3 วัน 2 คืน คุมาโมโตะ เมืองสร้างสรรค์จากพลังหมีดำจอมทะเล้น
สถานที่ท่องเที่ยว : ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle), เมืองคุมาโมโตะ, Japanพิกัด GPS : 32° 59' 59.83รู้จักกับจังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto) ถ้าพูดถึงเมืองท่องเที่ยวของญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงโตเกียว (Tokyo), เกียวโต (Kyoto), โอซาก้า (Osaka) แต่ถ้าเอ่ยถึงจังหวัดคุมาโมโตะ คนไทยส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้จักที่นี่ เพราะคุมาโมโตะอยู่บนเกาะคิวชู ห่างจากกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นเมืองหลวงมากกว่า 1 พันกิโลเมตร
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า คุมาโมโตะจะไม่ใช่จังหวัดท่องเที่ยวยอดฮิต แต่ที่นี่ก็ยังมีหลายๆสถานที่ๆน่าไปเยือน ไม่ว่าจะเป็น ภูเขาไฟอาโสะ ( Mt. Aso) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีพลังมากที่สุดลูกหนึ่งของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมี ปราสาทคุมาโมโตะ ( Kumamoto castle) ที่เคยได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 2016 อีกด้วย จุดเปลี่ยนสำคัญของจังหวัดคุมาโมโตะเกิดขึ้นในปี 2010 ครับ เนื่องจากในช่วงนั้นรถไฟความเร็วสูง (ชินกันเซ็น) เริ่มเปิดให้บริการที่จังหวัดคุมาโมโตะเพื่อเชื่อมต่อกับจังหวัดอื่นๆของญี่ปุ่น ทำให้การเดินทางมาที่นี่เริ่มสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทางผู้ว่าราชการจังหวัดคุมาโมโตะ ในสมัยนั้นคือ อิคุโอะ คาบาชิม่า ( Ikuo Kabashima ) จึงเห็นว่า ช่วงนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะเป็นการโปรโมทจังหวัดคุมาโมโตะให้ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติรู้จักมากขึ้น จึงได้มอบหมายให้ดีไซน์เนอร์ชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า มานาบุ มิซุโนะ (Manabu Mizuno) (คนในรูปด้านล่าง) ช่วยออกแบบโลโก้สำหรับแคมเปญโปรโมทจังหวัด แต่มานาบุ มิซุโนะ อยากออกแบบเป็นมาสคอตมากกว่าโลโก้ จึงวาดได้วาดมาสคอตตัวนี้ออกมาด้วย แล้วไปนำเสนอต่อผู้ว่าราชาการจังหวัดคุมาโมโตะ ปรากฏว่า ทางผู้ว่าก็ชอบ จึงได้ตกลงใช้มาสคอตตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัด มาสคอตตัวที่มิชุโนะได้ทำการออกแบบก็คือ หมีคุมามง ( Kumamon) ตัวนี้นั่นเอง และด้วยความที่เจ้าหมีตัวนี้มันมีความน่ารัก สดใส บวกกับความกวนตีนนิดๆ ทำให้เจ้าหมีตัวนี้กลายมาเป็นที่ชื่นชอบของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ จนบางคนถึงกับสะสมสินค้าหมีคุมามง และยังมีหลายคน ลงทุนเดินทางไปเยือนถึงถิ่นเพื่อพบปะคุมะมงตัวจริงที่เมืองคุมาโมโตะ ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลทางด้านการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดนี้ จนทางจังหวัดได้แต่งตั้งให้หมีคุมามงเป็น ทูตการท่องเที่ยวแห่งจังหวัดคุมาโมโตะ เลยที่เดียว
