Welcome to my blog

1 วัน เจแปนเอลป์ หลังคาญี่ปุ่นบนเส้นทางกำแพงหิมะสาย Tateyama Kurobe Alpine Route


สถานที่ท่องเที่ยว : กำแพงหิมะบนเส้นทางสายTateyama Kurobe Alpine route, Japan
พิกัด GPS : 36° 34' 44.96" N 137° 34' 8.21" E


สิ่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นที่เป็นดึงดูดชาวไทยให้ไปเยือนอย่างมหาศาล นอกจากวัฒนธรรม และอาหารแล้ว สภาพอากาศก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ เนื่องจากที่นี่มีอากาศที่เย็นสบาย (กว่าที่เมืองไทย) และในบางพื้นที่ ถ้ามาถูกช่วงก็จะได้พบกับหิมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีในประเทศไทย นั่นทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับคนไทยมาโดยตลอด

สำหรับในทริปนี้ผมจะพาทุกคนขึ้นเขากันครับ หลายคนคงไม่ทราบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นเป็นภูเขา ซึ่งแม้มีผลเสียคือ ทำให้ญี่ปุ่นขาดแคลนพื้นที่ทำการเกษตร แต่ในขณะเดียวกัน ภูเขาญี่ปุ่นก็มีความสวยงาม เป็นที่ดึงดูดของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยภูเขาที่เราจะไปเที่ยวกัน จะอยู่ตรงกลางประเทศญี่ปุ่น นั่นก็คือ เทือกเขาเจแปนเอลป์ (Japan Alps) ครับ

รู้จักกับเทือกเขาเจแปนเอลป์

เป็นกลุ่มของเทือกเขาที่ตั้งไปตามแนวยาวของเกาะฮอนชู (เกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น) ชื่อนี้ถูกเรียกครั้งแรกโดย William Gowland เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีสภาพภูมิอากาศคล้ายคลึงกับเทือกเขาเอลป์ในทวีปยุโรป

 

เทือกเขาแจแปนเอลป์ตั้งอยู่แทบจะทั้ง ภูมิภาคชูบุ (Chubu region) สามารถแบ่งได้ 3 ส่วนคือ
  • Northern Alps ได้แก่ ภูเขา Hida
  • Central Alps ได้แก่ ภูเขา Kiso
  • Southern Alps ได้แก่ ภูเขา Akaishi 
สำหรับภูเขาแจแปนเอลป์ส่วนเหนือเป็นส่วนที่โด่งดังที่สุด โดยตั้งอยู่ในจังหวัด นากาโน่ (์Nagano), โทยาม่า (Toyama) และ กิฟุ (Gifu) 
 

ในบล็อกนี้ ผมจะมารีวิวการท่องเที่ยวเที่ยวในเส้นทางสายที่ชื่อว่า Tateyama-Kurobe Alpine Route ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขาเจแปนเอลป์ส่วนเหนือ (Northern Alps) ครับ

เส้นทางสาย Tateyama-Kurobe Alpine Route

เป็นเส้นทางที่ทะลุผ่าน ภูเขา Tateyama ที่มีความสูง 2,450 เมตร โดยเชื่อมระหว่าง เมืองโทยาม่า (Toyama city) ในจังหวัดโทยาม่า และ เมืองโอมาชิ (Omachi) ในจังหวัดนากาโน่

 

 
สำหรับการเดินทางบนเส้นทางนี้ถือว่าค่อนข้างสะดวก และมีระบบขนส่งสาธารณะหลากรูปแบบตลอดเส้นทาง ผ่านจุดท่องเที่ยวต่างๆดังนี้
 



 
เส้นทางนี้ไม่ได้เปิดบริการตลอดทั้งปี เนื่องจากสภาพอากาศและหิมะ ตัวอย่างเช่นในปี 2017
  • ช่วงเวลาเปิดเส้นทางให้บริการทั้งเส้นทาง (เด็นเทสึโทยาม่า – ชินาโน่โอมัตจิ) 15 เมษายน  – 30 พฤศจิกายน
  • ช่วงเวลาเปิดเส้นทางให้บริการบางส่วน (เด็นเทสึโทยาม่า – มิดางะฮาระ) 10 เมษายน – 14 เมษายน
  • ปิดเส้นทางทั้งช่วงตั้งแต่เดือนธันวาคม ถึงต้นเดือนเมษายน
ใครแพลนจะไปควรเช็คเรื่องเส้นทางเปิดปิดของแต่ละปีอีกทีนะครับ เพราะการเปิดปิดสามารถเปลี่ยนได้ตลอดตามสภาพอากาศ สามารถเช็ครายละเอียดได้จากที่นี่ https://www.alpen-route.com/th/

ตั๋วรวมสำหรับการเดินทางตลอดเส้นทาง 10,850 เยน (ใช้เดินทางได้ตั้งแต่ Dentetsu Toyama ถึง Shinano-Omachi) แต่ถ้ามี Alpine-Tateyama Matsumoto Area Tourist pass ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เราสามารถใช้ pass แลกเป็นตั๋วทั้งหมดได้ที่สถานี Dentetsu Toyama (ดังนั้น ถ้าใครจะมาที่นี่ แนะนำให้ซื้อพาสครับ)
 

สำหรับการเดินทางในวันนี้เราจะเริ่มออกเดินทางจากเมือง Toyama ที่สถานีรถไฟเอกชนที่ชื่อว่า Dentetsu Toyama ครับ (สถานีนี้อยู่ข้างๆ JR Toyama station)

เนื่องจากวันนี้ เราจะเดินทางย้ายเมืองจึงต้องมีการเคลื่อนย้ายสัมภาระ ดังนั้นเพื่อให้การท่องเที่ยวทำได้สะดวกคล่องตัว ผมจึงเลือกใช้บริการขนส่งสัมภาระ ซึ่งมีให้บริการที่สถานีนี้ โดยจะเลือกปลายทางที่รับกระเป๋าที่สถานี Shinano-Omachi (เป็นสถานีปลายทางของเส้นทางนี้) ในราคา 1,300 เยนต่อชิ้น
 

ผมนั่งรถไฟสาย Toyama Chiho Railway Tateyama Line ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ ในที่สุดก็มาถึง สถานี Tateyama  ครับ
 

จากสถานีนี้ เราขึ้นเคเบิ้ลคาร์ต่อไปยัง ที่ราบบิโจไดระ (Bijodaira) ใช้เวลาเดินทาง 7 นาที
 

 
ที่ราบบิโจไดระ (Bijodaira) เป็นจุดท่องเที่ยวแรกบนเส้นทางสายนี้ โดยด้านหน้าสถานีเคเบิ้ลคาร์ จะมีต้นไม้อยู่หนึ่งต้น ตามตำนานกล่าวไว้ว่า มีเจ้าหญิงรูปงามองค์หนึ่งมาพบต้นไม้นี้และอธิษฐานขอให้พบคู่รัก สุดท้ายคำอธิษฐานนี้ก็เป็นจริง และทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน ต้นไม้นี้จึงถูกเรียกว่า ต้นไม้หญิงงาม (Bijosugi)
 

 
บริเวณนี้เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ 3 เส้น ระยะทางตั้งแต่ 2-4 km และยังเป็นสถานที่ดูนกที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น (น่าเสียดาย ช่วงที่ไปหมอกลงจัดมาก และหิมะยังกองสูงอยู่ จึงเดินเข้าไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่)
 

 
จากหน้าสถานี Cable car เราสามารถนั่งรถบัสต่อไปเพื่อไปชมสุดยอดไฮไลท์ของทริปนี้ที่ มูโรโดะ (Murodo) ได้เลยครับ
 

 
มูโรโดะ (Murodo) ตั้งอยู่ที่ความสูง 2,450 เมตร เป็นจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดบนเส้นทางสายนี้ เพราะเป็นที่ตั้งของ กำแพงหิมะ (Yuki-no-Otani)
 

จริงๆกำแพงหิมะ เกิดจากหิมะที่กองสูงบนภูเขา เมื่อกำจัดหิมะออกจากบริเวณผิวถนน เพื่อให้รถสามารถใช้สัญจรได้ จึงเกิดเป็นกำแพง ซึ่งจะสูงมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับปริมาณหิมะในปีนั้นๆ (ตอนที่ผมไปอยู่ที่ 19 เมตร)
 



 
โดยปกติ เราจะเจอกำแพงหิมะได้ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน ไปจนถึงกลางเดือนมิถุนายนเท่านั้น หลังจากนั้นหิมะก็จะละลายไปหมด (จนกว่าจะเริ่มตกใหม่ในช่วงปลายเดือนกันยายน)
 

นอกจากกำแพงหิมะแล้ว วิวทิวทัศน์ภูเขาที่นี่ก็สวยงามมากครับ
 



บริเวณนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกหลายชนิด หนึ่งในนั้นคือ นกสายฟ้า (Raicho) ซึ่งเป็นนกเฉพาะถิ่นที่พบได้เฉพาะแถบเทือกเขาเจแปนเอลป์เท่านั้น
 

 
จาก Murodo เราก็นั่งรถบัสลอดอุโมงค์ เพื่อไปยังจุดต่อไปที่เรียกว่า ไดกังโบ ซึ่งเป็นอีกจุดที่มีวิวภูเขาหิมะที่สวยงาม
 

ถัดจากไดคังโบ นั่งกระเช้ามาอีกนิดเดียวจะเป็นบริเวณของ ที่ราบคุโรเบะไดระ (Kurobedaira) ครับ
 

จาก Kurobedaira เราก็นั่งรถต่อไปเพื่อไปยัง เขื่อนคุโรเบะ (Kurobe dam) ซึ่งเป็นเขื่อนที่ตั้งอยู่บนความสูง 1,500 เมตร และมีความสูงกำแพงเขื่อนถึง 186 เมตร โดยเราสามารถเดินเลียบสันเขื่อนเพื่อชมวิวทิวทัศน์ได้ด้วยครับ
 

 
เขื่อนนี้เริ่มสร้างในปี 1963 ใช้เวลาก่อสร้างถึง 7 ปี ด้วยแรงงานคนถึง 10 ล้านคน วัตถุประสงค์ของการสร้างเขื่อนนี้ ก็เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้หล่อเลี้ยงภูมิภาคคันไซและชูบุ จึงเรียกได้ว่าเป็น หนึ่งในผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษของญี่ปุ่น

น้ำบนพื้นผิวเหนือเขื่อน ยังเป็นน้ำแข็งอยู่เลยครับ

 

 
หลังจากชมวิวทิวทัศน์ของเขื่อนเสร็จก็ได้เวลาลงจากเขา เริ่มจากการนั่งรถรางไฟฟ้าใต้ดินไปลงที่สถานี Ogizawa จากนั้นนั่งรถบัสต่อไปยัง สถานี Shinano-Omachi

ข้างๆสถานี Shinano-Omachi จะเป็นร้านขายของฝาก ซึ่งเราสามารถรับกระเป๋าคืนได้ที่จุดนี้ครับ (ลูกศรสีแดง)

 

จากสถานี Shinano-Omachi ผมก็เดินทางต่อไปยังเมืองที่มีชื่อว่า มัตสึโมโตะ (Matsumoto) โดยรถไฟสาย JR Oito line


เมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto)

เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของ จังหวัดนากาโน่ (Nagano Prefecture)  และไม่ใช่เมืองหลวงของจังหวัด

 

 
เมืองนี้มีจุดท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดคือ ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) ซึ่งหนึ่งในปราสาทดั้งเดิมที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นเมืองตั้งต้น ในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆบนเส้นทางสายแจแปนเอลป์ ไม่ว่าจะเป็น Tateyama Kurobe alpine route หรือ Kamikochi (ในรูป)
 

 
จาก สถานีรถไฟมัตสึโมโตะ (Matsumoto railway station) เราสามารถเดินไป ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) เพื่อแวะเที่ยวถ่ายรูปสั้นๆก่อนได้ครับ

ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) เป็นปราสาทที่ได้รับสมญานามว่า ปราสาทอีกาดำ เนื่องจากผนังปราสาทมีสีดำและปีกด้านต่างๆของปราสาทแผ่กางออกเหมือนปีกนก 
 

 
ใกล้ๆกับปราสาทจะเป็นศาลเจ้าที่ชื่อว่า Matsumoto Jingja shrine
 

 
จากเมืองมัตสึโมโตะ เราก็นั่งรถไฟกลับไปที่ Nagoya ด้วยรถไฟ Limited Express สาย Shinano ครับ
 

 
สำหรับเจแปนเอลป์เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ผมชอบมากเลยครับ ทั้งกำแพงหิมะที่ยิ่งใหญ่อลังการ วิวภูเขาหิมะที่สวยงาม และการเดินทางที่แสนสะดวกสบาย อย่างไรก็ตาม การมาเที่ยวที่นี่ควรเลือกช่วงที่จะมาให้ดีนะครับ เพราะที่นี่เที่ยวได้แค่บางช่วงของปี และแต่ละช่วงก็ได้บรรยากาศที่แตกต่างกัน เช่น ถ้าใคร อยากเห็นกำแพงหิมะก็ให้มาช่วงเมษายน-มิถุนายน หรือถ้าอยาก มาชมใบไม้เปลี่ยนสี ก็แนะนำให้มาช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม

Tip: 
สำหรับการมาเที่ยวที่นี่ผมแนะนำให้เตรียมเครื่องแต่งกายมาให้พร้อม ควรใส่เสื้อกันหนาวหรือเครื่องแต่งกายที่ทนทานต่ออุณหภูมิเลขตัวเดียว (ถึงติดลบ) รวมทั้งกันลมด้วย ส่วนรองเท้าควรใช้ รองเท้าที่กันหิมะ ได้ (ถ้าเลือกรองเท้าไม่ดี น้ำที่ละลายจากหิมะอาจซึมเข้ารองเท้า เที่ยวไม่สนุกแน่นอน) นอกจากนี้อุปกรณ์สำคัญที่ห้ามขาดคือ แว่นกันแดด ที่จะใช้ป้องกันแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่จะตกกระทบลงบนหิมะด้วย

 
รีวิวนี้ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่วางแผนมาเที่ยวแถบภูมิภาคชูบุนะครับ ถ้ามีคำถามอะไร หรือมีคอมเม้นอะไรสามารถพิมพ์ไว้ใต้โพสต์นี้ได้เลยครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2566    
Last Update : 5 เมษายน 2567 21:49:29 น.
Counter : 429 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน นาโกย่า ประตูสู่ภูมิภาคชูบุ


สถานที่ท่องเที่ยว : ห้าง Oasis21 ,เมืองนาโกย่า (Nagoya), Japan
พิกัด GPS : 35° 11' 3.26" N 136° 52' 22.23" E


รีวิวในบล็อกนี้จะเป็นส่วนหนึ่งจากทริปชูบุที่ผมเคยไปมาตั้งแต่ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 นะครับ สาเหตุที่เขียนบล็อกนี้ขึ้นมา เพราะบล็อกที่เคยรีวิวเมืองนี้ไว้ก่อนหน้ามีคนตามอ่านค่อนข้างเยอะ แต่หลังจากที่ญีี่ปุ่นเปิดประเทศ ข้อมูลหลายๆอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปพอสมควร ก็เลยคิดว่า จะมารีวิวเมืองนี้อีกรอบ แต่จะอัพเดทข้อมูลสำคัญๆที่เปลี่ยนแปลงไว้ให้ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่วางแผนจะเที่ยวที่เมืองนี้นะครับ

รู้จักกับเมืองนาโกย่า (Nagoya)

นาโกย่าเป็นเมืองหลวงของ จังหวัดไอจิ (Aichi) และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของ ภูมิภาคชูบุ (Chubu) ที่อยู่ตรงกลางระหว่างเมืองหลวงอย่างกรุงโตเกียว และเมืองใหญ่อย่างเมืองโอซาก้าครับ โดยนาโกย่าทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านคมนาคม และเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคนี้

 

 
ในทางประวัติศาสตร์นั้น นาโกย่าก็ถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นฐานที่มั่นของ โอดะ โนบุนากะ, โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ และ โทกุกาวะ อิเอยาสุ ซึ่งทั้งสามเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในช่วงสงครามเซ็งโงะคุ และได้เป็นผู้ปกครองประเทศญี่ปุ่นในยุคโชกุน
 

ต่อมาในช่วงยุคหลังการปฏิวัติเมจิ นาโกย่ามีบทบาทสำคัญในฐานะที่เป็นเมืองอุตสาหกรรม เช่น ทอฝ้าย ดินปืน รวมทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ด้วย (รถยนต์ยี่ห้อ Toyota มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนี้) อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่เป็นศูนย์กลางการผลิตยุทโธปกรณ์ เช่น เครื่องบินรบ คลังน้ำมัน อุปกรณ์ทางรถไฟ ทำให้นาโกย่าเป็นอีกเมืองที่ของญี่ปุ่นที่ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ปัจจุบัน นาโกย่ากลายเป็นเมืองใหญ่ที่มีความสำคัญมากของภูมิภาคชูบุครับ เพราะเป็นที่ตั้งของ ท่าอากาศยานนานาชาติชูบุเซ็นแทร (Chubu Centrair International Airport) ซึ่งทำหน้าที่เป็นประตูไปสู่เมืองสำคัญๆของภูมิภาคชูบุ เช่น กิฟุ (Gifu), ทากายามะ (Takayama), ชิราคาวาโก (Shirakawa-go) เป็นต้น
 

 
แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
- ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยังสนามบินนาโกย่า (Chubu Centrair International Airport) ด้วยสายการบิน Thai Air Asia X (XJ638)
- ถึง Nagoya/ Check in เข้าที่พัก (Chiyoda Hotel Nagoya)
- ทานข้าวหน้าปลาไหลที่ร้าน Horaiken
- เที่ยวชมแสงสีของ Nagoya ยามค่ำคืนที่ย่าน Sakae
 
วันที่สอง
- เที่ยวชมปราสาท Nagoya
- ไปดูวาฬออก้าและเบลูก้าที่ Nagoya Aquarium/ เดินเล่นที่ Nagoya Port
- ชมศาลเจ้า Atusa Jinga Shrine
- กินไก่ทอดสไตล์ Nagoya ที่ร้าน Otusei
- กลับที่พัก

วันที่สาม
- เดินทางต่อไปยังเมืองอื่น (Takayama)

ที่พักที่เมืองนาโกย่า

ทริปนี้ผมพักที่ Chiyoda Hotel Nagoya 2 คืน ในราคา 18,000 เยน (ไป 2 คนหารกันเหลือคนละ 9,000 เยน หรือประมาณ 2,800 บาท) 

ปัจจุบัน โรงแรมนี้ปิดกิจการเรียบร้อยแล้วครับ หลังจากโดนพิษโควิดเล่นงาน ถ้าใครจะไปลองหาที่พักอื่นจากแอปจองโรงแรม ไม่ว่าจะเป็น booking หรือ Agoda ดูนะครับ ที่เมืองนี้มีที่พักหลายระดับตั้งแต่โฮสเทล ไปจนถึงโรงแรมดีๆ ระดับห้าดาวเลยครับ

วันที่หนึ่ง

สำหรับวันแรก จะเป็นการเดินทางจากสนามบินดอนเมือง เพื่อไปตั้งต้นทริปที่นาโกย่า ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และศูนย์กลางการเดินทางในภูมิภาคชูบุครับ

วิธีการเดินทางจากกรุงเทพไปนาโกย่าที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดก็คือ ขึ้นเครื่องบินไปลงที่สนามบิน Chubu Centrair International Airport โดยสายการบินต่างๆที่มีรูทบินตรงจากกรุงเทพ ซึ่งปัจจุบัน (ปี 66) เหลือแค่ การบินไทย ที่มีรูทบินตรงมาลงที่สนามบินนี้ครับ

ตอนที่ผมไป สมัยนั้นมีบินตรงของ Thai Air Asia X จากสนามบินดอนเมืองมาลงที่นาโกย่าเลย สะดวกมาก (ก็หวังว่า รูทนี้คงจะกลับมาในเร็ววันนะ)

รูทนี้จะใช้เวลาบินประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆ โดยเวลาที่ญี่ปุ่นจะเร็วกว่าที่เมืองไทย 2 ชั่วโมงครับ

เมื่อมาถึงญี่ปุ่น เราก็ต้องผ่านตม. สำหรับตม.ที่สนามบินนี้ถือว่าค่อนข้างชิลล์ครับ ผมไม่โดนถามอะไรเลยสักคำ (แต่โดนศุลกากรซักละเอียดยิบ แถมโดนค้นกระเป๋าด้วย)

ปัจจุบัน (ุุปี 66) ผมแนะนำให้ใครที่จะเดินทางไปญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนก็ตาม ก่อนเดินทาง ให้ลงทะเบียนในเว็บ Visit Japan ไว้นะครับ พอถึงที่ญี่ปุ่น ก็แค่โชว์ QR code ที่ได้จากการลงทะเบียน ไม่ต้องกรอกใบตม. อะไรอีกแล้ว สะดวกมาก (ลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์นี้ครับ https://vjw-lp.digital.go.jp/en/)


พอผ่าน ตม. และศุลกากรออกมา เราก็ต้องหาวิธีเข้าเมืองครับ จริงๆ การเดินทางเข้าเมืองที่สนามบินนี้ถือว่า ง่ายและสะดวกเหมือนสนามบินใหญ่ๆของญี่ปุ่น เพราะมีทั้งรถไฟ และรถบัสครับ

สำหรับการเดินทางเข้าเมืองโดยรถไฟ ให้เดินไปที่อาคาร Access Plaza ของสนามบินชูบุ จากนั้นซื้อตั๋วรถไฟ Meitetsu Airport Limited Express “μ-SKY” ซึ่งเป็นรถไฟด่วนเข้าเมืองในราคา 1,230 เยน ใช้เวลาเดินทาง 28 นาที

 

นอกจากนี้ ยังมีอีกวิธีที่สะดวกไม่แพ้กันก็คือ Centrair Limousine Bus ซึ่งเป็นรถบัสวิ่งตรงจากสนามบินสู่ย่านดาวทาวน์ของนาโกย่า มีจุดจอดหลายแห่ง ได้แก่ Meitetsu Bus Center 3F, Fushimi-cho, Hilton Nagoya, Nagoya Kanko Hotel, Nishiki Dori Hommachi, Sakae (Oasis21), Nagoya Tokyu Hotel ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่ 50-80 นาที รถออกทุก 1 ชั่วโมง (ผมเลือกวิธีนี้ เพราะรถบัสของเรามีจุดจอดใกล้กับโรงแรมที่ผมพักอยู่ครับ)


ส่วนการเดินทางภายในเมืองนั้น ที่นี่ถือว่าค่อนข้างสะดวกสบาย เพราะมีระบบรถไฟใต้ดินที่ค่อนข้างครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเกือบทั้งหมด
 

 
ถ้าหากจะเที่ยว Nagoya ใน 1 วัน และต้องขึ้น-ลงรถไฟใต้ดินบ่อยๆ ผมแนะนำให้ซื้อ Subway one day pass ซึ่งสามารถใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินไม่จำกัดจำนวนเที่ยวได้ใน 1 วัน ในราคาเพียง 760 เยนครับ (ผมจะใช้พาสนี้ในการเที่ยวนาโกย่าวันที่สอง)

หลังจากเช็คอินเข้าที่พัก และเก็บประเป๋าแล้ว ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี ภารกิจแรกของวันนี้คือ ตามล่าข้าวหน้าปลาไหล ซึ่งเค้าว่ากันว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อที่สุดของนาโกย่า ร้านที่ผมจะมาแนะนำในวันนี้คือ ร้านต้นตำหรับที่ชื่อว่า Horaiken ครับ

