2 วัน 1 คืน ตราด เมืองประวัติศาสตร์สุดแดนแผ่นดินบูรพา
สถานที่ท่องเที่ยว : เจดีย์วัดไผ่ล้อม, ตราด Thailandพิกัด GPS : 12° 14' 21.55 ถ้าพูดถึง จังหวัดตราด หลายคนคงจะนึกถึงทะเลสวย น้ำใส และหาดทรายขาวของ เกาะช้าง และ เกาะกูด กันใช่ไหมครับ แต่จริงๆแล้ว จังหวัดตราดไม่ได้มีดีแค่นั้นครับ จังหวัดเล็กๆสุดเขตแดนภาคตะวันออกแห่งนี้ ยังมีอะไรที่ดีให้เรามาเยี่ยมชมมากกว่านั้น ในรีีวิวตอนนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวในเขตตัวเมืองตราด ซึ่งหลายคนมักจะมองข้ามไป ทั้งๆที่จริงๆแล้ว เมืองตราดยังมีอะไรน่าสนใจอีกเยอะมาก ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตชุมชน ถ้าใครมาเที่ยวทีี่ีนี่และพอมีเวลา นอกจากเกาะต่างๆแล้ว ผมอยากให้ลองมาแวะที่นี่ดูซักครั้งครับ รู้จักกับจังหวัดตราด จังหวัดตราด เป็นจังหวัดที่อยู่ในภาคตะวันออกของไทย เป็นจังหวัดที่อยู่ท้ายสุด และห่างจากกรุงเทพมากที่สุดของภาค ด้วยระยะทางมากกว่า 300 กิโลเมตร
หลายคนคงไม่ทราบนะครับว่า ตราดเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย เพราะที่นี่เคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสตั้งแต่ปี พ.ศ.2447 จนถึง ปี พ.ศ.2450 ซึ่งปัจจุบันยังมี จวนเรสิดังกัมปอร์ต ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองของฝรั่งเศสในสมัยนั้นตั้งอยู่ใจกลางเมืองตราดด้วยครับ
ต่อมาในปี พ.ศ.2450 ทางรัฐบาลสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ได้ตกลงที่จะทำการแลกเปลี่ยนดินแดนกับฝรั่งเศส โดยยอมเสียสามเมืองของกัมพูชา ได้แก่ พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ แลกกับจังหวัดตราดให้กลับคืนมาเป็นส่วนหนึ่งของสยามอีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2450 ซึ่งวันนั้นถือเป็นวันที่สำคัญมากของชาวจังหวัดตราด เรียกว่า วันตราดรำลึก ซึ่งจะมีการจัดงานเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงรัชกาลที่ 5 ทุกๆปี นอกจากนี้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ท้องทะเลตราดยังเป็นสมรภูมิการสู้รบระหว่างกองทัพฝรั่งเศสกับกองทัพเรือไทยอีกด้วย สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของจังหวัดตราด ซึ่งถ้าใครมาเที่ยวที่นี่ ถ้าลองสังเกตดูดีๆ สุนัขของจังหวัดตราด จะมีลักษณะหลังอานแทบทุกตัวเลย เพราะ สุนัขพันธุ์หลังอาน มีต้นกำเนิดมาจากที่นี่ครับ ถือเป็นสัตว์ประจำจังหวัดตราดเลยก็ว่าได้ ถึงขนาดว่า ในคำขวัญจังหวัดตราด มีท่อนหนึ่งที่เอ่ยถึงสุนัขพันธุ์นี้ครับ
