Day 7 เที่ยววันสุดท้าย Arashiyama กลางสายฝน

11 มิถุนายน 2566

แล้วก็เป็นตามคำพยากรณ์อากาศ ที่เกียวโตฟ้าฉ่ำฝนตั้งแต่เช้า 
เนื่องจากโฮสเทลอยู่ห่างจากสถานีรถไฟพอสมควร เลยไม่ฝากกระเป๋าไว้ที่พัก
เช็คเอ้าท์แล้วลากกระเป๋ามาฝากล็อกเกอร์ที่สถานีเกียวโต จะได้ไม่ต้องเดินทางกลับไปกลับมาอีก

วันนี้ไม่มีแพลน กะว่าหาคาเฟ่นั่ง หาดอกไม้สวยๆดู ช่วงนี้ดอกไอริสกับไฮเดรนเยียกำลังบาน
เสิชเจอว่าศาลเจ้า Umenomiya-taisha อยู่ไม่ไกลจากอะราชิยาม่า เปิดให้เข้าขมสวนที่มีดอกไอริสกำลังบานพีคอยู่
เลยขึ้นรถเมล์จากสถานีเกียวโต กะว่าจะไปที่นี่แหละ
ปรากฎนั่งรถผิดสาย คันที่ขึ้นไม่ผ่านศาลเจ้าที่ว่า เลยยืนโหนลงสุดสายที่อะราชิยาม่าแทนก็ได้

6 วันแรกไม่เจอฝนซักเม็ด มาเจอวันสุดท้าย ค่อยสมกับมาเที่ยวฤดูฝนซะหน่อย ☔



สะพานโทเก็ตสึเคียว กับฟ้าเน่าๆ 😁





เป็นวันอาทิตย์ ถึงฝนจะตก คนก็มาเที่ยวเยอะอยู่ดี
ร้านกาแฟ Arabica ก็ยังต้องต่อคิว ถ้าอากาศดี ก็คงรอซื้อแล้วมานั่งเล่นริมแม่น้ำได้อยู่



เดินต่อ เลือกเข้าซอกซอยที่ยังไม่เคยไปดีกว่า



เดินมาซักพัก เจอป้ายวัด Hogon-in เปิดให้เข้าชมสวน 
ไหนๆก็ตั้งใจมาชมสวนอยู่แล้ว เข้าวัดนี้แทนก็ได้ เสียค่าเข้า 500 หรือ 700 เยนนี่แหละ จำไม่ค่อยได้แล้ว 55





เจออะจิไซ หรือไฮเดรนเยีย เป็นต้นฤดู พุ่มนี้ยังไม่บานเต็มที่



บรรยากาศในสวนของวัด



Peaceful garden นี่เรียกเอง แบบว่าเดินแล้วสงบสุข
ฝนตกเปาะแปะ มีลำธารเล็กๆ มองล่างก็เจอมอสเขียว มองบนก็ร่มไม้เขียว เสียงนกร้องจุ๊บๆจิ๊บๆ



ส่วนชื่อของสวนนี้ ที่คนทั่วไปเค้าเรียกกัน คือ The Lion’s Roar Garden
สิงโตจะคำราม หรือหาวก่อน ชิลขนาดนี้





ออกจากวัด แล้วเดินมาเจอร้านน่ารัก เป็นร้านขายขนมปัง 
ซื้อขนมปังเค้ากะขอนั่งกินขนมหลบฝนซักหน่อย แต่ไม่มีที่นั่งภายในร้าน พนักงานบอกสามารถไปสั่งกาแฟนั่งคาเฟ่ข้างๆได้





มีสวนที่อะจิไซบานกำลังสวย



คาเฟ่ข้างกันที่ว่า ที่เห็นยืนๆอยู่ คือคนกำลังรอคิวเข้าไปนั่งในร้าน 
ทางเราก็อดเข้าเช่นเคย 



เดินจนถึงถนนเส้นหลัก คนเดินแน่นเต็มฟุตบาท บ้างก็ลงไปเดินกลางถนน รถก็ติด 
จุดนี้เราเซ็งสุดๆ เรียกว่าไหลตามๆกันไป แล้วอากาศยิ่งร้อนๆชื้นๆด้วยนะ 
ฝ่าฟันมาถึงป่าไผ่จนได้ ถ้าเป็นประเทศอื่นที่มีมิจฉาชีพเยอะๆ ต้องมีคนโดนล้วงกระเป๋าตรงซอยเข้าป่าไผ่แน่ๆ
แต่นี่ประเทศญี่ปุ่นไง 55 ไม่มีคนล้วงกระเป๋า 

