใครๆก็ต้องนึกถึงการไปเที่ยวท้องทะเล และหมู่เกาะกันจริงๆแล้ว จังหวัดตราดเป็นจังหวัดที่มีจำนวนเกาะมากถึง 66 เกาะ โดยบางเกาะก็มีคนอยู่ บางเกาะก็เป็นเกาะร้าง หรือบางเกาะก็มีโฉนดที่ดินเป็นของเอกชน ในบรรดาเกาะเหล่านี้ เกาะที่คนนิยมไปเที่ยวและพักค้างคืนกัน ก็ได้แก่ เกาะช้าง เกาะหมาก และ เกาะกูด โดยในรีิวิวนี้ผมจะพาไปเที่ยวกันที่เกาะหมากครับ

ทริปนี้เราไปมาในช่วงต้นเดือนเมษายน 2564 นะครับ เป็นช่วงที่เหมาะสมกับการเที่ยวทะเลตราดมากที่สุด ไม่มีมรสุม ไม่มีฝน ถ้าใครจะไปเที่ยวทะเลแถวนั้น แนะนำให้ไปช่วงตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จนถึงต้นเดือนพฤษภาคม พยายามอย่าไปช่วงตั้งแต่มิถุนายนจนถึงตุลาคม เพราะฝนจะเยอะ มรสุมกำลังแรง ไม่เหมาะกับการเที่ยว

รู้จักกับเกาะหมาก

สำหรับเกาะหมาก หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักที่นี่ จริงๆแล้ว เกาะหมากเป็นเกาะที่อยู่ระหว่างเกาะช้างกับเกาะกูด เสน่ห์ของเกาะหมากก็คือ ความเงียบสงบเพราะที่นี่ไม่มีสถานบันเทิง ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวอะไรเด่นๆบนเกาะเลย แต่เกาะนี้กลับสามารถรักษาความเป็นธรรมชาติ และวิถีชีวิตของชาวบ้านไว้ได้ ในขณะเดียวกัน ที่นี่ก็ยังมีรีสอร์ท เกสท์เฮาส์ และที่พักดีๆ หลายๆเกรดตั้งแต่ระดับโฮมสเตย์ ไปจนถึงรีสอร์ท 4 ดาว ให้เราได้เลือกพักตามสไตล์การเที่ยวของแต่ละคนอีกด้วย

 

อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ เกาะหมากถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่เป็น Low carbon destination ครับ อธิบายง่ายๆก็คือ ที่นี่มีนโยบายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งก๊าซเรือนกระจกต่างๆให้ได้มากที่สุด ทางชาวบ้านจึงร่วมกันกำหนดกฎของเกาะ เรียกว่า ธรรมนูญเกาะหมาก ขึ้นดังต่อไปนี้

1. ไม่สนับสนุนให้เรือเฟอรี่นำยานพาหนะของนักท่องเที่ยวข้ามมายังเกาะหมาก

2. รถจักรยานยนต์ให้เช่าต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของจำนวนห้องพักบนเกาะหมาก

3. ไม่สนับสนุนการใช้วัสดุจากโฟม หรือวัสดุที่ก่อให้เกิดมลพิษ เพื่อใส่อาหาร

4. ห้ามทิ้งขยะ สิ่งปฏิกูล ของเหลือรับประทานลงในที่สาธารณะ และแหล่งน้ำโดยเด็ดขาด

5. ไม่สนับสนุนให้ใช้สารเคมีที่มีสารตกค้างสูง

6. ห้ามส่งเสียงดังหรือกระทำการรบกวน หรือเป็นการเดือดร้อน ในเวลา 22.00 น. - 07.00 น.

7. ไม่สนับสนุนกีฬาทางบกและทางทะเลที่ใช้เครื่องยนต์ที่สร้างความเดือดร้อนแก่ชุมชน

8. ห้ามนำ ห้ามเสพ ห้ามจำหน่ายสารเสพติดผิดกฎหมายทุกชนิดบนเกาะ

ด้วยเหตุนี้ใครที่มาเที่ยวเกาะหมาก จะสังเกตว่า ที่นี่จะเป็นเกาะที่เงียบสงบ ไม่มีกิจกรรมที่ส่งเสียงดัง ที่ต้องใช้เครื่องยนต์ เช่น เจ็ทสกี รวมทั้งไม่มีสถานบันเทิง เช่น ผับ เหมือนเกาะอื่นๆ และที่โรงแรม ก็จะไม่มีการแจกขวดน้ำพลาสติก แต่จะมีขวดแก้วให้เราเอาไปกรอกน้ำเป็นวันๆแทน ซึ่งทั้งหมดนี้ ผมมองว่า กลายเป็นเสน่ห์ของเกาะหมาก ที่ทำให้ที่นี่แตกต่างจากแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอื่นๆครับ

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • นั่งเรือจากท่าเรือแหลมงอบข้ามไปเกาะหมาก
  • ชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Blue Pearl Bar ที่ Koh Mak Cococape resort
วันที่สอง
  • เช้า ซื้อทัวร์ครึ่งวันเที่ยวเกาะกระดาด และเกาะขายหัวเราะ
  • บ่าย นั่งเรือไปเที่ยวเกาะขาม
วันที่สาม
  • เช้า พักผ่อนชิลล์ๆริมทะเลเกาะหมาก
  • เดินทางออกจากเกาะหมาก 
ที่พักบนเกาะหมาก

แม้ว่าเกาะหมากจะเป็นเกาะเล็กๆที่เงียบสงบ แต่ที่นี่ก็ไม่ถือว่ากันดารนัก ปัจจุบันมีรีสอร์ท เกสท์เฮาส์ และโรงแรมต่างๆผุดขึ้นเต็มเกาะ ตั้งแต่ระดับหนึ่งดาว ไปจนถึงสี่ดาวครับ ที่ดังๆที่คนนิยมไปพักก็ ได้แก่

1. เกาะหมากรีสอร์ท เป็นที่พักแห่งแรกของเกาะนี้ ตัวห้องพักเป็นสไตล์บังกะโล อยู่ตรงข้ามกับเกาะขาม ถ้าใครพักที่นี่จะสามารถข้ามไปเที่ยวที่เกาะขามได้ฟรี ใครสนใจสามารถจองได้ที่นี่ครับ https://www.kohmakresort.com/index.php

2. เกาะหมากโคโค่เคปรีสอร์ท เป็นที่พักที่มีห้องหลากหลายแบบ ให้เลือกตามงบประมาณและจำนวนคน จุดเด่นของที่นี่ก็คือ สะพานที่ยื่นลงไปในทะเลที่ปลายสะพานมีบาร์ ชื่อว่า บลูเพริ์ลบาร์ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกาะหมาก แขกของที่พักนี้สามารถถ่ายรูปเล่นตรงสะพานนี้ได้ฟรีครับ (ถ้าเป็นบุคคลภายนอกต้องเสีย 200 บาท) ใครสนใจสามารถดูรูปห้องพัก และติดต่อจองได้ที่นี่ครับ https://www.kohmakcococape.com/

3. มากะธานีรีสอร์ท เป็นอีกหนึ่งทีพักติดหาด จุดเด่นของที่นี่คือ Head in the cloud bar and bistro ซึ่งเป็นคาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งสไตล์มินิมัล ทุกคนสามารถใช้บริการได้หมดเลยครับ นอกจากนี้ มากะธานียังเป็นจุดขึ้นลงเรือลีลาวดี ใครที่นั่งเรือของเจ้านี้ ไม่ต้องนั่งรถต่อเลยครับ เดินเข้าไปในรีสอร์ทได้เลย ใครสนใจติดต่อสอบถามไปที่เพจนี้ https://www.facebook.com/kohmakmakathanee/ หรือจองผ่าน booking หรือ agoda ก็ได้นะครับ

4. ซินนามอน อาร์ต รีสอร์ท จุดเด่นของที่นี่คือ สะพานสู่ฝัน ซึ่งเป็นสะพานไม้ยื่นยาวออกไปกลางทะเล เรียกว่า สะพานซินนามอน  ใครสนใจสามารถจองได้ที่นี่นะครับ https://www.cinnamonkohmak.com/

5. มิรามนตรา รีสอร์ท เป็นที่พักระดับสี่ดาวเพียงไม่กี่แห่งบนเกาะ ใครสนใจสามารถจองได้ที่นี่นะครับ https://www.miramontra.com/

อย่างไรก็ตาม ทริปนี้ผมไม่ได้เลือกที่พักพวกนี้ครับ เพราะหลังจากดูรูปแล้ว ดันไปสะดุดตากับที่พักหนึ่งที่ชื่อว่า By the sea Koh Mak ซึ่งเป็นเกสต์เฮาส์สไตล์บูติก ในบรรยากาศสุดสงบบนเกาะหมาก แม้ว่าจะไม่ดัง แต่ข้อดีของที่นี่มีเยอะครับ ทั้งใกล้แหล่งร้านอาหารต่างๆ และที่นี่ยังมีบาร์ที่อาหารและเครื่องดื่มอร่อยมาก ห้องก็กว้างและสะอาด ทำให้ที่นี่ได้คะแนนรีวิวใน agoda ที่ 8.9 และใน booking.com ที่ 9.1 ส่วนใน Tripadvisor ก็ได้รับการจัดอันดับให้เป็นที่พักที่คะแนนรีวิวสูงเป็นอันดับที่สองบนเกาะหมาก

 

 



ผมนอนที่นี่ 2 คืน หมดไปคนละ 2,900 บาทครับ ถ้าใครสนใจที่พักนี้ สามารถจองตรงได้ที่เพจนี้ https://www.facebook.com/bytheseakohmak/หรือจะจองผ่าน OTA อย่าง agoda หรือ booking ก็ได้ครับ ราคาเท่ากัน

วันที่หนึ่ง

สำหรับการเดินทางไปยังเกาะหมาก เราต้องขึ้นเรือสปีดโบ๊ดที่ ท่าเรือแหลมงอบ (ท่าเรือสะพานกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) ถ้าใครเอารถมาเอง แถวนั้นจะมีที่จอดรถอยู่ 6 แห่ง โดยคิดราคาค่าจอดอยู่ที่คืนละ 50 บาทเท่ากันหมดครับ แต่ถ้าใครไม่ได้เอารถมา ก็สามารถเรียกแท็กซี่ให้มาส่งทั้งจากสนามบิน หรือในเมืองตราดแบบผมก็ได้ครับ  (ถ้าสนใจแท็กซี่ไปส่งภายในจังหวัดตราด รวมทั้งไปส่งยังท่าเรือสำหรับไปเกาะหมาก สามารถสแกน QR code ด้านล่างนี้ไปสอบถามราคาได้นะครับ)


การเดินทางจากท่าเรือไปยังเกาะหมากจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 45-60 นาที ค่าเรือจะอยู่ที่ 450 บาทต่อคนครับ โดยเรือสปีดโบ๊ตที่ให้บริการไปยังเกาะหมากมี 4 บริษัท คือ

1. เรือลีลาวดี จะออกจากท่าเรือแหลมงอบไปยังท่าเรือของมากะธานีรีสอร์ต บริเวณอ่าวขาวของเกาะหมาก