แผนเที่ยว วันที่หนึ่ง ออกเดินทางจากกรุงเทพ (สนามบินสุวรรณภูมิ) ไปยังสนามบินตราด ด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ (PG305) เดินทางจากสนามบินตราด เข้าสู่ตัวเมือง เดินเล่นชมตัวเมืองเก่าตราด ได้แก่ วัดไผ่ล้อม, พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองตราด, จวนเรสิตังกัมปอร์ต, ศาลเจ้าพ่อหลักกเมืองตราด, ท่าเสด็จ และชุมชนคลองบางพระ วันที่สอง ออกเดินทางจากตัวเมืองตราดไปเที่ยวชุมชนบ้านท่าระแนะ ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว หาดทรายดำ และอนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง ทานอาหารเที่ยวพร้อมกับชมเหยี่ยวแดงที่ร้านคนพลัดถิ่น เดินทางต่อเพื่อไปเที่ยวยังเกาะต่างๆของจังหวัดตราด ที่พักในเมืองตราด ทริปนี้ เราเลือกพักที่ บ้านริมน้ำรีสอร์ท ครับ ที่นี่เป็นที่พักระดับสามดาวใจกลางเมืองตราด อยู่ติดกับคลองบางพระ ใกล้กับสถานที่เที่ยวสำคัญๆในเมืองตราดในระยะที่เดินได้
ที่นี่ได้คะแนนรีวิวใน agoda ที่ 8.8 และใน booking.com ที่ 9.0 ผมนอนที่รีสอร์ทนี้ 1 คืน ถ้าหักส่วนลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันแล้วจะอยู่ที่ 560 บาทต่อคืน และพอหารต่อคนก็ตกคนละ 280 บาท รวมอาหารเช้าแล้ว
วันที่หนึ่ง ทริปนี้เราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปลงยังสนามบินตราดด้วยสายการบิน Bangkok Airways ครับ เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้นะ ว่าตราดก็มีสนามบิน จริงๆแล้ว ท่าอากาศยานตราด เป็นสนามบินที่สร้างและดำเนินการโดยสายการบิน Bangkok Airways ทำให้สนามบินนี้จึงมีเครื่องมาลงแค่สายการบินเดียว ราคาตั๋วเลยค่อนข้างจะแรงไปซะหน่อย แต่ทางสายการบินก็จัดโปรบ่อยเหมือนกัน ถ้าใครสนใจ ลองติดตามดูในเพจของสายการบิน หรือเพจอย่าง Ar-pae.com นะครับ
สำหรับวิธีการเดินทางเข้าเมือง ดังนี้ครับ 1. สองแถว เป็นวิธีที่ถูกที่สุด (ถ้าไม่โดนโกงนะ) แต่ก็ใช้เวลาเดินทางมากที่สุด แล้วก็มีความไม่แน่นอนมากที่สุด ผมเลยไม่เลือกวิธีนี้ครับ2. รถลีมูซีน จากสนามบินตราดมีรถลีมูซีนไปส่งยังที่ต่างๆ ทั้งตัวเมืองตราด ท่าเรือสำหรับไปเกาะช้าง เกาะหมาก และเกาะกูด โดยจะมีราคาที่แน่นอนเป็นมาตรฐาน บริการดี แต่ราคาค่อนข้างสูง ถ้าใครสนใจลองติดต่อไปที่นี่นะครับ https://www.kohchangaccom.com/ 3. รถเช่า ใครที่จะมาเที่ยวตราดระยะสั้นๆ และไม่ได้มีแผนจะข้ามไปเที่ยวเกาะต่างๆ สามารถเช่ารถได้จากที่นี่ครับ https://www.kohchangaccom.com/ 4. แท็กซี่ ตราดยังไม่มีบริการ grab ครับ (ข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2565) แต่มีแท็กซี่ให้บริการ ผมแนะนำให้ใช้บริการ แท็กซี่ได้เลย ตราด ซึ่งเราสามารถจองรถผ่าน Line ตาม QR code ที่ผมลงไว้ข้างล่างนี้ ถ้าใครจะไปเที่ยว และสนใจจะใช้บริการลองทักไปสอบถามราคาดูได้ครับ เท่าที่ผมเช็คมา ราคาถูกกว่ารถลีมูซีนพอสมควรเลย (ผมได้ที่ราคา 800 บาทครับ) นอกจากการเดินทางด้วยเครื่องบินแล้ว วิธีการเดินทางไปยังจังหวัดตราด ยังมีอีกหลายวิธีดังนี้ครับ1. รถส่วนตัว ตราดอยู่ห่างจากกรุงเทพประมาณ 300 กว่ากิโล ถ้าเดินทางโดยรถส่วนตัวโดยไม่แวะที่ไหนเลย จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมง2. รถตู้ ขึ่นได้จากสถานีขนส่ง หมอชิต หรือ เอกมัย ค่ารถประมาณ 300 บาท ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมงครับ3. รถทัวร์ ขึ้นได้ที่สถานีขนส่งเอกมัย มีหลายเจ้าทั้ง บขส ., เชิดชัยทัวร์ และ ธนกวีขนส่ง ค่ารถ 200-300 บาท ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง คนที่จะมาเที่ยวตราดส่วนใหญ่ มักจะมองข้ามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเขตเทศบาลเมืองตราด แต่ถ้าใครพอมีเวลา ผมอยากให้ลองแวะมาเดินเล่นชมเมืองเล็กๆแห่งนี้ดูครับ เพราะที่นี่ยังมีอะไรให้เราเยี่ยมชมพอสมควร
