วันที่ 8 วันแห่งมิวเซียม Sainte Chapelle, Louvre, Orangerie

24 มีนาคม 2568

โปรแกรมแน่นมาก เพราะมีนัดเข้ามิวเซียมตั้ง 3 ที่ เริ่มต้นที่ Sainte Chapelle ต่อด้วย Louvre และ Orangerie เป็นจุดสุดท้าย แม้ว่าทั้งหมดนี้จะมี Paris Museum Pass ที่ใช้เข้าได้อยู่แล้ว แต่เพราะเป็นมิวเซียมยอดฮิต ในเวบของ PMN ใช้คำว่า Mandatory reservation คือ บังคับจองรอบเข้าเท่านั้นที่จะการันตีว่าจะได้เข้าแน่ๆ



โหลดมื้อเช้าที่โรงแรมให้แน่น เราพกครัวซองกับชีสที่เหลือจากที่เค้าเสิร์ฟติดมาด้วย ซึ่งจะเป็นสิ่งช่วยชีวิตของวันนี้ในเวลาต่อมา



นี่ว่าคิดถูกมากที่เลือกมานอนโรงแรมกลางเมือง ทำให้เดินทางง่าย ใกล้กับที่เที่ยว แล้วบรรยากาศแถวนี้มันดี ขนาดเป็นป้าเอเชียตัวเล็กๆมาคนเดียวก็ไม่รู้สึกว่าปารีสน่ากลัวเลยอ่ะ เดินจากโรงแรมไป Sainte Chapelle แค่ 300 เมตร ระหว่างทางข้ามแม่น้ำ Seine เห็นโบสถ์ Notre-Dame มันคือปารีสที่ถูกต้อง 



จองรอบเข้า Sainte Chapelle ตอน 9 โมง มาถึงก็พบว่ามีคนมาต่อแถวยาวอยู่ก่อนหน้าแล้ว ถ้าจองรอบเวลามาก่อนก็ไม่ต้องกังวล ยังไงก็ได้เข้าตามรอบที่จองมาแน่นอน ส่วนแถวที่ไม่ได้จองมาก่อนคือยาวมากๆ ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหนนน๊



Sainte Chapelle ตั้งอยู่บนเกาะ Île de la Cité ใจกลางกรุงปารีส เป็นจุดที่เคยเป็นวังเก่าในยุคกลาง ซึ่ง Sainte Chapelle ถูกสร้างขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 13 เพื่อใช้เป็นวัดน้อยสำหรับคนในวังนั่นเอง

ด้วยความที่อยู่ติดกันกับศาลเมืองปารีส กว่าจะผ่านซิเคียวริตี้มาได้ก็ตรวจกันละเอียดอยู่ ห้ามเอาน้ำเข้า เราเลยได้เทน้ำดื่มทิ้ง เดชะบุญยังเก็บขวดเปล่าไว้หาเติมน้ำต่อได้ แล้วตะกี้ก่อนออกโรงแรมเพิ่งกรอกน้ำมาซะเต็มขวดเลยกรู 555 

เปิดประตูเข้ามา ก็ป๊ะกับห้องขายของที่ระลึกสีคัลเลอร์ฟูลที่เป็นแค่น้ำจิ้ม เดี๋ยวได้วนกลับมาตรงนี้อีกแหละ เข้าออกประตูเดียวกัน




เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ค่อยเจอความสวยตาแตกแบบจัดเต็ม
สมกับคำโฆษณาที่เค้าว่า ที่นี่เป็นอัญมณียอดมงกุฎของสถาปัตยกรรมโกธิคแห่งคริสตศตวรรษที่ 13 



กระจกสีรายล้อมทุกทิศทาง เหมือนอยู่ในกล่องเพชรกล่องพลอยประมาณนั้น



พื้นที่เล็กนิดเดียวแต่ดัชนีความว้าวสุดเพดาน เค้าจำกัดจำนวนคนเข้าต่อรอบให้ไม่แออัด อยู่ได้ครั้งละไม่เกินครึ่งชม. และมีเจ้าหน้าที่ส่งเสียงชู่ว์ไม่ให้คุยเสียงดังเป็นระยะๆ



Palais de Justice de Paris ศาลเมืองปารีสที่อยู่ติดกัน เหมือนวันนี้มีงานสำเร็จการศึกษาอบรมอะไรซักอย่าง มีคนมาถ่ายรูปแสดงความยินดีกับคนใส่ชุดครุยอยู่หลายกลุ่ม

แล้วก็เป็นที่นี่แหละ ที่มีการตัดสินโทษประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอองตัวแน็ต 



Conciergerie ป้อมปราการและวังของกษัตริย์ฝรั่งเศสในยุคกลาง ต่อมาใช้เป็นคุกขังนักโทษคดีการเมือง รวมถึงใช้ขังมารี อองตัวแน็ตอยู่หลายเดือนก่อนจะถูกประหารชีวิต เราติดตาฉาก Conciergerie จากตอนพิธีเปิดโอลิมปิกปารีส 2024 สุดๆ ดีใจที่ได้มาเห็นของจริงซักที ปกติคนเข้า Sainte Chapelle ก็มักจะเข้าชมที่นี่ต่อเลย เพราะอยู่ติดกัน แต่เราขอข้ามไปก่อน มีนัดถัดไปตอนสิบโมง เดี๋ยวมันจะไม่ทันเอา 



เมืองปารีสถูกแบ่งกลางด้วยแม่น้ำเซน แยกเป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ฝั่งซ้ายแม่น้ำเซน หรือ Rive Gauche ที่เราพักอยู่ จะมีบุคลิกแบบศิลปิน ชิลๆ ย่านมหาวิทยาลัยเป็นแหล่งไอเดียใหม่ๆ ส่วนฝั่งขวา Rive Droite บุคลิกจะหรูหรา เป็นวังเก่า ย่านช้อปปิ้งไรงี้ 

ข้ามสะพานมาปุ๊บเจอเลยหนึ่งห้างเก่าแก่ Samaritaine
อ่านเจอจากไหนมาไม่รู้ว่า คำว่าเริ่ดสะแมนแตน มาจากชื่อนี้ Le Samaritaine
เราว่ามันก็เป็นไปได้อยู่นะ 555 



มาถึงแล้ว มิวเซียมที่อยากมาซักครั้งในชีวิต 
Musee de Louvre



มาต่อแถวรอเข้าที่ปิระมิดแก้วทางเข้าหลักของพิพิธภัณฑ์ คนออกแบบว่ากล้าแล้ว คนอนุมัติให้ทำกล้ากว่าอีก แหวกลานกลางพระราชวังด้วยปีระมิดแก้วจากสถาปนิกชาวจีนอเมริกัน ใจพี่มันได้!!
นี่ถ่ายมุมหลบคน



ส่วนนี้คือสภาพจริง แถวยาวทบกันไปมา แต่ก็ค่อยเคลื่อนไปเรื่อย ที่เห็นนี่เป็นแถวของคนจองรอบเข้ามาแล้วนะ 



15 นาทีต่อมา เราก็อยู่ด้านในปิรามิดเรียบร้อย สวยนะ ดูโมเดิร์นตัดกับวังเดิมๆดี



พิพิธภัณฑ์ลูฟเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดรวมผลงานต่างๆไว้เป็นแสนชิ้น แต่ที่นำออกแสดงมีประมาณ 35000 ชิ้น ทุกอารยธรรมมนุษย์ทุกยุคสมัยบนโลกนี้ ฝรั่งเศสได้แฮฟมารวมไว้ที่นี่แล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางดูได้ทั้งหมดในเวลาอันสั้นได้ สำหรับเรามีให้เวลาลูฟ 5 ชั่วโมง ดังนั้น choose wisely ค่ะสาว แผนที่มา!!

แบ่งเป็น 3 ปีก Denon, Richelieu, Sully wing
ที่ตั้งใจมาดูจะอยู่ที่ Denon wing ซะเยอะ ดังนั้นพุ่งไป Denon wing ก่อนค่ะ



ลูฟต้อนรับด้วย Nike of Samotrace ตั้งเด่นเป็นสง่าตรงโถงบันไดฝั่งเดอนง



ถ้าเป็นมิจฉาชีพ ชั้นจะซื้อตั๋ว 20 กว่ายูโร มาล้วงกระเป๋าคนในลูฟนี่แหละ
คิดชั่วๆได้ตอนเดินผ่านแถวๆนี้ คนแออัดมาเบียดกันตรงทางสามแพร่งนี้มากมาย น่าล้วงได้หลายยูโร คืนทุนไวแน่ๆ



มาถึงอีกสุดยอดทำเลทองของนักล้วง ห้อง Italian Paintings รวมเอาภาพจากศิลปินคนดังในเวนิส ทั้ง Titian, Tintoretto, Veronese แต่ทุกคนที่เข้าห้องนี้ดูจะมุ่งตรงมายังภาพพอร์ทเทรตเล็กๆของสตรีคนหนึ่ง

ใช่แล้วฮ่ะ เราจะมาเยี่ยมเยียนภาพสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกกัน เห็นหนูมั้ยค๊าาา ฝั่งขวามือ รูปเล็กนิดเดียวนั่นล่ะ



สวัสดีค่ะ ดิชั้น Mona Lisa เองค่ะ

ภูมิใจที่สามารถมุดเล็ดลอดมาจนอยู่แถวหน้าสุดได้ ตั้งใจมาจากบ้านไว้แล้ว ว่าข้ามน้ำข้ามทะเลมาขนาดนี้ ต้องเจอโมนาลิซ่าแบบใกล้ๆไม่มีหัวคนบังให้ได้



โมนาลิซ่าคือใคร มีหลายเรื่องมากตั้งแต่ดาวินชีวาดตัวเองในภาคผู้หญิง หญิงสาวปริศนาผู้มีรอยยิ้มลึกลับ แต่ที่เราเลือกจะเชื่อคือ เธอคือภรรยาของเจ้าสัวเวนิสตระกูล Gioconda ที่ได้ว่าจ้างให้เลโอนาร์โด ดาวินชีวาดรูปสุดที่รักให้ ในพิพิธภัณฑ์บางป้ายบอกทางจะเขียนว่า La Joconde ซึ่งเป็นชื่อภาพนี้ในภาษาฝรั่งเศส

หันหลังให้โมนาลิซ่า ผนังอีกฝั่งคือภาพวาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของมิวเซียม
The Wedding Feast at Cana วาดโดย Veronese



พักชมสิ่งน่าสนใจนอกหน้าต่างซักครู่ 
ดู พอเข้ามิวเซียม อากาศข้างนอกก็สดใสเชียวนะ ฮึ่มมม



ห้อง French Paintings 
ตรงไหนคนเยอะ แสดงว่าเราต้องตามไปมุงด้วย หลักการของวันนี้



อีกภาพที่ต้องมาเห็นกับตาเนื้อให้ได้ Liberty Leading the People ของ Eugene Delacroix ที่สื่อถึงการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ฝรั่งเศส French Revolution ในปี 1789


นอกจากนี้ยังเป็นภาพหน้าปก Viva la Vida ของ Coldplay อีกด้วย เอ๊าเพลงมา I used to rule the world. Sea would rise when I gave the word.