ต่อมาในปี 2016 ซึ่งทางจังหวัดคุมาโมโตะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ก็ได้มาสคอตเจ้าหมีตัวนี้นี่แหละครับที่คอยปลอบขวัญทั้งเด็กๆและผู้ใหญ่ชาวคุมาโมโตะให้มีกำลังใจในการต่อสู้กับภัยพิบัติ จนอาจจะเรียกได้ว่า หมีตัวนี้กลายมาเป็นจิตวิญญาณของจังหวัดคุมาโมโตะเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อเราไปที่คุมาโมโตะ เราจะได้พบกับหมีดำตัวนี้ แทบจะทุกซอกทุกมุมของจังหวัดเลยครับ
อ่านถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มสนใจจะมาเยือนที่คุมาโมโตะแห่งนี้ จริงๆแล้ว การเดินทางมาที่คุมาโมโตะไม่ยากเลยครับ โดยเราสามารถบินมาลงที่ฟุกุโอกะ ซึ่งมีไฟลท์บินตรงจากเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น Thai Air Asia, Thai Vietjet Air หรือ การบินไทย จากนั้นก็นั่งรถไฟความเร็วสูงจากสถานีรถไฟฮากาตะ (Hakata station) ในเมืองฟุกุโอกะ ที่เรียกว่า คิวชูชินกันเซ็น (Kyushu Shinkansen) โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 40-50 นาที และค่ารถอยู่ที่ 4,700 เยนครับ
Tip: ถ้าใครต้องการเดินทางท่องเที่ยวหลายเมืองบนเกาะคิวชู แนะนำให้ซื้อเป็นพาสจะคุ้มกว่าครับ โดยพาสที่ผมใช้ในทริปนี้ก็คือ North Kyushu Area pass แบบ 5 วัน โดยผมจองผ่าน klook ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 3,600 บาท (ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยน ณ ตอนนั้น) โดยเราสามารถใช้พาสนี้สำหรับใช้ขึ้นรถไฟระหว่างเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟุกุโอกะ (Fukuoka), นางาซากิ (Nagasaki), คุมาโมโต้ (Kumamoto) และ ยูฟุอิน ( Yufuin) รวมไปถึง ภูเขาไฟอาโสะ ( Mt.Aso) ด้วยครับ
แผนเที่ยว วันที่หนึ่ง เดินทางมาถึงเมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto) เช็คอินเข้าที่พัก กินหมูทงคัตสึที่ร้าน Katsuritsu Tei วันที่สอง นั่งรถไฟไปเที่ยวยังภูเขาไฟอาโสะ (Mt.Aso) แบบ one day trip เที่ยวชมปากปล่องภูเขาอาโสะ และทุ่งหญ้าคุซาเซนริ (Kusasenri) เดินทางกลับเมืองคุมาโมโตะ วันที่สาม เช้า เที่ยวปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto castle) บ่าย ไปดูห้องทำงานของหมีคุมามงที่คุมามงสแควร์ (Kumamon square) เย็น เดินทางกลับเมืองฟุกุโอกะ ที่พักในเมืองคุมาโมโตะ เนื่องจากที่เที่ยวหลักของเมืองคุมาโมโต้อย่าง ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto castle) อยู่ค่อนข้างไกลจากสถานีรถไฟหลักของเมืองครับ ผมเลยเลือกพักโรงแรมที่อยู่ใกล้ปราสาท แต่ไม่ได้ใกล้กับสถานีรถไฟ โดยในทริปนี้ ผมเลือกพักที่ Dormy Inn Kumamoto Natural Hot Spring ข้อดีของที่นี่คือ ห้องกว้าง (ตามมาตรฐานญี่ปุ่นนะ) สิ่งอำนวยความสะดวกครบ และมีออนเซ็นให้บริการด้วย แม้จะมีข้อเสียใหญ่คือ ไม่ได้ติดกับสถานีรถไฟ แต่ก็อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอย่าง ปราสาทคุมาโมโตะ( Kumamoto Castle) ในระยะที่เดินไปเที่ยวได้เลย ผมจองที่พักนี้ผ่านอโกด้า เป็นห้องแบบ Twin bed สำหรับ 2 คน รวม 2 คืน คิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ 6040 บาท (หารต่อคนอยู่ที่คนละ 3020 บาทครับ) วันที่หนึ่ง เนื่องจากเราเดินทางมาถึงที่เมืองคุมาโมโตะตอนเย็นแล้ว พอเช็คอินเข้าที่พักเสร็จ เลยยังไม่ได้เที่ยวอะไร แต่หาของกินก่อนเลย โดยร้านที่ผมจะมาแนะนำในวันนี้คือ ร้าน Katsuritsu Tei ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมของเราครับ
ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1975 และเคยได้รับการโหวตให้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองคุมาโมโตะ ว่ากันว่า เคล็ดลับความอร่อยของทางร้านคือ วัตถุดิบที่ใช้จะใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มาจากบนเกาะคิวชู อย่างเนื้อหมูที่เอามาใช้ทำหมูทอดทงคัตสึ จะต้องมาจากน้องหมูที่เลี้ยงในจังหวัดคุมาโมโตะเท่านั้นครับ
เซ็ตที่สั่งวันนี้ ราคาอยู่ที่ 2 พันกว่าเยน ถ้าเทียบกับคุณภาพและความอร่อย ผมว่าคุ้มครับ
พอทานเสร็จ เราก็กลับที่พักไปพักผ่อน แช่ออนเซ็น เป็นการปิดทริปบนเกาะคิวชูวันที่ห้าครับ วันที่สอง สำหรับแผนเที่ยววันนี้ เราจะไปเที่ยวที่ ภูเขาไฟอาโสะ (Mount Aso) ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ และถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของจังหวัดคุมาโมโตะ โดยผมเลือกใช้วิธีเดินทางไปเที่ยวแบบ one day trip จากเมืองคุมาโมโตะ และอาศัยการเดินทางด้วยรถขนส่งสาธารณะทั้งหมดนะครับภูเขาไฟอาโสะ (Mount Aso) ตั้งอยู่ในเขต เมืองอาโสะ (Aso-shi) ของจังหวัดคุมาโมโตะทางตอนกลางบนเกาะคิวชู
ภูเขาไปอาโสะถือเป็นเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก จริงๆเขตของบริเวณที่เรียกว่าภูเขาประกอบด้วยยอดของปล่องภูเขาไฟเรียงรายกันไป 5 ยอด ได้แก่ ปล่องภูเขาไฟนากาดาเกะ (Nakadake) , ปล่องภูเขาไฟทากะดาเกะ (Takadake) , ปล่องภูเขาไฟคิจิมะดาเกะ ( Kijimadake), ปล่องภูเขาไฟเอโบชิดาเกะ (Eboshidake) และ ปล่องภูเขาไฟเนเกดาเกะ (Nekedake) แต่บริเวณที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้อย่างสะดวกในปัจจุบัน มีแค่ ปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ (Nakadake) เท่านั้น ทั้งนี้การขึ้นไปท่องเที่ยวด้านบนจำเป็นต้องมีการเช็คปริมาณของก๊าซพิษที่ปากปล่องก่อน