VIDEO
วัดไผ่ล้อม เป็นสถานที่แรกที่เราไปเยี่ยมชม เพราะอยู่ใกล้กับที่พักของเราครับ ที่นี่ถือเป็นปอดของเมืองตราด รวมทั้งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และทำกิจกรรมต่างๆในยามเย็น
วัดนี้เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดตราดครับ เพราะสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2326 นับถึงปัจจุบันก็มีอายุมากกว่า 150 ปีแล้ว
จุดเด่นของวันนี้คือตัวเจดีย์เป็นรูปทรงระฆังคว่ำแปดเหลี่ยม ปลียอดเป็นทรงดอกบัวตูมปิดทับด้วย โมเสกเคลือบทองคำจากอิตาลี ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุและพระเครื่องโบราณของวัดไผ่ล้อม
ภายในบริเวณวัดยังมีสวนพุทธธรรมสำหรับให้ประชาชนได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมอีกด้วยครับ
จากวัดไผ่ล้อม เดินไปไม่ไกลจะพบกับ พระบรมราชานุสาวรีย์ของรัชกาลที่ 5 ครับ ถ้าใครลองสังเกตดูแผนที่ของจังหวัดตราด จะเห็นว่า ตราดมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีพื้นที่ติดทะเลเป็นแนวยาว การได้จังหวัดตราดจะทำให้ไทยมีน่านน้ำในทะเลอ่าวไทยเยอะขึ้นอีกมาก ประกอบกับประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดตราด เป็นคนที่มีเชื้อสายไทย ทำให้ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงทรงให้ความสำคัญกับจังหวัดตราด โดยเสด็จประพาสจังหวัดตราดมากถึง 12 ครั้ง และยังทรงยอมทำสนธิสัญญากับทางฝรั่งเศสเพื่อแลกเปลี่ยนดินแดนกับพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ เพื่อให้ได้จังหวัดตราดกลับมาเป็นส่วนหนี่งของไทยอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ชาวจังหวัดตราดจึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของท่าน และมีการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ขึ้นมาหน้าศาลากลางจังหวัดตราด เพื่อให้ประชาชนชาวจังหวัดตราด และชาวไทยได้มากราบสักการะ
ใกล้กับกับพระบรมราชานุสาวรีย์จะมี พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมืองตราด ซึ่งเคยถูกใช้เป็นศาลากลางจังหวัดตราดด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมแต่ต่อมาในปี พ.ศ.2547 ที่นี่ถูกเพลิงไหม้ ทางเทศบาลเมืองตราดจึงจัดสรรงบประมาณให้กรมศิลปากรดำเนินการบูรณะซ่อมแซมอาคารตามรูปแบบเดิมและจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยมีห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวร
ภายในพิพิธภัณฑ์จะมีการจัดแสดงแบ่งออกเป็น 6 หัวข้อ ได้แก่(I) มรดกธรรมชาติและวัฒนธรรมเมืองตราด จัดแสดงเรื่องภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมของจังหวัดตราด(II) ผู้คนเมืองตราด จัดแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดตราด อาทิ ไทย จีน เขมร ญวน ซอง
ความรู้อย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งทราบจากห้องนี้ และอยากเอามาแชร์ให้ทุกคนก็คือ เรื่องราวของ ชาวซอง ครับที่จังหวัดในแถบภาคตะวันออกของไทย โดยเฉพาะที่จังหวัดจันทบุรีและจังหวัดตราด จะมีกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งที่เป็นชนเผ่าโบราณ เรียกว่า ชาวซอง ซึ่งพวกเค้า มีภาษาพูดของตนเองคือ ภาษาซอง แต่ไม่มีภาษาเขียน นับถือศาสนาพุทธ มีวัฒนธรรมประเพณีเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่า เช่น การใช้ต้นคลุ้ม มาจักสานสมุก ชนาง เสวียน มีประเพณีผีโรง ผีหิ้ง ทำมาหากินด้วยการหาของป่า ล่าสัตว์ ทำไร่ ทำนา และปลูกต้นกระวานแต่ปัจจุบันชาวซองได้ปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมสมัยใหม่ และดำรงชีวิตแบบคนทั่วไป เราจึงแยกไม่ค่อยออกแล้วครับ (III) ลำดับทางโบราณคดีและประวัติเมืองตราด จัดแสดงเรื่องราวของจังหวัดตราดตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต้นสมัยประวัติศาสตร์ สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์(สมัยรัชกาลที่ 1-4) ชิ้นส่วนของกลองมโหระทึกโบราณ ซึ่งเป็นกลองที่ใช้ในพิธีกรรมโบราณในยุคก่อนประวัติศาสตร์
ภาพเหตุการณ์จำลองเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ยกทัพมาตีจังหวัดตราดเพื่อรวบรวมเสบียงและไพร่พลเพื่อกอบกู้เอกราชจากกองทัพพม่า
(IV) เหตุการณ์สำคัญในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดแสดงเรื่องการส่งมอบเมืองตราดคืนจากฝรั่งเศส การพระราชทานพระแสงราชศาสตราประจำเมือง และการเสด็จประพาสเมืองตราดภาพจำลองการพระราชทาน พระแสงราชศาสตรา เมื่อครั้งที่ตราด กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของไทย
พระแสงราชศาสตรา ที่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานให้ชาวตราด ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง โดยอันที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เป็นองค์จำลองนะครับ ส่วนของจริงสามารถชมได้ในพิธีขบวนแห่ในงานวันตราดรำลึก ทุกๆวันที่ 23 มีนาคมของทุกปี
(V) เหตุการณ์ยุทธนาวีเกาะช้าง จัดแสดงเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์ยุทธนาวี โดยจำลองห้องจัดแสดงเป็นเรือรบ(VI) ตลาดเมืองตราด จัดแสดงเรื่องราวการค้าในตลาดเก่าและสภาพปัจจุบันของตลาดเมืองตราด ที่นี่มีค่าเข้าชมคนละ 10 บาทเท่านั้นครับ โดยจะเปิดทำการทุกวันยกเว้นวันจันทร์ โดยวันอังคารถึงศุกร์จะเปิดตั้งแต่ 9.00-16.00 น. ส่วนวันอื่นๆจะเปิดตั้งแต่ 9.30-16.30 น.ครับ หลังจากเที่ยวพิพิธภัณฑ์เสร็จ เราก็มาต่อกันที่ จวนเรสิตังกัมปอร์ต ซึ่งเคยถูกใช้เป็นที่พักสำหรับข้าหลวงชาวฝรั่งเศสในช่วงที่ปกครองจังหวัดตราดอยู่ราว 3 ปี ต่อมาเมื่อตราดกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของไทย จวนนี้ก็ได้ทำหน้าที่เป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัดตราดอยู่ช่วงหนึ่งด้วยครับ