ลูฟก็คือวังเก่าก่อนพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะย้ายไปอยู่แวซาย ดังนั้นแค่ความโออ่าหรูหราข้างในก็คุ้มค่าที่จะเข้ามาดูแล้วล่ะ 



บลอกที่แล้วไปดูภาพ The Coronation of Napoleon ที่แวซาย ส่วนบลอกนี้พามาดูภาพเดียวกันแต่เป็นภาพต้นฉบับกันที่ลูฟ ดูมันทั้ง 2 ที่ไปเล้ย

เป็นภาพที่ให้ศิลปินไปเก็บบรรยากาศในงานพิธีสถาปนาด้วยตัวเอง เลยมีความสมจริงมาก คนที่มาร่วมงานตรงตามจริง แถมยังสังเกตเห็นคนบางคนในรูปแอบบึนปากใส่ความเซล์ฟจัดของนโปเลียนที่ทำหน้าที่สวมมงกุฎให้จักรพรรดินีโจเซฟีนด้วยตัวเอง แทนที่จะเป็นโป๊บที่ทำหน้าที่นี้ แล้วยังมีการวาดแถมอีกนิดหน่อย คือเพิ่มแม่ของนโปเลียนเข้าไปนั่งร่วมงานทั้งๆที่จริงไม่ได้ไป



Apollo Gallery ห้องนี้สร้างตามดำริของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยให้สถาปนิกคนเดียวกับที่ออกแบบแวซายมารีโนเวทให้ หลุยส์14 สมมติตัวเองเหมือนเทพอะพอลโล่ หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ ห้องนี้เลยมาในธีมการเปลี่ยนผ่านของวันเวลา มีการวาดราศีทั้ง 12 ราศีบนเพดาน รวมถึงวาดภาพเทพอะพอลโล่ไว้ตรงกลาง



บ้านหลุยส์ของจริง ก็จะหรูหรายุ่บยั่บประมาณนี้



เป็นห้องแสดงเครื่องประดับอัญมณีของมีค่าของราชวงศ์ฝรั่งเศสที่เหลืออยู่ เพราะบางส่วนคณะปฏิวัติก็เอาไปขายต่อแล้ว



เป็นรูปที่มีทุกบ้าน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14



มาถึงโซนอารยธรรมอียิปต์ เป็นที่ที่เราอยากมาดูมาก รอบที่ไปวาติกันมิวเซียมเค้าปิดโซนอียิปต์พอดี อยากเห็นมัมมี่จริงๆซักครั้ง



แล้วก็ได้เห็นมัมมี่ตัวตริงที่ลูฟ ซึ่งมี 1 ร่างถ้วน แต่เราไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปนะ รู้สึกเองว่าถ้าเราตายไปก็คงไม่อยากให้ใครถ่ายรูปมาลงในโซเชี่ยลอ่ะ ใจเข้าใจเรา (จริงๆกลัวคำสาป55) แต่มีโลงศพโชว์หลายโลงเลย 



ค่านิยมของยุคสมัยต่างกันได้ขนาดนั้น ตอนนี้ยูโรปขึ้นชื่อได้ว่ามีนโยบายโอบรับความแตกต่าง แฟร์เทรด ส่งเสริมเสรีภาพความเท่าเทียม แต่ในยุคล่าอาณานิคมเหมือนเป็นหนังคนละเรื่อง ข้าวของของอารยธรรมที่ได้มาจัดแสดงในมิวเซียม ต่างเป็นของที่ได้มาในยุคบุกรุกดินแดนอื่น ข่มเหงบังคับเอามาเป็นของตัวเอง ไม่ได้บอกว่าดีหรือแย่ แต่คิดเอาเองว่า ถูกผิดของมนุษย์มันขึ้นกับการตีความและค่านิยมของยุคสมัยก็เท่านั้น



ช่วงที่ไป มีการจัดนิทรรศการชั่วคราว Louvre Couture
อย่างที่เรารู้กัน ว่าฝรั่งเศสโดยเฉพาะปารีสขึ้นชื่อเรื่องแฟชั่น เจาะจงลงไปอีกคือแฟชั่นชั้นสูง มีการออกแบบตัดเย็บที่ปราณีต ใช้ฝีมือช่างชั้นดี งานนี้ลูฟเลยร่วมมือกับเหล่าห้องเสื้อกว่า 45 แบรนด์ นำเครื่องแต่งกายมาร่วมจัดแสดงรวมกับคอลเลคชั่นที่มีอยู่ของพิพิธภัณฑ์ 

เริ่มเบาๆที่หน้างาน ด้วยชุด evening gown ของ Christian Dior



นี่ก็ Christian Dior Spring Collection 2005 พอมาวางกับการตกแต่งสมัยพระเจ้าหลุยส์ก็คือเข้ากันม้ากกก



Chloe สมัย Karl Laferfeld ชุดนี้แบบตะวันออก เราเป็นคนไม่สันทัดแบรนด์เนมเลยยย ยังดูแล้วสวย ดูในด้านความงาม ศิลปะ ความตั้งใจสร้างสรรค์ ระหว่างทางแอบฟังคนที่เค้าสนใจด้านแฟชั่นคุยกัน แล้วก็เพลิดเพลินดีนะ ทำให้มีคนกลุ่มใหม่ๆ ร่วมสมัย ความสนใจแตกต่างจากนักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมๆของลูฟเข้ามาเดินเที่ยวในส่วนนี้เพิ่มด้วย



โถงบันไดที่ยิ่งใหญ่มาก กำลังหาทางไปนโปเลียนอพาร์ทเม้นต์



ใครมาลูฟแล้วไม่หลง คุณคืออัจฉริยะ ด้วยขนาดใหญ่โตทำเอาหลงทิศทางเอาได้ง่ายๆ เดินอยู่นี่ไม่รู้ว่าเราอยู่ตรงส่วนไหน แยกเยอะ หลายชั้น ขนาดว่าถามเจ้าหน้าที่ เดินตามก็ยังหลงอยู่ดี เรานี่หลงสะบัด 555



นี่เป็นห้องชุดที่ประทับใจมากที่สุดในลูฟสำหรับเรา
นโปเลียนอพาร์ทเม้นต์ สร้างขึ้นในสมัยนโปเลียนที่ 3 เป็นจักรพรรดิ สร้างระหว่างปี 1857-1860 ผลงานที่โดดเด่นของนโปเลียนที่3 คือการจัดผังเมืองปารีสให้สวยงามเป็นระเบียบแบบที่เราเห็นในปัจจุบันนี่แหละ สิ่งก่อสร้างยุคนี้แกลมมูรัสมากมาย โรงละคร Opera Garnier ก็เป็นอาคารที่ถูกสร้างในยุคเดียวกัน



เป็นที่ทำการของรัฐ ใช้จัดงาน พบปะกับแขกของบ้านเมืองไม่ได้เป็นอพาร์ทเม้นต์ส่วนตัวของท่านจักรพรรดิจริงๆหรอก ขอบอกอีกทีว่าที่นี่สวยสุดใจ สมควรมาดูกันจริงๆนะ เป็นบุญตา แล้วพอมีชุด Jean Paul Gaultier ลุคนางพญามาวางเสริมจินตนาการด้วยนะ หืมมมม



Christian Dior Haute Couture 2004 กับภาพจักรพรรดินี Eugene ในห้อง Salon-theatre



ห้องรับประทานอาหาร ก็หรูหราสุดใจ ชอบมากๆ
ใครมาลูฟตามหานโปเลียนอพาร์ทเม้นต์ให้เจอนะ 



จากนั้นพยายามหาทางไป Venus de Milo เดินวนขึ้นลงยังไงก็หาไม่เจอซักที
ขอนั่งจูนสมอง และพักขาซักครู่



วิวพักผ่อนสุดชิล ตึกในปารีสชอบมีหลังคากระจกด้านบนกันเนอะ
ได้แสงธรรมชาติเข้ามาในอาคารแบบสวยๆ



แล้วก็หลงมาเจองาน Louvre Couture อีกแล้ว โอ๊ยย



หลงไปมาอยู่ครึ่งชม. ในที่สุดก็มาถึงโซนประติมากรรมกรีกได้แล้ว มันจะไปยากอาไร๊ หึหึ



เด็ก 90 ต้องคุ้นเคยกับชี ผู้อยู่หน้าปกสมุดวาดเขียน Venus de Milo



เก็บครบหมดทุกสิ่ง พอใจกับการมาลูฟครั้งแรก
นัดที่ต่อไปไว้บ่ายสามครึ่ง ตอนเจอวีนัสก็เกือบจะบ่ายสามแล้ว ข้าวปลายังไม่ได้กินเลยอ่ะ รีบออกจากลูฟกันเถอะ

เดินผ่านตรงฐานเดิมก่อนจะสร้างเป็นวังหรือมิวเซียม ที่นี่เคยเป็นป้อมปราการเลียบแม่น้ำเซน ตรงนี้คือฐานเดิมที่เหลืออยู่ใต้ดินลูฟ



ตรงทางออกฝั่ง Carousel มีปีรามิดกลับหัวที่โปรเฟสเซอร์แลงดอนมาตามหาโฮลี่เกรล กรี๊ดดด ลิมไปเลย ว่าที่ลูฟก็เป็นโลเคชั่นในนิยายดาวินชี่โค้ดด้วยนี่นา ที่ได้รูปมาเพราะแลกกันถ่ายกับพสจีนที่มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน จากนั้นก็มีกลุ่มอินเดียมาขอให้ถ่ายรูปอีก 555 คนเอเชียคือไว้ใจได้ใช่มะ



ออกจากลูฟ เดินทางลอดใต้ดินมาโผล่ตรงประตูชัย Carousel 



เดินตัดสวนตุยเลอรี ไปยังมิวเซียมสุดท้ายของวันนี้



บ่ายสามนิดๆ หยิบครัวซองกับชีสที่พกมาจากโรงแรมเมื่อเช้ามากินช่วยชีวิต ส่วนน้ำก็กดเอาจากก๊อกในสวนตุยเลอรีนั่นแหละ สภาพก๊อกเขรอะอยู่ แต่จุดนี้เราต้องกินเพื่อเอาชีวิตรอดก่อน จะเป็นลม เดินเที่ยวจนไม่มีเวลากินข้าวกินน้ำ ดีนะที่พกอาหารติดตัวมาด้วย รู้สึกฉันคือโฟรโดยังไงพิกล กินไปดูวิว Place de la Concorde จุดตั้งกิโยตินเพื่อสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ 16 และพระนางมารีอองตัวแนต



นัดหมายสุดท้ายของวันนี้ 15.30 ที่ Musee de l'Orangerie



รวมงานศิลปะสมัยใหม่ขึ้นมากว่าลูฟ งานสมัยคริสตศตวรรษที่ 20
ดาวเด่นของพิพิธภัณฑ์ คือ ภาพบึงบัว ของ Claude Monet
เป็นภาพแบบยาวๆ ดูแล้วสะใจ แถมที่จัดแสดงตั้งอยู่ในห้องรูปไข่สีขาว แสงเลียนแบบให้ธรรมชาติที่สุดเพิ่มสุนทรีย์แห่งการรับชม



มีภาพบึงบัวยาวๆแบบนี้ จัดอยู่ 2 ห้อง ห้องละ 4 ภาพ เป็นภาพที่ดูแล้วมันจรรโลงจิตใจ สวยงาม ปล่อยให้จินตนาการพาเราไปได้พอประมาณ สมกับคำเรียกศิลปะแบบนี้ว่า impressionism พอคนเริ่มคุยเสียงดัง เจ้าหน้าที่ก็ส่งเสียงชู่ววว์ปรามเป็นพักๆ



เสร็จภาระกิจหลักของวัน กลับห้องไปนอนดีกั่ว
ถ่ายจากบนสะพาน Leopold เห็นพิพิธภัณฑ์ออกเซย์ บลอกหน้าจะพาไปที่นี่



วันนี้เดินเที่ยวทั้งวัน ไม่ขึ้นรถไฟฟ้าหรือรถเมล์เลย
ผ่านถนน Saint-Germain



มีร้านเบเกอรี่ที่ปักหมุดอยู่ไม่ไกล เลยแว่บมาซื้อชิมซักหน่อย
Boulangerie Poilâne ร้านเล็กๆแค่ห้องเดียว แต่คนมาซื้อเต็มร้านเลย เราตามจากยูทูปเบอร์ญี่ปุ่น ทุกคนต้องมาซื้อ sable ที่ร้านนี้



ผ่านโบสถ์ Saint Sulpice



ใกล้จะกลับไทยแล้ว ต้องมาซื้อของฝาก พวกเครื่องสำอางค์แบรนด์ร้านขายยาของฝรั่งเศสถูกกว่าไทยครึ่งนึงเลย



Medici fountain ที่ Jardin du Luxembourg



สวนลุกซอมบูร์ก คนออกมาชิลเยอะมาก ดูปารี๊สปารีส
เราชอบความเก้าอี้เขียวในสวนสาธารณะมาก แล้วคู่สีฮิตสำหรับปารีสคือสีเขียวชมพูด้วยนะ