หากช่วงไหนที่มีปริมาณก๊าซพิษมากเกินความปลอดภัย หรือสภาพทางอุตุนิยมวิทยา เช่น ลมพัดแรง มีฝนตก ทางเจ้าหน้าที่ก็จะปิดไม่ให้ขึ้นไปเที่ยวด้านบนยอดเขาครับ (มีคนบอกว่า จะขึ้นไปชมที่นี่ได้ต้องพึ่งดวงมากหน่อย บางคนไปเที่ยว 2-3 รอบ ก็ยังไม่ได้ขึ้นไปบนนั้นสักครั้ง ส่วนผมค่อนข้างโชคดี มาครั้งแรกก็ได้ขึ้นไปถึงบนปากปล่องเลย) เราสามารถเช็คการเปิดปิดให้ชมปากปล่องภูเขาไฟได้ที่นี่นะครับ https://www.aso.ne.jp/~volcano/info/ ทางอุทยานจะอัพเดทแบบเรียลไทม์ให้เราดูตลอดเวลา แต่อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่า มันต้องพึ่งดวง อย่างตอนที่ผมไปนี่แหละ ผมเลือกขึ้นไปเที่ยวบนนั้นตอนเช้า แต่พอตอนบ่ายอยู่ๆลมก็แรง และหิมะตก ทางอุทยานเลยประกาศปิดปากปล่องทันทีเลย คนที่ไปตอนบ่ายเลยอดครับ สำหรับการเดินทางมาที่ภูเขาไฟอาโสะ หลายคนจะใช้วิธีเช่ารถขับ ซึ่งอาจจะเช่าจากที่เมืองฟุกุโอกะ หรือมาเช่าที่คุมาโมโตะก็ได้ครับ แต่จริงๆแล้ว เราก็สามารถเดินทางได้ด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้เช่นกัน โดยอันดับแรก เราต้องนั่งรถไฟจากเมืองคุมาโมโตะมาที่ เมืองอาโสะ (Aso-shi) ก่อน โดยเราสามารถขึ้นรถไฟทั้งขบวนปกติ ซึ่งจะใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 40 นาที หรือรถไฟ limited express ขบวน Kyushu Odan Tokkyu ที่จะใช้เวลาเดินทางเพียง 65 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีรถไฟขบวนพิเศษที่ชื่อว่า Aso boy ด้วย ซึ่งผมได้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ตอนขากลับด้วยครับ (รถไฟขบวนนี้เต็มเร็วมากนะครับ แนะนำให้จองล่วงหน้าหลายๆวัน อาจจะไปจองตั้งแต่วันแรกที่ไปแลก JR Kyushu pass ก็ได้ครับ) อันนี้เป็นตารางรถบัสจากสถานีรถไฟอาโสะ เพื่อขึ้นไปบนปากปล่องภูเขาไฟนะครับ จะสังเกตว่าใน 1 วันจะมีรถแค่ไม่กี่รอบ ดังนั้น จึงควรวางแผนการเดินทางจากเมืองคุมาโมโตะให้ดี โดยควรเลือกรอบรถไฟที่เวลาถึงทีสถานีอาโสะ ใกล้ๆกับรอบรถบัสที่จะออก เพราะถ้าเลือกรอบรถไฟผิด อาจจะต้องนั่งรอที่สถานีเพื่อรอรถบัสค่อนข้างนาน ทั้งนี้ตารางรถบัสอาจจะเปลี่ยนได้ตลอด ใครจะไปแนะนำให้เช็คจากเว็บไซต์นี้ล่วงหน้าครับ https://www.sankobus.jp/bus/asosen/jikoku/ (ตารางเป็นภาษาญี่ปุ่นนะ ใช้ google translate แปลเอา) ตั๋วรถบัส จะขายเป็น one day pass ราคาจะอยู่ที่ 1,300 เยน โดยที่เราสามารถขึ้นและลงรถบัสจุดใดก็ได้ กี่รอบก็ได้ ไม่จำกัดจำนวน แต่จุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะแวะกันมีอยู่ 2 จุดคือ Aso sanjo ซึ่งเป็นบริเวณก่อนขึ้นไปบนปากปล่องภูเขาไฟ กับ Kusasenri ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ ที่เกิดจากการไหลของธารลาวาจากภูเขาไฟ