ด้วยความที่ตราดเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมครับ นอกจากคนไทยแล้ว ยังมีคนจีนเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ศาลหลักเมืองของจังหวัดตราด จึงแปลกจากที่อื่น เพราะมีการสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนซึ่งหาชมได้เพียงไม่กี่แห่งของไทย
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อหลักเมืองตราดหลายเรื่องครับ เช่น ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองตราด เห็นประชาชนกราบไหว้เสาหลักเมืองจึงได้คิดจะรื้อถอนเสา โดยนำช้างมาดึงเสาออก ปรากฏว่าช้างเหล่ากลับตกหล่มตายกันหมด ส่วนคนควบคุมการดึงเสาหลักเมืองคอหักตาย ตั้งแต่นั้นต่อมาพวกฝรั่งเศสก็ไม่กล้ายุ่งกับศาลเจ้าแห่งนี้อีก นอกจากนี้หากผู้ใดลบหลู่ศาลก็มีอันเป็นไปทุกราย
ภายในศาลหลักเมืองจะมีเสาต้นสูงกับเสาต้นเตี้ย เชื่อกันว่า ถ้าใครจะมาขอพรเกี่ยวกับการเรียน หรือการค้าให้มาขอพรกับเสาต้นสูง ส่วนใครที่ต้องการขอให้มีบุตรให้มาขอพรกับเสาต้นเตี้ย หรือเสาศิวลึงค์ครับ
ด้านในยังเป็นที่ประดิษฐานของ เซี้ยอึ้งกง เทพเจ้าแห่งหลักเมืองตามความเชื่อของคนจีน โดยเชื่อว่า ทุกคนรวมทั้งวิญญาณต่างๆ ที่ผ่านเข้าออกเมืองนี้ต้องทำการขออนุญาตท่านก่อน โดยหากมีผู้เสียชีวิตจะต้องมาไหว้เพื่อแจ้งบอกกล่าวองค์เทพหลักเมืองให้ทราบก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้ายนำศพไปฝัง
ในเมื่อมีศาลหลักเมืองแล้วก็ต้องมีเมือง ในอดีตเมืองตราดถูกเรียกว่า บ้านบางพระ เนื่องจากมีคลองสายเล็กๆไหลผ่านเรียกว่า คลองบางพระ ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่พบปะแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าของคนหลายกลุ่ม และเป็นเส้นทางคมนาคมหลักที่บรรดาชาวเกาะจะล่องเรือมาทางปากแม่น้ำเพื่อนำมะพร้าวมาส่งที่บ้านบางพระ ขณะเดียวกันพ่อค้าชาวจีนก็จะล่องเรือสำเภานำสินค้าจำพวกเสื้อผ้าแพรพรรณและเครื่องถ้วยกระเบื้องเข้ามาขาย
ปัจจุบัน ชุมชนริมคลองบางพระ ยังมีเรือนแถวไม้เก่าแก่ที่เคยเป็นร้านค้านับร้อยคูหาและมีร้านค้าแบบโบราณที่ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ทำให้ชุมชนแห่งนี้ได้รับรางวัลชุมชนดีเด่นด้านการท่องเที่ยวปี พ.ศ. 2550
ถ้าใครมีเวลาตอนเย็นๆ ลองมาเดินเล่นดูสตรีทอาร์ต และวิถีชีวิตชุมชนริมคลองนี้ได้นะครับ
ภายในชุมชนจะมีท่าเรือที่เรียกว่า ท่าเสด็จ ซึ่งเป็นท่าที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ใช้สำหรับเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมชาวตราดในสมัยนั้น
จากท่าเรือจะมีอิฐสีแดงอยู่ เป็นสัญลักษณ์ว่า ในหลวงรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จพระราชดำเนินผ่านตรงจุดๆนี้