Horaiken เป็นร้านข้าวหน้าปลาไหลที่เค้าว่ากันว่าอร่อยที่สุด จริงๆร้านนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 สาขา แต่สาขาที่ผมจะพาไปชิมอยู่ในย่าน Sakae ใกล้ๆกับสถานี  Yaba-cho (M-04) โดยจะอยู่ที่ชั้น 10 ของตึก Matsuzakaya ฝั่งตึก South (ย้ำว่าตึก South นะ ตึกชื่อนี้มี 2 ที่ อย่าไปผิดตึก)

Note: ผมว่าตึกนี้หายากเหมือนกัน อธิบายทางก็คงลำบาก เอาเป็นว่าควรมี google map จะช่วยชีวิตให้ง่ายขึ้นเยอะเลย


เรามาดูข้าวหน้าปลาไหลกันดีกว่า ในภาพนี้เป็นภาพตอนมาเสริฟครับ (อันนี้เป็น set มาตรฐาน 3,600 เยน)


ก่อนจะทานเรามาศึกษาวิธีการกินที่ถูกต้องกันซะหน่อย (อาจจะดูซับซ้อนยุ่งยาก แต่ถ้าทำตาม รับรองอร่อยครับ) การกินข้าวหน้าปลาไหลที่นี่มีวิธีกิน 4 แบบคือ

(1) กินปลาไหลไปเลยเพียวๆกับข้าว ส่วนตัวผมชอบวิธีนี้มากที่สุดเพราะจะได้รับรสชาติปลาไหลแบบดั้งเดิมจริงๆ
(2) ใส่ต้นหอม สาหร่าย และวาซาบิลงไป วิธีแบบนี้จะได้รสชาติที่เผ็ดร้อนมากขึ้น
(3) เทน้ำซุปลงไป ทานแบบคล้ายๆข้าวต้ม
(4) เลือกวิธีที่ชอบจาก 1-3 (ส่วนตัวผมชอบวิธี 1 ที่สุดแล้ว)


Comment: แม้ว่าส่วนตัว ผมจะชอบวิธี 1 มากที่สุด แต่ทุกวิธีก็อร่อยในแบบของตัวเองครับ (แนะนำให้ลองทุกวิธี) สำหรับร้านนี้ผมโคตรแนะนำเลยครับ และผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าข้าวหน้าปลาไหลที่นี่เป็น 1 ในอาหารในต่างแดนที่ผมกินแล้วอร่อยที่สุด ดังนั้นถ้าใครมานาโกย่าต้องใส่ร้านนี้เข้าไปในโปรแกรมเลยครับ

หลังจากที่กินปลาไหลเสร็จ เรามาชมสีสันยามค่ำคืนของนาโกย่ากันต่อ ย่านที่ผมจะมาแนะนำในวันนี้ก็คือ ย่านซากาเอะ (Sakae) 

ย่านซากาเอะ (Sakae) 
คือย่านการค้าหลักของเมืองนาโกย่า เป็นแหล่งรวมเสื้อผ้าแฟชั่น ศูนย์การค้าใต้ดินขนาดใหญ่ ร้านแบรนด์เนม ร้านอาหาร และโรงแรมหรูๆเพียบ นอกจากนี้ ย่าน Sakae ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้ ได้แก่ Nagoya TV tower และห้าง Oasis 21

การเดินทาง: ให้ลงที่สถานี Sakae (H10/M5)


Nagoya TV tower เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนาโกย่า สร้างขึ้นในปี 1953 และใช้เวลาสร้างประมาณ 1 ปี มีความสูง 180 เมตรจากพื้นดินถึงยอด เราสามารถขึ้นไปชมวิวจากด้านบนได้ครับในราคา 700 เยน (แต่ในทริปนี้ ผมไม่ได้ขึ้นไป)


ห้าง Oasis 21 ตั้งอยู่ใกล้ๆกับ Nagoya TV tower ความโดดเด่นก็คงเป็นรูปร่างของอาคาร ส่วนด้านล่างเป็นโถงโล่งเอาไว้ทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งร้านอาหารหรูๆ (ในราคาไม่เบา) เพียบ



บริเวณใกล้ๆกันมีร้านดองกี้ด้วยนะครับ เผื่อใครจะซื้อของฝากอะไรมาดูที่นี่ได้ (ข้างในก็ใหญ่ประมาณหนึ่ง แต่ส่วนตัวผมชอบดองกี้ที่โอซาก้าตรงนัมบะมากกว่า)


เดินเล่นไปซักพักก็เหนื่อยแล้ว เราเลยเดินกลับที่พัก การเที่ยวในวันแรกก็จบเพียงเท่านี้ครับ

วันที่สอง

วันนี้เรามีเวลาเต็มวันในการเที่ยวที่เมืองนาโกย่าครับ โดยการเดินทางในวันนี้ิ เราจะใช้รถไฟใต้ดินทั้งหมด ถ้าใครจะลอกแพลนนี้ แนะนำให้ซื้อ Nagoya subway one day pass นะครับ จะคุ้มกว่าจ่ายเป็นเที่ยวๆ


สถานที่แรกที่มาเยี่ยมชมก็คือ  ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle) ซึ่งสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1610 ตามคำสั่งของ โชกุนโทกุกาว่า อิเอะยาสุ (Tokugawa Ieyasu) ซึ่งเป็นโชกุนคนแรกของยุคเอโดะ และเป็นผู้รวบรวมแผ่นดินญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นหลังจากที่แตกแยกมาเป็นเวลานาน โดยวัตถุประสงค์ของปราสาทหลังนี้ก็เพื่อใช้เป็นฐานบัญชาการอีกแห่งหนึ่งรองจากโตเกียว อย่างไรก็ตาม ตัวปราสาทหลังเดิมถูกทำลายลงอย่างราบคาบในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปราสาทที่เห็นในปัจจุบันจึงเป็นปราสาทที่สร้างขึ้นใหม่บนฐานเดิมในปี 1959 

 

 


ปราสาทหลังนี้มี 7 ชั้น โดยชั้น 2-6 จะจัดแสดงความเป็นมาของปราสาทข้าวของเครื่องใช้ในอดีต และประวัติของเมืองนาโกย่า

 

 


อันนี้เป็นปลาโลมา (เค้าบอกว่าเป็น dolphin) เอาไว้ประดับยอดของปราสาท


ส่วนชั้นที่ 7 ของปราสาท เอาไว้ชมทิวทัศน์ของเมืองนาโกย่าครับ


การเดินทาง: สถานี Shiyakusho (M07)

ที่นี่มีค่าเข้าชม: 500 เยน แต่จะมีตั๋วรวมปราสาทกับสวนโทกุกาว่า ในราคา 640 เยนด้วย เราเลยซื้อตั๋วรวม และไปชมสวนต่อ

สวนโทกุกาว่า (Tokugawa Japanese garden) ถูกสร้างขึ้นโดย โทกุกาว่า มิตสุโมโตะ (Tokugawa Mitsumoto) ซึ่งเป็นทายาทของโชกุนโทกุกาว่า อิเอะยาสุ ที่ได้ครองแคว้นที่ชื่อว่า โอวาริ (Owari) (ปัจจุบันคือ จังหวัดไอจิ (Aichi) และรอบๆเมืองนาโกย่า)
 


หลังจากที่โทกุกาว่า มิตสุโมโตะ ครองแคว้นอยู่ระยะหนึ่งก็เกษียณตัวเองไปพำนักตรงบริเวณที่สวนแห่งนี้ จนเมื่อท่านมิตสุโมโตะเสียชีวิต ที่พำนัก (รวมทั้งสวน) ก็ตกทอดอยู่ในตระกูลโทกกุกาวะสาย Owari จนกระทั่งในปี 1931 (หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง) สวนแห่งนี้ก็ถูกส่งมอบให้กับทางการเมืองนาโกย่า


การเดินทาง: ลงสถานี Ozone (M12) แล้วเดินไปอีก 15 นาที (มีป้ายชัดเจน)

จากสวน เรานั่งรถไฟใต้ดินต่อมาลงที่ย่านท่าเรือนาโกย่าที่สถานี Nagoyako (E07) ซึ่งที่นั่นจะมีอควาเรียมที่ชื่อว่า Port of Nagoya Aquarium
 

 
ไฮไลท์ที่สำคัญของที่นี่คือ วาฬเพชฌฆาต (Orca-Killer Whale) และ วาฬเบลูก้า (Beluga Whale) ครับ นอกนั้นก็เป็นการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำเหมือน Aquarium ทั่วๆไป 
 

 

ที่นี่มีค่าเข้าชม 2,000 เยน อาจจะแพงไปสักนิด แต่โดยส่วนตัว ผมว่า ค่อนข้างคุ้มครับ

 

 


หลังจากชม aquarium เสร็จแล้ว เราก็กลับมาเที่ยวแนววัฒนธรรมกันต่อ สถานที่สุดท้ายที่จะมาแนะนำในวันนี้ก็คือ ศาลเจ้า Atusa Jingu  


เป็นศาลเจ้าที่สำคัญของทั้งศาสนาพุทธและศาสนาชินโต และใหญ่เป็นอันดับสองของญี่ปุ่น รองจากศาลเจ้าอิเสะ (Ise) ในจังหวัดมิเอะ (Mie) 



ไหนๆเรามาเที่ยวศาลเจ้าแล้ว เรามาดูวิธีการเคารพศาลเจ้าให้ถูกวิธีตามแบบฉบับญี่ปุ่นกันหน่อยเพื่อความเป็นสิริมงคลครับ

1. ก่อนเข้าศาลเจ้า ต้องล้างมือชำระล้างสิ่งสกปรกก่อน โดยให้ใช้กระบวยตักน้ำล้างมือข้างซ้ายก่อนแล้วจึงล้างมือข้างขวา ท้ายสุดให้บ้วนปากเล็กน้อย (เท่าที่สังเกต หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คนญี่ปุ่นหลายคนข้ามขั้นตอนนี้ไปล่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัส)

2. การสักการะศาลเจ้ามีขึ้นตอนดังนี้ครับ
       o โค้งคำนับ 2 ครั้ง
       o ปรบมือ 2 ครั้ง
       o อธิษฐาน
       o โค้งคำนับอีก 1 ครั้ง


ค่าเข้าชม: เข้าฟรี
การเดินทาง: ลงสถานี Jingu Nishi (M27)


จริงๆนาโกย่ายังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น พิพิธภัณฑ์รถยนต์ของโตโยต้า (Toyota Commerative Museum) และ พิพิธภัณฑ์รถไฟ (SCMAGLEV and railway park) แต่เนื่องจากเรามีเวลาเที่ยวจำกัด บวกกับไม่ได้สนใจ เลยตัดออกครับ แต่ถ้าใครสนใจด้านวิศวกรรม โดยเฉพาะยานยนต์หรือรถไฟ ผมแนะนำให้ไปนะ เพราะเท่าที่อ่านรีวิวมา เค้าว่าพิพิธภัณฑ์ทั้งสองแห่งนี้ จัดแสดง และให้ความรู้ดีมาก

วันที่สาม

วันนี้เราไม่ได้เที่ยวที่นาโกย่าแล้วครับ แต่เราจะออกเดินทางแต่เช้าเพื่อนั่งรถไฟไปยังเมืองถัดไป นั่นก็คือ ทาคายามะ (Takayama) ซึ่งถ้ามีโอกาสผมจะมารีวิวเมืองนี้ให้อ่านนะครับ

 

สำหรับรีวิวเมืองนาโกย่าก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับใครที่มีแผนจะไปเที่ยวที่นี่ครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2566    
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2567 22:17:41 น.
Counter : 440 Pageviews.  