หลังจากเดินทางมาถึงที่เมืองอาโสะ จุดแรกที่เราจะไปเที่ยวก็คือ ปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ ( Nakadake) ซึ่งวิธีการเดินทางจากสถานีรถไฟอาโสะก็คือ ให้นั่งรถบัสมาลงสุดสายที่สถานี Aso sanjo ครับ จากตรงนี้ สมัยก่อนมันจะมีกระเช้าพาขึ้นไปบนปากปล่อง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟอาโสะระเบิดเมื่อปี 2016 กระเช้าก็ได้รื้อถอนไปหมดแล้ว วิธีการเดินทางในปัจจุบัน คือต้องรถชัตเติ้ลบัสขึ้นไปถึงปากปล่อง ซึ่งเราจะต้องจ่ายค่ารถอีก 500 เยน (ราคานี้ไม่รวมในพาสที่ซื้อตอนแรกนะ ต้องจ่ายเพิ่ม)
มาดูรอบๆอาคารสถานี Aso sanjo กันก่อน ใกล้ๆกันนั้นจะมี ศาลเจ้าอาโสะซันโจ ( Aso Sanjo shrine) ที่หนุ่มสาวนิยมมาขอพรเกี่ยวกับเรื่องเนื้อคู่ เนื่องจากภูเขาไฟอะโสะนั้นได้รับการบูชาในฐานะภูเขาแห่งการมีคู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ คู่รักจึงมักเดินทางมาที่ศาลเจ้านี้ เพื่อมาสักกการะขอพร เพื่อให้ความสัมพันธ์มีความยั่งยืน และมีความสุขครับ
พอนั่งรถบัสขึ้นมาบนปากปล่อง พนักงานจะอนุญาตให้เวลาเราอยู่ที่นั่นแค่ 15-20 นาทีเท่านั้นครับ เพราะบนนี้มีแก๊สพิษ ถ้าสูดดมนานๆ อาจจะเป็นอันตรายได้ เราเลยต้องทำเวลาซะหน่อย
เดินมานิดเดียวจะเจอปากปล่องครับ ตอนผมไปไม่เห็นด้านล่างนะ เจอแต่ควันปกคลุมเต็มไปหมด
ใกล้ๆกันนั้นจะมีบังเกอร์ เผื่อเกิดกรณีที่ไม่คาดฝัน เช่น ภูเขาไฟประทุ หรือระเบิดเราต้องวิ่งเข้าไปหลบในบังเกอร์พวกนี้ แต่โชคดีที่ตอนเราไป ไม่มีโอกาสได้ใช้บังเกอร์พวกนี้ครับ
พอนั่งรถบัสลงมาจากปากปล่อง เราก็ย้อนลงมาเที่ยวที่ ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ (Kusasenri glassland) ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าที่เกิดจากการไหลของธารลาวาที่พัดลงมาจากปากปล่องภูเขาไฟเอโบชิตาเกะ ในแต่ละฤดูกาล ที่นี่จะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป อย่างตอนที่ผมไปเป็นช่วงฤดูหนาว ทุ่งหญ้าจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองตัดกับหิมะ แต่ถ้าใครมาในช่วงฤดูร้อน ทุ่งหญ้าจะเป็นสีเขียวขจี และมีกิจกรรมขี่ม้าให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย
ใกล้ๆกันนั้นจะมีแอ่งน้ำ ในช่วงที่ทุ่งหญ้าเป็นสีเขียว ที่นี่จะเป็นทุ่งปศุสัตว์ และก็มีม้าให้ขี่เล่นด้วยครับ แต่ช่วงที่ผมไป เนื่องจากอากาศหนาวมาก สัตว์เลยไม่มีสักตัว มีแต่คนอยู่ประปราย ขนาดน้ำในแอ่งยังเป็นน้ำแข็งเลย
หิมะโปรยปราย อากาศหนาวจัด อุณหภูมิติดลบครับ
จากตรงนี้เราจะมองเห็นปากปล่องภูเขาไฟเอโบชิตาเกะ (คนละลูกกับที่เราได้ขึ้นไปชมบนปากปล่องในตอนเช้านะ)
บริเวณนี้ยังมี พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอาโสะ (Aso volcano museum) แต่ผมไม่ได้เข้าไปชมนะ เพราะเท่าที่อ่านรีวิวมา การจัดแสดงเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ผมอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่อออก ก็เลยใช้ที่นี่เป็นที่หลบหนาว เป็นพักๆ (เพราะอยู่ข้างนอกนานๆไม่ไหว หนาวเกิน)