2. เรือปาหนัน จะออกจากท่าเรือแหลมงอบไปยังท่าเรือเกาะหมากรีสอร์ต บริเวณอ่าวสวนใหญ่

3. เรือซีเทลส์ จะออกจากท่าเรือแหลมงอบไปยังอ่าวนิด

4. เรือสวนสุข จะออกจากท่าเรือแหลมงอบไปยังอ่าวนิด
 

ใครที่ต้องการจะเดินไปเกาะหมาก แนะนำให้จองเรือล่วงหน้านะครับ โดยเฉพาะช่วงเทศกาล หรือช่วงวันหยุด ไม่อย่างนั้น เรืออาจเต็มได้ โดยเราสามารถจองเรือได้ผ่านทาง

1. Ferry Advise https://ferryadvice.com/th

2. I love Koh Mak https://www.ilovekohmak.com/ (แนะนำให้จองผ่านช่องทางนี้ครับ เพราะลูกค้าของไอเลิฟเกาะหมาก จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ทั้งส่วนลดค่าอาหารหลายร้านในจังหวัดตราด ส่วนลดค่าที่จอดรถ และบางทีอาจจะมีของแถมให้ด้วยครับ) 
 
เมื่อมาถึงที่เกาะหมากแล้ว ปกติรีสอร์ทต่างๆเค้าจะมีรถมารับครับ แต่เราต้องติดต่อไว้ล่วงหน้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็ฟรีแหละ แต่ถ้าไม่ได้ติดต่อไว้ ก็สามารถเรียกรถสองแถว (คนที่นี่เรียกแท็กซี่) ให้ไปส่งได้ครับ ส่วน
การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆบนเกาะหมาก ถ้าใครขี่มอเตอร์ไซค์ได้ แนะนำให้เช่าครับ หรือถ้าต้องการเดินทางใกล้ๆ ก็สามารถเช่าจักรยานปั่นได้ครับ (จริงๆ เกาะมันไม่ได้ใหญ่มาก ไกลสุดไม่เกิน 10 กิโล ปั่นทั่วเกาะยังได้เลยครับ) แต่ถ้าใครที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไม่เป็น ก็สามารถเรียกแท็กซี่ (สองแถว) ได้ โดยการโทรตาม ซึ่งเบอร์โทรคนขับรถบนเกาะหมาก สามารถขอได้จากที่พักบนเกาะหมาก หรือหลังไมค์มาถามผมก็ได้ โดยค่ารถแท็กซี่บนเกาะหมากจะคิดค่าบริการอยู่ที่คนละ 50 บาทต่อคน มีราคาเดียว ไม่ว่าจะไปใกล้หรือไกล ก็คิดราคาเท่านี้ครับ
 

นอกจากแท็กซี่ จักรยาน และมอเตอร์ไซค์แล้ว หลายๆรีสอร์ทบนเกาะหมากยังมีรถกอล์ฟให้บริการด้วยนะซึ่งอันนี้ผมว่าดีนะ น่าเอามาขับเล่น เสียดายที่พักผมไม่มี เลยไม่ได้ลอง

ทริปในวันนี้เรามาถึงที่เกาะหมากในช่วงเย็น หลังจากที่เช็คอินเข้าที่พักแล้ว เราก็เดินจากที่พักไปยัง เกาะหมากโคโค่เคป รีสอร์ท ซึ่งที่นั่งจะมีสะพานยาวยื่นออกไปในทะเล ปลายสะพานมีบาร์ที่ชื่อว่า บลูเพร์ลบาร์ 
 





สะพานนี้ ถ้าไม่ใช่แขกของเกาะหมากโคโค่เคป ปกติจะมีค่าเข้า 200 บาท ซึ่งสามารถเอาไปใช้แลกเครื่องดื่มบนบาร์ได้ แต่ตอนที่ผมไป ผมไม่เจอกับคนเก็บเงินครับ เราก็เลยเดินไปถ่ายรูปเล่นบนสะพานเลย แต่พอไปถึงที่บาร์ เราก็สั่งเครื่องดื่มมาทานคนละแก้ว เพื่อใม่ให้น่าเกลียดเกินไป
 

ตอนเย็นบรรยากาศชิลล์ๆ แต่เนื่องจากตรงจุดนี้อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะ เราเลยจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินนะครับ
 

หลังจากนั่งชิลล์ถึงตอนค่ำๆ เราก็เรียกรถให้พากลับที่พัก (ขากลับเดินกลับไม่ไหว มืดเกิน) ทริปวันนี้ก็จบลงเท่านี้ครับ

วันที่สอง

วันนี้เราซื้อทัวร์ครับ หลายคนที่มาเกาะหมากจะนิยมซื้อทัวร์ดำน้ำ เกาะรัง เกาะมะปริง เกาะยักษ์ใหญ่ เกาะยักษ์เล็ก และ หาดศาลเจ้า ซึ่งทั้งหมดนี้ผมเคยไปมาแล้ว ในทริปนี้ เราเลยเปลี่ยนบรรยากาศ ขอไปเที่ยวเกาะที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะหมาก ที่ชื่อว่า  เกาะกระดาด ครับ

 
คำว่า เกาะกระดาด ผมไม่ได้สะกดผิดนะครับ สะกดแบบนี้จริงๆ ที่มาของชื่อมาจากเกาะที่แบนราบเหมือนกระดาษ ซึ่งสมัยรัชกาลที่ 5 สะกดว่า กระดาด และทางราชการก็ใช้ชื่อนี้มาเรื่อยๆ ไม่ได้เปลี่ยน มันก็เลยชื่อ เกาะกระดาด มาจนถึงทุกวันนี้ (แต่บางแหล่ง ก็บอกว่า ชื่อเกาะมาจากต้นกระดาด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเชื่ออันไหนดี)

เกาะนี้มีประวัติศาสตร์ครับ ต้องเล่าย้อนไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ฝรั่งเศสได้เข้ามาล่าอาณานิคมในแถบนี้ และด้วยความที่สมัยก่อนประเทศเรายังไม่มีเส้นเขตแดน ทางฝรั่งเศสเลยพยายามจะเคลมเอาเกาะกระดาดด้วยการขนคนเวียดนาม ซึ่งตอนนั้นตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้ว ให้มาอาศัยอยู่บนเกาะกระดาด จากนั้นค่อยเคลมเอาเกาะนี้ไปเป็นของฝรั่งเศส แต่ทางรัฐบาลสยามในสมัยนั้นรู้ทัน ในหลวงรัชกาลที่ 5 เลยออกโฉนดบนเกาะนี้ขึ้นให้เป็นของพระโอรสของพระองค์คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช

 

จากนั้น เกาะกระดาดก็ตกเป็นของทายาทคือ หม่อมเจ้านิทัศนาธร จิรประวัติ แต่เนื่องจาก เกาะกระดาดอยู่ไกลมาก และสมัยนั้นการเดินทางยังไม่สะดวก จึงมีการขายเกาะกระดาดต่อไปยัง นายวรกิจบรรหาร (พงศ์ รังควร) ด้วยเงิน 6,000 บาท และต่อมาก็ตกทอดไปสู่ทายาทคือ นายชุมพล รังควร ซึ่งช่วงนี้ ทางเกาะได้เปิดธุรกิจที่พักชื่อว่า เกาะกระดาด รีสอร์ท ขึ้นมา ซึ่งจุดเด่นของเกาะในสมัยนั้นก็คือ การชมฝูงกวางทรายที่ออกมาเที่ยวเล่นหาอาหาร ซึ่งกวางเหล่านี้ถูกนำมาปล่อย โดยเริ่มจากพ่อแม่พันธุ์แค่ไม่กี่คู่ จนปัจจุบัน ทั่วทั้งเกาะมีกวางนับร้อยตัวแล้วครับ

ต่อมาในปี พ.ศ.2531 ตระกูลกาญจนพาสน์ ได้เข้ามาซื้อเกาะต่อ ซึ่งช่วงนี้ก็มีการดูแลเกาะอยู่บ้าง และมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวเป็นบางครั้ง แต่ไม่ได้เยอะแยะมากมายจนเมื่อปี พ.ศ.2565 ทางททท.ตราด ก็ตัดสินใจโปรโมทที่นี่เป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์ เริ่มมีการขายทัวร์ โดยผมได้ซื้อทัวร์จาก I love Koh Mak ในราคา 700 บาทครับ

 
 
ใครสนใจจะซื้อทัวร์นี้ สามารถติดต่อได้ที่เพจนี้เลยครับ https://www.facebook.com/iLoveKohMak/

กิจกรรมบนเกาะกระดาด ได้แก่

1. นั่งรถซาเล้งหรือรถอีแต๊กชมเกาะ

ในเมื่อมาถึงที่นี่ทั้งที ก็ต้องนั่งรถเล่นชมเกาะครับ ถ้าใครมาเป็นกลุ่มหลายคนก็ สามารถนั่งรถอีแต๊กชมเกาะได้ แต่ถ้ามาแค่ 2-3 คน เค้าจะให้เรานั่งรถซาเล้งชมเกาะ ซึ่งทั้งหมดนี้รวมอยู่ในค่าทัวร์หมดแล้วครับ

ระหว่างทางจะเห็นต้นมะพร้าวเต็มไปหมด และยังมีสัตว์ต่างๆ ทั้งกวาง เหยี่ยว กิ้งก่าต่างๆ ได้อารมณ์เหมือนมาเที่ยวซาฟารีเลยครับ

 


 
2. เล่นกับกวาง

เนื่องจากตอนที่เกาะกระดาดเป็นของนายชุมพล รังควร ได้มีการนำเอากวางมาปล่อยไว้ที่นี่ พอผ่านมาหลายสิบปี กวางเหล่านั้นก็ได้ออกลูกออกหลาน จนมีอยู่เต็มเกาะไปหมด

กวางที่นี่จะมีสองกลุ่มครับ ทั้งกวางป่า และกวางที่เชื่องกับคน ถ้าเป็นกวางที่เชื่องกับคน และเป็นตัวผู้ เค้าจะตัดเขาออกหมดแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายกับนักท่องเที่ยว

 




3. ไปเที่ยวเกาะขายหัวเราะ

หลายคนคงเคยอ่านการ์ตูนขายหัวเราะที่มีคนไปติดบนเกาะร้างที่มีต้นไม้อยู่ต้นเดียวใช่ไหมครับ เชื่อไหมครับ เกาะนี้มีอยู่จริงๆ อยู่ใกล้ๆกับเกาะกระดาดนี่แหละครับ โดยเราต้องนั่งซาเล้งไปยังปลายสุดของเกาะ จากนั้นต้องบุกป่าฝ่าดงนิดหน่อย

 

ระหว่างทางจากเกาะกระดาดไปยังเกาะขายหัวเราะ เราต้องเดินผ่านทะเลแหวก ซึ่งมี เกาะนกใน และ เกาะนกนอก ซึ่งจะเดินผ่านได้ตอนที่น้ำทะเลลงเท่านั้น ดังนั้นต้องเช็คเวลาดีๆ ถ้าน้ำขิ้นแล้ว จะไม่สามารถเดินผ่าน ต้องนั่งเรือไปยังเกาะขายหัวเราะเท่านั้นครับ
 