มาแชะรูปนิดนึงพอให้รู้ว่ามา bamboo grove แล้วค่า
เพิ่งรู้ว่าตอนนี้เค้าทำช่องทางพิเศษสำหรับคนที่จ่ายเงินขึ้นรถลาก จะได้ถ่ายรูปสวยๆกับป่าไผ่ โดยไม่มีคนเดินเที่ยวฟรีร่วมเฟรมด้วย
ตรงซุ้มซ้ายมือนั่นแหละ มีป้ายห้ามคนทั่วไปเข้า



ยิ่งใกล้เที่ยงคนก็ยิ่งมาแน่นขึ้นเรื่อยๆ กลับมาดูรูปตอนเดินกลับจากป่าไผ่คือไม่มีรูปในอะราชิยาม่าอีกเลย
นัยว่าหมดอารมณ์ไม่อยากถ่ายรูปอะไรทั้งสิ้น อยากออกไปจากที่นี้แล้ววว

ระหว่างนั่งรถเมล์สายเดิม กลับมาสถานี มีนักท่องเที่ยววัยรุ่น คุยกันเสียงดังมาก แล้วคือจ้อไม่หยุด
และแล้วมีผู้โดยสารบนรถเมล์ตะโกนอย่างดังว่า SHUT UP!! น้องเค้าถึง sorry แล้วสลับโหมดมาคุยเบาๆกันต่อ

ก็เรียกได้ว่าเกียวโตที่เราเจอมารอบนี้ ค่อนข้างดุกว่าเดิมเยอะมากๆ
คงเพราะ overtourism คนพื้นที่ก็คงอึดอัดกับสภาพแบบนี้ไม่น้อย แต่การท่องเที่ยวก็นำรายได้มาสู่เมืองด้วยเช่นกัน
เป็นเมืองที่เราเคยชอบมากๆ แต่บอกตรงๆว่ากลับมารอบที่สามนี้ ไม่ค่อยแฮปปี้กับเกียวโตเท่าไหร่

มาถึงสถานีเกียวโตเพื่อมาหาข้าวเที่ยงกิน แต่ทุกร้านมีคิวยาวต้องรอคิวยาวเหยียด คนมันเยอะขนาดนั้นอ่ะ
เลยซื้อชานมไข่มุก Gongsha กินรองท้อง แล้วขึ้น Haruka ไปสนามบินตั้งแต่บ่ายต้นๆนั่นล่ะ



บินกลับพรุ่งนี้เช้าตรู่ คืนนี้เราเลยจองที่นอนในสนามบินนี่แหละ 
เอากระเป๋ามาฝากไว้ก่อน แล้วนั่งรถไฟมากินข้าวเที่ยงที่ Rinku outlet
ไก่ทอดซอสส้ม จาก Panda Express อยู่ในฟู้ดคอร์ท 



มาเดินเล่นฆ่าเวลาไป



Rinku Park ฝั่งนู้นนนก็คือ สนามบินคันไซ ห่างกันสถานีรถไฟเดียว 



ตกเย็น กลับมาพักผ่อนกับที่พักคืนสุดท้ายที่เดินไปสนามบินได้ใน 5 นาทีเอง



First Cabin แนะนำให้จองมาก่อน ที่นี่มักจะเต็มตลอด



ห้องพักรูหนูสุดหรูของเรา



เช้าตรู่ของวันกลับ เดินลากกระเป๋าข้ามฝั่งไปสนามบินถึงภายใน 5 นาที 
เช็คอินเสร็จ ต้องรอเค้ามาเปิด security check ตอน 6.30 น. ผู้โดยอย่างชั้นมาไวเกิ๊นนน



นั่งเวียตเจ็ตกลับนครพิงค์ เวียงเจียงใหม่แล้วเจ้า




 

Create Date : 10 เมษายน 2567    
Last Update : 11 เมษายน 2567 19:26:16 น.
Counter : 190 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

Day 6 ชมปราสาท Kanazawa จิบชาในสวน ส่องบ้านซามูไร กินโนโดกุโระส่งท้ายก่อนมูฟไปเกียวโต

10 มิถุนา 66
ไปๆมาๆ ชอบเมืองคานาซาว่า มากที่สุดในทริปนี้ มันเงียบสุด มันสุดจะชิล ไวบ์เหมาะกับวัยคุณป้าตอนต้นอย่างดิชั้นมาก 
เนี่ย ถนนเส้นหลักของเมือง สองข้างทางก็เป็นตึกสูง แต่คนหายไปไหน? 