ต้นฤดูใบไม้ผลิ เริ่มมีดอกไม้บานเพิ่มสีสัน



คนที่นี่เลี้ยงหมาเยอะจริง แล้วพาไปได้ทุกที่ ตามสวนจะมีตู้ถุงเก็บอึบริการด้วย



มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์



ความอนาจของวันคือ หมดเรี่ยวแรงมาก จากที่ตั้งใจจะเข้าร้านกินอาหารฝรั่งเศสซักมื้อ กลายเป็นแว่บเข้า KFC ข้างทาง ซื้อไก่เผ็ดกลับมากินที่โรงแรมคู่กับมาม่าที่พกมาจากไทยเฉ้ยยย คอมฟอร์ตฟู้ดคอมฟอร์ตใจอ่ะนะ ต่อด้วยซาเบล่ที่ซื้อมาเมื่อเย็น กินแล้วเฉยๆ ไม่ได้ประทับใจเป็นพิเศษ 


 




 

Create Date : 04 กันยายน 2568    
Last Update : 6 กันยายน 2568 7:28:30 น.
Counter : 276 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

วันที่ 7 ปารีส101 พระราชวังแวร์ซาย

23 มีนาคม 2568

ด้วยความมาปารีสครั้งแรกในชีวิต เลยวางแผนเที่ยวแบบปารีสสำหรับมือใหม่
ขอเรียกว่าวิชาปารีส101 ในเวลา 4วัน 4คืน มีสถานที่ที่ตั้งใจจะมาเห็นให้ได้ประมาณ พระราชวังแวร์ซาย หอไอเฟล มงมาตร์ มิวเซียมต่างๆอย่างลูฟ ออกเซย์ พอลองจัดกลุ่มที่เที่ยวก็พบว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เยอะพอสมควร เลยซื้อบัตรเบ่ง Paris Museum Pass สำหรับ 2 วัน 48hr (ราคาปี 2025, 70ยูโร) เอาไว้ แล้วจองเวลาเข้าล่วงหน้าสำหรับมิวเซียมฮิตๆไว้ก่อน จะได้มั่นใจว่าได้เข้าชัวร์ๆและไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวแบบไร้จุดหมาย เวลามีน้อยใช้สอยให้คุ้มค่าเนอะ

ตอนเช้าวันอาทิตย์ ยังเดินเล่นในย่าน Passy ครึ้มฟ้าครึ้มฝน ถนนหนทางก็โล่งๆไม่มีผู้คน ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ว่าปารีสคนจะต้องเยอะเบียดเสียดแน่ๆ




เดินไปจุดถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟล ที่ Av. de Camoens ในซีรี่ส์เอมิลี่อินปารีสก็มีมาถ่ายทำที่มุมนี้ด้วย แล้วโชคดีมากๆที่เจอน้องคนไทยมาถ่ายรูปตรงนี้พอดี เลยได้รูปสวยๆคู่หอไอเฟลแบบคนอื่นเค้าบ้าง ตลกที่น้องถามเราว่าพี่อยู่แถวนี้เหรอคะ แล้วน้องอีกคนตบกลับว่าคนอยู่แถวนี้เค้าไม่เดินมาถ่ายรูปกันตรงนี้หรอก 555 ถูกต้องที่สุดค่าาา เป็นนักท่องเที่ยว100%



ตั้งใจจะเดินไป Trocadero ซึ่งเป็นจุดชมหอไอเฟลที่แกรนด์ที่สุดในความคิดเรานะ ระหว่างทางเริ่มมีละอองฝนโปรยปราย ตอนออกโรงแรมมาก็คิดว่าเดินแค่ใกล้ๆไม่ได้เอาร่มติดมาด้วยสิ



สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไปต่อ เพราะฝนเริ่มลงเม็ดหนักขึ้น หัวชักจะเริ่มเปียกจริงจัง
เลยได้เห็นหอไอเฟลใกล้สุดเท่านี้



มาหลบฝนที่สะพาน Bir Hakeim 
Paris in the rain



แวะมาเก็บอีกมุมถ่ายรูปกับหอไอเฟลที่ Maison de Balzac 
ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์และคาเฟ่ เคยเป็นบ้านของบัลแซกนักเขียนชื่อดังคนนึงของฝรั่งเศส เราไม่ได้รู้จักผลงานเค้าหรอก แต่ชอบความเป็นบ้านเล็กในกรุงปารีสที่มีหอไอเฟลเป็นแบคกราวด์ เรามาถึงที่นี่ก่อนเวลาเปิด 10.00น. ไม่งั้นจะขอเข้าไปนั่งชิลจิบกาแฟในคาเฟ่เค้าซักหน่อย



เลยมาซื้อขนมจากร้านนี้ไปกินเป็นมื้อเช้าที่โรงแรมแทนก็แล้วกัน
ร้าน Merveilleux de Fred เป็นร้านขนมที่มีหลายสาขาในปารีส ขายทั้งพวกขนมปัง ครัวซอง ขนมหวาน แต่สิ่งที่เป็นตัวเด่นของร้านคือ แมเวโย



ย่าน Passy ยังเป็นแหล่งรวมตึกฟาซาดสวยๆ สไตล์อาร์ตนูโวเยอะที่สุดในปารีส นี่ถ่ายมาจากข้างโรงแรมเลย จริงๆตรงนี้เป็นย่านที่ดูปลอดภัยนะ สะอาด เงียบสงบ แทบไม่เห็นคนนอนข้างทาง แต่ข้อเสียคืออยู่ห่างจากที่เที่ยวในเมือง อยู่ใกล้แค่หอไอเฟล เมโทรเข้าเมืองก็มีอยู่สายเดียว



กลับมากินขนมแมเวโย่ที่ซื้อตะกี้ที่ห้องที่โรงแรม มันอร่อยมากกก อร่อยแบบยังตราตรึงจนถึงทุกวันนี้ ฐานเป็นเมอแรงค์ โปะด้วยครีมเบาๆหอมหวาน แล้วโค้ทปิดด้านนอกแปรเปลี่ยนกันไปตามแต่ละรสชาติ ซื้อมาลอง 2 รส ช็อกโกแลตกับคาราเมล เราชอบรสช็อกโกแลตมากกว่า



หลังจากนั้น เราเก็บของเช็คเอ้าท์จากโรงแรมเดิม ย้ายเอาสัมภาระไปฝากไว้ที่โรงแรมใหม่ที่ย่าน Latin Querter
แล้วค่อยออกเดินทางต่อเพื่อไปพระราชวังแวร์ซาย 

ซึ่งตามที่ค้นหามาก่อนคือ สามารถนั่ง RER C จากแซงมิเชลไปลงที่แวร์ซายได้โดยตรง แต่ความเป็นจริงคือสถานี RER C ที่แซงมิเชลปิดให้บริการ นี่ก็เลยไปถามเจ้าหน้าที่สถานี สรุปต้องนั่งเมโทรสายสีเหลืองไปลง Javel - Andre Citroen แล้วออกจากสถานี ข้ามถนนไปสถานี RER Javel เพื่อต่อไปยังแวร์ซายอีกที เราว่าระบบรถไฟปารีสมันมีความสับสนงงงวยอิหยังวะอยู่เรื่อยๆ มันไม่สมูธไร้รอยต่อขนาดนั้นอ่ะ

แต่ที่สุดแล้วเราก็มาถึงพระราชวังแวร์ซายจนได้ นั่งรถไฟมาประมาณชั่วโมงเดียวจากปารีส
จากสถานีรถไฟต้องเดินไปต่ออีกครึ่งกิโล เดินตามกระแสคนไปได้เลย 

โน้น เห็นวังอยู่ลิบๆแล้ว



มีอนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่14 Le Roi Soleil ตั้งอยู่กลางลานหน้าพระราชวังแวร์ซาย
เป็นบุคคลที่เปลี่ยนให้วังเล็กๆที่ถูกสร้างไว้พักตอนออกมาล่าสัตว์ ณ เมืองชนบท กลายเป็นพระราชวังแวร์ซายที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร เพื่อประกาศความเป็นมหาอำนาจ ความมั่งคั่งเป็นหลักฐานให้เราได้เห็นกันถึงทุกวันนี้



เราจองรอบเข้าตอนบ่ายโมง ซึ่งในพาสที่ซื้อมาจะเข้าได้ทั้งพระราชวังแวร์ซาย และเตรียนงซึ่งเป็นอาคารแยกอยู่กลางสวนที่ห่างจากวังไปอีก 2-3 กม. ส่วนสวนนี่เข้าได้ฟรีอยู่แล้วไม่ต้องซื้อตั๋ว ตอนแรกก็กะจะไปเตรียนงด้วย แล้วก็อยากไปเห็นกระท่อมน้อยโคกหนองนาของพระนางมารีอังตัวแนต ที่สร้างไว้ใช้หลบความวุ่นวายในวังไปใช้ชีวิตเรียบง่ายที่นั่น แต่แค่เดินเที่ยวในวังแวร์ซาย ขาทั้งสองข้างก็แทบจะร้องขอชีวิต
ถึงว่าสิ ไม่ค่อยเห็นรีวิวเตรียนง เพราะทุกคนคงหมดแรงกันตั้งแต่ตอนเดินในวังกันแล้วแหละ 555



พอถึงรอบเวลาเข้า เจ้าหน้าที่ก็เริ่มปล่อยแถวเข้าไป ต้องใช้เวลาต่อคิวในการตรวจร่างกายและสัมภาระที่ติดตัวมาเล็กน้อย



ผ่านไป 15 นาที ก็ได้มายืนเป็นพจมานที่ด้านหน้าพระราชวังแวร์ซายที่ Cour Royale



เดินเที่ยวแบบงงๆ มีเส้นทางให้เลือกไปเยอะมาก
จริงๆทางนี้ ถ้าเดินไปจนสุดจะมีโรงโอเปร่าของวัง แต่เราเดินไปไม่ถึงวกกลับมาก่อน เห็นคนน้อยๆ นึกว่าไม่มีอะไร 



สวัสดีท่านเจ้าของบ้าน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 
มีรูปภาพรูปสลักหลุยส์ที่ 14 กระจายอยู่ทั่ววัง เป็นรูปที่มีทุกห้อง 55



Royal Chapel วังใหญ่ขนาดนี้จะไม่มีโบสถ์น้อยได้ไง



ที่นี่เรียกห้องย่อยว่า Apartment ซึ่งเฟอร์นิเจอร์เดิมๆ ก็ถูกย้ายออกจากวังในช่วงหลังการปฏิวัติไปซะเยอะแล้ว ช่วงแรกๆก็จะเป็นแสดงภาพตกแต่ง เป็นภาพบุคคล พระราชวังแวร์ซายในแต่ละยุคสมัย ความเป็นอยู่ของคนในวังสมัยนั้น



ขึ้นมาชั้นสอง จะเจอ Hercules room เป็นห้องแรก ของห้องชุด King's State Apartment
เป็นชุดห้องที่ใช้สำหรับพิธีการต่างๆของพระมหากษัตริย์ต่อกันยาวไป 7 ห้อง อยู่ปีกขวาของพระราชวัง

มีเตาผิงขนาดใหญ่มากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา 



ภาพเขียน The Feast in the House of Simon the Pharisee
เป็นภาพที่นครเวนิสส่งเป็นของขวัญแก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ถูกแขวนแสดงที่ห้องเฮอร์คิวลิส พระราชวังแวร์ซาย ตั้งแต่ปี 1712



ห้อง Venus Room ด้านบนเพดานมีภาพเขียนของเทพีวีนัส



Mercury room ใช้เป็นห้องนอนเดิมของพระราชา ก่อนที่ต่อมาจะย้ายห้องนอนไปอยู่ตรงกลาง ห้องด้านหน้าสุดที่หันไปทางทิศตะวันออก เพราะหลุยส์ 14 ต้องการตื่นมาแล้วได้อาบแสงอาทิตย์แรกของวัน ให้สมชื่อสุริยกษัตริย์ เดี๋ยวได้เดินไปดูหลังจากนี้แหละ