 
ถึงแล้วครับ เกาะขายหัวเราะ ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของทริปเกาะกระดาด
 

 
4. ถ่ายรูปกับต้นมะพร้าวเอียง เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเกาะเกาะกระดาด ที่ใครมาเยือนก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่กัน เรานั่งกินข้าว ชมวิวทะเล ถ่ายรูปต้นมะพร้าวที่นี่ 1 ชั่วโมงเต็มๆ ชิลล์มากเลยครับ
 

5. เล่นน้ำทะเล

เกาะกระดาดเป็นอีกหนึ่งเกาะที่มีชายหาดสำหรับเล่นน้ำทะเลได้ครับ แต่ทะเลที่นี่ไม่ได้สวยเท่าไหร่นะ ผมแนะนำให้ไปเล่นที่เกาะขามมากกว่า

รีวิวทัวร์เกาะกระดาด

สำหรับค่าทัวร์ 700 บาท ผมว่าโอเคเลยนะ เพราะทัวร์นี้รวมทุกอย่าง ทั้งค่ารถจากที่พักไปยังท่าเรือ ค่าเรือ ค่ารถนำเที่ยวเกาะหมาก ค่าเรือกลับไปยังเกาะหมาก และค่ารถไปส่งยังที่พัก รวมทั้งค่าขึ้นเกาะครับ (ถ้าใครจะมา แนะนำให้ซื้อเป็นทัวร์เลยดีกว่าราคาถูกกว่าซื้อแยก)

ส่วนบรรยากาศบนเกาะ เอาตรงๆทะเลที่นี่ไม่ได้สวย หาดทรายไม่ได้ขาว ขยะเยอะด้วย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นของเกาะนี้ มันไม่ได้อยู่ที่ทะเลครับ แต่อยู่ทีบรรยากาศบนเกาะมากกว่า ส่วนตัว ผมว่าบรรยากาศที่นี่ชิลล์ดีครับ แล้วก็เป็นที่เที่ยวแนวแปลกๆที่ไม่ค่อยเจอในประเทศไทย ที่จะมีกวางป่ามาอยู่รวมกันบนเกาะ แล้วให้เรานั่งรถไปชมสัตว์ ทำให้ได้อารมณ์แบบ Island safari นอกจากนี้ยังมีแลนด์มาร์คให้เราได้ถ่ายรูปอีก ไม่ว่าจะเป็นเกาะขายหัวเราะ และต้นมะพร้าวเอียง โดยรวมเลยแนะนำที่นี่ ถ้าใครมาเกาะหมาก ต้องซื้อทัวร์มาเกาะกระดาดให้ได้นะครับ

หลังจากทัวร์เกาะกระดาดเสร็จ เราก็เดินทางต่อไปยังจุดต่อไป นั่นก็คือ เกาะขาม ครับ

การเดินทางไปยังเกาะขาม สามารถไปขึ้นเรือได้ที่ เกาะหมากรีสอร์ท โดยจะมีค่าเรือรวมกับค่าธรรมเนียมการขึ้นเกาะคนละ 300 บาทครับ โดยเราสามารถเอาตั๋วไปแลกเครื่องดื่มได้คนละ 1 กระป๋อง (ตอนผมไป มีโค้ก สไปรท์ แฟนต้า รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ด้วยนะ)

Tip: ถ้าใครไม่อยากเสียค่าเรือ แล้วพักอยู่แถว หาดอ่าวสวนใหญ่ เช่น เกาะหมากรีสอร์ท, เกาะหมากโคโค่เคปรีสอร์ท, มิรามนตรา สามารถพายคายัคไปยังเกาะขามได้ครับ ไม่ไกลมาก แต่พอไปถึงต้องเสียค่าขึ้นเกาะ 200 บาทนะ

 



สิ่งที่โดดเด่นบนเกาะขาม ก็คงเป็นน้ำทะเลครับ ที่นี่น้ำทะเลใสมาก อย่างกะน้ำในสระว่ายน้ำเลย
 



 
ตรงจุดที่เล่นน้ำ ยังมีหินภูเขาไฟสีดำ ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าใส กลายเป็นภาพที่แปลกตา
 

 
เกาะขามก็เป็นอีกหนึ่งเกาะที่มีเจ้าของครับ ตอนแรกเค้าก็มีแผนจะสร้างรีสอร์ทบนเกาะเหมือนกัน  แต่เจ้าของดันไปพลาดสร้างเขื่อนการคลื่นบุกรุกลงไปในทะเล ซึ่งตรงนั้นดันเป็นพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้าง เลยโดนสั่งระงับการสร้างรีสอร์ท ตอนนี้คดียังอยู่ในชั้นศาล  รีสอร์ทที่เคยสร้างๆไว้ เลยกลายเป็นรีสอร์ทร้างครับ (น่าเสียดายเนอะ)
 

 
ข้อควรรู้อย่างหนี่ง สำหรับใครที่จะหาข้อมูลไปเที่ยวเกาะขามคือ เกาะที่ชื่อว่าเกาะขามในประเทศไทย มี 2 ที่นะครับ ได้แก่ เกาะขามที่จังหวัดชลบุรี และเกาะขามที่จังหวัดตราด (ที่ผมเอามารีวิวในตอนนี้)

ถ้าใคร search เกาะขามเฉยๆ จะไปเจอแต่เกาะขามที่ชลบุรี ดังนั้น เวลา search  ต้องใช้คำว่า เกาะขาม ตราด นะครับ

วันที่สาม

วันนี้นอนตื่นสายครับ เพราะมีแพลนต้องนั่งเรือออกจากเกาะหมากเพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะกูดตอน 11 โมง เลยมีเวลาชิลล์ๆ ทำให้มีเวลาเดินเล่นแถวๆที่พัก

ผมมาเจอคาเฟ่น่ารักๆแห่งหนึ่งที่ยังไม่ค่อยมีใครรีวิวกัน แต่ผมชอบ ก็เลยอยากแนะนำครับ ที่นี่อยู่ตรงข้ามกับ By the sea guesthouse เลย ชื่อว่า Ball café ครับ จริงๆที่นี่เป็นทั้งคาเฟ่ และที่พัก ซึ่งทำเลก็ใช้ได้ ราคาก็ถูก เป็นอีกหนึ่งที่ๆแนะนำ

 

สิ่งที่ผมแนะนำสำหรับใครที่มาทานที่ร้านนี้คือ พวกขนมปังครับ ขนมปังที่นี่เป็นขนมปังโฮมเมดที่อร่อยมาก ในเมืองไทยหายากนะครับ ที่จะมีขนมปังที่ทำได้คุณภาพขนาดนี้ (เสียดาย ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เอาเป็นว่า อร่อยครับ แนะนำให้มากิน)

พอถึงเวลา เราก็เดินทางไปยัง เกาะหมากรีสอร์ท เพื่อขึ้นเรื่อ บางเบ้าโบ๊ท ต่อไปยังเกาะกูด ทริปที่เกาะหมากก็จบเพียงเท่านี้นครับ

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 04 มิถุนายน 2565    
Last Update : 28 เมษายน 2567 22:51:43 น.
Counter : 1559 Pageviews.  

2 วัน 1 คืน ตราด เมืองประวัติศาสตร์สุดแดนแผ่นดินบูรพา


สถานที่ท่องเที่ยว : เจดีย์วัดไผ่ล้อม, ตราด Thailand
พิกัด GPS : 12° 14' 21.55

ถ้าพูดถึง จังหวัดตราด  หลายคนคงจะนึกถึงทะเลสวย น้ำใส และหาดทรายขาวของ เกาะช้าง และ เกาะกูด กันใช่ไหมครับ แต่จริงๆแล้ว จังหวัดตราดไม่ได้มีดีแค่นั้นครับ จังหวัดเล็กๆสุดเขตแดนภาคตะวันออกแห่งนี้ ยังมีอะไรที่ดีให้เรามาเยี่ยมชมมากกว่านั้น

ในรีีวิวตอนนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวในเขตตัวเมืองตราด ซึ่งหลายคนมักจะมองข้ามไป ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เมืองตราดยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะมาก ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตชุมชน ถ้าใครมาเที่ยวทีี่ีนี่และพอมีเวลา นอกจากเกาะต่างๆแล้ว ผมอยากให้ลองมาแวะที่นี่ดูซักครั้งครับ

 
รู้จักกับจังหวัดตราด

จังหวัดตราด
เป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคตะวันออกของไทย เป็นจังหวัดที่อยู่ท้ายสุด และห่างจากกรุงเทพมากที่สุดของภาค ด้วยระยะทางมากกว่า 300 กิโลเมตร

 

หลายคนคงไม่ทราบนะครับว่า ตราดเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย เพราะที่นี่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสตั้งแต่ปี พ.ศ.2447 จนถึง ปี พ.ศ.2450 ซึ่งปัจจุบันยังมี จวนเรสิดังกัมปอร์ต ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของฝรั่งเศสในสมัยนั้นตั้งอยู่ใจกลางเมืองตราดด้วยครับ
 
ต่อมาในปี พ.ศ.2450 ทางรัฐบาลสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้ตกลงที่จะทำการแลกเปลี่ยนดินแดนกับฝรั่งเศส โดยยอมเสียสามเมืองของกัมพูชา ได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ แลกกับจังหวัดตราดให้กลับคืนมาเป็นส่วนหนึ่งของสยามอีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2450 ซึ่งวันนั้นถือเป็นวันที่สำคัญมากของชาวจังหวัดตราด เรียกว่า วันตราดรำลึก ซึ่งจะมีการจัดงานเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 5 ทุกๆปี นอกจากนี้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ท้องทะเลตราดยังเป็นสมรภูมิการสู้รบระหว่างกองทัพฝรั่งเศสกับกองทัพเรือไทยอีกด้วย

สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของจังหวัดตราด ซึ่งถ้าใครมาเที่ยวที่นี่ ถ้าลองสังเกตดูดีๆ สุนัขของจังหวัดตราด จะมีลักษณะหลังอานแทบทุกตัวเลย เพราะ สุนัขพันธุ์หลังอาน มีต้นกำเนิดมาจากที่นี่ครับ ถือเป็นสัตว์ประจำจังหวัดตราดเลยก็ว่าได้ ถึงขนาดว่า ในคำขวัญจังหวัดตราด มีท่อนหนึ่งที่เอ่ยถึงสุนัขพันธุ์นี้ครับ

 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางจากกรุงเทพ (สนามบินสุวรรณภูมิ) ไปยังสนามบินตราด ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ (PG305)
  • เดินทางจากสนามบินตราด เข้าสู่ตัวเมือง
  • เดินเล่นชมตัวเมืองเก่าตราด ได้แก่ วัดไผ่ล้อม, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองตราด, จวนเรสิตังกัมปอร์ต, ศาลเจ้าพ่อหลักกเมืองตราด, ท่าเสด็จ และชุมชนคลองบางพระ
วันที่สอง
  • ออกเดินทางจากตัวเมืองตราดไปเที่ยวชุมชนบ้านท่าระแนะ ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว หาดทรายดำ และอนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง
  • ทานอาหารเที่ยวพร้อมกับชมเหยี่ยวแดงที่ร้านคนพลัดถิ่น
  • เดินทางต่อเพื่อไปเที่ยวยังเกาะต่างๆของจังหวัดตราด
ที่พักในเมืองตราด