3 วัน 2 คืน คุมาโมโตะ เมืองสร้างสรรค์จากพลังหมีดำจอมทะเล้น


สถานที่ท่องเที่ยว : ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle), เมืองคุมาโมโตะ, Japan
พิกัด GPS : 32° 59' 59.83


รู้จักกับจังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto)

ถ้าพูดถึงเมืองท่องเที่ยวของญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงโตเกียว (Tokyo), เกียวโต (Kyoto), โอซาก้า (Osaka) แต่ถ้าเอ่ยถึงจังหวัดคุมาโมโตะ คนไทยส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้จักที่นี่ เพราะคุมาโมโตะอยู่บนเกาะคิวชู ห่างจากกรุงโตเกียว ซึ่งเป็นเมืองหลวงมากกว่า 1 พันกิโลเมตร
 

 
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า คุมาโมโตะจะไม่ใช่จังหวัดท่องเที่ยวยอดฮิต แต่ที่นี่ก็ยังมีหลายๆสถานที่ๆน่าไปเยือน ไม่ว่าจะเป็น ภูเขาไฟอาโสะ (Mt. Aso) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีพลังมากที่สุดลูกหนึ่งของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมี ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto castle) ที่เคยได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 2016 อีกด้วย

จุดเปลี่ยนสำคัญของจังหวัดคุมาโมโตะเกิดขึ้นในปี 2010 ครับ เนื่องจากในช่วงนั้นรถไฟความเร็วสูง (ชินกันเซ็น) เริ่มเปิดให้บริการที่จังหวัดคุมาโมโตะเพื่อเชื่อมต่อกับจังหวัดอื่นๆของญี่ปุ่น ทำให้การเดินทางมาที่นี่เริ่มสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทางผู้ว่าราชการจังหวัดคุมาโมโตะ ในสมัยนั้นคือ อิคุโอะ คาบาชิม่า (Ikuo Kabashima) จึงเห็นว่า ช่วงนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะเป็นการโปรโมทจังหวัดคุมาโมโตะให้ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติรู้จักมากขึ้น จึงได้มอบหมายให้ดีไซน์เนอร์ชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า มานาบุ มิซุโนะ (Manabu Mizuno) (คนในรูปด้านล่าง) ช่วยออกแบบโลโก้สำหรับแคมเปญโปรโมทจังหวัด แต่มานาบุ มิซุโนะ อยากออกแบบเป็นมาสคอตมากกว่าโลโก้ จึงวาดได้วาดมาสคอตตัวนี้ออกมาด้วย แล้วไปนำเสนอต่อผู้ว่าราชาการจังหวัดคุมาโมโตะ ปรากฏว่า ทางผู้ว่าก็ชอบ จึงได้ตกลงใช้มาสคอตตัวนี้เป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัด
 

มาสคอตตัวที่มิชุโนะได้ทำการออกแบบก็คือ หมีคุมามง (Kumamon) ตัวนี้นั่นเอง และด้วยความที่เจ้าหมีตัวนี้มันมีความน่ารัก สดใส บวกกับความกวนตีนนิดๆ ทำให้เจ้าหมีตัวนี้กลายมาเป็นที่ชื่นชอบของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ จนบางคนถึงกับสะสมสินค้าหมีคุมามง และยังมีหลายคน ลงทุนเดินทางไปเยือนถึงถิ่นเพื่อพบปะคุมะมงตัวจริงที่เมืองคุมาโมโตะ ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลทางด้านการท่องเที่ยวให้กับจังหวัดนี้ จนทางจังหวัดได้แต่งตั้งให้หมีคุมามงเป็น ทูตการท่องเที่ยวแห่งจังหวัดคุมาโมโตะ เลยที่เดียว
 

ต่อมาในปี 2016 ซึ่งทางจังหวัดคุมาโมโตะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ก็ได้มาสคอตเจ้าหมีตัวนี้นี่แหละครับที่คอยปลอบขวัญทั้งเด็กๆและผู้ใหญ่ชาวคุมาโมโตะให้มีกำลังใจในการต่อสู้กับภัยพิบัติ จนอาจจะเรียกได้ว่า หมีตัวนี้กลายมาเป็นจิตวิญญาณของจังหวัดคุมาโมโตะเลยก็ว่าได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อเราไปที่คุมาโมโตะ เราจะได้พบกับหมีดำตัวนี้ แทบจะทุกซอกทุกมุมของจังหวัดเลยครับ
 

อ่านถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มสนใจจะมาเยือนที่คุมาโมโตะแห่งนี้ จริงๆแล้ว การเดินทางมาที่คุมาโมโตะไม่ยากเลยครับ โดยเราสามารถบินมาลงที่ฟุกุโอกะ ซึ่งมีไฟลท์บินตรงจากเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น Thai Air Asia, Thai Vietjet Air หรือ การบินไทย จากนั้นก็นั่งรถไฟความเร็วสูงจากสถานีรถไฟฮากาตะ (Hakata station) ในเมืองฟุกุโอกะ ที่เรียกว่า คิวชูชินกันเซ็น (Kyushu Shinkansen) โดยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 40-50 นาที และค่ารถอยู่ที่ 4,700 เยนครับ 
 


Tip: ถ้าใครต้องการเดินทางท่องเที่ยวหลายเมืองบนเกาะคิวชู แนะนำให้ซื้อเป็นพาสจะคุ้มกว่าครับ โดยพาสที่ผมใช้ในทริปนี้ก็คือ North Kyushu Area pass แบบ 5 วัน โดยผมจองผ่าน klook ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 3,600 บาท (ขึ้นกับอัตราแลกเปลี่ยน ณ ตอนนั้น) โดยเราสามารถใช้พาสนี้สำหรับใช้ขึ้นรถไฟระหว่างเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟุกุโอกะ (Fukuoka), นางาซากิ (Nagasaki), คุมาโมโต้ (Kumamoto) และ ยูฟุอิน (Yufuin) รวมไปถึง ภูเขาไฟอาโสะ (Mt.Aso) ด้วยครับ 
 

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางมาถึงเมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto)
  • เช็คอินเข้าที่พัก
  • กินหมูทงคัตสึที่ร้าน Katsuritsu Tei
วันที่สอง
  • นั่งรถไฟไปเที่ยวยังภูเขาไฟอาโสะ (Mt.Aso) แบบ one day trip
  • เที่ยวชมปากปล่องภูเขาอาโสะ และทุ่งหญ้าคุซาเซนริ (Kusasenri)
  • เดินทางกลับเมืองคุมาโมโตะ
วันที่สาม
  • เช้า เที่ยวปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto castle)
  • บ่าย ไปดูห้องทำงานของหมีคุมามงที่คุมามงสแควร์ (Kumamon square)
  • เย็น เดินทางกลับเมืองฟุกุโอกะ
ที่พักในเมืองคุมาโมโตะ

เนื่องจากที่เที่ยวหลักของเมืองคุมาโมโต้อย่าง ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto castle) อยู่ค่อนข้างไกลจากสถานีรถไฟหลักของเมืองครับ ผมเลยเลือกพักโรงแรมที่อยู่ใกล้ปราสาท แต่ไม่ได้ใกล้กับสถานีรถไฟ โดยในทริปนี้ ผมเลือกพักที่ Dormy Inn Kumamoto Natural Hot Spring

 ข้อดีของที่นี่คือ ห้องกว้าง (ตามมาตรฐานญี่ปุ่นนะ) สิ่งอำนวยความสะดวกครบ และมีออนเซ็นให้บริการด้วย แม้จะมีข้อเสียใหญ่คือ ไม่ได้ติดกับสถานีรถไฟ แต่ก็อยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอย่าง ปราสาทคุมาโมโตะ(Kumamoto Castle) ในระยะที่เดินไปเที่ยวได้เลย ผมจองที่พักนี้ผ่านอโกด้า เป็นห้องแบบ Twin bed สำหรับ 2 คน รวม 2 คืน คิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ 6040 บาท (หารต่อคนอยู่ที่คนละ 3020 บาทครับ)

 

ที่พักนี้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 1 กิโลเมตร ผมเลยใช้วิธีนั่งรถรางจากสถานีรถไฟไปที่โรงแรมครับ โดยเราต้องลงที่ป้าย Keitokuko-mae แล้วเดินต่อไปอีกนิดเดียว ค่ารถรางอยู่ที่ 150 เยนตลอดสายครับ

แผนที่รถรางฉบับขยายดูได้ที่นี่ครับ
https://www.talonjapan.com/wp-content/uploads/2014/08/Kumamoto-City-Tram-Map.jpg
 

วันที่หนึ่ง

เนื่องจากเราเดินทางมาถึงที่เมืองคุมาโมโตะตอนเย็นแล้ว พอเช็คอินเข้าที่พักเสร็จ เลยยังไม่ได้เที่ยวอะไร แต่หาของกินก่อนเลย โดยร้านที่ผมจะมาแนะนำในวันนี้คือ ร้าน Katsuritsu Tei ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับโรงแรมของเราครับ


ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 1975 และเคยได้รับการโหวตให้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมืองคุมาโมโตะ ว่ากันว่า เคล็ดลับความอร่อยของทางร้านคือ วัตถุดิบที่ใช้จะใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มาจากบนเกาะคิวชู อย่างเนื้อหมูที่เอามาใช้ทำหมูทอดทงคัตสึ จะต้องมาจากน้องหมูที่เลี้ยงในจังหวัดคุมาโมโตะเท่านั้นครับ
 
เซ็ตที่สั่งวันนี้ ราคาอยู่ที่ 2 พันกว่าเยน ถ้าเทียบกับคุณภาพและความอร่อย ผมว่าคุ้มครับ
 

พอทานเสร็จ เราก็กลับที่พักไปพักผ่อน แช่ออนเซ็น เป็นการปิดทริปบนเกาะคิวชูวันที่ห้าครับ

วันที่สอง

สำหรับแผนเที่ยววันนี้ เราจะไปเที่ยวที่ ภูเขาไฟอาโสะ (Mount Aso) ซึ่งเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ และถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดของจังหวัดคุมาโมโตะ โดยผมเลือกใช้วิธีเดินทางไปเที่ยวแบบ one day trip จากเมืองคุมาโมโตะ และอาศัยการเดินทางด้วยรถขนส่งสาธารณะทั้งหมดนะครับ

ภูเขาไฟอาโสะ (Mount Aso) ตั้งอยู่ในเขต เมืองอาโสะ (Aso-shi) ของจังหวัดคุมาโมโตะทางตอนกลางบนเกาะคิวชู


ภูเขาไปอาโสะถือเป็นเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก จริงๆเขตของบริเวณที่เรียกว่าภูเขาประกอบด้วยยอดของปล่องภูเขาไฟเรียงรายกันไป 5 ยอด ได้แก่ ปล่องภูเขาไฟนากาดาเกะ (Nakadake), ปล่องภูเขาไฟทากะดาเกะ (Takadake), ปล่องภูเขาไฟคิจิมะดาเกะ (Kijimadake), ปล่องภูเขาไฟเอโบชิดาเกะ (Eboshidake) และ ปล่องภูเขาไฟเนเกดาเกะ (Nekedake) แต่บริเวณที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้อย่างสะดวกในปัจจุบัน มีแค่ ปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ (Nakadake) เท่านั้น 

ทั้งนี้การขึ้นไปท่องเที่ยวด้านบนจำเป็นต้องมีการเช็คปริมาณของก๊าซพิษที่ปากปล่องก่อน หากช่วงไหนที่มีปริมาณก๊าซพิษมากเกินความปลอดภัย หรือสภาพทางอุตุนิยมวิทยา เช่น ลมพัดแรง มีฝนตก ทางเจ้าหน้าที่ก็จะปิดไม่ให้ขึ้นไปเที่ยวด้านบนยอดเขาครับ (มีคนบอกว่า จะขึ้นไปชมที่นี่ได้ต้องพึ่งดวงมากหน่อย บางคนไปเที่ยว 2-3 รอบ ก็ยังไม่ได้ขึ้นไปบนนั้นสักครั้ง ส่วนผมค่อนข้างโชคดี มาครั้งแรกก็ได้ขึ้นไปถึงบนปากปล่องเลย)