เดินมาจนสุดพ้นทั้ง 7 ห้องของ The King's State Apartment ก็จะพบกับห้องโถงใหญ่ของห้อง War Room เป็นห้องสุดท้ายของอาคารปีกขวาฝั่งพระมหากษัตริย์ ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นโถงต้อนรับเข้าสู่ความหรูอลังการสุดๆของพระราชวังแวร์ซายที่กำลังจะได้เจอ 



นั่นก็คือห้องกระจก The Hall of Mirror ที่ใครมาเที่ยวที่พระราชวังแวร์ซาย อย่างน้อยสุดก็ต้องมาถ่ายรูปที่นี่ ใช้เป็นที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองฝรั่งเศสมาแล้วมากมาย เจ้าพระยาโกษาธิบดีทูตจากอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ก็เคยมาเข้าเฝ้าคิงหลุยส์14 ที่ Hall of Mirror มาแล้วเช่นกัน



ก่อนจะมาเป็น Hall of Mirror แบบที่เห็น เมื่อก่อนเป็นระเบียงเชื่อมระหว่างปีกซ้ายขวาของวัง ต่อมาก็เลยสร้างหลังคาคลุม ตกแต่งด้วยกระจกซึ่งเป็นวัสดุสุดหรูในสมัยนั้น ไหนจะแชนเดอเลียที่ห้อยตกแต่งอีก นึกถึงเราเป็นทูตมาติดต่อกับราชสำนักฝรั่งเศสต้องเดินผ่านความหรูหรามลังเมลืองมาตลอดแนว กว่าจะถึงตัวคิงที่นั่งรออีกฝั่งก็คงรู้สึกตัวเล็กตัวน้อยลงบ้างแหละ คราวนี้จะพูดคุยต่อรองอะไรก็คงง่ายกว่าเดิมนิดนึงมั้ง



จากห้องโถงกระจก สามารถทะลุมายังห้องนอนห้องใหม่ของกษัตริย์ที่เมนชั่นไปตอนแรกได้
ห้องนี้ตกแต่งด้วยสีทองอร่าม เป็นห้องตรงกลาง ที่หันหน้าออกไปลานด้านหน้าวังฝั่งตะวันออกได้เลย

สมัยนั้นแทบทุกอิริยาบถของกษัตริย์และพระราชินี ถือเป็นพิธีการทั้งหมด จะมีขุนนาง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าชมและมีส่วนร่วมด้วย ไม่เว้นแม้แต่การเข้านอนตื่นนอน การอาบน้ำ หรือการร่วมเตียงของคิงและควีน



ออกจากห้องกระจกมาทางปีกซ้าย ฝั่งของราชินีมาเจอห้อง Peace room 



มาดูห้องนอนของพระราชินีกันบ้าง เค้าปิดม่านก็เลยห้องจะมืดๆหน่อย ตกแต่งเป็นลายดอกไม้



โถงบันไดในแวร์ซาย



แม้ว่าพระราชวังแวร์ซายจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกษัตริย์ปกครอง แต่พอเกิดการปฏิวัติที่นี่ก็ยังคงถูกใช้งานอยู่ ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย อย่างห้อง Coronation Room ที่สร้างเพื่ออุทิศแก่นโปเลียน โบนาปาร์ต หรือจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 มีภาพเขียนสดุดีวีรกรรมในการรบสมรภูมิต่างๆรอบห้อง 

ภาพแสดงการทำพิธีราชาภิเษก ภาพนี้ของแทร่ภาพแรกจะอยู่ที่ลูฟมิวเซียม ซึ่งเป็นภาพที่ถูกย้ายมาจากแวร์ซาย ส่วนภาพที่เห็นที่แวร์ซายตอนนี้เป็นภาพก็อปปี้
ก็คือไม่งงเนาะ!



เสา Austerlitz Column ที่ตั้งกลางห้อง นโปเลียนเป็นคนสั่งทำเพื่อฉลองชัยชนะ ทำจากกระเบื้องพอร์ซเลน



ห้องหลังๆ จะเป็นห้องสดุดีทหารแทนกษัตริย์แล้วค่ะ
The Gallery of Great Battles เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดของพระราชวัง รวมภาพวาดแสดงชัยชนะในศึกต่างๆของฝรั่งเศส 



กว่าจะมาเป็นฝรั่งเศสในทุกวันนี้ ผ่านการล้มล้างการปกครองของกษัตริย์ ผ่านการพยายามพากลับมาใหม่ ผ่านยุคจักรวรรดิสู่สาธารณรัฐ
Congress Chamber เป็นห้องที่ถือว่าใหม่ในพระราชวังแวร์ซายเพราะเพิ่งสร้างขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง เปิดใช้งานในปี 1876



หัวจะปวด กับประวัติศาสตร์ปารีส 101 ก็เดินออกมาห้องขายของที่ระลึกพอดี
ถึงแม้หลุยส์ 14 จะทรง PR หนักเพียงใด แต่ในทาง pop culture เราให้พระนางมารี อังตัวแน็ตชนะเลิศ มีรูปนางแปะอยู่ในทุกสินค้า ดิไอคอนตัวจริง ที่ผ่านมายังไม่ได้พูดถึงนางเลยอ่ะ เป็นพระราชินีในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่พระราชวังแวร์ซาย ก่อนจะโดนโทษประหารด้วยกิโยตินกันไปทั้ง 2 พระองค์



ออกมาสูดอากาศที่สวนของวัง ยิ่งใหญ่เกินไป



เอกลักษณ์ของสวนแบบฝรั่งเศสคือความเป๊ะ สมมาตร สเกลใหญ่โต ด้วยความมั่นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่คิดว่าอยากได้อะไรต้องได้ ไม่มีอะไรใต้ท้องฟ้าฝรั่งเศสที่ชั้นกำหนดไม่ได้ ทั้งบ้านทั้งสวนก็เลยออกมาเว่อวังอลังการแบบที่เห็น เมืองหนาวแต่อยากปลูกส้ม ก็ปลูกจนได้ สิ้นเปลืองไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้

นี่คือแค่เดินมาตรงนี้ ขาก็เปลี้ยหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึง Trianon, Queen's Hamlet ที่อยู่ห่างออกไป 3 กม.เลยนะ แค่คิดถึงตอนเดินกลับยังไม่แน่ใจกำลังตัวเองเลยอ่ะ 



ตอนแรกกะว่า เดินให้ถึงน้ำพุ Apollo สีทองไกลๆนั่นก็ยังดี
สุดท้ายฟ้าฝนเป็นใจ ตกมาแบบไม่ยั้ง ทางเราเลยหันหลังกลับแบบไม่ใยดี (พร้อมยิ้มมุมปาก)



เดินสะโหลสะเหลมาถึงสถานีรถไฟจะสอดตั๋วกลับปารัส ปรากฎตั๋วใช้ไม่ได้อี้ก 
เจ้าหน้าที่สถานีบอกว่า ตั๋วที่เราซื้อมาเป็นตั๋วที่ใช้ได้เฉพาะในโซนเมืองปารีส ขาออกมาแวร์ซายใช้ได้เพราะต้นทางคือปารีส แต่ขากลับจากแวร์ซายเข้าปารีสใช้ไม่ได้ อิหยังวะมากกกก แล้วมีแต่นักท่องเที่ยวเจอแบบเดียวกัน ทุกคนก็ต้องเข้าแถวเพื่อซื้อตั๋วกลับปารีสใหม่กัน

มาโผล่ที่สถานีเมโทร Cluny- La Sorbonne ตึกตรงข้ามคือ โรงแรมที่เราจะพักในอีก 3 คืนที่เหลือในปารีส ทำเลดีติดสถานีเมโทร และ RER B ที่ไป CDG ก็นั่งแค่ต่อเดียวถึง สุดยอดแห่งโลเคชั่นมากๆ



พักที่ Hotel Cluny Square อยู่เขต 5 ทำเลดี กลางเมือง ย่านมหาวิทยาลัย ร้านอาหารเยอะ เป็นเขตเดียวกับที่ยัยเอมิลี่ใน Emily in Paris อยู่นั่นแหละค่า รีเซฟชั่นที่เป็นคนฟิลิปปินส์น่ารักมากๆ คุยเก่ง คุยแบบไม่ยอมปล่อยให้ไป พอรู้ว่าเรามาจากเชียงใหม่ ก็ชวนคุยใหญ่เลย เพิ่งไปเที่ยวเชียงรายเชียงใหม่มาเมื่อปีที่แล้ว 

พอเช็คอินเปิดห้องมาปุ๊บ ถึงกับกรี๊ด ห้องน่ารักมากๆ 



ห้องน้ำ เจ้าหน้าที่แจ้งขออภัยว่าวันนี้ยังไม่มีฝาชักโครกเพราะแขกคนก่อนเพิ่งทำแตกไป แต่วันถัดมาเค้าก็มาติดตั้งเรียบร้อยตอนเราออกไปเที่ยว



วิวจากห้องฝั่งนี้ มองไปเห็นถนนบูเลอวาดแซงแฌคแมงและพิพิธภัณฑ์ Cluny ซึ่งแสดงศิลปะในยุคกลาง



พอเรี่ยวแรงเริ่มกลับมา ก็ออกเดินสำรวจใกล้ๆเร็วๆ เดินมา 5 นาทีก็เห็นโบสถ์นอทเทรอะดาม



ผ่านหน้าร้านหนังสือสุดฮิต Shakespeare & Company ที่มีคิวตลอดเว



มุมนี้น่ารักมาก ร้าน Odette ขายชูว์ครีม มีคนบอกว่าอร่อยมากด้วย แต่เราไม่ได้ลอง



โบสถ์ Saint Severin ซอยข้างๆโบสถ์ก็เป็นโซนร้านอาหารมากมาย ที่เรียกว่า Latin Quertier ย่านลาติน กินพื้นที่ไปจนถึงข้างโรงแรมเราเลย



ติดใจจากเมื่อวาน วันนี้กินอาหารจีนราดข้าวอีกแล้ว อร่อยสุดยอด 55
(สารภาพบาปว่ามาปารีส แต่ไม่ได้กินร้าน French restaurant ซักมื้ออ่ะ)



เหนื่อยมาทั้งวัน จากนี้ชั้นจะอาบน้ำนอนหลับให้สบายไปเลย
วิวปารีสยามเย็นจากห้องพัก ฝั่งบูเลอวาดแซงมิเชล มีเต็นท์ขายของตลาดนัดด้วย


 




 

Create Date : 21 สิงหาคม 2568    
Last Update : 22 สิงหาคม 2568 16:46:02 น.
Counter : 260 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

วันที่ 6 จากเวนิสไปปารีส ไปทางน้ำ-อากาศ-บก ครบในวันเดียว

22 มีนาคม 2568

วันแห่งการเดินทาง วันนี้เราจะเดินทางข้ามประเทศจากอิตาลีไปฝรั่งเศส
จากเมืองเวนิสสู่ปารีส ต้องสู้ชีวิตกันนิดนึงเพราะทั้งต้องลงเรือ ขึ้นเครื่องบิน นั่งรถไฟในวันเดียว 
แถมยังตื่นเต้นเพราะเป็นการไปฝรั่งเศสครั้งแรกของเราอีกด้วย 

ลงมากินอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม



ต้องไปตะลุยอีกเยอะ ขอเติมพลังตุนไว้ก่อน



จากที่ไม่เจอฝน อากาศแจ่มใสมา 5 วัน วันนี้ที่เวนิสพยากรณ์อากาศฝนตก 100%
เสื้อกันฝนที่เตรียมมาก็ได้ใช้ประโยชน์ตอนนี้นี่แหละ ลากกระเป๋าฝ่าฝนไปขึ้นเรือกัน



มาเที่ยวเวนิสจะไปขึ้นเครื่องที่สนามบินมาร์โคโปโล (VCE) มีเรือตรงไปส่งสนามบินด้วย ราคาปี 2025 15 ยูโรต่อคน เป็นเรือของบริษัท Alilaguna ใช้เวลาเดินทางจาก Arsenale ไปสนามบินประมาณ 1 ชั่วโมง