มาต่อกันที่อาหารการกินกันบ้าง จริงๆแล้วเมืองตราดขึ้นชื่อในเรื่องนี้เลย ร้านดังๆของที่นี่ก็ ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวปูสุขุมวิท กล้วยปิ้งป้านา และ ขนมครกเจ๊มล ซึ่งทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ไปทานครับ เพราะร้านปิด (ตอนผมไป เป็นช่วงที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอนกำลังระบาดหนัก ร้านส่วนใหญ่ในเมืองตราดเลยปิดหมด) แต่ผมก็พบแหล่งของกินแหล่งใหม่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองตราด เรียกว่า ตลาดซอยไร่รั้ง ที่นี่ขายพวกอาหารพื้นบ้านและอาหารสำเร็จรูปให้ซื้อกลับไปทานที่ที่พัก
ของที่แนะนำให้ซื้อกลับไปทานก็คือ พวกอาหารทะเลต่างๆ เช่น ห่อหมกปลาน้ำดอกไม้ ลูกชิ้นปลาอินทรีย์ ปลากระบอกแดดเดียว
วันที่สอง วันนี้เราตัดสินใจเหมารถเที่ยวครับ โดยเราให้รถมารับที่โรงแรมจากนั้นก็แวะเที่ยวชมสถานที่ต่างๆของจังหวัดตราด ได้แก่ ชุมชนบ้านท่าระแนะ ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว และ อนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง จากนั้นก็ให้รถไปส่งที่ท่าเรือแหลมงอบเพื่อขึ้นเรือต่อไปยังเกาะหมาก ทั้งหมดนี้เราเหมารถตั้งแค่ 9 โมงเช้าจนถึง 3 โมงเย็นในราคา 1,500 บาท ผ่านทาง แท็กซี่ได้เลย ตราด (ใครสนใจจะลอกแผนตามนี้ ลองสแกน QR code ด้านบน แล้วแอดไลน์ไปคุยสอบถามราคาได้ครับ) สำหรับที่แรกคือ ชุมชนบ้านท่าระแนะ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการที่ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว โดยชาวบ้านที่นี่มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่าชายเลน จนทำให้ป่าชายเลนที่นี่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทย โดยแทบไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆจากทางภาครัฐเลย (เพราะชาวบ้านที่นี่ ดูแลกันเองได้)
ถ้าใครมาที่นี่ แนะนำให้นั่งเรือครับ โดยค่าเรือจะอยู่ที่คนละ 100 บาท แต่ถ้ามาน้อยกว่า 3 คน จะเสียค่าเรือทั้งหมด 300 บาทครับ โดยเรือที่นี่จะพาเราเที่ยวชมผ่าน 3 ป่า ได้แก่ ป่าโกงกาง ป่าจาก และ ป่าตะบูน ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเราได้เข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์
ไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ ลานตะบูน ซึ่งเกิดจากการที่ ต้นตะบูน ต้นไม้ชนิดหนึ่งที่พบได้ตามป่าชายเลนอยู่รวมกัน และรากแผ่ออกจนเกาะเกี่ยวกันกลายเป็นภาพที่แปลกตา และเป็นหนึ่งในอันซีนไทยแลนด์
พอนั่งเรือเสร็จ ถ้าใครพอมีเวลาแนะนำให้เดินไปอีกฝั่ง จะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนให้เราได้เดินเล่น
อันนี้เป็น คอนโดปู ครับ อธิบายง่ายๆ ก็คือ เป็นที่ให้ปูเข้ามาหลบพักวางไข่ตรงนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านเพื่ออนุรักษ์และเพิ่มจำนวนปูในป่าชายเลนที่นี่