ทริปนี้ เราเลือกพักที่ บ้านริมน้ำรีสอร์ท ครับ ที่นี่เป็นที่พักระดับสามดาวใจกลางเมืองตราด อยู่ติดกับคลองบางพระ ใกล้กับสถานที่เที่ยวสำคัญๆในเมืองตราดในระยะที่เดินได้

 



ที่นี่ได้คะแนนรีวิวใน agoda ที่ 8.8 และใน booking.com ที่ 9.0 ผมนอนที่รีสอร์ทนี้ 1 คืน ถ้าหักส่วนลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันแล้วจะอยู่ที่ 560 บาทต่อคืน และพอหารต่อคนก็ตกคนละ 280 บาท รวมอาหารเช้าแล้ว
 



 
ถ้าใครสนใจที่พักนี้ แนะนำให้ติดต่อกับเพจของที่พักโดยตรงนะครับ จะได้ราคาถูกกว่าจองผ่าน OTA อย่าง Booking.com หรือ Agoda  https://www.facebook.com/BaanrimnamResort.TRAT

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปลงยังสนามบินตราดด้วยสายการบิน Bangkok Airways ครับ

 

 
เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้นะ ว่าตราดก็มีสนามบิน จริงๆแล้ว ท่าอากาศยานตราด เป็นสนามบินที่สร้างและดำเนินการโดยสายการบิน Bangkok Airways ทำให้สนามบินนี้จึงมีเครื่องมาลงแค่สายการบินเดียว ราคาตั๋วเลยค่อนข้างจะแรงไปซะหน่อย แต่ทางสายการบินก็จัดโปรบ่อยเหมือนกัน ถ้าใครสนใจ ลองติดตามดูในเพจของสายการบิน หรือเพจอย่าง Ar-pae.com นะครับ
 

สำหรับวิธีการเดินทางเข้าเมือง ดังนี้ครับ

1. สองแถว เป็นวิธีที่ถูกที่สุด (ถ้าไม่โดนโกงนะ) แต่ก็ใช้เวลาเดินทางมากที่สุด แล้วก็มีความไม่แน่นอนมากที่สุด ผมเลยไม่เลือกวิธีนี้ครับ

2. รถลีมูซีน จากสนามบินตราดมีรถลีมูซีนไปส่งยังที่ต่างๆ ทั้งตัวเมืองตราด ท่าเรือสำหรับไปเกาะช้าง เกาะหมาก และเกาะกูด โดยจะมีราคาที่แน่นอนเป็นมาตรฐาน บริการดี แต่ราคาค่อนข้างสูง ถ้าใครสนใจลองติดต่อไปที่นี่นะครับ https://www.kohchangaccom.com/

3. รถเช่า ใครที่จะมาเที่ยวตราดระยะสั้นๆ และไม่ได้มีแผนจะข้ามไปเที่ยวเกาะต่างๆ สามารถเช่ารถได้จากที่นี่ครับ  https://www.kohchangaccom.com/

4. แท็กซี่ ตราดยังไม่มีบริการ grab ครับ (ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2565) แต่มีแท็กซี่ให้บริการ ผมแนะนำให้ใช้บริการ แท็กซี่ได้เลย ตราด ซึ่งเราสามารถจองรถผ่าน Line ตาม QR code ที่ผมลงไว้ข้างล่างนี้ ถ้าใครจะไปเที่ยว และสนใจจะใช้บริการลองทักไปสอบถามราคาดูได้ครับ เท่าที่ผมเช็คมา ราคาถูกกว่ารถลีมูซีนพอสมควรเลย (ผมได้ที่ราคา 800 บาทครับ)
 

นอกจากการเดินทางด้วยเครื่องบินแล้ว วิธีการเดินทางไปยังจังหวัดตราด ยังมีอีกหลายวิธีดังนี้ครับ

1. รถส่วนตัว ตราดอยู่ห่างจากกรุงเทพประมาณ 300 กว่ากิโล ถ้าเดินทางโดยรถส่วนตัวโดยไม่แวะที่ไหนเลย จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง

2. รถตู้ ขึ่นได้จากสถานีขนส่ง หมอชิต หรือ เอกมัย ค่ารถประมาณ 300 บาท ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมงครับ

3. รถทัวร์ ขึ้นได้ที่สถานีขนส่งเอกมัย มีหลายเจ้าทั้ง บขส., เชิดชัยทัวร์ และ ธนกวีขนส่ง ค่ารถ 200-300 บาท ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง


คนที่จะมาเที่ยวตราดส่วนใหญ่ มักจะมองข้ามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเขตเทศบาลเมืองตราด แต่ถ้าใครพอมีเวลา ผมอยากให้ลองแวะมาเดินเล่นชมเมืองเล็กๆแห่งนี้ดูครับ เพราะที่นี่ยังมีอะไรให้เราเยี่ยมชมพอสมควร 
 

วัดไผ่ล้อม เป็นสถานที่แรกที่เราไปเยี่ยมชม เพราะอยู่ใกล้กับที่พักของเราครับ ที่นี่ถือเป็นปอดของเมืองตราด รวมทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และทำกิจกรรมต่างๆในยามเย็น
 

วัดนี้เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดตราดครับ เพราะสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2326 นับถึงปัจจุบันก็มีอายุมากกว่า 150 ปีแล้ว
 

จุดเด่นของวันนี้คือตัวเจดีย์เป็นรูปทรงระฆังคว่ำแปดเหลี่ยม ปลียอดเป็นทรงดอกบัวตูมปิดทับด้วย โมเสกเคลือบทองคำจากอิตาลี ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุและพระเครื่องโบราณของวัดไผ่ล้อม
 

ภายในบริเวณวัดยังมีสวนพุทธธรรมสำหรับให้ประชาชนได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมอีกด้วยครับ
 



 
จากวัดไผ่ล้อม เดินไปไม่ไกลจะพบกับ พระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 5 ครับ

ถ้าใครลองสังเกตดูแผนที่ของจังหวัดตราด จะเห็นว่า ตราดมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีพื้นที่ติดทะเลเป็นแนวยาว การได้จังหวัดตราดจะทำให้ไทยมีน่านน้ำในทะเลอ่าวไทยเยอะขึ้นอีกมาก ประกอบกับประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดตราด เป็นคนที่มีเชื้อสายไทย ทำให้ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงทรงให้ความสำคัญกับจังหวัดตราด โดยเสด็จประพาสจังหวัดตราดมากถึง 12 ครั้ง และยังทรงยอมทำสนธิสัญญากับทางฝรั่งเศสเพื่อแลกเปลี่ยนดินแดนกับพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ เพื่อให้ได้จังหวัดตราดกลับมาเป็นส่วนหนี่งของไทยอีกด้วย

 
ด้วยเหตุนี้ชาวจังหวัดตราดจึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของท่าน และมีการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้นมาหน้าศาลากลางจังหวัดตราด เพื่อให้ประชาชนชาวจังหวัดตราด และชาวไทยได้มากราบสักการะ
 

ใกล้กับกับพระบรมราชานุสาวรีย์จะมี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองตราดซึ่งเคยถูกใช้เป็นศาลากลางจังหวัดตราดด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมแต่ต่อมาในปี พ.ศ.2547 ที่นี่ถูกเพลิงไหม้ ทางเทศบาลเมืองตราดจึงจัดสรรงบประมาณให้กรมศิลปากรดำเนินการบูรณะซ่อมแซมอาคารตามรูปแบบเดิมและจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยมีห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวร 
 

 
ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการจัดแสดงแบ่งออกเป็น 6 หัวข้อ ได้แก่

(I) มรดกธรรมชาติและวัฒนธรรมเมืองตราด จัดแสดงเรื่องภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมของจังหวัดตราด

(II) ผู้คนเมืองตราด จัดแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดตราด อาทิ ไทย จีน เขมร ญวน ซอง

 

 

ความรู้อย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งทราบจากห้องนี้ และอยากเอามาแชร์ให้ทุกคนก็คือ เรื่องราวของ ชาวซอง ครับ

ที่จังหวัดในแถบภาคตะวันออกของไทย โดยเฉพาะที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด จะมีกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่เป็นชนเผ่าโบราณ เรียกว่า ชาวซอง ซึ่งพวกเค้า มีภาษาพูดของตนเองคือ ภาษาซอง แต่ไม่มีภาษาเขียน นับถือศาสนาพุทธ มีวัฒนธรรมประเพณีเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่า เช่น การใช้ต้นคลุ้ม มาจักสานสมุก ชนาง เสวียน มีประเพณีผีโรง ผีหิ้ง ทำมาหากินด้วยการหาของป่า ล่าสัตว์ ทำไร่ ทำนา และปลูกต้นกระวานแต่ปัจจุบันชาวซองได้ปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมสมัยใหม่ และดำรงชีวิตแบบคนทั่วไป เราจึงแยกไม่ค่อยออกแล้วครับ

(III) ลำดับทางโบราณคดีและประวัติเมืองตราด จัดแสดงเรื่องราวของจังหวัดตราดตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต้นสมัยประวัติศาสตร์ สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์(สมัยรัชกาลที่ 1-4) 

ชิ้นส่วนของกลองมโหระทึกโบราณ ซึ่งเป็นกลองที่ใช้ในพิธีกรรมโบราณในยุคก่อนประวัติศาสตร์

 

 
ภาพเหตุการณ์จำลองเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยกทัพมาตีจังหวัดตราดเพื่อรวบรวมเสบียงและไพร่พลเพื่อกอบกู้เอกราชจากกองทัพพม่า
 

 
(IV) เหตุการณ์สำคัญในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดแสดงเรื่องการส่งมอบเมืองตราดคืนจากฝรั่งเศส การพระราชทานพระแสงราชศาสตราประจำเมือง และการเสด็จประพาสเมืองตราด

ภาพจำลองการพระราชทาน พระแสงราชศาสตรา เมื่อครั้งที่ตราด กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของไทย
 

พระแสงราชศาสตรา ที่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้ชาวตราด ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง โดยอันที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เป็นองค์จำลองนะครับ ส่วนของจริงสามารถชมได้ในพิธีขบวนแห่ในงานวันตราดรำลึก ทุกๆวันที่ 23 มีนาคมของทุกปี
 

(V) เหตุการณ์ยุทธนาวีเกาะช้าง จัดแสดงเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์ยุทธนาวี โดยจำลองห้องจัดแสดงเป็นเรือรบ

(VI) ตลาดเมืองตราด จัดแสดงเรื่องราวการค้าในตลาดเก่าและสภาพปัจจุบันของตลาดเมืองตราด 

ที่นี่มีค่าเข้าชมคนละ 10 บาทเท่านั้นครับ โดยจะเปิดทำการทุกวันยกเว้นวันจันทร์ โดยวันอังคารถึงศุกร์จะเปิดตั้งแต่ 9.00-16.00 น. ส่วนวันอื่นๆจะเปิดตั้งแต่ 9.30-16.30 น.ครับ