เราสามารถเช็คการเปิดปิดให้ชมปากปล่องภูเขาไฟได้ที่นี่นะครับ https://www.aso.ne.jp/~volcano/info/ ทางอุทยานจะอัพเดทแบบเรียลไทม์ให้เราดูตลอดเวลา แต่อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่า มันต้องพึ่งดวง อย่างตอนที่ผมไปนี่แหละ ผมเลือกขึ้นไปเที่ยวบนนั้นตอนเช้า แต่พอตอนบ่ายอยู่ๆลมก็แรง และหิมะตก ทางอุทยานเลยประกาศปิดปากปล่องทันทีเลย คนที่ไปตอนบ่ายเลยอดครับ


สำหรับการเดินทางมาที่ภูเขาไฟอาโสะ หลายคนจะใช้วิธีเช่ารถขับ ซึ่งอาจจะเช่าจากที่เมืองฟุกุโอกะ หรือมาเช่าที่คุมาโมโตะก็ได้ครับ แต่จริงๆแล้ว เราก็สามารถเดินทางได้ด้วยระบบขนส่งสาธารณะได้เช่นกัน โดยอันดับแรก เราต้องนั่งรถไฟจากเมืองคุมาโมโตะมาที่ เมืองอาโสะ (Aso-shi) ก่อน โดยเราสามารถขึ้นรถไฟทั้งขบวนปกติ ซึ่งจะใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 40 นาที หรือรถไฟ limited express ขบวน Kyushu Odan Tokkyu ที่จะใช้เวลาเดินทางเพียง 65 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีรถไฟขบวนพิเศษที่ชื่อว่า Aso boy ด้วย ซึ่งผมได้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ตอนขากลับด้วยครับ (รถไฟขบวนนี้เต็มเร็วมากนะครับ แนะนำให้จองล่วงหน้าหลายๆวัน อาจจะไปจองตั้งแต่วันแรกที่ไปแลก JR Kyushu pass ก็ได้ครับ)
 
 
อันนี้เป็นตารางรถบัสจากสถานีรถไฟอาโสะ เพื่อขึ้นไปบนปากปล่องภูเขาไฟนะครับ จะสังเกตว่าใน 1 วันจะมีรถแค่ไม่กี่รอบ ดังนั้น จึงควรวางแผนการเดินทางจากเมืองคุมาโมโตะให้ดี โดยควรเลือกรอบรถไฟที่เวลาถึงทีสถานีอาโสะ ใกล้ๆกับรอบรถบัสที่จะออก เพราะถ้าเลือกรอบรถไฟผิด อาจจะต้องนั่งรอที่สถานีเพื่อรอรถบัสค่อนข้างนาน ทั้งนี้ตารางรถบัสอาจจะเปลี่ยนได้ตลอด ใครจะไปแนะนำให้เช็คจากเว็บไซต์นี้ล่วงหน้าครับ https://www.sankobus.jp/bus/asosen/jikoku/ (ตารางเป็นภาษาญี่ปุ่นนะ ใช้ google translate แปลเอา)

ตั๋วรถบัส จะขายเป็น one day pass ราคาจะอยู่ที่ 1,300 เยน โดยที่เราสามารถขึ้นและลงรถบัสจุดใดก็ได้ กี่รอบก็ได้ ไม่จำกัดจำนวน แต่จุดที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะแวะกันมีอยู่ 2 จุดคือ Aso sanjo ซึ่งเป็นบริเวณก่อนขึ้นไปบนปากปล่องภูเขาไฟ กับ Kusasenri ซึ่งเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ ที่เกิดจากการไหลของธารลาวาจากภูเขาไฟ
 

หลังจากเดินทางมาถึงที่เมืองอาโสะ จุดแรกที่เราจะไปเที่ยวก็คือ ปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ (Nakadake) ซึ่งวิธีการเดินทางจากสถานีรถไฟอาโสะก็คือ ให้นั่งรถบัสมาลงสุดสายที่สถานี Aso sanjo ครับ

จากตรงนี้ สมัยก่อนมันจะมีกระเช้าพาขึ้นไปบนปากปล่อง แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟอาโสะระเบิดเมื่อปี 2016 กระเช้าก็ได้รื้อถอนไปหมดแล้ว วิธีการเดินทางในปัจจุบัน คือต้องรถชัตเติ้ลบัสขึ้นไปถึงปากปล่อง ซึ่งเราจะต้องจ่ายค่ารถอีก 500 เยน (ราคานี้ไม่รวมในพาสที่ซื้อตอนแรกนะ ต้องจ่ายเพิ่ม)

 
 

มาดูรอบๆอาคารสถานี Aso sanjo กันก่อน ใกล้ๆกันนั้นจะมี ศาลเจ้าอาโสะซันโจ (Aso Sanjo shrine) ที่หนุ่มสาวนิยมมาขอพรเกี่ยวกับเรื่องเนื้อคู่ เนื่องจากภูเขาไฟอะโสะนั้นได้รับการบูชาในฐานะภูเขาแห่งการมีคู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ คู่รักจึงมักเดินทางมาที่ศาลเจ้านี้ เพื่อมาสักกการะขอพร เพื่อให้ความสัมพันธ์มีความยั่งยืน และมีความสุขครับ
 





พอนั่งรถบัสขึ้นมาบนปากปล่อง พนักงานจะอนุญาตให้เวลาเราอยู่ที่นั่นแค่ 15-20 นาทีเท่านั้นครับ เพราะบนนี้มีแก๊สพิษ ถ้าสูดดมนานๆ อาจจะเป็นอันตรายได้ เราเลยต้องทำเวลาซะหน่อย
 

เดินมานิดเดียวจะเจอปากปล่องครับ ตอนผมไปไม่เห็นด้านล่างนะ เจอแต่ควันปกคลุมเต็มไปหมด
 

ใกล้ๆกันนั้นจะมีบังเกอร์ เผื่อเกิดกรณีที่ไม่คาดฝัน เช่น ภูเขาไฟประทุ หรือระเบิดเราต้องวิ่งเข้าไปหลบในบังเกอร์พวกนี้ แต่โชคดีที่ตอนเราไป ไม่มีโอกาสได้ใช้บังเกอร์พวกนี้ครับ
 

 
พอนั่งรถบัสลงมาจากปากปล่อง เราก็ย้อนลงมาเที่ยวที่ ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ (Kusasenri glassland) ซึ่งเป็นทุ่งหญ้าที่เกิดจากการไหลของธารลาวาที่พัดลงมาจากปากปล่องภูเขาไฟเอโบชิตาเกะ

ในแต่ละฤดูกาล ที่นี่จะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป อย่างตอนที่ผมไปเป็นช่วงฤดูหนาว ทุ่งหญ้าจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองตัดกับหิมะ แต่ถ้าใครมาในช่วงฤดูร้อน ทุ่งหญ้าจะเป็นสีเขียวขจี และมีกิจกรรมขี่ม้าให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย



 

ใกล้ๆกันนั้นจะมีแอ่งน้ำ ในช่วงที่ทุ่งหญ้าเป็นสีเขียว ที่นี่จะเป็นทุ่งปศุสัตว์ และก็มีม้าให้ขี่เล่นด้วยครับ แต่ช่วงที่ผมไป เนื่องจากอากาศหนาวมาก สัตว์เลยไม่มีสักตัว มีแต่คนอยู่ประปราย ขนาดน้ำในแอ่งยังเป็นน้ำแข็งเลย
 

 
หิมะโปรยปราย อากาศหนาวจัด อุณหภูมิติดลบครับ
 

จากตรงนี้เราจะมองเห็นปากปล่องภูเขาไฟเอโบชิตาเกะ (คนละลูกกับที่เราได้ขึ้นไปชมบนปากปล่องในตอนเช้านะ)
 



 
บริเวณนี้ยังมี พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟอาโสะ (Aso volcano museum) แต่ผมไม่ได้เข้าไปชมนะ เพราะเท่าที่อ่านรีวิวมา การจัดแสดงเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ผมอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่อออก ก็เลยใช้ที่นี่เป็นที่หลบหนาว เป็นพักๆ (เพราะอยู่ข้างนอกนานๆไม่ไหว หนาวเกิน)
 

ผมเดินเล่นถ่ายรูปบริเวณนี้ยาวๆเลยครับ แต่พอถึงช่วงตอนบ่าย หิมะก็เริ่มตกหนักขึ้น อากาศเริ่มแย่ คนก็ทยอยหาย เพระสู้อากาศหนาวไม่ไหวเหมือนกัน ผมเลยตัดสินใจกลับเมืองคุมาโมโตะดีกว่า 

สำหรับภาพรวมของที่นี่ ถ้าว่ากันตามตรง ช่วงที่ผมไปอากาศไมดีเลยครับ หนาวมาก หิมะตกด้วย แต่ถึงอากาศจะหนาวแค่ไหน ส่วนตัวผมก็ยังชอบที่นี่ อาจจะด้วยความที่เมืองไทยเรา ไม่มีทั้งภูเขาไฟ และหิมะ แต่ที่นี่มีทั้งสองอย่าง ผมเลยประทับใจเป็นพิเศษ ถ้าใครได้มีโอกาสมาเที่ยวที่แถบคิวชู แนะนำให้มาที่นี่ให้ได้ครับ

วันที่สาม

วันนี้เป็นวัดสุดท้ายที่เราจะอยู่ที่คุมาโมโตะครับ ก่อนจากกันไป ผมก็ขอไปเที่ยวที่เที่ยวยอดฮิตของเมืองนี้ซะก่อน นั่นก็คือ ปราสาทคุมาโมโตะ
(Kumamoto castle)
 

ปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto castle) สร้างขึ้นในปี 1601 และผ่านเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนั่นก็คือ เหตุการณ์กบฎสัทสึมะ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มซามูไรจากทางตอนใต้ของคิวชู ได้ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการปกครองของโชกุนตระกูลโตกุกาวะ โดยปราสาทนี้ได้ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการในการป้องกันการเคลื่อนทัพของกลุ่มกบฎจากทางตอนใต้ของเกาะคิวชูเข้าสู่เมืองหลวงของญี่ปุ่น นั่นก็คือ เอโดะ หรือกรุงโตเกียวในปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็ต้านทานไว้ไม่ได้ และปราสาทก็ได้ถูกเผาทำลายลงในปี 1877

ต่อมาในปี 1960 ทางการของเมืองก็ได้ตัดสินใจก่อสร้างปราสาทหลังใหม่ และแล้วเสร็จในปี 2008 (เค้าค่อยๆพิถีพิถัน ค่อยๆทำการบูรณะสร้างใหม่ไปเรื่อยๆตามสไตล์ญี่ปุ่น เลยใช้เวลายาวนานถึง 48 ปี) และเมื่อทำการบูรณะเสร็จ ปราสาทนี้ก็ได้รับการโหวตจากชาวญี่ปุ่นให้เป็นปราสาทที่สวยที่สุดเป็นอันดับสองของญี่ปุ่น รองจากปราสาทฮิเมจิ (Himeji castle) ในจังหวัดเฮียวโงะ ในภูมิภาคคันไซ 

 

 
อย่างไรก็ตาม ปราสาทคุมาโมโตะก็งดงามอยู่ได้แค่ 8 ปี ในปี 2016 ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่จังหวัดคุมาโมโตะ ทำให้ตัวปราสาทได้รับความเสียหายอย่างหนัก การบูรณะครั้งใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง และยังดำเนินการอยู่มาจนถึงปัจจุบัน คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2038 หรืออีก 15 ปีต่อจากนี้ แต่ระหว่างนี้ปราสาทก็ยังไปเที่ยวได้ดรับ โดยทางการจังหวัดคุมาโมโตะ เค้าจะทำเป็นทางเดินให้เราเห็นการบูรณะปราสาทอย่างใกล้ชิด รวมทั้งร่องรอยความเสียหายต่างๆก็ยังคงอยู่ ถือเป็นปราสาทเดียวของญี่ปุ่นตอนนี้ ที่ให้เราชมการบูรณะซ่อมแซมอย่างใกล้ชิดแบบนี้ครับ กลายเป็นจุดเด่นของปราสาทนี้ไปเลย (ชื่นชมความคิดสร้างสรรค์ของผู้บริหารเมืองที่นี่นะ ไอเดียดีมาก)
 