จริงๆไม่ได้อยากจะบินไปหรอก เพราะเกลียดการขึ้นเครื่องบินมาก แต่พอเทียบแล้วประหยัดทั้งเงินและประหยัดเวลากว่าเห็นๆ เลยต้องจำใจเลยวิธีนี้

เราจองตั๋ว Easyjet VCE-CDG รวมค่าน้ำหนักกระเป๋าที่ซื้อเพิ่มไปแล้ว อยู่ที่ 87 ยูโร ด้วยความที่เป็นสายการบินโลว์คอสต์เค้าจะซีเรียสเรื่องน้ำหนักและขนาดกระเป๋าด้วย ตอนต่อแถวจะขึ้นเครื่อง คนข้างหน้าเราแบกเป้ใบใหญ่ขนาดเกินที่เค้ากำหนด ฮีโดนเรียกเก็บตังเพิ่ม 90 ยูโร แล้วให้เอากระเป๋าไปโหลดแทน



ความบังเอิญของโลกใบนี้ : ตอนนั่งเรือมาที่สนามบิน เราได้คุยกับสาวเกาหลีคนนึง น้องก็มาเวนิสคนเดียวเหมือนกัน แล้วเค้าชวนคุยเก่งมาก บอกว่าเป็นอาร์ตติสต์มาจัดแสดงงานที่เวนิส แล้ววันนี้ก็กำลังจะกลับไปที่ปารีส (น้องขอ work permit มาอยู่ที่ปารีส 1 ปี ตอนนี้อยู่มาได้ 3 เดือน เราก็คิดเป็นคนบางประเทศนี่ก็ดีเนอะ โลกเปิดโอกาสง่ายกว่าบ้านเราเยอะเลย) เราก็ยังบอกว่าเออ เราอาจจะได้นั่งเครื่องลำเดียวกันไปปารีสก็ได้นะ พอเรือมาส่งสนามบิน ก็แยกย้ายกันไป จนกระทั่งเรามานั่งบนเครื่องบินเรียบร้อย ปรากฎว่าคนที่ได้มานั่งที่ข้างกัน คือ น้องสาวเกาหลีคนนั้น!! อะไรจะบังเอิญโลกกลมขนาดนั้นเนอะ ก็เม้าท์กันต่อไปอีกชั่วโมง น้องบอกว่ารักปารีสมาก รู้สึกที่นี่แหละคือที่ของนาง มีคอมมูนิตี้ที่ดีมากสำหรับการทำงาน แล้วก็ไม่เคยเจอมิจจี้แบบที่ใครๆเค้าเตือนมา น้องบอกให้มั่นใจเข้าไว้ ก็ทำให้เราใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อย 



หลังจากแลนดิ้งที่ CDG ก็ไม่ต้องผ่านตม.อีก แต่ไปเสียเวลาเป็นชั่วโมงตอนรอเข้าแถวออกบัตร Navigo แล้วเติมตั๋วรถไฟเข้าเมือง

เราว่าจุดที่ตื่นเต้นมากที่สุด คือ ตอนเราย้ายที่เปลี่ยนเมืองใหม่ๆ แบบยังจับไวบ์ จับจังหวะของเมืองยังไม่ได้ แถมยังมีสัมภาระชิ้นใหญ่ต้องดูแลอีก อย่างเช่น ตอนนั่งรถไฟ RER จากสนามบินเข้าเมืองเป็นต้น ตอนนั่งเราไม่กล้าจับมือถือ ไม่กล้าล้วงกระเป๋าใดๆเลย สังเกตคนรอบๆที่นั่งกับเรา เป็นเมืองใหญ่ที่มีคนหลากหลายมากๆ คนนึงเป็นชายผิวดำที่น่าจะทำงานที่สนามบินน่าจะเลิกงานและกำลังกลับบ้าน อีกคนเป็นชายหน้าตาปนอาหรับคุยอะไรไม่รู้กับคนอื่นตลอด อีกคนเป็นหญิงกลิ่นตัวแรงหอบหิ้วของพะรุงพะรังไปหมดแล้วถุงก็กลิ้งไปกลิ้งมาทั่วรถ ถัดไปอีกล็อคเป็นคู่สามีภรรยาหน้าจีนๆชาวเอเชีย ที่หน้าตาออกชัดว่าตื่นกลัวจะโดนขโมยของมาก (หวังว่าหน้าเราจะไม่แสดงออกชัดขนาดนั้น ท่องไว้ในใจ ชั้นคือคนแถวนี้ ชั้นคือคนแถวนี้ 55) สุดท้ายก็เดินทางโดยสวัสดิภาพ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆนั่นแหละ 

คนส่วนใหญ่ลงที่สถานี Gare du Nord ซึ่งเทียบกับไทยเหมือนสถานีกลางบางซื่ออ่ะ หลังจากนั้นรถก็โล่งขึ้น ส่วนเราลงสถานี St. Michel Notre-Dame ถัดไปไม่กี่สถานีหลังจากนั้น

เราแยกเอากระเป๋าลากใบใหญ่มาฝากไว้ที่โรงแรมที่จองมานอนคืนพรุ่งนี้ก่อน เพราะไม่อยากมีของติดตัวรุงรังมากจนเกินไป จากนั้นค่อยสะพายกระเป๋าพับพกสัมภาระสำหรับหนึ่งคืน นั่งรถไฟใต้ดินต่อไปยังโรงแรมที่จะนอนคืนนี้ ซึ่งต้องนั่งรถไฟไปหลายต่อกว่า

นั่งเมโทรต่อจาก สถานี Cluny La Sorbonne ไป Passy



คืนนี้เราพักที่ Hotel Gavarni อยู่เขต 16 ย่าน Passy 
ดูพยากรณ์อากาศบอกว่าอีกไม่เกินชั่วโมง ปารีสจะมีฝนตก ดังนั้นพอออกมาจากรถไฟแทนที่จะไปเช็คอินเก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อย เราเลยสะพายกระเป๋าใบเล็กเดินมาดูหอไอเฟลก่อน

ถ่ายจากสะพาน Bir-Hakeim เป็นอีกหนึ่งจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกับหอไอเฟล อยู่ติดกับสถานีรถไฟ Passy



นอกจากนี้สะพานนี้ยังดังมาจากฉากในหนัง Inception ด้วย



แม้จะอ่อมจะโทรมมากเพราะเดินทางไม่พักมาตั้งแต่เช้า ก็ขอถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟลก่อน กำขี้ดีกว่ากำตด 555



เราอยู่ปารีสทั้งหมด 4 คืน คืนแรกพักโรงแรมโซนชานเมืองหน่อย อาจจะเป็นเพราะเป็นคืนวันเสาร์ที่พักทำเลดีใจกลางเมือง ราคาแพงเกินงบไปมาก เลยมาจบตรงย่าน Passy ถือเป็นย่านที่ดี ดูสะอาดปลอดภัย เค้าว่าเป็นย่านที่คนมีตังย้ายมาอยู่อาศัยกัน โรงแรมที่อยู่ ถึงห้องจะเก่าหน่อยแต่ก็สะอาดดี ไม่มีปัญหา 



ยังมีหลักฐานเตาผิงที่เคยมีอยู่ แต่ตอนนี้เค้าก็เอาฝามาปิดไม่ได้ใช้แล้วแหละ



อีกสาเหตุที่มาพัก Passy เพราะอยู่ไม่ไกลจากหอไอเฟล สามารถเดินไปได้ ก็กะว่าคืนนี้จะเดินไปดูหอไอเฟลตอนเปิดไฟส่องแสงบลิงๆนั่นแหละ

แต่พอออกไปตอนหัวค่ำ เดินไปได้แค่นิดเดียว ฝนตกหนักมากกกก
เลยล้มเลิกแผนเดินไปดูหอไอเฟล แล้วหลบฝนเข้าร้านอาหารจีนแทน 555



เหนื่อยก็เหนื่อย หนาวก็หนาว เปียกอีกตะหาก
ซื้อข้าวกล่อง กลับมากินที่ห้อง แล้วอาบน้ำนอนดีกว่า ไม่ดูแล้วไอฟ่งไอเฟล 

ปล. มื้อนี้อร่อยม้ากกก คิดถึงข้าว คิดถึงซอสที่คุ้นเคยแบบนี้ที่สุด กินไม่เหลือ


 




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2568    
Last Update : 1 สิงหาคม 2568 9:24:25 น.
Counter : 282 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

วันที่ 5 เดินเที่ยวเวนิส จบวันที่ 25,000 ก้าว!!

21 มีนาคม 2568

ที่นี่คือสวรรค์สำหรับคนชอบเดิน ทั้งเมืองถนนทุกเส้นมีไว้สำหรับเพื่อเดินเท้าเท่านั้น ทิวทัศน์และผู้คนแปลกตา มีอะไรให้สำรวจเต็มไปหมด วันนี้เช้าจนถึงเย็นจะพาเดินลัดเลาะทั่วเกาะเวนิสกันค่ะ

ตอนเช้าตรู่ เปิดประตูที่พักเพื่อมาเจอเวนิสแบบ so serene สมกับอีกชื่อเรียกของเมือง La Serenissima ที่แปลได้ว่าดินแดนแสนสงบสุข



ยังไม่เจ็ดโมงดี เราออกไปเดินเล่นรอบเช้า จุดหมายที่สะพานแอคคาเดเมีย ไปถ่ายรูปมุมที่เราคิดว่าเป็นเวนิสที่เราอยากจะมาเห็นมากที่สุด 

แสงแดดอ่อนๆให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย หนทางที่มีคนคับคั่งในช่วงกลางวัน ตอนนี้แทบไม่มีใครเลย ยังคงเชียร์สุดใจให้มานอนบนเวนิสเถอะ แล้วคุณจะได้สัมผัสเมืองนี้ในมุมที่ละมุมตุ้นละมุนใจ



Bridge of Sighs แบบไม่ติดคนในเฟรม



ตรงจุดถ่าย Bridge of Sighs ช่วงคนหนาแน่น เราเห็นแก๊งมิจจี้มาเตรียมฉกของด้วย เป็นแก๊งสาวน้อย 6-7 คน เราแอบมองด้วยความอยากรู้ว่าเค้าทำงานกันยังไง ปรากฎเค้ารู้ตัวกันไวมากนะ ในแก๊งจะมีคนดูลาดเลารอบๆด้วยว่ามีคนสังเกตเค้าได้ จากนั้นเค้าก็แยกย้ายกันอย่างไว (แต่เดี๋ยวก็คงกลับมาปฏิบัติการกันใหม่นั่นแหละ)

จัตุรัสซานมาร์โก้ของฉัน



ก่อนมา เราดูสารคดีเกี่ยวกับการสร้างเกาะเวนิสกว่าจะเป็นแบบทุกวันนี้ ก็รู้สึกทึ่งในความช่างเอาตัวรอดของมนุษย์ จากกลุ่มคนที่หนีการรุกรานจนต้องเผ่นจากแผ่นดินใหญ่มาสร้างบ้านกลางน้ำบนพื้นโคลนตม ไปๆมาๆเมืองเกิดร่ำรวยจากการค้าขาย ยุคเรืองอำนาจสุดๆถึงขั้นส่งทหารออกทัพ แย่งชิงทรัพยากรของเมืองมหาอำนาจอย่างคอนสแตนติโนเปิลได้อ่ะ ใครจะคิด

โม้ไปไกลมาก จริงๆตั้งใจจะพูดถึงบ่อน้ำที่มักจะเห็นอยู่กลางลาน ไม่ว่าลานเล็กลานใหญ่ เป็นโครงสร้างที่ทำเพื่อการกักเก็บน้ำฝน เพราะที่นี่อยู่ในทะเล ได้น้ำจืดจากฝนก็ต้องเก็บมาใช้ไม่ปล่อยทิ้งไปเฉยๆ โดยหลักการคือข้างใต้ลานโล่งจะขุดหลุมแล้วบล็อกด้วยหินไม่ให้น้ำทะเลซึมเข้า แล้วถมทรายให้เป็นตัวอุ้มน้ำ พอฝนตกน้ำซึมลงสู่พื้น ก็สามารถตักน้ำจืดจากบ่อมาใช้งานได้ แต่กินไม่ได้นะ