หลังจากเที่ยวพิพิธภัณฑ์เสร็จ เราก็มาต่อกันที่ จวนเรสิตังกัมปอร์ต ซึ่งเคยถูกใช้เป็นที่พักสำหรับข้าหลวงชาวฝรั่งเศสในช่วงที่ปกครองจังหวัดตราดอยู่ราว 3 ปี ต่อมาเมื่อตราดกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของไทย จวนนี้ก็ได้ทำหน้าที่เป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัดตราดอยู่ช่วงหนึ่งด้วยครับ

 

 
ด้วยความที่ตราดเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมครับ นอกจากคนไทยแล้ว ยังมีคนจีนเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ศาลหลักเมืองของจังหวัดตราด จึงแปลกจากที่อื่น เพราะมีการสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนซึ่งหาชมได้เพียงไม่กี่แห่งของไทย
 

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อหลักเมืองตราดหลายเรื่องครับ เช่น ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองตราด เห็นประชาชนกราบไหว้เสาหลักเมืองจึงได้คิดจะรื้อถอนเสา โดยนำช้างมาดึงเสาออก ปรากฏว่าช้างเหล่ากลับตกหล่มตายกันหมด ส่วนคนควบคุมการดึงเสาหลักเมืองคอหักตาย ตั้งแต่นั้นต่อมาพวกฝรั่งเศสก็ไม่กล้ายุ่งกับศาลเจ้าแห่งนี้อีก นอกจากนี้หากผู้ใดลบหลู่ศาลก็มีอันเป็นไปทุกราย 
 

ภายในศาลหลักเมืองจะมีเสาต้นสูงกับเสาต้นเตี้ย เชื่อกันว่า ถ้าใครจะมาขอพรเกี่ยวกับการเรียน หรือการค้าให้มาขอพรกับเสาต้นสูง ส่วนใครที่ต้องการขอให้มีบุตรให้มาขอพรกับเสาต้นเตี้ย หรือเสาศิวลึงค์ครับ
 

 
ด้านในยังเป็นที่ประดิษฐานของ เซี้ยอึ้งกง เทพเจ้าแห่งหลักเมืองตามความเชื่อของคนจีน โดยเชื่อว่า ทุกคนรวมทั้งวิญญาณต่างๆ ที่ผ่านเข้าออกเมืองนี้ต้องทำการขออนุญาตท่านก่อน โดยหากมีผู้เสียชีวิตจะต้องมาไหว้เพื่อแจ้งบอกกล่าวองค์เทพหลักเมืองให้ทราบก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายนำศพไปฝัง
 

ในเมื่อมีศาลหลักเมืองแล้วก็ต้องมีเมือง ในอดีตเมืองตราดถูกเรียกว่า บ้านบางพระ เนื่องจากมีคลองสายเล็กๆไหลผ่านเรียกว่า คลองบางพระ ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่พบปะแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าของคนหลายกลุ่ม และเป็นเส้นทางคมนาคมหลักที่บรรดาชาวเกาะจะล่องเรือมาทางปากแม่น้ำเพื่อนำมะพร้าวมาส่งที่บ้านบางพระ ขณะเดียวกันพ่อค้าชาวจีนก็จะล่องเรือสำเภานำสินค้าจำพวกเสื้อผ้าแพรพรรณและเครื่องถ้วยกระเบื้องเข้ามาขาย 
 

ปัจจุบัน ชุมชนริมคลองบางพระ ยังมีเรือนแถวไม้เก่าแก่ที่เคยเป็นร้านค้านับร้อยคูหาและมีร้านค้าแบบโบราณที่ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ทำให้ชุมชนแห่งนี้ได้รับรางวัลชุมชนดีเด่นด้านการท่องเที่ยวปี พ.ศ. 2550 
 



 
ถ้าใครมีเวลาตอนเย็นๆ ลองมาเดินเล่นดูสตรีทอาร์ต และวิถีชีวิตชุมชนริมคลองนี้ได้นะครับ
 

ภายในชุมชนจะมีท่าเรือที่เรียกว่า ท่าเสด็จ ซึ่งเป็นท่าที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ใช้สำหรับเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมชาวตราดในสมัยนั้น
 

 
จากท่าเรือจะมีอิฐสีแดงอยู่ เป็นสัญลักษณ์ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จพระราชดำเนินผ่านตรงจุดๆนี้
 

 
มาต่อกันที่อาหารการกินกันบ้าง จริงๆแล้วเมืองตราดขึ้นชื่อในเรื่องนี้เลย ร้านดังๆของที่นี่ก็ ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิท กล้วยปิ้งป้านา และ ขนมครกเจ๊มล ซึ่งทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ไปทานครับ เพราะร้านปิด (ตอนผมไป เป็นช่วงที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอนกำลังระบาดหนัก ร้านส่วนใหญ่ในเมืองตราดเลยปิดหมด) แต่ผมก็พบแหล่งของกินแหล่งใหม่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตราด เรียกว่า ตลาดซอยไร่รั้ง ที่นี่ขายพวกอาหารพื้นบ้านและอาหารสำเร็จรูปให้ซื้อกลับไปทานที่ที่พัก
 

ของที่แนะนำให้ซื้อกลับไปทานก็คือ พวกอาหารทะเลต่างๆ เช่น ห่อหมกปลาน้ำดอกไม้ ลูกชิ้นปลาอินทรีย์ ปลากระบอกแดดเดียว
 



วันที่สอง

วันนี้เราตัดสินใจเหมารถเที่ยวครับ โดยเราให้รถมารับที่โรงแรมจากนั้นก็แวะเที่ยวชมสถานที่ต่างๆของจังหวัดตราด ได้แก่ ชุมชนบ้านท่าระแนะ ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว และ อนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง จากนั้นก็ให้รถไปส่งที่ท่าเรือแหลมงอบเพื่อขึ้นเรือต่อไปยังเกาะหมาก ทั้งหมดนี้เราเหมารถตั้งแค่ 9 โมงเช้าจนถึง 3 โมงเย็นในราคา 1,500 บาท ผ่านทาง แท็กซี่ได้เลย ตราด (ใครสนใจจะลอกแผนตามนี้ ลองสแกน QR code ด้านบน แล้วแอดไลน์ไปคุยสอบถามราคาได้ครับ)

สำหรับที่แรกคือ ชุมชนบ้านท่าระแนะ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการที่ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว โดยชาวบ้านที่นี่มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าชายเลน จนทำให้ป่าชายเลนที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย โดยแทบไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆจากทางภาครัฐเลย (เพราะชาวบ้านที่นี่ ดูแลกันเองได้)

 

ถ้าใครมาที่นี่ แนะนำให้นั่งเรือครับ โดยค่าเรือจะอยู่ที่คนละ 100 บาท แต่ถ้ามาน้อยกว่า 3 คน จะเสียค่าเรือทั้งหมด 300 บาทครับ โดยเรือที่นี่จะพาเราเที่ยวชมผ่าน 3 ป่า ได้แก่ ป่าโกงกาง ป่าจาก และ ป่าตะบูน ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเราได้เข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์
 









ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ ลานตะบูน ซึ่งเกิดจากการที่ ต้นตะบูน ต้นไม้ชนิดหนึ่งที่พบได้ตามป่าชายเลนอยู่รวมกัน และรากแผ่ออกจนเกาะเกี่ยวกันกลายเป็นภาพที่แปลกตา และเป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์
 







พอนั่งเรือเสร็จ ถ้าใครพอมีเวลาแนะนำให้เดินไปอีกฝั่ง จะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนให้เราได้เดินเล่น 
 
 



อันนี้เป็น คอนโดปู ครับ อธิบายง่ายๆ ก็คือ เป็นที่ให้ปูเข้ามาหลบพักวางไข่ตรงนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านเพื่ออนุรักษ์และเพิ่มจำนวนปูในป่าชายเลนที่นี่
 

ร้านคนพลัดถิ่น ร้านนี้เป็นร้านที่อยู่ใกล้ๆกับชุมชนบ้านท่าระแนะครับ สำหรับอาหารของร้านนี้ก็ถือว่าอร่อยใช้ได้ แต่ที่เป็นไฮไลท์จริงๆของที่ร้านนี้ก็คือ เหยี่ยวแดง ครับ    


เหยี่ยวแดง เป็นนกล่าเหยื่อขนาดกลาง พบได้ตั้งแต่เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงออสเตรเลีย ลักษณะเด่นคือ มีสีที่ตัดกันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งตัวจะมีสีน้ำตาลแดงยกเว้นที่หัวและอกมีสีขาว ปลายปีกมีสีดำ

สำหรับในประเทศไทย เหยี่ยวแดงเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เป็นนกที่สามารถพบได้หลายพื้นที่ โดยจะพบได้ตามแถบชายฝั่งน้ำ, ที่ราบทุ่งนา, ป่าโปร่ง, ปากอ่าว, ชายฝั่งทะเล รวมถึงเกาะเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ชอบอยู่ใกล้หมู่บ้าน โดยถือว่าเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน

 

ที่นี่เค้าจะให้อาหารเหยี่ยวตอนเที่ยงๆ กลายเป็นภาพแปลกตาให้เราชมขณะที่ทานอาหาร
 

จริงๆแล้วแถบภาคตะวันออกมีโชว์ลักษณะนี้เยอะครับ โดยเฉพาะที่จังหวัดจันทบุรีและตราด แต่ในขณะเดียวกัน การให้อาหารเหยี่ยวในลักษณะนี้มากๆ มันจะทำให้พฤติกรรมของเหยี่ยวเปลี่ยนแปลงไป จนอาจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ นอกจากนี้ พอเหยี่ยวกินอาหารมากๆ ก็อาจะส่งผลทำให้เหยี่ยวเกิดโรคต่างๆ เช่น ไขมันพอกตับ หรือโรคอ้วนได้ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า การให้อาหารเหยี่ยวลักษณะนี้ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวในแถบภาคตะวันออก

หลังทานอาหารเสร็จพร้อมกันชมเหยี่ยวเสร็จ เราก็มาต่อกันที่ ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว ซึ่งเป็นชุมชนพหุวัฒนธรรมที่ประชากรต่างชาติพันธุ์และต่างศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และกลมกลืน

 

แรกเริ่มเดิมที ประชากรของชุมชนนี้ก็คือ คนไทยนี่แหละครับ แต่พอมาถึงสมัยรัชกาลที่สาม ประเทศของเรามีการค้าขายกับประเทศจีนมากขึ้น ทำให้คนจีนก็เริ่มอพยพเข้ามาอยู่ที่นี่ และต่อมาก็มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกว่า ชาวจาม ที่นับถือศาสนาอิสลาม ได้อพยพหนีภัยสงครามจากกัมพูชาและเวียดนามเข้ามาตั้งรกรากอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง

ตรงกลางหมู่บ้านน้ำเชี่ยวจะมีคลองไหลผ่าน เรียกว่า คลองน้ำเชี่ยว เนื่องจากในช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำในคลองจะไหลเชี่ยวมาก ไฮไลท์ของหมู่บ้านนี้คือ สะพานที่สูงชันมาก เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของชุมชนนี้

 
 