ปัจจุบัน ปราสาทคุมาโมโต้มีค่าเข้าชมอยู่ที่ 800 เยนครับ
 

ใกล้ๆกับปราสาทครับ จะมีถนนคนเดิน เรียกว่า โจไซเอน (Josaien) พอเราเที่ยวปราสาทเสร็จก็มาเที่ยวที่นี่ต่อเลย โดยด้านหน้าจะเจอกับเจ้าหมีดำตัวนี้ต้อนรับเราอยู่
 

 
โจไซเอน (Josaien) เป็นย่านร้านค้าที่ตกแต่งสไตล์ย้อนยุคแบบญี่ปุ่นโบราณให้เราซื้อของกิน และของฝากจากจังหวัดคุมาโมโตะ
 
 


ของที่พลาดไม่ได้ เพราะเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนี้ นั่นก็คือ ซูชิเนื้อม้าดิบ ครับ โดยราคาจะอยู่ที่ 500 เยนต่อ 2 ชิ้น ก็ถือว่ารสชาติอร่อยแบบแปลกๆดี ใครมาคุมาโมโตะ ต้องมาลองครับ
 

 
สถานที่สุดท้ายที่เราไปมาในทริปคุมาโมโตะก็คือ คุมามงสแควร์ (Kumamon square) ซึ่งตั้งอยู่ในตึกออฟฟิศใจกลางเมืองคุมาโมโตะเลยครับ ไฮไลท์ของที่นี่คือจะมีคาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก และยังมีห้องทำงานของเจ้าหมีคุมามงด้วย
 
 



ความน่าสนใจของที่นี่คือ เราจะมีโอกาสได้เจอกับหมีคุมามงตัวเป็นๆ ออกมาโชว์ตัวบนเวทีให้เราได้ชมกันด้วย  

แนะนำให้เช็คเวลาจากเว็บนี้ก่อนนะครับ เพราะแต่ละวัน น้องจะมาคนละเวลา บางวันอาจจะมา 2 รอบ หรือบางวันอาจจะไม่มาซักรอบ จะได้ไม่พลาด อดดูน้อง https://www.kumamon-sq.jp/en/index.html

 

 
แถมเพลงประจำตัวน้องครับ ผมฟังกรอกหูที่คุมามงสแควร์จนเอามันออกไปจากหัวไม่ได้แล้ว 555
 

หลังจากเที่ยวที่คุมามงสแควร์เสร็จ เราก็กลับที่พัก เก็บของ ไปสถานีรถไฟ เพื่อเดินทางกลับฟุกุโอกะครับ โดยเราจะนอนค้างที่ฟุกุโอกะ อีก 1 คืนเป็นคืนสุดท้าย ก่อนจะบินกลับกรุงเทพในเช้าวันรุ่งขึ้น

โดยรวมแล้วทริปที่คุมาโมโตะก็เป็นอีกหนึ่งจังหวัดของญี่ปุ่นที่ผมชอบมากเลย แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่เมืองใหญ่ ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ แต่ที่นี่ก็มีธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ มีผู้คนที่น่ารัก มีปราสาท รวมทั้งมีหมีซึ่งเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทำให้จังหวัดนี้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ถ้าใครมีแผนเดินทางมาที่คิวชูก็อย่าลืมแวะมาเที่ยวที่คุมาโมโตะบ้างนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2566    
Last Update : 23 ธันวาคม 2566 21:32:30 น.
Counter : 1041 Pageviews.  

2 วัน 1 คืน นางาซากิ เส้นทางประวัติศาสตร์จากเมืองท่านานาชาติสู่มหันตภัยปรมาณู (ตอนที่ 2)


สถานที่ท่องเที่ยว : สะพานเมะกาเนะบาชิ (Meganebashi bridge), เมืองนางาซากิ Japan
พิกัด GPS : 32° 44' 49.52" N 129° 52' 48.49" E

วันที่สอง

ถ้าพูดถึงเมืองนางาซากิ คนส่วนใหญ่ก็คงจะนึกถึงเมืองที่เคยโดนทิ้งระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตนับแสนคน แต่จริงๆแล้วนางาซากิก็ไม่ได้มีแต่มุมที่น่าหดหู่เท่านั้นครับ ในสมัยก่อน เมืองนี้ยังมีบทบาทการเป็นเมืองท่านานาชาติทำให้ที่นี่มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมญี่ปุ่น กับวัฒนธรรมต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นจีน หรือทางชาติตะวันตก นางาซากิจึงเป็นอีกหนึ่งเมืองหนึ่งของญี่ปุ่นที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งในรีวิวตอนนี้ ผมจะรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมืองนี้กันต่อจากตอนที่แล้วกันครับ โดยในรีวิวตอนนี้ จะเน้นที่เที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสิ่งสวยงามของเมืองนี้ ส่วนมุมที่น่าหดหู่สามารถย้อนอ่านได้ใน รีวิวตอนที่แล้ว ครับ  
 

สำหรับแผนเที่ยวที่เมืองนางาซากิในรีวิวตอนนี้ ผมใช้นั่งรถรางไปลงที่ป้าย Ishibashi เพื่อเดินขึ้น Glover sky road ไปชมวิวมุมสูงของเมืองนางาซากิจาก ภูเขานาเบะคันมูริ (Mount Nabekanmuri) แล้วเดินลัดเลาะตามเส้นทางบนภูเขาต่อเพื่อไปยัง โบสถ์โออุระ (Oura church) จากนั้นก็เดินลงเขา ไปเที่ยว ท่าเรือนางาซากิ (Nagasaki Port) แล้วไปหาอะไรทานที่ นางาซากิไชน่าทาวน์ (Nagasaki China town) พอทานอาหารเที่ยงเสร็จ ในช่วงบ่ายเราก็ไปเที่ยว สะพานเมะกาเนะบาชิ (Meganebashi bridge), วัดโซฟุคุจิ (Sofukuji temple) ก่อนจะไปปิดทริปที่ ศาลเจ้าซูวะ (Suwa shrine) ครับ
 

จากที่พักของเราใกล้กับสถานีรถไฟนางาซากิ ผมนั่งรถรางมาลงที่ป้าย Ishibashi เพื่อเดินขึ้น Glover sky road (ทางเดินบันไดขึ้นเขา) มาชมวิวมุมสูงของเมืองนางาซากิจาก ภูเขานาเบะคันมูริ (Mount Nabekanmuri) ครับ








จากจุดชมวิวบนภูเขา ลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆ เราจะเจอกับบ้านโบราณตั้งแต่สมัยที่นางาซากิยังถูกปกครองโดยชาวดัตช์ ปัจจุบันทางการของเมืองได้ทำการอนุรักษ์ไว้ ให้เราเข้าชมได้ฟรีๆด้วยครับ
 



จากบ้านโบราณ เดินมาอีกไม่ไกล ก็มาเจอกับ โบสถ์โออุระ (Oura church) ที่ปัจจุบันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ ตั้งแต่ปี 2018

โบสถ์โออุระ (Oura Church) เป็นโบสถ์คริสต์สถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น สร้างเสร็จในปี 1864 เพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญ 26 คนที่ถูกลงโทษในช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นห้ามการเผยแผ่ศาสนาคริสต์

 

โบสถ์นี้มีค่าเข้าชมราคา 1,000 เยนนะครับ ถือว่า แพงใช้ได้อยู่ และส่วนตัวผมก็ไม่ได้อินกับศิลปะ หรือศาสนาคริสต์เลยไม่ได้เข้าไป ชมอยู่แค่ด้านนอกครับ

จากโบสถ์โออุระพอลงเขา จะเจอกับท่าเรือครับ แม้ว่าจะผ่านมามากกว่า 400 ปี แต่เมืองนางาซากิ ก็ยังคงมีสถานะการป็นเมืองท่านานาชาติ และเป็นหนึ่งในประตูสู่ญี่ปุ่น ทุกวันนี้ก็ยังคงมีเรือจากทั้งจีน เกาหลีใต้ และชาติต่างๆมาจอดแวะที่ท่าเรือแห่งนี้ นอกจากนี้ที่ท่าเรือนี้ยังถูกใช้สำหรับไปเที่ยวยังเกาะต่างๆของญี่ปุ่น เช่น เกาะร้างฮาจิมะ (Hashima island) ที่เคยถูกใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายหนังหลายเรื่องด้วยครับ (เสียดายทริปนี้ผมเวลาน้อย เลยไม่ได้ไป)




ใกล้ๆกันกับท่าเรือ ยังมี สวนริมทะเลนางาซากิ (Nagasaki seaside park) ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองนางาซากิ
 

 
จากท่าเรือ เดินต่อมาอีก 600 เมตร เราจะเจอกับย่านที่อยู่ของชาวญี่ปุ่นเชื้อสายจีนในเมืองนางาซากิ นั่นก็คือ นางาซากิไชน่าทาวน์ (Nagasaki Shinchi China Town) ครับ

ว่ากันว่า ในประเทศญี่ปุ่น มีไชน่าทาวน์อยู่ด้วยกัน 3 แห่ง ได้แก่ นางาซากิ (Nagasaki), โยโกฮาม่า (Yokohama) และโกเบ (Kobe) แต่ไชน่าทาวน์ที่เมืองนางาซากิ ถือเป็นไชน่าทาวน์ที่เก่าแก่ที่สุด เพราะสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17

 
สิ่งแรกที่จะเห็นเมื่อเดินทางมาถึงไชน่าทาวน์คือ ประตูสีแดงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน
 

บรรยากาศของย่านไชน่าทาวน์ครับ จะเห็นว่า ร้านค้าร้านอาหารจะตกแต่งสไตล์จีน แต่ก็ผสมผสานกับความมีระเบียบตามแบบฉบับญี่ปุ่น
 

 
เมื่อมาที่ไชน่าทาวน์ เราก็ต้องมาลองอาหารจีนครับ โดยอาหารจีนขึ้นชื่อของเมืองนางาซากิ นั่นก็คือ จัมปง (Champon) ครับ ว่ากันว่า อาหารชนิดนี้ถูกคิดค้นโดยพ่อครัวชาวจีนที่เข้ามาทำงานที่ร้านอาหารในเมืองนางาซากิในช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง  ซึ่งในช่วงนั้น ได้มีนักศึกษาชาวจีนได้เข้ามาเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นจำนวนมาก ทำให้พ่อครัวเหล่านี้ต้องคิดค้นอาหารที่ถูกปากคนจีน แต่ก็มีราคาที่ถูก และวัตถุดิบสามารถหาได้ในประเทศญี่ปุ่น จนเกิดเป็นอาหารจานนี้ขึ้นมาครับ

ร้านที่ผมมาทาน ชื่อว่่า Kyokaen นะครับ เผื่อใครอยากจะมาตามรอย

 

พอเราทานอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาเดินเที่ยวกันต่อครับ สถานที่ต่อไปที่ผมไปเที่ยวในช่วงบ่ายก็คือ สะพานเมะกาเนะบาชิ (Meganebashi bridge), วัดโซฟุคุจิ (Sofukuji temple) และ ศาลเจ้าซูวะ (Suwa shrine)

สะพานเมะกาเนะบาชิ (Meganebashi bridge) เป็นสะพานที่สร้างขึ้นโดยพระสงฆ์ชาวจีนที่จำพรรษาอยู่ที่วัดโซฟุคุจิในปี 1634 เพื่อใช้สัญจรระหว่างตัววัดกับอีกฝั่งหนึ่งของ แม่น้ำเมะกาเนะ (Megane river) ความโดดเด่นของสะพานนี้ก็คือ เมื่อเงาของสะพานสะท้อนกับน้ำ จะมีลักษณะคล้ายแว่นตา สะพานนี้เลยมีชื่อเล่นว่า สะพานแว่นตา 
 