ผมเดินเล่นถ่ายรูปบริเวณนี้ยาวๆเลยครับ แต่พอถึงช่วงตอนบ่าย หิมะก็เริ่มตกหนักขึ้น อากาศเริ่มแย่ คนก็ทยอยหาย เพระสู้อากาศหนาวไม่ไหวเหมือนกัน ผมเลยตัดสินใจกลับเมืองคุมาโมโตะดีกว่า สำหรับภาพรวมของที่นี่ ถ้าว่ากันตามตรง ช่วงที่ผมไปอากาศไมดีเลยครับ หนาวมาก หิมะตกด้วย แต่ถึงอากาศจะหนาวแค่ไหน ส่วนตัวผมก็ยังชอบที่นี่ อาจจะด้วยความที่เมืองไทยเรา ไม่มีทั้งภูเขาไฟ และหิมะ แต่ที่นี่มีทั้งสองอย่าง ผมเลยประทับใจเป็นพิเศษ ถ้าใครได้มีโอกาสมาเที่ยวที่แถบคิวชู แนะนำให้มาที่นี่ให้ได้ครับวันที่สาม วันนี้เป็นวัดสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่คุมาโมโตะครับ ก่อนจากกันไป ผมก็ขอไปเที่ยวที่เที่ยวยอดฮิตของเมืองนี้ซะก่อน นั่นก็คือ ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto castle)
ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto castle) สร้างขึ้นในปี 1601 และผ่านเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนั่นก็คือ เหตุการณ์กบฎสัทสึมะ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มซามูไรจากทางตอนใต้ของคิวชู ได้ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการปกครองของโชกุนตระกูลโตกุกาวะ โดยปราสาทนี้ได้ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการในการป้องกันการเคลื่อนทัพของกลุ่มกบฎจากทางตอนใต้ของเกาะคิวชูเข้าสู่เมืองหลวงของญี่ปุ่น นั่นก็คือ เอโดะ หรือกรุงโตเกียวในปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็ต้านทานไว้ไม่ได้ และปราสาทก็ได้ถูกเผาทำลายลงในปี 1877 ต่อมาในปี 1960 ทางการของเมืองก็ได้ตัดสินใจก่อสร้างปราสาทหลังใหม่ และแล้วเสร็จในปี 2008 (เค้าค่อยๆพิถีพิถัน ค่อยๆทำการบูรณะสร้างใหม่ไปเรื่อยๆตามสไตล์ญี่ปุ่น เลยใช้เวลายาวนานถึง 48 ปี) และเมื่อทำการบูรณะเสร็จ ปราสาทนี้ก็ได้รับการโหวตจากชาวญี่ปุ่นให้เป็นปราสาทที่สวยที่สุดเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น รองจากปราสาทฮิเมจิ (Himeji castle) ในจังหวัดเฮียวโงะ ในภูมิภาคคันไซ
อย่างไรก็ตาม ปราสาทคุมาโมโตะก็งดงามอยู่ได้แค่ 8 ปี ในปี 2016 ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่จังหวัดคุมาโมโตะ ทำให้ตัวปราสาทได้รับความเสียหายอย่างหนัก การบูรณะครั้งใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง และยังดำเนินการอยู่มาจนถึงปัจจุบัน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2038 หรืออีก 15 ปีต่อจากนี้ แต่ระหว่างนี้ปราสาทก็ยังไปเที่ยวได้ดรับ โดยทางการจังหวัดคุมาโมโตะ เค้าจะทำเป็นทางเดินให้เราเห็นการบูรณะปราสาทอย่างใกล้ชิด รวมทั้งร่องรอยความเสียหายต่างๆก็ยังคงอยู่ ถือเป็นปราสาทเดียวของญี่ปุ่นตอนนี้ ที่ให้เราชมการบูรณะซ่อมแซมอย่างใกล้ชิดแบบนี้ครับ กลายเป็นจุดเด่นของปราสาทนี้ไปเลย (ชื่นชมความคิดสร้างสรรค์ของผู้บริหารเมืองที่นี่นะ ไอเดียดีมาก)