ดิสเพลย์นายท่านและท่านหญิงแห่งเวนิส ถถถ



เดินมาถึงสะพานแอคคาเดเมียแล้ว แต่เหมือนจะมาช้าไป พระอาทิตย์ขึ้นโด่งแล้ว ก็มัวแต่แวะนั่นแวะนี้อ่ะเนอะ



ถึงจะย้อนแสงแต่ก็สวยอยู่ดี ชอบมุมนี้มาก ดูเวนิสแบบตะโกนดี
หลังคาโดมของโบสถ์ S.Maria della Salute วันนี้เราก็จะเดินไปที่นั่นช่วงบ่าย



แค่หันมาอีกฝั่ง แค่นี้ภาพเราก็ไม่ย้อนแสงแล้ววว
แกรนด์คาแนลแบบยังไม่จอแจ



ได้เห็นวิวตามที่ตั้งใจแล้ว เดินกลับไปกินมื้อเช้าที่โรงแรมดีกว่า



แวะอีกหน่อย ตรงจุดที่เหมือนจะเป็นทางเข้าเมืองเวนิสในสมัยที่ยังต้องล่องเรือมาค้าขาย ฝั่งขวาเป็น Palazzo Ducale เป็นที่ทำการเมือง ฝั่งซ้ายคือห้องสมุด เราจะเห็นเสาสองต้นตั้งเด่นตรงกลางมีรูปสลักของนักบุญอุปถัมป์ทั้งสองคนของเมืองอยู่บนยอด โดยปัจจุบันนักบุญอุปถัมป์ของเวนิสที่รู้จักกัน คือ เซนต์มาร์ก มีสัตว์สัญลักษณ์ประจำตัวคือสิงโตมีปีก ส่วนนักบุญอุปถัมป์คนก่อนหน้า คือ เซนต์ธีโอดอร์ หรือซานโทดาโรมีจระเข้เป็นสัตว์สัญลักษณ์คู่ใจ



ลองจินตนาการภาพเมื่อ 8-900 ปีก่อน ที่มี Doge และเหล่าผู้บริหารระดับสูงของเมือง มากอดอกยืนที่ระเบียง ดูเรือมากมายที่เข้ามาค้าขายทำธุรกิจในเวนิสลากูนแห่งนี้



ตื่นจากมโน ถึงโรงแรมกินข้าวเช้าดีกว่า 555
 Breakfast in Bed เพราะที่พักเค้าไม่มีห้องอาหาร ตอนที่เราเช็คอินเมื่อวาน เค้าจะถามว่าอยากให้มาเสิร์ฟช่วงกี่โมง ค้นพบข้อดีของการเสิร์ฟให้ถึงห้อง คือกินได้แบบฟรีสไตล์ ไม่ต้องกลัวเสียมารยาท มูมมามยังไงก็ได้



กินไปก็ดูวิวจากหน้าต่างห้องไปด้วย ห้องเราอยู่ฝั่งด้านหลังของตึก เลยได้วิวลานกลางบ้านเล็กๆเงียบสงบ และมีบ่อน้ำภูมิปัญญาเก็บน้ำจืดไว้ใช้ของชาวเวเนเชี่ยนด้วย



อิ่มแล้ว ออกไปสำรวจเมืองกันต่อ
มาแวะร้านหนังสือจุดเช็คอินสุดฮิตของเวนิส Libreria Acqua Alta





เป็นร้านขายหนังสือเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่กลางย่าน Castello แต่ที่นี่ฮิตจริงอะไรจริง เราไปช่วงเช้าตั้งแต่ร้านเพิ่งเปิด เลยยังได้ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศชิลๆได้



ที่สมควรมา เพราะร้านนี้มีเอกลักษณ์ตรงโดนน้ำท่วมเป็นประจำ หนังสือก็มีจมน้ำเสียหายบ้าง เค้าเลยเอาหนังสือพวกนี้มาทำกองดองให้พวกนักดองหนังสือมาถ่ายรูปยังไงล่ะ เวนิสไม่สิ้นคนใจดี มีคนอาสาถ่ายรูปกับกองดองให้ด้วย



ก็ถือว่าหัวใสอยู่นะ แทนที่จะเศร้าเสียดายหนังสือที่บวมน้ำ เอามาทำเป็นพร็อพสร้างความแตกต่างซะเลยแม่ม ใครมาแล้วอยากอุดหนุนกิจการ นอกจากหนังสือแล้ว เค้าก็มีพวกรูปภาพ ของที่ระลึกจากเวนิสขายด้วย เข้าฟรีค่ะ



บ้านหลังตรงกลางนี่ ต้องใช้เรือเข้าบ้านอย่างเดียวใช่มั้ย



เดินงงในเขาวงกตแห่งเวนิสมาโผล่หน้าโบสถ์ S.Giovanni e Paolo เป็นอีกโบสถ์ใหญ่ของเมือง ลานด้านหน้าโบสถ์คนเยอะ เป็นผู้เฒ่าผู้แก่แล้วดูเป็นคนท้องถิ่น ตอนแรกเดาว่าคงมีงานในโบสถ์ แต่จริงๆแล้ว อีกตึกที่อยู่ติดกันคือโรงพยาบาล จริงๆก็คือเค้ามาหาหมอกัน



เห็นอยู่เป็นเกาะแบบนี้ คนจูงหมาก็มีให้เห็นเรื่อยๆนะ ชอบๆ



ชอบบรรยากาศมาก มันดูมีชีวิตชีวา เรามองเค้า แล้วเค้าก็อาจมองเราอยู่



บล็อกนี้รูปจะเยอะมาก เพราะตัดใจคัดรูปไหนทิ้งไม่ได้เลย ตื่นตาตื่นใจไปหมด



โบสถ์ S.Maria dei Miracoli นี่ก็ตั้งใจมาเพราะรูปร่างหน้าตาน่ารัก เหมือนกล่องเก็บเพชรพลอย ของจริงเล็กนิดเดียว 



ตั้งแต่มา ยังไม่ได้กินเจลาโต้(เพราะมันหน๊าววว) วันนี้อยู่เที่ยวอิตาลีวันสุดท้ายแล้ว เลยรู้สึกว่าต้องจัดส่งท้ายซักหน่อย จริงๆร้านฮิตของเวนิส คือ ร้าน Suso ที่ลิซ่าเคยมากิน แต่เราขอไปร้านที่ได้กินสบายๆหน่อย ขี้เกียจต่อแถว

เลือกร้าน Gallonetto รีวิวในกูเกิ้ลมีหลายพัน และคะแนนรีวิวดี แถมใส่เจลาโต้ในถังมีฝาปิดมิดชิด ซึ่งทำให้รักษาคุณภาพเจลาโต้ได้ดีกว่า เลือกรสพิสตาชิโอ้กับคาราเมล สังเกตเจลาโต้ที่ดีง่ายๆ สีจะไม่จัดจ้านมาก อย่างรสพิสตาชิโอ้ก็จะสีเขียวตุ่นๆ เพราะเค้าไม่ได้เติมสีผสมเข้าไป



เดี๋ยวเดินข้ามสะพานริอัลโต้ ไปเที่ยวฝั่ง San Polo กัน



เดินลงมาจากสะพานก็เจอโซนตลาด ใกล้ๆมีตลาด Rialto 



มีขายทั้งปลา ของสด ของแห้ง ส่วนพวกอาหารพร้อมทานนี่ไม่เห็นนะ
แต่ร้านอาหารแถวนั้นก็เพียบแล้วล่ะ



มีสิ่งนึงที่เราอยากลองหาประสบการณ์การกินที่เวนิส คือ Cicchetti แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลอง ลักษณะเป็นอาหารคำเล็กๆแบบ finger food กินรองท้องระหว่างมื้อ ทานคู่กับ prosecco หรือไวน์แก้วเล็กๆ แต่การมาคนเดียวมันก็ทำให้ไม่ค่อยกล้ากินอะไรแบบนี้อ่ะ ไม่ชิลพอ 555 

ร้านคอสตูมงานคาร์นิวัล มีเห็นอยู่เนืองๆ



โบสถ์ S. Maria Gloriosa dei Frari



ขณะที่กำลังเดินอยู่แถวๆนี้ ได้ยินเสียงคนร้องเพลงมาจากด้านหลัง ซักพักพ่อค้าด้านหน้าเราร้องเพลงตอบกลับ 555 มันจะมีคนประเทศไหนที่ร้องเพลงทักทายคนรู้จักในที่ชุมชนแบบนี้บ้าง เท่าที่รู้ก็มีคนไทยกับอิตาเลียนนี่แหละ



Campo San Polo เป็นจัตุรัสใหญ่ของเมืองฝั่งนี้
เดินมาครึ่งวัน บรรยากาศหลากหลายมาก 



เมืองบนบกมีอู่ซ่อมรถ เมืองในน้ำอย่างเวนิสก็มีอู่ซ่อมเรือเช่นเดียวกัน



ป้าเริ่มเดินไม่ค่อยไหว เจอสวนเล็กๆริมคลอง ก็ขอนั่งพักขาซะหน่อย



โบสถ์ S.Maria della Salute อยู่ตรงปลายแหลมเขต Dorsoduro
เป็นโบสถ์เดียวกับที่เราเห็นตอนยืนอยู่บนสะพานแอคคาเดเมียเมื่อตอนเช้า



วิวของฝั่งตรงข้าม จะเห็นหอระฆังของซานมาร์โก้ รวมถึง Palazzo Ducale
ตั้งแต่เช้า กว่าจะเดินมาถึงนี่ก็เกิน 10 กิโลอยู่นะ 
แค่คิดจะเดินกลับไปก็รู้สึกท้อใจอย่างบอกไม่ถูก ขั้นต่ำต้องมี 3 กิโลแหละ



แล้วฟ้าก็ส่งทางสวรรค์มาให้
เห็นป้าย Traghetto ติดข้างทาง ก็นึกได้ว่ามีบริการเรือข้ามฟากราคาประหยัดอยู่นี่นา ถือโอกาสลองเลยละกัน ไม่ต้องเดินไกลอ้อมไปขึ้นสะพานด้วย

ค่าโดยสารเพียง 2 ยูโรต่อคน ได้นั่งเรือกอนโดล่า (ถึงจะได้นั่งแค่ 5 นาทีก็ตาม) พอผู้โดยสารเต็มก็พายเรือออก ระยะทางสั้นๆตัดแกรนด์คาแนลข้ามไปอีกฝั่ง สนุกดีนะ ใครอยากลองกอนโดล่าราคาประหยัด เล็งป้าย Traghetto ไว้ได้เลย



เรือมาส่งที่ท่าใกล้กับสวนสาธารณะ Giardini Reali ซึ่งก็อยู่ติดกับจัตุรัสซานมาร์โก้เลย ประหยัดแรงไปได้เยอะ



แว่บมารับกระเป๋าจาก A Tribute to Music แล้วไปเชคอินใหม่กับโรงแรมเดิมที่ตั้งใจจองมาอีกครั้ง วันนี้บุคกิ้งไม่หายแล้วจ้า ด้านหน้าเป็นจัตุรัสที่น่ารักไลฟลี่มากๆ 

แล้วเพิ่งมารู้ว่าโบสถ์สีน้ำตาลทางด้านซ้ายของภาพ เป็นที่ประกอบพิธีศีลจุ่มให้กับ Vivaldi นักประพันธ์ดนตรีคลาสสิกชาวเวเนเชี่ยน



เช็คอินได้ห้องเรียบร้อย ก็ออกมาหาอาหารกิน จะบ่ายสามแล้วยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ขอรวบมื้อเที่ยงมื้อเย็นไปทีเดียวเลย



ด้วยความเป็นเมืองท่องเที่ยว ก็หาร้านอาหารที่เปิดตอนบ่ายสามได้ไม่ยาก
เลือกร้านนี้เพราะตกแต่งน่ารักดี เราเป็นลูกค้าคนเดียวในร้าน