ร้านคนพลัดถิ่น ร้านนี้เป็นร้านที่อยู่ใกล้ๆกับชุมชนบ้านท่าระแนะครับ สำหรับอาหารของร้านนี้ก็ถือว่าอร่อยใช้ได้ แต่ที่เป็นไฮไลท์จริงๆของที่ร้านนี้ก็คือ เหยี่ยวแดง ครับ
เหยี่ยวแดง เป็นนกล่าเหยื่อขนาดกลาง พบได้ตั้งแต่เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงออสเตรเลีย ลักษณะเด่นคือ มีสีที่ตัดกันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ทั้งตัวจะมีสีน้ำตาลแดงยกเว้นที่หัวและอกมีสีขาว ปลายปีกมีสีดำ สำหรับในประเทศไทย เหยี่ยวแดงเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เป็นนกที่สามารถพบได้หลายพื้นที่ โดยจะพบได้ตามแถบชายฝั่งน้ำ, ที่ราบทุ่งนา, ป่าโปร่ง, ปากอ่าว, ชายฝั่งทะเล รวมถึงเกาะเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ชอบอยู่ใกล้หมู่บ้าน โดยถือว่าเป็นดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลน
ที่นี่เค้าจะให้อาหารเหยี่ยวตอนเที่ยงๆ กลายเป็นภาพแปลกตาให้เราชมขณะที่ทานอาหาร
จริงๆแล้วแถบภาคตะวันออกมีโชว์ลักษณะนี้เยอะครับ โดยเฉพาะที่จังหวัดจันทบุรีและตราด แต่ในขณะเดียวกัน การให้อาหารเหยี่ยวในลักษณะนี้มากๆ มันจะทำให้พฤติกรรมของเหยี่ยวเปลี่ยนแปลงไป จนอาจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ นอกจากนี้ พอเหยี่ยวกินอาหารมากๆ ก็อาจะส่งผลทำให้เหยี่ยวเกิดโรคต่างๆ เช่น ไขมันพอกตับ หรือโรคอ้วนได้ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับว่า การให้อาหารเหยี่ยวลักษณะนี้ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว และดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวในแถบภาคตะวันออก หลังทานอาหารเสร็จพร้อมกันชมเหยี่ยวเสร็จ เราก็มาต่อกันที่ ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว ซึ่งเป็นชุมชนพหุวัฒนธรรมที่ประชากรต่างชาติพันธุ์และต่างศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ และกลมกลืน
แรกเริ่มเดิมที ประชากรของชุมชนนี้ก็คือ คนไทยนี่แหละครับ แต่พอมาถึงสมัยรัชกาลที่สาม ประเทศของเรามีการค้าขายกับประเทศจีนมากขึ้น ทำให้คนจีนก็เริ่มอพยพเข้ามาอยู่ที่นี่ และต่อมาก็มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่เรียกว่า ชาวจาม ที่นับถือศาสนาอิสลาม ได้อพยพหนีภัยสงครามจากกัมพูชาและเวียดนามเข้ามาตั้งรกรากอยู่อีกกลุ่มหนึ่ง ตรงกลางหมู่บ้านน้ำเชี่ยวจะมีคลองไหลผ่าน เรียกว่า คลองน้ำเชี่ยว เนื่องจากในช่วงฤดูน้ำหลาก น้ำในคลองจะไหลเชี่ยวมาก ไฮไลท์ของหมู่บ้านนี้คือ สะพานที่สูงชันมาก เป็นแลนด์มาร์คสำคัญของชุมชนนี้
จุดสุดท้ายที่เราแวะเที่ยวก่อนจะขึ้นเรือไปเกาะหมากก็คือ อนุสรณ์สถานยุทธนาวีที่เกาะช้าง ครับ จริงๆแล้วที่นี่ตั้งอยู่แทบจะติดกับท่าเรือแหลมงอบเลย แต่คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามไป ทั้งๆที่ที่นี่เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งทางประวัติศาสตร์ของไทย