ปัจจุบัน ปราสาทคุมาโมโต้มีค่าเข้าชมอยู่ที่ 800 เยนครับ
ใกล้ๆกับปราสาทครับ จะมีถนนคนเดิน เรียกว่า โจไซเอน (Josaien) พอเราเที่ยวปราสาทเสร็จก็มาเที่ยวที่นี่ต่อเลย โดยด้านหน้าจะเจอกับเจ้าหมีดำตัวนี้ต้อนรับเราอยู่
โจไซเอน (Josaien) เป็นย่านร้านค้าที่ตกแต่งสไตล์ย้อนยุคแบบญี่ปุ่นโบราณให้เราซื้อของกิน และของฝากจากจังหวัดคุมาโมโตะ
ของที่พลาดไม่ได้ เพราะเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนี้ นั่นก็คือ ซูชิเนื้อม้าดิบ ครับ โดยราคาจะอยู่ที่ 500 เยนต่อ 2 ชิ้น ก็ถือว่ารสชาติอร่อยแบบแปลกๆดี ใครมาคุมาโมโตะ ต้องมาลองครับ
สถานที่สุดท้ายที่เราไปมาในทริปคุมาโมโตะก็คือ คุมามงสแควร์ (Kumamon square) ซึ่งตั้งอยู่ในตึกออฟฟิศใจกลางเมืองคุมาโมโตะเลยครับ ไฮไลท์ของที่นี่คือจะมีคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก และยังมีห้องทำงานของเจ้าหมีคุมามงด้วย
ความน่าสนใจของที่นี่คือ เราจะมีโอกาสได้เจอกับหมีคุมามงตัวเป็นๆ ออกมาโชว์ตัวบนเวทีให้เราได้ชมกันด้วย แนะนำให้เช็คเวลาจากเว็บนี้ก่อนนะครับ เพราะแต่ละวัน น้องจะมาคนละเวลา บางวันอาจจะมา 2 รอบ หรือบางวันอาจจะไม่มาซักรอบ จะได้ไม่พลาด อดดูน้อง https://www.kumamon-sq.jp/en/index.html แถมเพลงประจำตัวน้องครับ ผมฟังกรอกหูที่คุมามงสแควร์จนเอามันออกไปจากหัวไม่ได้แล้ว 555
VIDEO
หลังจากเที่ยวที่คุมามงสแควร์เสร็จ เราก็กลับที่พัก เก็บของ ไปสถานีรถไฟ เพื่อเดินทางกลับฟุกุโอกะครับ โดยเราจะนอนค้างที่ฟุกุโอกะ อีก 1 คืนเป็นคืนสุดท้าย ก่อนจะบินกลับกรุงเทพในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยรวมแล้วทริปที่คุมาโมโตะก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดของญี่ปุ่นที่ผมชอบมากเลย แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่เมืองใหญ่ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ แต่ที่นี่ก็มีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ มีผู้คนที่น่ารัก มีปราสาท รวมทั้งมีหมีซึ่งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำให้จังหวัดนี้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ถ้าใครมีแผนเดินทางมาที่คิวชูก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวที่คุมาโมโตะบ้างนะครับบล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง
Create Date : 20 กรกฎาคม 2566
Last Update : 23 ธันวาคม 2566 21:32:30 น.
Counter : 1041 Pageviews.