จุดสุดท้ายที่เราแวะเที่ยวก่อนจะขึ้นเรือไปเกาะหมากก็คือ อนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง ครับ จริงๆแล้วที่นี่ตั้งอยู่แทบจะติดกับท่าเรือแหลมงอบเลย แต่คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามไป ทั้งๆที่ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งทางประวัติศาสตร์ของไทย
 

ยุทธนาวีที่เกาะช้าง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งตอนนั้นจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลสมัยนั้นมีการเรียกร้องให้มีการปรับปรุงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเสียใหม่ โดยเฉพาะเขตแดนระหว่างไทยกับลาว ที่ตอนนั้นฝ่ายไทยเสียเปรียบ เนื่องจากมีการระบุในสัญญาตอนเสียดินแดนสมัยรัชกาลที่ 5 ว่า เกาะแก่งใดๆในแม่น้ำ ให้ถือว่าเป็นของฝรั่งเศส รัฐบาลสมัยจอมพล ป. จึงเรียกร้องให้ใช้แนวร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งยังเรียกร้องให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงทั้งหมด ให้กลับมาเป็นของไทย แต่สุดท้าย การเจรจาก็ไม่เป็นผล สงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจึงประทุขึ้น เรียกว่า กรณีพิพาทอินโดจีน และ ยุทธนาวีที่เกาะช้าง เป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญของสงครามในครั้งนี้
 


ยุทธนาวีที่เกาะช้าง เกิดขึ้นในวันที 17 มกราคม พ.ศ.2484 ฝรั่งเศสได้ส่งกำลังทางเรือส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในอินโดจีนเข้ามาในน่านน้ำไทยทางด้านเกาะช้าง ด้วยความมุ่งหมายที่จะระดมยิงหัวเมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศไทย เพื่อกดดันให้กำลังทหารของไทยที่รุกข้ามชายแดนต้องถอนกำลังกลับมา กำลังเรือของฝรั่งเศสจำนวน 7 ลำ ปะทะเข้ากับกำลังทางเรือของไทยจำนวน 3 ลำ ผลการปะทะฝ่ายไทยเสียเรือรบไปทั้ง 3 ลำ ฝ่ายฝรั่งเศส เรือลาดตระเวนได้รับความเสียหาย จึงล่าถอยกลับไป

ท้ายที่สุด สงครามในครั้งนี้ก็จบลงด้วยการเจรจาโดยมีญี่ปุ่นเป็นตัวกลาง ไทยกับฝรั่งเศส ได้ลงนามในอนุสัญญาโตเกียวเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2484 ผลทำให้ไทยได้ดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ได้แก่ หลวงพระบาง จำปาสัก พระตะบอง และศรีโสภณ คืนมาจากฝรั่งเศส และได้นำมาแบ่งเป็น 4 จังหวัดคือ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดจำปาสัก และจังหวัดลานช้าง (สีแดงในแผนที่ด้านล่าง)

 

อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ไทยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศมหาอำนาจและฝรั่งเศสที่เป็นฝ่ายชนะทำให้ไทยต้องคืนดินแดน อินโดจีน ที่ได้มาทั้งหมดให้กับประเทศฝรั่งเศส และดินแดนเหล่านี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศลาว และกัมพูชาในปัจจุบัน

สำหรับทริปเที่ยวในเมืองตราด 2 วัน 1 วันก็มีประมาณนี้ครับ จะว่าไปที่นี่อาจจะเรียกว่าเป็นทางผ่านก่อนไปเที่ยวเกาะก็ได้ เอาเป็นว่า ถ้าใครพอมีเวลาเหลือก็ลองแวะกันมาเที่ยวดู เพราะที่นี่ก็มีอะไรน่าสนใจเหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่เป็นสายที่ชอบประวัติศาสตร์ ชอบวิถีชีวิตชุมชนแบบบ้านๆ น่าจะหลงรักเมืองเล็กๆแห่งนี้ครับ

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 30 พฤษภาคม 2565    
Last Update : 28 เมษายน 2567 22:36:01 น.
Counter : 1618 Pageviews.  

4 วัน 3 คืน เพชรบูรณ์ เสน่ห์หน้าฝนแห่งขุนเขาเมืองมะขามหวาน (ตอนที่ 2: ภูทับเบิก+ภูหินร่องกล้า)


สถานที่ท่องเที่ยว : ผาหัวสิงห์, ภูทับเบิก, เพชรบูรณ์ Thailand
พิกัด GPS : 16° 53' 51.33" N 101° 6' 20.86" E


สวัสดีครับ หลังจากในตอนที่แล้ว ผมได้พาทุกคนไปเดินเล่น จิบกาแฟเพลินๆบนเขาค้อกันไปแล้ว ทริปวันนี้เราจะเปลี่ยนแนวมาเป็นกึ่งผจญภัยนิดๆ โดยเราจะตื่นแต่เช้า เพื่อมาชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่ ภูทับเบิก จากนั้นในช่วงบ่าย ผมจะพาไปเดินป่าสั้นๆที่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ครับ

วันที่สาม

วันนี้ผมตื่นตีสามครึ่งครับ โดยผมนัดคนขับรถของเราให้มารับจากที่พักตอนตีสี่ครึ่ง เพื่อให้ทันชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูทับเบิกห่างกันประมาณ 50 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง


เส้นทางจากเขาค้อไปภูทับเบิกถือว่าโหดพอสมควร เนื่องจากต้องผ่านโค้งถึง 111 โค้ง รวมทั้งโค้งหักศอกทแยงขึ้นๆลงๆเป็นระยะทางกว่า 17 กิโลเมตร ถ้าใครจะขับมาเองต้องระมัดระวังนะครับ แต่ถ้าใครไม่แน่ใจในฝีมือ ผมแนะนำให้หารถพาขึ้นดีกว่า (รายละเอียดเกี่ยวกับรถนำเที่ยว สามารถอ่านได้ในรีวิวตอนที่ 1 ครับ)

จุดที่น่าแวะชมก่อนขึ้นภูทับเบิก มี 2 จุดดังนี้

1. จุดชมวิวโค้งเลข 3

อยู่ระหว่างทางขึ้นไปยังภูทับเบิก เลยหมู่บ้านน้ำเพียงดินไปเล็กน้อย จะมีศาลาแปดเหลี่ยมทางซ้ายมือ มองกลับลงมาจากศาลา จะเห็นถนนซ้อนกันเป็นเลข 3 นักท่องเที่ยวหลายคนชอบมาถ่ายรูปเล่นที่จุดนี้ครับ


2. จุดชมวิวผาหัวสิงห์ (ภูฟ้าเพียงดิน)

ถ้าพูดถึงผาหัวสิงห์ ต้องถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไวรัลยอดนิยมของปีนี้เลย แต่เนื่องจากช่วงที่ผมไปเพิ่งมีดราม่าเรื่องรุกป่า เราเลยไม่ได้ไปเยี่ยมชมถึงตรงหน้าผา อย่างไรก็ตาม เราสามารถชมวิวผาหัวสิงห์ได้จาก ภูฟ้าเพียงดิน รีสอร์ท ครับ


ภูทับเบิก ตั้งอยู่ในเขต อำเภอหล่มเก่า ถือเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของจังหวัดเพชรบูรณ์ที่ความสูง 1,768 เมตร ที่นี่จึงมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี

บนยอดของภู จะเป็นหมู่บ้านของชาวม้ง เรียกว่า หมู่บ้านม้งทับเบิก  โดยชาวม้งที่นี่มีอาชีพทำการเกษตรเป็นหลัก พืชผักที่มีการปลูกมากที่สุด ก็คือ กะหล่ำปลี ทำให้ในช่วงฤดูฝน มีกะหล่ำปลีผุดขึ้นละลานตาเต็มภูเขา โดยเฉพาะในช่วง เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม และช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนของทุกปี ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ที่สำคัญของที่นี่

ข้อดีของการมาเที่ยวเพชรบูรณ์ตอนหน้าฝน ก็คือ ทุ่งกะหล่ำปลี แบบนี้ครับ


ด้านบนภูทับเบิกจะมีหอวัดอุณหภูมิครับ จะสังเกตว่า ตอนที่ผมไปเป็นช่วงประมาณ 7 โมงเช้า แต่อุณหภูมิยัง 20 องศาอยู่เลย ดังนั้นถ้าใครจะไปภูทับเบิก ผมแนะนำให้เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วยนะครับ เพราะอากาศที่ภูทับเบิกค่อนข้างเย็นตลอดทั้งปี แม้ว่าจะไม่ใช่หน้าหนาวก็ตาม



ไฮไลท์ของภูทับเบิกก็คงเป็นทะเลหมอก ซึ่งจะอลังการมากในช่วงหน้าฝน



ข้อดีอีกอย่างของการมาเที่ยวในฤดูนี้คือ ความเขียวชอุ่ม ดูแล้วสดชื่นสบายตา



ด้านบนของภูทับเบิกจะมีร้านกาแฟ ร้านขายผลไม้ ของฝากต่างๆจากชาวม้งในพื้นที่ ถ้าใครมีโอกาสไปลองอุดหนุนดูได้นะครับ ถือเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชน



ถ้าเรามองจากยอดภูทับเบิกลงมา จะมองเห็นเจดีย์แห่งหนึ่งอยู่บนภูเขา ที่นั่นเป็นที่ตั้งของ วัดป่าภูทับเบิก ครับ


วัดนี้ถือเป็นวัดที่อยู่สูงที่สุดของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2534 เพื่อใช้เป็นสถานปฏิบัติธรรมของชาวบ้านในละแวกนี้


ภายในวัดมีพระมหาเจดีย์โพธิปักขิยธรรม ซึ่งเป็นเจดีย์เพชร 37 ยอด บรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ธาตุ (เสียดาย ช่วงที่ไปยังมีการปรับปรุงองค์เจดีย์)


มีรอยพระพุทธบาทจำลองด้วยครับ
 

หลังจากเที่ยวภูทับเบิกเสร็จ เราก็เดินทางต่อเพื่อไปยังจุดต่อไป นั่นก็คือ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ครับ

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด ได้แก่ เลย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์

 

ความน่าสนใจของที่นี่ก็คงเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ครับ เพราะในอดีต ภูหินร่องกล้าเป็นฐานที่มั่นของ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก นโยบาย 66/23 ทำให้คอมมิวนิสต์ในประเทศไทยไม่ประสบความสำเร็จ ภูหินร่องกล้าจึงกลายมาเป็นอุทยานแห่งชาติ และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในปัจจุบัน

ภายในอุทยานจะมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนการเมืองการทหาร, ผาชูธง, สำนักอำนาจรัฐ และ สุสานนักรบ ในรีวิวตอนนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวสถานที่เหล่านี้กันครับ

 

นอกจากเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางการเมืองแล้ว ธรรมชาติที่นี่ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ของไทยที่มีระบบนิเวศที่เป็น ป่าสนเขา เนื่องจากอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ปัจจุบันที่นี่จะพบแค่นกและแมลงบางชนิดเท่านั้น และไม่มีสัตว์ป่าขนาดใหญ่อาศัยอยู่แล้ว เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่กลายเป็นที่อยู่ของมนุษย์
 

ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า สำหรับผู้ใหญ่ 40 บาท และเด็ก 20 บาทต่อคนครับ (ถ้าใครเอารถมาเอง มีค่ารถเข้าอุทยานด้วย)

สถานที่ท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ได้แก่

1. โรงเรียนการเมืองการทหาร

ในอดีต ที่นี่เคยเป็นสถานที่สำหรับให้การศึกษาตามแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ ประกอบไปด้วยบ้านพักเล็กๆของฝ่ายพลเรือน ฝ่ายพลาธิการ ฝ่ายสื่อสาร และสถานพยาบาล รวมทั้งหมด 31 หลัง กระจายอยู่อย่างเป็นระเบียบ


 


ภายในบ้านแต่ละหลังจะมีแคร่สำหรับนอน และโต๊ะสำหรับเขียนหนังสือทำด้วยไม้กระดานอย่างหยาบๆ มีเศษข้าวของกระจายอยู่เกลื่อน บางหลังเริ่มผุพังเพราะถูกปล่อยให้ร้างหลังจากที่ผู้ก่อการเข้ามอบตัวแล้ว


นอกจากนี้ พื้นที่บริเวณตรงกลางของโรงเรียนการเมืองการทหาร จะมีรถแทรกเตอร์จอดอยู่ 1 คัน ซึ่งเป็นรถที่ทางผู้ก่อการคอมมิวนิสต์ (ผกค.) ทำการยึดจากฝ่ายรัฐบาลมาได้


2. กังหันน้ำ

เป็นกังหันที่ทำด้วยไม้ขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 เมตร ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนการเมืองการทหาร ออกแบบและสร้างขึ้นโดยนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่หนีเข้าป่าภายหลัง เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519


ลักษณะเป็นกังหันที่ต่อแกนถ่ายพลังงานไปที่ครกกระเดื่องตำข้าว โดยใช้การผันน้ำจากน้ำตกเล็กๆ ผ่านรางน้ำที่ทำจากไม้มายังตัวกังหัน จึงเกิดเป็นพลังน้ำที่ขับเคลื่อนกังหันให้หมุน




 
3. เส้นทางศึกษาธรรมชาติลานหินปุ่ม-ผาชูธง

สำหรับผม เส้นทางนี้ถือเป็นไฮไลท์ของอุทยานเลยครับ ที่นี่เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติเดินเป็นวงกลมยาวประมาณ 2.7 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง แม้ว่าจะเดินไกลหน่อย แต่ทางถือว่าดี ไม่ลำบาก และที่สำคัญอากาศค่อนข้างเย็นสบาย เดินได้ชิลล์ แป๊บเดียวก็ครบรอบ แถมที่นี่ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะแยะมากมายครับ


จุดที่น่าแวะในเส้นทางนี้ก็คือ ลานหินปุ่ม ซึ่งเป็นลานหินที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มีลักษณะเป็นหินผุดขึ้นมาเป็นปุ่ม เป็นปม ขนาดไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน



อีกสถานที่ที่น่าสนใจก็คือ ผาชูธง อยู่ห่างจากลานหินปุ่มประมาณ 500 เมตร ในอดีตที่นี่เคยถูกใช้เป็นที่ๆพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นไปชูธงแดงรูปค้อนเคียวทุกครั้งที่รบชนะฝ่ายรัฐบาล (ค้อนและเคียวเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์)

 

เนื่องจากในอดีตภูหินร่องกล้าเคยถูกใช้เป็นศูนย์กลางการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่นี่จึงมี สำนักอำนาจรัฐ ซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งผู้ก่อการคอมมิวนิสต์ (ผกค.). ใช้ดำเนินงานทางด้านการทหารและการปกครอง คล้ายๆกับศาลากลางจังหวัด มีการพิจารณาและลงโทษผู้กระทำผิดหรือละเมิดต่อกฎลัทธิ มีคุกสำหรับขังผู้กระทำความผิด มีโรงอาหาร โรงทอผ้า สถานที่อบรม โรงซ่อมเครื่องจักรกล และบ้านพักของระดับผู้บริหาร


เพิงหินขนาดใหญ่ สามารถจุคนได้ 200 คน จึงถูกใช้เป็น ที่หลบภัยทางอากาศ


ปืนต่อสู้อากาศยาน ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นบนเส้นทางแห่งนี้


ก่อนออกจากเส้นทางนี้ เรายังได้เข้าไปเยี่ยมชม สุสานนักรบ ซึ่งเป็นหลุมศพผู้กองสหวิทย์ (ส.เล้าตุ๊) ซึ่งเป็นคนแรกที่นำลัทธิคอมมิวนิสต์จากเวียดนามมาเผยแพร่ที่ภูหินร่องกล้า


4. ผาพบรัก

อยู่ในเขตพื้นที่ของโครงการพัฒนาป่าไม้ ตามแนวทางพระราชดำริภูหินร่องกล้า ซึ่งห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ประมาณ 3 กิโลเมตร ถือเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวในอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว

 

มองวิวออกไปจะเห็นสภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ประกอบด้วยยอดภูเขาที่สำคัญคือ ภูหมันขาว, ภูแผงม้า, ภูขี้เถ้า, ภูลมโล, ภูหินร่องกล้า โดยมีภูหมันขาวเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงประมาณ 1,820 เมตรจากระดับน้ำทะเล


ผาพบรักเป็นสถานที่สุดท้ายที่เราได้ไปเยี่ยมชมในวันนี้ครับ จากนั้นเราก็นั่งรถกลับเขาค้อ

สำหรับภูหินร่องกล้า โดยภาพรวม ผมชอบที่นี่นะครับ อากาศเย็นสบาย ป่าก็เดินง่าย ธรรมชาติก็สวยงาม แถมมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์นอกตำราให้ได้เรียนรู้อีก ใครมีโอกาสแนะนำให้มาเยี่ยมชมดูครับ แล้วจะชอบที่นี่เหมือนผม

วันที่สี่

วันนี้ไม่มีแพลนอะไรแล้ว นอกจากนั่งรถไปยังสนามบินพิษณุโลกเพื่อกลับกรุงเทพครับ

 

ข้อดีของการพักที่ M hostel and café ที่เขาค้อก็คือ โรงแรมนี้จะมีรถของบริษัท M transport service มารับเพื่อไปยังสนามบินพิษณุโลกให้ทันไฟลท์ของนกแอร์ที่เราจองไว้ ก็ถือว่าสะดวกสบาย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แนะนำสำหรับการมาเที่ยวเขาค้อ
 
สำหรับรีวิวทริป 4 วัน 3 คืน เที่ยวสามขุนเขาแห่งจังหวัดเพชรบูรณ์ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการวางแผนเที่ยวที่นี่แบบมาโดยเครื่องบิน และไม่อยากขับรถ ถ้าใครมีคำถามอะไร สามารถฝากคำถามไว้ได้ หรือติดต่อมาทางหลังไมค์ก็ได้ ยินดีตอบทุกคำถามครับ

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2563    
Last Update : 28 เมษายน 2567 22:18:24 น.
Counter : 4382 Pageviews.  

4 วัน 3 คืน เพชรบูรณ์ เสน่ห์หน้าฝนแห่งขุนเขาเมืองมะขามหวาน (ตอนที่ 1: หนึ่งวันที่เขาค้อ)


 
สถานที่ท่องเที่ยว : วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว, อำเภอเขาค้อ, เพชรบูรณ์ Thailand
พิกัด GPS : 16° 47' 23.20

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลายคนคงไม่ได้ไปไหน เพราะสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การเดินทางไปไหนมาไหน ทำได้ลำบากผมเองก็เช่นเดียวกันกับทุกคนครับ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาสายเที่ยวอย่างผมอึดอัดมาก ได้แต่อยู่บ้าน work from home นานหลายเดือน จนเมื่อสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ผมจึงตัดสินใจจัดทริปครับ
 
สำหรับทริปนี้ ผมไปเที่ยว จังหวัดเพชรบูรณ์ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2563 เป็นเวลา 4 วัน 3 คืนครับ โดยเราไปเที่ยวตั้งแต่ เขาค้อ ภูทับเบิก หรือ ภูหินร่องกล้า ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดนี้ทั้งหมดเลย
 
แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • นั่งเครื่องบินจากสนามบินดอนเมืองไปยังสนามบินพิษณุโลก (นกแอร์: DD8406)
  • นั่งรถต่อไปยังเขาค้อ (M transport service)
  • Check in เข้าที่พัก (M hostel and café)
วันที่สอง
  • เหมารถสองแถวเที่ยวในเขาค้อเต็มวัน
  • แวะเที่ยวสถานที่ต่างๆ เช่น พิโนลาเต้ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ทุ่งกังหันลม ไร่ GB เป็นต้น
วันที่สาม
  • เหมารถสองแถวเที่ยวภูทับเบิกและภูหินร่องกล้าเต็มวัน
  • เช้า เที่ยวภูทับเบิก
  • บ่ายเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
วันที่สี่
  • เดินทางไปยังสนามบินพิษณุโลก(M transport service)
  • บินจากสนามบินพิษณุโลกกลับกรุงเทพ (DD8407)

ที่พักที่จังหวัดเพชรบูรณ์

ทริปนี้ผมเลือกพักที่ M hostel and café ตอนแรกที่เลือกพักที่นี่มีอย่างเดียวเลยคือ เดินทางสะดวก เพราะเป็นจุดที่รถจากสนามบินมาจอด แต่พอพักจริง ผมกลับชอบอะไรหลายอย่างที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะอาด การบริการ และที่สำคัญ hostel นี้ยังใกล้ตลาดและเซเว่น ทำให้ง่ายสำหรับการหาของกินนอกจากที่นี่ ที่นี่ยังมีบริการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรถเช่า รถมอเตอร์ไซค์เช่า และยังมีร้านกาแฟอร่อยๆ และบรรยากาศดีให้เราได้นั่งเล่น พักผ่อนชิลล์ๆอีกด้วยครับ

ผมจองที่พักนี้ผ่าน agoda ได้ในราคา 800 กว่าบาทต่อคืน รวม 3 คืนอยู่ที่ประมาณ 2,500 บาทครับ (ราคานี้รวมอาหารเช้าแล้ว)

 

วันที่หนึ่ง

สำหรับในทริปนี้ ผมและเพื่อนๆออกเดินทางจากกรุงเทพครับ ส่วนใหญ่คนที่จะเดินทางไปยังเพชรบูรณ์ (เขาค้อ) ส่วนใหญ่คงขับรถกันไป แต่สำหรับทริปนี้ผมเลือกบินไปครับ

หลายคนคงยังไม่ทราบว่า เราสามารถเดินทางไปยังเขาค้อด้วยวิธีนี้ได้ด้วย จริงๆ นกแอร์มีบริการ Fly and ride เพื่อไปยังเขาค้อครับ อธิบายง่ายๆคือเราจะบินจากกรุงเทพไปลงที่สนามบินพิษณุโลก จากนั้นนั่งรถตู้ที่ทางนกแอร์จัดไว้ให้เพื่อเดินทางต่อไปยังเขาค้ออีกประมาณ 1.5-2 ชั่วโมง รวมใช้เวลาเดินทางทั้งหมดไม่เกิน 3.5 ชั่วโมง (เร็วกว่าการนั่งรถที่ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 5-6 ชั่วโมง) โดยเราสามารถจองรถได้ตั้งแต่ตอนจองตั๋วเครื่องบินได้เลย