จำชื่อจานนี้แบบเป๊ะๆไม่ได้แล้ว ขอเรียกว่าพาสต้าทะเลรวมก็แล้วกัน
รสชาติอร่อยเลย กลมกล่อมอูมามิ



กินอิ่มแล้ว ก็กลับมานอนพักผึ่งพุงที่โรงแรม ด้วยความได้นอนสบายๆในห้องอุ่นๆ เกือบจะไม่ยอมออกมาอีกรอบแล้ว แต่นึกขึ้นได้ว่าควรจะต้องออกมาจัดการหาตั๋วเรือเพื่อเดินทางออกจากเกาะเวนิสในวันพรุ่งนี้ก่อน 



หลังจากซื้อตั๋วเรือ Alilaguna สำหรับออกเดินทางจากเวนิสไปสนามบินในวันพรุ่งนี้เรียบร้อย ก็ออกมาเดินซึมซับบรรยากาศยามเย็นของเวนิส ขณะเดินอยู่กลางจัตุรัสซานมาร์โก้ก็ได้ยินเสียงรอบตัว ครางดังฮือออ



ที่ทุกคนส่งเสียงออกมาคงเพราะได้เวลาเปิดไฟส่องสว่างพอดี โคมไฟดวงเล็กรอบจัตุรัสฉายแสงสีส้มโดยพร้อมเพรียง เราชอบตรงที่เค้าไม่ได้เปิดแสงไฟจนเจิดจ้า มันให้ความรู้สึกโรแมนติกปนวังเวงหน่อยๆดี 



แม้แต่ตรงโบสถ์กับวังก็ไม่ได้มีการเปิดไฟตกแต่งอะไร



เคยอ่านจากที่ไหนมาก็ไม่รู้ว่า เวนิสตอนกลางคืนจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงกับเวลากลางวัน เหมือนเป็นดินแดนของภูตผีวิญญานที่อาจจะออกมาเดินเหินปะปนกับคนมีชีวิต บรรยากาศที่เราเห็นก็ทำให้รู้สึกแบบนี้จริงๆนะ เป็นความสวยสงบที่วังเวง คนน้อยลงจากกลางวันเยอะ 

ภาพนี้เราถ่าย Bridge of Sighs จากฝั่งด้านหลัง



ตรงไหนมีร้านอาหารก็ดูจะวังเวงน้อยลงหน่อย



ผ่านโบสถ์ S. Zaccaria ตอนเดินกลับที่พัก



ในตรอกซอกซอยเปลี่ยวไปนิด ออกมาเดินเลียบเวนิสลากูนดีกว่า



กลับมาถึงโรงแรม Hotel la Residenza 
ล็อบบี้โรงแรมต้องขึ้นบันได้ขึ้นไปอีกชั้น



โคตรจะหลงรักการตกแต่งของโรงแรมเลยอ่ะ เราชอบที่พักที่ทำมาจากบ้านเก่าที่อยู่เก่ามากเลย มันดูมีเรื่องราว ไม่กลัวผีนะ มันเป็นเรื่องปกติแหละที่ทุกที่จะมีคนเคยมาอยู่อาศัยก่อนเรา แต่ก็ไม่ได้อยากเจอนะ 55 ต่างคนต่างอยู่คนละเวิร์สเถอะ



อาจจะไม่ไฮโซสุดๆของเวนิส แต่ก็ดูเป็นบ้านเก่าคนมีอันจะกินแหละ
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมากินมื้อเช้าตรงนี้



เมื่อตะกี้ห้องคุณท่าน ส่วนนี้ห้องสาวใช้ของเราเอง 555


 




 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2568    
Last Update : 30 กรกฎาคม 2568 7:56:12 น.
Counter : 233 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

วันที่ 4 เซอร์ไพร้สในเวนิส

20 มีนาคม 2568

ช่วงเช้ายังอยู่ปาโดว่า
เปิดประตูหลังห้องมาดูวิวโบสถ์เซนต์อันโตนิโอให้สาสมแก่ใจก่อนอันดับแรก



เมื่อคืนตอนจะนอนก็แอบคิดนะว่า คริสต์เค้าคงไม่ถือถ้าจะหันเท้าไปทางโบสถ์ทางพระทางเจ้าเนาะ 555 ว่าแล้วซูมให้เห็นรูปสลักนักบุญอันโตนิโอที่เห็นจากห้องให้ดูหน่อย ลักษณะเด่นที่ทำให้รู้ว่านี่คือนักบุญอันโตนิโอ คือ กิริยากำลังอุ้มเด็ก แล้วทรงผมแบบนักบวชโกนหัวตรงกลางกระหม่อม เหลือผมตรงรอบๆไว้เหมือนมงกุฎ 



อย่างที่เล่าไปบล็อกที่แล้ว ปาโดว่าก็เป็นเมืองมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับที่โบโลญญ่า จริงๆเกิดจากอาจารย์และนักศึกษาที่เบื่อหน่ายความอนุรักษ์นิยมของม.โบโลญญ่า เลยมาตั้งม.ปาโดว่าที่บุคลิกจะเปิดกว้างมากกว่า ปัจจุบันก็เป็นมหาวิทยาลัยที่รับนักศึกษาต่างชาติเข้าเรียนมากที่สุดแห่งนึงของอิตาลีด้วย 

ใกล้ๆโรงแรมที่พัก มีบ้านอดีตอาจารย์ชื่อดังที่เคยมาสอนที่ ม.ปาโดว่าด้วย
บ้านกาลิเลโอ กาลิเลอิ อาจารย์สอนคณิตศาสตร์ บ้านแบบทั่วๆไปเลย low-key ต้องตั้งใจมาหานะ 



มีป้ายยืนยันว่าดิชั้นไม่ได้โม้ เป็นบ้านพักอาจารย์กาลิเลโอจริงๆ



เป็นเมืองที่เดินสบายใจที่สุด ไม่มีคนเร่ร่อน ไม่มีคนขอตัง ไม่มียิปซี ไม่มีคนเมา
ไม่มีเด็กสก๊อย ตอนเช้าในเมืองเก่าเงียบสงบมาก สะอาดด้วย



คุณตาพาหมามาขี้ 555



ตั้งใจเดินมาสำรวจตลาดเช้าของเมืองที่ Piazza delle Erbe
ตึกสวยๆด้านหลัง Palazzo della Ragione ได้ UNESCO World Heritage ด้วย สร้างตั้งแต่ยุคกลาง ผ่านร้อนผ่านหนาว ถูกใช้มาในมากมายหลายจุดประสงค์ ปัจจุบันด้านบนเป็นมิวเซียม ส่วนชั้นล่างเป็นตลาดขายเนื้อ 





ร้านขายเนื้อที่ตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคารมรดกโลก



ตรงนี้เหมือนเป็นย่านตลาดทั้งเวิ้ง เพราะอีกฝั่งของ Palazzo della Ragione
ก็เป็นตลาดเช่นเดียวกัน Piazza della Frutta พอตลาดเช้าวาย ตอนบ่ายร้านอาหารคาเฟ่จะมาตั้งร้านแทน

คาเฟ่ที่เก่าแก่ที่สุดของปาโดว่า Pedrocchi Cafe
ทางเข้าดูหรู ดูแพง แต่ราคาน่ารักมาก ประทับใจร้านนี้นะ



เปิดตั้งแต่ปี 1831 ร้านกว้างขวางมีหลายโซนให้นั่ง



แถมไม่ชาร์จค่า Coperto หรือค่าปูโต๊ะ ซึ่งปกติร้านกาแฟในอิตาลีถ้าเรานั่งดื่มที่โต๊ะจะเสียค่า coperto ประมาณ 2-3 ยูโร แล้วบรรยากาศร้านสวยดีงาม อากาศหนาวๆด้านในร้านคืออุ่นสบาย คนไม่เยอะด้วย สั่งขนมปังแซนวิชไส้ทูน่ากับกาแฟมิ้นต์(เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของร้าน) กะว่าน่าจะเสียซัก 10ยูโร คิดตังมาแค่ 5.5 ยูโรเองง่ะ



เอาจริง มุมนี้คือดูเป็น"เวนิสน้อย"กว่า Little Venice ที่เป็นมุมฮิตในโบโลญญ๋าอีก



ขอบคุณคำโปรยของเจ๊ป้อง ที่ทำให้ลองเปิดใจมาเที่ยวปาโดว่า
มันก็ไม่ขนาดสวยเหมือนสวรรค์อ่ะนะ แต่เป็นเมืองที่เดินเพลิน พักใจได้ดีเลย มั่นใจว่าเที่ยวสนุกกว่าเวนิสเมสเตรที่จองมาตอนแรกแน่ๆ




เมื่อวานมา Prato della Valle ตอนเย็นแล้ว วันนี้มาดูตอนเช้าบ้าง



มีรถมาเปิดท้ายขายของด้วย 



แวะซื้อแม็กเน็ตมาเก็บที่ระลึก ของปาโดว่าของแท้ต้องมีเซนต์อันโตนิโอนะ
จะเห็นมีแม็กเน็ตเวนิสมาปนๆ เพราะอยู่ห่างกันแค่ 50 โล



กลับโรงแรมมาเช็คเอ้าท์ แล้วขึ้นรถไฟไปเวนิสกันต่อเล้ยยย
ตื่นเต้นจัง จะได้เห็นเวนิสตัวเป็นๆซักที




ใช้เครดิตที่ได้จากวันที่โดนรถไฟสไตร์กจนต้องนั่งรถทัวร์ เปลี่ยนมาใช้จองรถไฟจากปาดัวไปเวนิสแทนนี่แหละ นั่งแค่ครึ่งชม.ถึงแล้ว

ภาพแรกของเวนิส จากหน้าสถานีรถไฟซานตาลูเชีย
แค่อินโทรเข้าเมืองก็ว้าวแล้ว

ตรงจุดนี้จะพลุกพล่านสับสนเล็กน้อย ด้วยสถานที่ใหม่ๆอาจจะมีคนเข้ามาเสนออะไรมากมาย เคล็ดลับที่อยากแชร์ของเรา คือถ้ายังงงๆไม่แน่ใจว่าต้องทำไงต่อ ให้ยืนนิ่งๆก่อน กวาดสายตาดูรอบๆ ค่อยๆมองเก็บข้อมูล เดี๋ยวหาทางไปต่อเจอเอง ซักพักก็หาเจอที่ซื้อตั๋ว เรากดซื้อตั๋วจากตู้ จากแพลนเที่ยวของเรา ใช้แบบเที่ยวเดียว 9.5 ยูโรก็พอ ที่เหลือใช้วิธีเดินเที่ยวในเวนิสเอา เราตัดสินใจไม่ไปเที่ยวเกาะบูราโน่ มูราโน่ เพราะไม่อยากให้โปรแกรมมันแน่นจนเกินไป



เรือเมล์ที่เวนิสเรียกว่า Vaporetto มีหลายสาย เรานั่งสาย 4.1 ไปลงท่า Arsenale นั่งเป็นชั่วโมงเหมือนกัน สายนี้จะไม่ได้ผ่านแกรนด์คาแนล แต่จะอ้อมออกทางรอบนอก ตีวงไปจอดฝั่งเกาะลิโด้ก่อนจะวกเข้ามาท่า San Marco คนจะไม่แน่นเท่าสาย 1 สาย 2 ที่แล่นเข้าแกรนด์คาแนล อ่อ ก่อนขึ้นเรือ อย่าลืมวาลิเดตตั๋ว จะมีตู้ให้เสียบวาลิเดตก่อนจะลงเรือ สัมภาระเรามีแค่กระเป๋าไซส์แครี่ออนลากเข้าตรงที่นั่งข้างตัวได้เลย ไม่รบกวนผู้โดยสารท่านอื่น

ขึ้นเรือที่ Arsenale เรียบร้อย เกียมเดินต่อไปโรงแรมกัน



ที่เวนิสจะแบ่งโซนในเกาะออกเป็น 6 ย่าน ที่พักที่เราจองมาอยู่ในเขต Castello ซึ่งไม่ค่อยเห็นรีวิวว่ามีคนไทยมาพักกันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะหาที่พักกันไม่ไกลจากสถานีรถไฟ แต่เราชอบย่านคาสเตลโล่ที่เราไปพักมากเลย มันเงียบสงบ บรรยากาศน่ารัก ไม่จอแจ แล้วก็เดินแค่ 5 นาที ก็ถึงจัตุรัสซานมาร์โก้แล้ว 