ยุทธนาวีที่เกาะช้าง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งตอนนั้นจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลสมัยนั้นมีการเรียกร้องให้มีการปรับปรุงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับอินโดจีนที่อยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสเสียใหม่ โดยเฉพาะเขตแดนระหว่างไทยกับลาว ที่ตอนนั้นฝ่ายไทยเสียเปรียบ เนื่องจากมีการระบุในสัญญาตอนเสียดินแดนสมัยรัชกาลที่ 5 ว่า เกาะแก่งใดๆในแม่น้ำ ให้ถือว่าเป็นของฝรั่งเศส รัฐบาลสมัยจอมพล ป. จึงเรียกร้องให้ใช้แนวร่องน้ำลึกเป็นเกณฑ์ตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งยังเรียกร้องให้ฝรั่งเศสคืนดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงทั้งหมด ให้กลับมาเป็นของไทย แต่สุดท้าย การเจรจาก็ไม่เป็นผล สงครามระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจึงประทุขึ้น เรียกว่า กรณีพิพาทอินโดจีน และ ยุทธนาวีที่เกาะช้าง เป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญของสงครามในครั้งนี้
ยุทธนาวีที่เกาะช้าง เกิดขึ้นในวันที 17 มกราคม พ.ศ.2484 ฝรั่งเศสได้ส่งกำลังทางเรือส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในอินโดจีนเข้ามาในน่านน้ำไทยทางด้านเกาะช้าง ด้วยความมุ่งหมายที่จะระดมยิงหัวเมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศไทย เพื่อกดดันให้กำลังทหารของไทยที่รุกข้ามชายแดนต้องถอนกำลังกลับมา กำลังเรือของฝรั่งเศสจำนวน 7 ลำ ปะทะเข้ากับกำลังทางเรือของไทยจำนวน 3 ลำ ผลการปะทะฝ่ายไทยเสียเรือรบไปทั้ง 3 ลำ ฝ่ายฝรั่งเศส เรือลาดตระเวนได้รับความเสียหาย จึงล่าถอยกลับไป ท้ายที่สุด สงครามในครั้งนี้ก็จบลงด้วยการเจรจาโดยมีญี่ปุ่นเป็นตัวกลาง ไทยกับฝรั่งเศส ได้ลงนามในอนุสัญญาโตเกียวเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2484 ผลทำให้ไทยได้ดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ได้แก่ หลวงพระบาง จำปาสัก พระตะบอง และศรีโสภณ คืนมาจากฝรั่งเศส และได้นำมาแบ่งเป็น 4 จังหวัดคือ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดจำปาสัก และจังหวัดลานช้าง (สีแดงในแผนที่ด้านล่าง)
อย่างไรก็ตาม ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ไทยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศมหาอำนาจและฝรั่งเศสที่เป็นฝ่ายชนะทำให้ไทยต้องคืนดินแดน อินโดจีน ที่ได้มาทั้งหมดให้กับประเทศฝรั่งเศส และดินแดนเหล่านี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศลาว และกัมพูชาในปัจจุบัน สำหรับทริปเที่ยวในเมืองตราด 2 วัน 1 วันก็มีประมาณนี้ครับ จะว่าไปที่นี่อาจจะเรียกว่าเป็นทางผ่านก่อนไปเที่ยวเกาะก็ได้ เอาเป็นว่า ถ้าใครพอมีเวลาเหลือก็ลองแวะกันมาเที่ยวดู เพราะที่นี่ก็มีอะไรน่าสนใจเหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่เป็นสายที่ชอบประวัติศาสตร์ ชอบวิถีชีวิตชุมชนแบบบ้านๆ น่าจะหลงรักเมืองเล็กๆแห่งนี้ครับบล็อกที่เกี่ยวข้อง
Create Date : 30 พฤษภาคม 2565
Last Update : 28 เมษายน 2567 22:36:01 น.
Counter : 1618 Pageviews.