วัดโซฟุคุจิ (Sofukuji temple) สร้างขึ้นในปี 1629 โดยได้รับเงินทุนมาจากพ่อค้าชาวจีนครับ ทำให้วัดนี้มีการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นผสมกับจีนอย่างชัดเจน ตั้งแต่ประตูวัด ไปจนถึงอาคารหลัก รวมทั้งรูปปั้นที่ตกแต่งอยู่ภายในวัด
 







ศาลเจ้าซูวะ (Suwa shrine) เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโตที่สำคัญที่สุดของเมืองนางาซากิ สร้างขึ้นในปี 1614 ตรงกับยุคสมัยของ โชกุนโตกุกาวะ อิเอยาสุ (Tokukawa Ieyasu) (คนในรูปด้านล่าง) เนื่องจากในสมัยนั้น เมืองนางาซากิถือเป็นชุมชนของชาวคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ทางรัฐบาลโชกุนจึงต้องการจะลบล้างอิทธิพลของศาสนาคริสต์ โดยการพยายามใช้วิธีการประนีประนอม ด้วยการจูงใจ (แกมบังคับ) ให้ชาวคริสต์ในเมืองนางาซากิ เปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาชินโต ศาลเจ้าแห่งนี้จึงถูกสร้างขึ้น เพื่อเป็นศาสนสถานของผู้ที่นับถือศาสนาชินโตของเมืองนางาซากิครับ
 

อย่างไรก็ตาม การพยายามเปลี่ยนศาสนามันก็ไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ ศาลเจ้านี้จึงถูกชาวคริสต์ที่ต่อต้านรัฐบาลโชกุนโจมตีอยู่บ่อยๆ จึงมีการซ่อมแซมและสร้างใหม่ขึ้นหลายครั้ง ในระยะเวลากว่า 400 ปีที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เมืองนางาซากิถูกระเบิดปรมาณูถล่ม แต่ศาลเจ้านี้กลับแทบไม่เป็นอะไรเลย รวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ๆกับศาลเจ้ากลับรอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้านี้

 

 

พอมาถึงหน้าศาลเจ้า ต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก เพื่อไปยังตัวศาลเจ้า ระหว่างทางจะมีเสาโทริอิ และสถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นให้เราถ่ายรูปเล่น  รวมทั้งรูปปั้นจิ้งจอกซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่คอยปกปักศาลเจ้าไว้
 

 
ถึงตัวศาลเจ้าหลักแล้วครับ ใครเป็นสายมูก็สามารถมาขอพรกันได้ โดยวิธีการขอพรที่ศาลเจ้าญี่ปุ่นคือ  
1) โยนเหรียญ 5 เยน เพื่อเป็นการบริจาคเงินให้วัด ยืนโค้งคำนับสองครั้ง
2) สั่นกระดื่ง (ถ้าไม่มีให้ข้ามขั้นตอนนี้ไป)
3) โค้งคำนับ 2 ครั้ง
4) ประกบมือแรงๆ เหมือนกับปรบมือ 2 ครั้ง เพื่อเรียกเทพเจ้า
5) พนมมือขอพรหรืออธิษฐานในใจ
6) เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วให้โค้งคำนับอีกรอบ 

 
        
ศาลเจ้าชูวะเป็นสถานที่สุดท้ายที่เราได้ไปเยี่ยมชมมาในทริปวันนี้ครับ หลังจากนั้น ผมก็นั่งรถรางกลับไปยังโรงแรมที่เราพักใกล้กับสถานีรถไฟนางาซากิ เพื่อไปเช็คเอาท์ และย้ายไปเที่ยวยังเมืองอื่นต่อไป

ในส่วนของริวิวภาพรวมของเมืองนางาซากินั้น เนืองจากส่วนตัวแล้ว ผมเป็นคนชอบประวัติศาสตร์อยู่แล้ว เมืองนี้เลยค่อนข้างตอบโจทย์ เพราะทุกมุมของเมือง เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ตั้งแต่ยุคอดีตที่นางาซากิยังเป็นเมืองท่านานาชาติที่เจริญรุ่งเรือ ไปจนถึงประวัติศาสตร์บาดแผลจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม เมืองนางาซากิ ก็ไม่ได้เหมาะเฉพาะสายประวัติศาสตร์เท่านั้นนะครับ ที่นี่ยังมีมุมสวยๆงามๆ เช่น สถาปัตยกรรมของพวกตึก อาคาร บ้านเรือนที่นี่จะผสมผสานระหว่างความเป็นญี่ปุ่น และตะวันตก ของกินที่นี่ก็อร่อย และยังมีที่เที่ยวแปลกๆ อย่างอควาเรียมที่รวบรวมเอานกเพนกวินจากทั่วทุกมุมโลกอย่า Nagasaki Penguin aquarium และยังมี เกาะร้างฮาจิมะ (Hajima island) ที่เคยถูกใช้เป็นโลเคชั่นในการถ่ายหนังหลายเรื่อง แต่เนื่องจากทริปนี้เรามีเวลาจำกัด เลยไม่ได้ไปสถานที่พวกนี้ เอาเป็นว่า ถ้ามีโอกาสมาที่คิวชูอีก ผมอยากมาใช้เวลาที่เมืองนี้อีกนานๆเลยครับ

สำหรับริวิวเมืองนางาซากิก็ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่วางแผนไปเที่ยวเมืองนี้ ถ้าใครชอบรีวิวประมาณนี้ ฝากติดตามอ่านต่อด้วยนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 25 มิถุนายน 2566    
Last Update : 23 ธันวาคม 2566 21:34:00 น.
Counter : 799 Pageviews.  

2 วัน 1 คืน นางาซากิ เส้นทางประวัติศาสตร์จากเมืองท่านานาชาติสู่มหันตภัยปรมาณู (ตอนที่ 1)


 
สถานที่ท่องเที่ยว : สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park), Japan
พิกัด GPS : 32° 46' 34.97" N 129° 51' 48.92" E

ถ้ายังจำกันได้ เหตุการณ์หนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก็คือ การที่ประเทศญี่ปุ่นโดน ระเบิดปรมาณู จากกองทัพสหรัฐถล่มในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จนทำให้ญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้สงคราม ซึ่งเมืองที่โชคร้ายในเหตุการณ์ครั้งนั้น มีอยู่ด้วยกันสองเมืองด้วยกัน นั่นก็คือ ฮิโรชิม่า (Hiroshima) และ นางาซากิ (Nagasaki) โดยในบล็อกนี้ ผมจะขอรีวิวเมืองนางาซากินะครับ ส่วนฮิโรชิมะนั้น ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนรีวิวอีกทีหนึ่ง


รู้จักกับเมืองนางาซากิ (Nagasaki)

นางาซากิ (์Nagasaki city) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของ จังหวัดนางาซากิ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่นครับ


เมืองนี้ถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกโดยชาวโปรตุเกสในช่วงศตวรรษที่ 16 และได้พัฒนาจากหมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็ก จนกลายมาเป็นเมืองท่านานาชาติของญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ทำให้มีโบสถ์และศาสนสถานของศาสนาคริสต์อยู่มากมายทั่วทั้งเมือง ปัจจุบัน ศาสนสถานเหล่านี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้
 

นอกจากชาวตะวันตกแล้ว ด้วยความที่เป็นเมืองท่านานาชาติ อีกชาติหนึ่งที่เข้ามาค้าขายกับญี่ปุ่นในอดีตอีกชาติหนึ่ง นั่นก็คือ จีนครับ นางาซากิจึงเต็มไปด้วยวัดวาอารามแบบจีนอยู่ทั่วทั้งเมือง และยังมีไชน่าทาวน์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ไม่ได้จดจำเมืองนางาซากิในฐานะการเป็นเมืองท่านานาชาติ แต่กลับรู้จักที่นี่ในฐานะเมืองที่โดนระเบิดปรมาณูจากกองทัพสหรัฐฯถล่มในวันที่ 9 สิงหาคม ปี 1945 ทำให้นางาซากิเป็นเมืองที่สองถูกทิ้งระเบิดปรมาณู (ต่อจากเมืองฮิโรชิม่า) ซึ่งร่องรอยความเสียหาย รวมทั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องก็ยังคงปรากฏอยู่ที่นี่มาจนถึงปัจจุบัน

สำหรับวิธีการเดินทางมายังเมืองนางาซากิ นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่มักจะบินมาลงที่ฟุกุโอกะ เนื่องจากไฟลท์บินตรงจากประเทศไทย จากนั้นก็นั่งรถไฟจาก สถานีฮากาตะ (Hakata) ในเมืองฟุกุโอกะมาที่เมืองนี้

รถไฟจากเมืองฟุกุโอกะมีค่อนข้างถี่ครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง แต่จะต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานี Takeo Onsen เพื่อนั่งรถไฟชินกันเซ็นขบวน Kamome ต่อไปเพื่อมายังเมืองนางาซากิครับ (ถ้าใครต้องการจะเดินทางท่องเที่ยวหลายเมืองบนเกาะคิวชู รวมทั้งเมืองนางาซากิด้วยรถไฟ แนะนำให้ลองศึกษาเรื่อง North Kyushu pass เพราะถ้าวางแผนการใช้งานดีๆ จะทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลย)

นอกจากรถไฟแล้ว ถ้าใครเดินทางมาจากเมืองอื่นของญี่ปุ่นที่อยู่นอกภูมิภาคคิวชู และอยากประหยัดเวลาการเดินทาง ก็สามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้ โดยที่เมืองนี้มี ท่าอากาศยานนานาชาตินางาซากิ (Nagaski international airport) ซึ่งมีไฟลท์บินตรงจากเมืองหลักของญี่ปุ่นหลายเมือง ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว (ทั้งนาริตะและฮาเนดะ), นาโกย่า และ โอซาก้า

เมืองนางาซากิเป็นเมืองขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่มากจึงไม่มีรถไฟใต้ดินเหมือนที่ฟุกุโอกะ แต่ที่นี่มี รถราง (Tram)

ปัจจุบันรถรางที่เมืองนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 สาย ครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทั่วทั้งเมือง โดยค่ารถรางจะอยู่ที่ 130 เยนตลอดสาย ไม่ว่าจะขึ้นใกล้หรือไกลก็ตาม แต่ถ้าใครวางแผนจะเที่ยวที่เมืองนี้หลายๆที่ในวันเดียว และต้องขึ้นลงรถรางหลายๆรอบ ผมแนะนำให้ซื้อเป็น Nagasaki tram 1 day pass จะคุ้มกว่าครับ (ราคาพาส 600 เยน ต้องขึ้น 5 รอบขึ้นไป ถึงจะคุ้ม)


แผนที่รถรางในเมืองนางาซากิฉบับขยายดูได้ที่นี่ครับ
https://www.discover-nagasaki.com/en/featured-topics/nagazasshi7

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง

  • เดินทางไปยังเมืองนางาซากิ (Nagasaki)
  • เที่ยวชมเมืองนางาซากิ ได้แก่  สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park), พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic bomb museum), มหาวิหารอุราคามิ (Urakami Cathedral) และจุดที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงบนเมืองนางาซากิ (Nagasaki hypecenter park)
  • เย็น: ชมพระอาทิตย์ตกดินจากบนภูเขาอินาสะ (Mt.Inasa)
วันที่สอง
  • เดินชมร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของเมืองนางาซากิ ได้แก่ ศาลเจ้าซูวะ (Suwa shrine),  วัดโซฟุคุจิ (Sofukuji temple), วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji temple), สะพานแว่นตา (Meganebaeshi bridge), โบสถ์โออุระ (Oura church) สวนริมทะเลนางาซากิ (Nagasaki seaside park) และย่านไชน่าทาวน์ของเมืองนางาซากิ
  • เย็น เดินทางออกจากเมืองนางาซากิต่อไปยังเมืองอื่น