ก่อนจะมาตื่นเต้นกับที่พักที่เวนิสที่จองมามาก 
Hotel la Residenza
เป็นบ้านของตระกูลเก่าแก่ของเวนิส ตระกูล Gritti ซึ่งคนในตระกูลนี้เคยได้รับตำแหน่งผู้ครองเวนิส หรือ Doge มาแล้วด้วย ดูในกูเกิ้ลรีวิวแล้วชอบโถงต้อนรับอู้ฟู่ของเค้า แล้วราคาก็ไม่ได้แรงมาก ( 90 ยูโร ถูกกว่าโฮสเทลที่มิลานอีก) เลยจองมานอนที่นี่ 2 คืน แต่จองแยกแต่ละคืนมาคนละบุคกิ้ง

เดินมาแค่ 150 เมตรจากท่าเรือตะกี้ก็ถึงแล้ว 



ห้องโถงต้อนรับอยู่ชั้น 2 เพดานสูง ลวดลายยุ่ยบั่บ ตกแต่งดูไฮโซเวนิสมากมาย
มาถึงบ่ายสอง ก็กะว่าได้เช็คอินเข้าห้องพอดี คิดในใจว่าทำไมชั้นช่างหาที่พักได้เก่ง ปั๊วะปังอะไรขนาดนี้น้าาาา



ทว่าพนักงานส่งหน้าเครียดกลับมาขณะหาบุคกิ้งให้เรา แล้วบอกว่าหาบุคกิ้งคืนแรกที่จองมาไม่เจอ Surprise!!! แต่คืนที่ 2 มีการจองขึ้นในระบบอยู่ แล้ววันนี้ห้องก็ถูกจองเต็มแล้วด้วย (เราจองผ่านเวบโรงแรมตรงด้วยนะ) นางเลยให้นั่งรอระหว่างหาทางแก้ปัญหา ด้วยการโทรหาโรงแรมแถวนั้นเพื่อหาที่นอนใหม่ให้เรา ตอนนั่งรอก็แอบคิดว่า หรือเค้าอาจจะจำเป็นเปิด"ห้องปิดตายห้องนั้น"ให้เรารึปล่าว ยิ่งเป็นบ้านเก่าบ้านแก่ซะด้วยสิ

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ดิชั้นก็เปลี่ยนมานั่งโซฟากะหมาเฟรนช์บูลด็อกตัวนี้แทน
เค้าหาที่พักใหม่ให้ ชื่อ A Tribute to Music หันหน้าออกทะเล ติดกับเวนิสลากูนเลย ทำเลดีกว่าที่เดิม แต่ความหรูหราไม่มี 55 เป็นแบบกันเองๆ B&B ไรงี้ห่างจากที่เก่า 100 เมตร ได้ราคาเท่ากับคืนแรกที่จองผ่านโรงแรมเดิม เพิ่มเติมมีอาหารเช้าให้ด้วย ก็โอเคแหละจุดนี้ ดีกว่าต้องไปนอน"ห้องนั้น"แหละ



ระหว่างรอทำห้อง ก็มาเล่นหมาคลายเครียด
พนักงานต้อนรับน่ารัก คุยเม้าท์ม่วนจอย นางเคยมาเชียงใหม่ด้วย
และนี้ ก็คือห้องพักแบบฉุกเฉิน แบบด้นสดหน้างานของเราในคืนนี้



จบเรื่องเซอร์ไพร้สบุคกิ้งที่พักหาย ก็กลับมาสู่โหมด Travel & Leisure ต่อ



เดินมาแป๊บเดียวก็มาอยู่หน้า Palazzo Ducale หรือ Doge Palace
เป็นที่ว่าราชการเมืองเวนิสในสมัยก่อน สถาปัตยกรรมแบบไบเซนไทน์ จะสังเกตว่าที่นี่จะได้รับอิทธิพลแบบแขกตุรกีมาปะปนด้วย เพราะทำการติดต่อค้าขายกับเมืองใหญ่สมัยนั้นอย่างคอนสแตนติโนเปิล



แพลนมาเที่ยวเวนิสมาแบบหลวมๆ มีจองสถานที่เข้ามาก่อนแค่ที่เดียว นอกนั้นดูอารมณ์หน้างานเอา สุดท้ายความขี้เกียจเข้าครอบงำ เลยไม่ได้เข้าซักที่ ทั้ง Basilica di San Marco และ Palazzo Ducale



ช่วงบ่ายๆแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นเดือนมีนาหน้าโลว์ ที่ Piazza San Marco ก็ยังมีคนมาเที่ยวคึกคักอยู่



ดูจากแมปส์กูเกิ้ล จากจัตุรัสซานมาร์โก้ไปยังจุดหมายถัดไป เดินแค่ 500 เมตร ใช้เวลา 8 นาที แต่เดินจริงใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง นอกจากแวะถ่ายรูปตลอดทางแล้ว สาเหตุหลัก คือ เดินหลงทางจ้า

ท่าเรือกอนโดล่า เรือเหมาแบบส่วนตัว ราคาแรงมาก 
ราคาปี 2025 คือ เริ่มที่ 30 นาทีแรก 90 ยูโร




ยอมรับว่าเป็นเมืองที่สวยมากๆ จริงๆก็ไม่ได้อยู่ในลิสต์เมืองในฝันแต่แรกหรอกนะ ตอนแรกรู้สึกว่ามันแมสเกินไป เป็นเมืองที่ดูเป็นธีมปาร์ก แต่มาจริงๆ ดัชนีความว้าวรุนแรงอยู่นะ ที่หลงเพราะทางเดินส่วนใหญ่จะเป็นตรอกซอยเล็กๆแบบนี้ มีเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตลอดเวลา ทำเอาหลงทิศหลงทางกันได้ง่ายๆ เปิดแมปส์ก็เอาไม่อยู่นะ แต่สนุกดี เหมือนเดินในเขาวงกต



มันเหมือนเจอเซอร์ไพร้สใหม่ในแทบทุกแยกที่เราเลือกเดิน แบบเลี้ยวมาโผล่มาเจอคลอง โผล่มาเจอลานเล็กๆน่ารัก หักมาอีกทีเอ้าเจอซอยตัน 555 (ใครว่าเวนิสไม่มีซอยตัน ชั้นเจอนะคะ ต้องเดินย้อนออกมา) ควรเผื่อเวลาในการเดินทาง เตือนแล้วนะ



คนจะเยอะแค่ตรงจัตุรัสซานมาร์โก้ สถานีท่าเรือหลักๆ สะพานริอัลโต้ 
ส่วนที่เหลือ เดินชิลมากๆ เลือกมุมถ่ายรูปได้สบาย จุดนี้อยากมีคนมาด้วย จะได้รูปถ่ายสวยๆ แต่มาคนเดียวก็เซลฟี่เองถูไถไปได้แหละ แหะๆ



มองจากไกลๆ ถัดจากท่าเรือ ก็จะเห็นสะพานริอัลโต้ ทอดข้ามแกรนด์คาแนลที่ตัดผ่ากลางเกาะเวนิส เป็นสะพานที่สวยที่สุดของเมือง เป็นจุดนักท่องเที่ยวหนาแน่น



โผล่มากลางย่านช้อปปิ้ง ใกล้ๆสะพานริอัลโต้ หาทางไปห้าง Fondaco dei Tedeschi ต่อ เริ่มจะตื่นเต้นละเนี่ย ใกล้จะถึงเวลานัดแล้ว ยังหลงทางอยู่เลย



ถ่ายรูปคู่กับนกน้องที่ยืนนิ่งไม่กลัวคนเลย จากบนสะพานริอัลโต 
ตึกด้านหลังนั้นแหละที่เรากำลังจะขึ้นไปชมวิวจากชั้นดาดฟ้า



และกิจกรรมเดียวที่จองมาล่วงหน้าในการมาเวนิสก็คือ การขึ้นรูฟท็อปชมวิวเวนิสที่ Fondaco dei Tedeschi เป็นจุดชมวิวที่เข้าได้ฟรี แต่ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น ช่วงที่เราไปคือ ระบบจะเปิดให้จองรอบเข้าก่อน 21 วันล่วงหน้า เราถึงขั้นมาร์กปฏิทินเตือนเอาไว้เลยว่าอย่าลืมเข้าเวบไปจองเชียวนะ เพราะรอบเย็นที่สามารถเห็นวิว sunset มันจะหมดไวม้ากกก และเราก็สามารถทำสำเร็จ ได้ขึ้นรอบสุดท้ายของวัน 17.45 น.

ภายในห้าง Foncado เล็กๆแต่สวยหรูอยู่นะ
ต้องขึ้นไปชั้นบนสุด



ตรงนี้เป็นจุดรอขึ้นดาดฟ้า จะมีเจ้าหน้าที่เช็คดู QR code ที่จองมาทุกคน 
ต้องจองก่อนมาเท่านั้น นี่เราถ่ายตอนหมดรอบเดินกลับลงมาแล้ว ที่เห็นยืนออๆอยู่นั้นเป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้จอง และกำลังเว้าวอนเจ้าหน้าที่ขอขึ้น



วิวจากบนดาดฟ้า เป็น 15 นาที ที่เราจะจำไปจนตายเลย
สวยมากๆ สวยจับใจ พระอาทิตย์กำลังลับฟ้า นกบิน ลมเย็น ได้ยินเสียงระฆังโบสถ์สร้างบรรยากาศ มองเห็นแกรนด์คาแนล สะพานริอัลโต้ บ้านเรือนตั้งริมน้ำเรียงราย การจราจรทางน้ำสุดคึกคัก มันคืออารยธรรมมนุษย์ที่เป็นเอกลักษณ์มากๆในช่วงเวลานึง ดีใจที่ได้มามากๆ 




จำกัดคนขึ้นแค่รอบละ 50 คน แบ่งกันชมวิวซึมซับบรรยากาศกันได้แบบไม่ต้องแก่งแย่ง



หันไปอีกทาง จะเห็นโบสถ์ซานมาร์โกและหอระฆังไกลๆ
ถ่ายมาเบลออีกตะหาก ^^"




ทุกคนอยู่ชมวิวตรงนี้ อ้อยอิ่งกันจนหมดเวลา 



เดินกลับโรงแรม ผ่านจัตุรัสซานมาร์โก้อีกครั้ง
ช่วงพลบค่ำ คนน้อยลงเยอะ




เวนิสเวลานี้ สวยมีเสน่ห์มาก
ทไวไลท์ ถ่ายรูปออกมาสีออกน้ำเงินๆม่วงๆ




Bridge of Sighs สะพานถอนหายใจ
แสงสุดท้ายของวันที่ฉายอ่อนๆลงตรงสะพานพอดี ก็ทำเราถอนหายใจเหมือนกัน แต่ด้วยความสบายอกสบายใจนะ 




อยากเชียร์ให้มานอนบนเกาะเวนิส ราคาที่พักไม่ได้แพงขนาดนั้น
ตอนเย็นๆแบบนี้ นางสวยจริงๆ แล้วเราจะได้ซึมซับบรรยากาศแบบไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรีบขึ้นเรือ หรือแย่งกันขึ้นรถไฟเพื่อกลับที่พักบนฝั่งไง




เดินมาถึงโรงแรมแล้ว ด้วยความอยู่ติดกับเวนิสลากูน ช่วงเย็นๆคนจะคึกคักนิดนึง มากินมื้อเย็น ซื้อของที่ระลึก ก่อนรอขึ้นเรือกลับ

บล็อกหน้ายังอยู่ที่เวนิสต่อค่ะ เดี๋ยวพาเดินชมเมืองกันตอนเช้าบ้างเนาะ





 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2568    
Last Update : 27 กรกฎาคม 2568 20:45:14 น.
Counter : 224 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

1  2  

BlogGang Popular Award#21


 
khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.