รถที่ส่งเราจากสนามบินพิษณุโลกไปยังเขาค้อเป็นของบริษัท M transport service โดยรถจะพาไปส่งที่ M hostel and café ที่เขาค้อ ซึ่งถ้าใครอยากเน้นเที่ยวสะดวกและราคาประหยัด ผมก็แนะนำให้พักที่นี่เลยครับ


ส่วนใครที่ไม่ได้เดินทางด้วยเครื่องบิน การเดินทางจากกรุงเทพไปยังเขาค้อก็ยังสามารถเดินทางได้ด้วยวิธีอื่นๆ ได้แก่

1. รถส่วนตัว ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน มุ่งหน้าสู่จังหวัดลพบุรี-เพชรบูรณ์ ไปตามทางหลวงหมายเลข 21 จนผ่านอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ไปถึงแยกนางั่ว แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 2258 (นางั่ว-เขาค้อ) ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมงขึ้นไป (ถ้าไปช่วงวันหยุดยาว อาจนานถึง 7 ชั่วโมง)
 
2. รถทัวร์ มีหลายสาย แต่ถ้าจะเอาให้ประหยัดที่สุด และต่อรถน้อยที่สุด ผมแนะนำให้ไปรถทัวร์สายกทม-พิษณุโลก-เขาค้อ ของ พิษณุโลกยานยนต์ โดยปลายทางจะอยู่ที่ตลาดทุ่งสมอ จากตรงนั้นสามารถเหมาสามล้อให้พาไปส่งยังที่พัก หรือเหมาไปเที่ยวได้ครับ
 
วันที่สอง

สำหรับวันนี้ เราจะเดินทางไปเที่ยวยังจุดต่างๆของเขาค้อกันครับ หลายคนคงสงสัยว่า ถ้าไม่มีรถส่วนตัวจะสามารถไปเที่ยวเขาค้อได้หรือป่าว ขอบอกเลยว่าได้แน่นอนครับ เพราะที่นี่จะมีรถสองแถวนำเที่ยวยังจุดต่างๆทั้งในเขาค้อ หรือจะไปเที่ยวภูทับเบิก ภูหินร่องกล้า ภูลมโล หรือทุ่งแสลงหลวงก็มีให้บริการครับ

ในทริปนี้ ผมเลือกใช้บริการเหมารถสองแถวพร้อมคนขับ โดยราคาทัวร์ 2 วันสำหรับเที่ยวเขาค้อ+ภูทับเบิก+ภูหินร่องกล้า จะอยู่ที่ 3,500 บาท และเนื่องจากผมและเพื่อนๆไปกัน 3 คน หารออกมาก็ตกคนละประมาณ 1,200 บาท หรือประมาณ 600 บาทต่อวันเท่านั้นเอง ส่วนตัวผมว่าราคานี้ถือว่าคุ้มอยู่ แถมไม่ต้องขับรถเองให้เหนื่อย ไม่ต้องห่วงหลงทางด้วย

สำหรับสองแถวนำเที่ยวในจังหวัดเพชรบูรณ์ เท่าที่ผมหาข้อมูลมามีดังนี้
ทริปนี้ ผมใช้บริการของ ประเสริฐทัวร์ ใครสนใจก็สามารถติดต่อได้ที่เพจด้านบนที่ผมลงไว้ได้นะครับ
 
 
ร้านกาแฟตั๊กม้อ เป็นจุดแรกที่พวกเราได้ไปเยี่ยมชมกันครับ ร้านกาแฟนี้โฆษณาตัวเองว่าเป็น โรงเตี๊ยมสุดขอบฟ้า ถ้าจะอธิบายง่ายๆคือ ที่นี่เป็นร้านกาแฟและร้านอาหารที่ตกแต่งสไตล์จีนกำลังภายใน ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงท่ามกลางวิวภูเขา ให้อารมณ์เหมือนเรามาเที่ยวหุบเขาเหลียงซาน


ถัดมาก็ยังเป็นร้านกาแฟครับ ร้านนี้มีชื่อว่า พิโนลาเต้ ซึ่งเป็นทั้งร้านกาแฟ และรีสอร์ท

จุดขายของที่นี่ก็คงเป็นวิวสุดอลังการของเขาค้อที่สามารถมองเห็นวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วได้อย่างชัดเจน


เครื่องดื่มที่นี่ สำหรับผมถือว่า รสชาติโอเคอยู่ ราคาอาจจะแพงไปซักนิด แต่ถ้าจะมาเสพบรยากาศ ผมว่าคุ้มนะครับ


ที่นี่ยังมีมุมถ่ายรูปอีกนับไม่ถ้วน ดอกไม้ที่สวยงาม บวกกับอากาศที่เย็นสบาย ผมว่านั่งเล่นที่นี่ยาวๆซัก 2 ชั่วโมงก็ไม่เบื่อครับ
 
 



วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เป็นวัดที่มีความสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งบนเขาค้อ ตั้งอยู่บนเนินเขา และรายล้อมไปด้วยทิวเขาสูงสลับซับซ้อนทำให้สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลๆ ยิ่งช่วงไหนมีหมอกตัดผ่าน ผมว่ายิ่งสวยครับ


ไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของวัดนี้ก็คงเป็น พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปสีขาวซ้อนกัน 5 องค์ ที่มีความใหญ่โตโอ่อ่า ทำให้เกิดเป็นภาพอันงดงาม

 

นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี บนยอดเจดีย์บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุซึ่งได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก  


ความพิเศษของเจดีย์นี้คือ ลวดลายการตกแต่งด้วยถ้วยกระเบื้อง หินสีต่างๆ ดูงดงามแปลกตา และบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์ยังใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม รวมทั้งเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป


จุดหมายต่อไปคือ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก เป็นเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปให้ประชาชนได้สักการะบูชา ส่วนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐธาตุของพระพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา

เจดีย์นี้ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานให้กับประชาชนในพื้นที่ หลังจากยุติการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย


ร้านกาแฟในป่าสน (Cedar ป่าสน café)  เป็นร้านกาแฟเปิดใหม่บนเขาค้อ ตอนนี้อาจจะยังไม่ฮิต แต่ผ่านไปซักพัก เชื่อว่าคงฮิตแน่นอนครับ


คอนเซปของคาเฟ่นี้ก็คือ บ้านต้นไม้ โดยจะมีทางเดินที่ยกระดับขึ้นไปจากด้านล่าง ท่ามกลางป่าสนที่สวยงาม ใครเป็นสายคาเฟ่คงได้รูปเยอะ ส่วนสายอื่นก็สามารถมานั่งพักผ่อนได้ชิลล์ๆครับ
 

สวนอังกฤษบลูสกาย (The Blue sky garden) เป็นสวนดอกไม้สไตล์อังกฤษท่ามกลางขุนเขา ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ บลูสกายรีสอร์ท เขาค้อ ถือป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวยอดฮิต โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบสวนสวย หรือคนที่อยากหามุมถ่ายภาพหวานสไตล์เจ้าหญิง เคียงคู่ดอกไม้และดอกหญ้า

ที่นี่มีค่าเข้า 100 บาท ซึ่งถือว่าแพงไปซะหน่อย เอาเป็นว่า ใครชอบสวนสไตล์อังกฤษก็จัดไปครับ มาเที่ยวทั้งทีต้องเอาให้คุ้ม


7. ทุ่งกังหันลมเขาค้อ และไร่ GB

ถ้าใครที่นั่งรถเข้ามาในบริเวณตำบลแคมป์สน จะมองเห็นทุ่งกังหันลมนี้ได้อย่างชัดเจน เนื่องจากจุดที่ตั้งของโครงการทุ่งกังหันลม อยู่บนเนินเขาสูง บนระดับความสูงกว่าน้ำทะเลประมาณ 1,050 เมตร 

วัตถุประสงค์หลักของกังหันลมพวกนี้คือ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ส่วนผลพลอยได้ก็คือ กลายเป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตของเขาค้อครับ


ใกล้ๆกับทุ่งกังหันลมจะมีไร่ GB ที่มีค่าเข้าอยู่ที่คนละ 10 บาท ภายในจะมีดอกไม้นานาชนิดให้ได้ถ่ายรูปเล่นกัน อย่างช่วงที่ผมไปจะเป็นช่วงที่ดอกเวอร์บีน่า (สีม่วง) กับดอกกระเจียว (สีชมพู) เบ่งบานเต็มที่ครับ

 

 


ร้านกาแฟภูแก้วพีค ตั้งอยู่ภายใน ภูแก้วรีสอร์ท &แอดเวนเจอร์ ปาร์ค เขาค้อ ซึ่งมีจุดชมวิวตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของรีสอร์ท เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเขาค้อได้แบบพาโนรามามีจุดถ่ายภาพที่สวยงามหลายจุด แต่ที่เป็นไฮไลท์คือ จุดชมวิวอุ้งมือยักษ์ที่เป็นทางเดินแบบยกสูงลอยฟ้า (เลียนแบบที่ดาลัด ประเทศเวียดนาม) 

เนื่องจากร้านกาแฟตั้งอยู่ภายในรีสอร์ทซึ่งเป็นเนินเขาสูง การเดินทางขึ้นไปจึงต้องใช้รถของรีสอร์ท ซึ่งจะมีค่าบริการคนละ 20 บาท โดยเราสามารถเก็บตั๋วใช้เป็นส่วนลดสำหรับเครื่องดื่มในร้านได้ 30 บาทด้วยครับ

 

Tip: ที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ดีที่สุดของเขาค้อครับ ใครจะมาแนะนำให้เก็บไว้เป็นที่สุดท้าย จิบกาแฟไป ดูพระอาทิตย์ตกไป ถือเป็นการจบทริป 1 วัน ในเขาค้ออย่างประทับใจ

จบไปแล้วครับสำหรับที่เที่ยว 1 วันในเขาค้อ จะสังเกตว่าที่เที่ยวจำนวนมากเป็นร้านกาแฟ ใครเป็นสายคาเฟ่คงถ่ายรูปฟิน ส่วนสายอื่นก็ถือว่ามาเที่ยวพักผ่อนชิลล์ๆ เป็นการชาร์จแบตให้ตัวเอง

สำหรับการเที่ยวในวันนี้ก็ถือว่าค่อนข้างสบายๆครับ ไม่หนักเท่าไหร่ แต่ในตอนหน้า สไตล์การเที่ยวจะเริ่มเปลี่ยนไป ผมจะพาทุกคนฝ่าด่าน 111 โค้ง เพื่อขึ้นไปดูทะเลหมอกที่ภูทับเบิก หลังจากนั้นจะพาไปชมผาหัวสิงห์ที่เป็นไวรัลในช่วงนี้ ก่อนจะไปปิดท้ายที่ทุ่งกะหล่ำปลี เรื่องราวจะเป็นยังไง ฝากติดตามต่อได้ในตอนหน้านะครับ

บล็อกที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2563    
Last Update : 28 เมษายน 2567 22:15:10 น.
Counter : 8140 Pageviews.  

1  2  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.