ที่พักในเมืองนางาซากิ

ทริปนี้ผมเลือกพักที่ Hotel  Cuore Nagasaki Ekimae ครับ ข้อดีของที่นี่คือ ใกล้กับสถานีรถมาก แล้วก็ยังใกล้กับป้ายรถรางสำหรับเดินทางรอบเมืองนางาซากิ นอกจากนี้ห้องยังถือว่าใหญ่ เมื่อเทียบกับโรงแรมญี่ปุ่นหลายที่ แต่ที่นี่ก็มีข้อเสียคือ พนักงานน้อย และบางช่วงเวลาจะไม่มีพนักงานให้บริการครับ แต่เราสามารถเช็คอินด้วยตัวเองผ่านตู้อัตโนมัตินะ ไม่ยาก ผมจองที่พักนี้ผ่านอโกด้า เป็นห้องแบบ Twin bed สำหรับ 2 คน คิดเป็นเงินไทย อยู่ที่ 2732 บาท (หารต่อคนอยู่ที่คนละ 1366 บาทครับ)


วันที่หนึ่ง

เวลาที่พูดถึงนางาซากิ หลายคนคงจะนึกถึงเรื่องราวของระเบิดปรมาณูในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งสถานที่ๆจะทำให้เราได้รับรู้ข้อมูลเรื่องราวของเหตุการณ์นี้ได้ดีที่สุดก็คือที่นี่ครับ

การเดินทางมายัง พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki atomic bomb museum) สามารถเดินทางได้ด้วยรถรางมาลงที่ป้าย Atomic bomb museum โดยจะมีค่าเข้าชม 200 เยน หรือประมาณ 50 บาท ซึ่งถือว่าถูกมากสำหรับการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศญี่ปุ่น อาจจะเป็นเพราะว่า ที่นี่เค้าไม่ได้จะมาหากำไร แต่ต้องการให้คนเข้ามาชมกันเยอะๆจะได้เข้าใจถึงเรื่องราว และมหันตภัยจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เพื่อเตือนใจว่า เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ระเบิดปรมาณูจำลองขนาดเท่าของจริงครับ ระเบิดลูกนี้มีชื่อว่า Fatman เป็นระเบิดที่มีเชื้อเพลิงเป็น สารพลูโตเนียม-239 (Plutonium-239) ส่งผลทำให้ 1 ใน 3 ของเมืองนางาซากิพังพินาศ และมีผู้เสียชีวิตทันทีมากกว่า 7 หมื่นคน และยังมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกัมมันตรังสีที่เสียชีวิตภายหลังอีกจำนวนมาก

นาฬิกาที่หยุดเดินในตอนที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมาที่เมืองนางาซากิครับ เวลาจริงที่ระเบิดถูกทิ้งลงมาคือ ตอน 11.02 น. ของวันที่ 9 สิงหาคม 1945

เนื่องจากนางาซากิเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในหุบเขา (ต่างจากเมืองฮิโรชิม่าที่โดนระเบิดปรมาณูไปก่อนหน้านั้น) ทำให้เมื่อระเบิดถูกทิ้งลงมา มันเลยเกิดเป็นเปลวเพลิงมรณะ เผาผลาญอยู่ในบริเวณหุบเขาตรงนั้น ทำให้ความเสียหายไม่ได้ขยายเป็นวงกว้าง แต่จุดที่ได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าที่เมืองฮิโรชิม่ามาก

ห้องโถงขนาดใหญ่ จำลองภาพของ อาสนวิหารอูรากามิ (Urakami cathedral) หลังเก่าที่ได้รับความเสียหายจากระเบิดปรมาณู เนื่องจากอยู่ห่างจากจุดที่ระเบิดถูกทิ้งไปแค่ 500 เมตร

ระเบิดที่ถูกทิ้งลงมา ได้สร้างความร้อนอย่างมหาศาล เผาผลาญทุกสิ่งในเมืองนางาซากิ แม้แต่โลหะ หรือขวดแก้วก็ยังหลอมละลาย



เสื้อผ้าของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากระเบิดปรมาณู บางคนก็เสียชีวิตทันทีจากความร้อน หรือบางคน แม้จะไม่เสียชีวิตทันที แต่ก็ต้องทรมานจากโรคมะเร็ง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

กล่องใส่อาหารกลางวันของนักเรียนหญิงที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใกล้ๆกับบริเวณที่ถูกระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมา ผลคือนักเรียนเหล่านั้นทั้งหมดเสียชีวิตครับ

ปัจจุบัน ระเบิดปรมาณูมีอยู่ทั่วโลกนับหมื่นลูก มากที่สุดจะอยู่ในประเทศรัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ก็หวังว่า คงจะไม่มีใครบ้าพอที่จะกดปุ่มใช้ระเบิดพวกนี้ จนก่อให้เกิดหายนะซ้ำรอยกับที่เกิดกับเมืองนางาซากิอีกนะครับ

เดินจากพิพิธภัณฑ์มาไม่ไกล เราจะเจอกับจุดที่ระเบิดปรมาณูถูกทิ้งลงมาจริงๆ ที่เรียกว่า Nagasaki hypocenter park โดยเค้าจะทำเป็นแท่นอนุสรณ์สถานให้เรารำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ด้วย

เดินต่อมานิดเดียวก็จะเจอกับ สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park) ครับ 

พอเดินเข้ามาในสวน เราจะเจอกับ น้ำพุสันติภาพ (Fountain of Peace) โดยน้ำพุนี้ต้องการสื่อถึงตอนที่นางาซากิโดนถล่มด้วยระเบิดปรมาณู ผู้คนจำนวนมาก นอกจากตาย เพราะโดนระเบิดแล้ว ยังตายเพราะขาดน้ำอีกด้วย น้ำพุนี้จึงเปรียบเสมือนบ่อน้ำแห่งชีวิตนั่นเอง

ภายในสวนจะมีประติมากรรมรูปปั้นต่างๆ จากศิลปินจากหลายๆประเทศ เช่น เช็กโกสโลวาเกีย เยอรมนี ฝรั่งเศส ที่ทำให้เราได้รับทั้งความสงบสุข ผสมกับความหดหู่กับเหตุการณ์ในครั้งนั้น

รูปปั้นประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่ และเป็นสัญลักษณ์ของสวนนี้ก็คือ รูปปั้นอันนี้ครับ โดยทางศิลปินได้ทำการออกแบบให้รูปปั้นนี้เป็นคนรูปร่างบึกบึนแข็งแรง ที่พร้อมจะปกป้องสันติภาพเอาไว้ มือขวาของรูปปั้นชี้ขึ้นท้องฟ้า บ่งบอกถึงระเบิดปรมาณูที่ถูกทิ้งลงมาจากเครื่องบิน ส่วนมืออีกข้าง สื่อถึงสันติภาพ ในขณะที่ตาของรูปปั้นจะหลับอยู่เพื่อเป็นการอธิษฐานไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะที่ไหนบนโลกนี้ก็ตาม

เดินต่อจากสวนสันติภาพไปไม่ไกล จะเจอกับ อาสนวิหารอูรากามิ (Urakami Cathedral) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า อาสนวิหารพระแม่ปฏิสนธินิรมล (Immaculate conception cathedral) หรือ อาสนวิหารนักบุญมารี (St. Mary’s Cathedral) สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1895 หลังจากที่ทางการญี่ปุ่นเลิกแบนการนับถือศาสนาคริสต์ ในตอนแรกสุด อาสนวิหารนี้ถูกสร้างด้วยอิฐ ด้วยศิลปะแบบนีโอโรมาเนสก์

ต่อมาในวันที่ระเบิดปรมาณูถล่มที่เมืองนางาซากิ เนื่องจากอาสนวิหารนี้อยู่ห่างจากจุดที่ทิ้งระเบิดแค่ 500 เมตร ทำให้ผู้คนที่กำลังประกอบพิธีมิสซาในโบสถ์ในวันนั้น เสียชีวิตทั้งหมดในทันที ส่วนตัวอาสนวิหารก็ได้รับความเสียหายทั้งหมด อาสนวิหารที่เราเห็นในวันนี้ เป็นของใหม่ที่สร้างขึ้นมาในปี 1958 ครับ





หลังจากที่เราเที่ยวชม สถานที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิไปแล้ว เพื่อไม่ให้จิตใจหดหู่เกินไป ผมขอเปลี่ยนบรรยากาศมาดูสิ่งสวยๆงามๆของเมืองนี้กันบ้างครับ ที่เมืองนางาซากิ จะมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งที่ชื่อว่า ภูเขาอินาสะ (Mount Inasa) ซึ่งเป็นภูเขาที่ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในสามจุดชมวิวมุมสูงงที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น (อีกสองที่คือ ภูเขาฮาโกดาเตะที่ฮอกไกโด กับภูเขาร็อคโกที่เมืองโกเบ)

การเดินทางมาที่นี่ให้นั่งรถรางมาลงที่สถานี Takaramachi แล้วเดินต่อมากิโลกว่าๆ มาที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ (ใน google map จะเขียนว่า Fuchi shrine station) อาจจะเดินไกลหน่อย แต่ที่ญี่ปุ่นเดินได้ค่อนข้างสบาย เพราะทางเดินเค้าดี และอากาศไม่ร้อน เดินแค่ 10 กว่านาทีก็ถึงแล้วครับ

พอมาถึงเราต้องซื้อตั๋วเคเบิ้ลคาร์ ไปกลับอยู่ที่ 1,250 เยน

มาถึงข้างบนแล้วครับ สวยมากกกกกกก ยิ่งมาตอนพระอาทิตย์ตกดิน พอตะวันลับขอบฟ้า แล้วทั้งเมืองจะค่อยๆเปิดไฟ ถือเป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดที่เคยดูมาในชีวิตเลยครับ (ของจริงสวยกว่าในรูปเยอะมากกกกก)





ใครจะมาที่นี่ แนะนำให้เตรียมเสื้อกันลมมาด้วยนะครับ ตอนผมไป ลมแรงและหนาวมาก ยิ่งผมมาในช่วงเดือนมกราคม อุณหภูมิน่าจะติดลบแหละ ขนาดใส่เสื้อ 3-4 ชั้น ยังเอาไม่อยู่เลย ดูได้แปบเดียว ต้องลง เพราะหนาวมาก

ทั้งหมดนี้ก็เป็นที่เที่ยวในเมืองนางาซากิวันแรกของผมครับ เชื่อว่าหลายคนที่อ่านรีวิวเมืองนางาซากิในตอนนี้ คงจะรู้สึกเหมือนกันว่า เมืองนี้มีแต่เรื่องราวที่น่าหดหู่เศร้าใจ แม้ว่าเรื่องราวที่เลวร้ายในวันนั้นจะผ่านมามากกว่า 70 ปีแล้ว แต่ร่องรอยของบาดแผลจากสงครามในวันนั้นก็ยังคงอยู่ และคอยย้ำเตือนให้พวกเราเห็นถึงความเลวร้ายจากสงคราม ที่สุดท้ายแล้ว คนที่ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็คือ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ นั่นเองครับ

จริงๆแล้วเมืองนางาซากิแห่งนี้ ไม่ได้มีแค่ที่เที่ยวที่เกี่ยวกับระเบิดปรมาณูเท่านั้นนะ อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า เมืองนี้เป็นเมืองท่านานาชาติตั้งแต่ยุคอดีต ทำให้ที่นี่ยังมีที่เที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอื่นๆอีกมากมาย สำหรับที่เที่ยวอื่นๆของเมืองนางาซากิ ผมจะขอนำมารีวิวต่อในตอนหน้า ฝากติดตามกันต่อด้วยนะครับ


บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2566    
Last Update : 23 ธันวาคม 2566 21:33:48 น.
Counter : 1045 Pageviews.  

1  2  3  4  

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.