เป็นเมืองที่ไม่มีรถไฟฟ้าใต้ดินในเมือง แต่จะเห็นทางลงไปใต้ดินแบบนี้อยู่เป็นระยะ


ลงไปก็จะมีแค่นี้ เป็นอุโมงค์ไว้ลอดข้ามถนนเฉยๆ ไม่แน่ใจว่าอาจจะมีแผนสร้างรถไฟใต้ดินในอนาคตเลยทำโครงสร้างไว้ก่อนมั้ย
หรือในภาวะฉุกเฉินอาจจะกลายเป็นหลุมหลบภัยรึปล่าว เดาล้วนๆ


สำรวจตลาดตอนเช้าเช่นเคย Omicho market ตลาดสดในร่มมีแผงขายของมากมายหลากหลายไปหมด


แต่ที่เด่นสำหรับนักท่องเที่ยวแบบเรา ก็ต้อง อาหารทะเล เมืองติดทะเลเนาะว่าไม่ได้


ตั้งใจมากินมื้อเช้าที่ร้านนี้ ชื่อ Tonariya แต่ต้องรออีก 10 คิว ลาค่ะ! ยังไม่กินก็ได้ //สะบัดบ๊อบ


ดีนะที่มีร้านสำรองปักหมุดไว้อีก เดินอีกไม่ไกล เป็นร้านกาแฟสไตล์เรโทร Higashide มีเครื่องคั่วเมล็ดโชว์หน้าร้านด้วย
อะไรนะคะ! เดินเข้าร้าน พนักงานบอกที่นั่งเต็ม อีกแล้ว 
จอนคะ อีกครั้งแล้วสินะ ที่ชั้นต้องโยกย้าย ท้องร้องแล้วนะตอนนี้


แผนสุดท้าย เป็นร้านกาแฟติดประตูทางเข้าปราสาทคานาซาว่า ไปถึง เค้ายังไม่เปิดจ้าาาา
ตอนนั้นคิดถึงซูชิห่อใบตองที่ทิ้งไว้ในตู้เย็นที่โฮสเทลที่สุด ชั้นน่าจะห่อมาด้วย 😤


ถึงจะยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เราก็ไส้กิ่วเที่ยวต่อได้อยู่
มาถึงแล้ว ปราสาทคานาซาว่า เราเข้ามาทางประตูด้านหลัง เลยเจอสนามหญ้าที่เขี๊ยวเขียวนี้ก่อน


เดินอ้อมมาซักพักก็เจอ ปราสาทคานาซาว่า ด้านหน้าแล้ว ถ้าเทียบกับนาโกย่า โอซาก้า ที่นี่ก็โคซี่มากนะ หลังไม่ใหญ่
ตัวปราสาทที่เห็นเพิ่งถูกสร้างใหม่ เสร็จเมื่อปี 2001 นี่เอง ส่วนอาคารเดิมโดนไฟไหม้จนหมด 


ส่วนที่เก่าแก่สุดที่ไม่ถูกไฟไหม้ คือประตูหลักที่เข้าปราสาท Ishikawa-mon เที่ยวที่นี่ไม่เสียค่าเข้าด้วยนะ


เพียงแค่ข้ามมาถนนอีกฝั่ง ก็จะถึงสวนที่สวยงามติด 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น
แล้วดูถนนที่ต้องข้ามมาซะก่อน น่ารักจนใจเจ็บนะ


ป้ายเข้าสวน เขียนว่า เคนโระคุเอ็น รึปล่าวนะ
จะเรียกว่าสวนสาธารณะก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะต้องเสียค่าเข้า 320 เยน


เจออีกแล้ว ซอฟเสิร์ฟแปะทองคำเปลว แต่ชั้นไม่เก็ตการที่เราต้องกินทองคำเปลวจริงๆนะ


บรรยากาศในสวน ร่มรื่น และเนี้ยบสุดอันเป็นเอกลักษณ์ของสวนญี่ปุ่น


เข้ามาได้ไม่นาน เจอร้านน้ำชาที่เปิดบริการแล้วหนึ่ง ด้วยความหิวมาก จุดนี้แม่ไม่หวังน้ำบ่อหน้า
ถลาเข้าไปสั่งขนมกับน้ำชารองท้องด่วน 


เช็ตมัจฉะร้อน กับขนม 1 ชิ้น 1000 เยน ราคาแรงอยู่ 
หลังจากออกมาพบว่าในสวนจะมีร้านน้ำชาเป็นระยะๆ มีร้านนั่งสบายดูดีแบบที่เราเข้า และร้านที่ดูบ้านๆคนเข้าเยอะๆก็มี 


จิบชา ค่อยๆเล็มขนม ชมวิวข้างนอก เป็นจุดพักเติมพลังที่ดีเลยแหละ
น้ำพุที่เห็นจากหน้าต่าง เป็นน้ำพุแรกที่สร้างขึ้นในประเทศญี่ปุ่นเลยนะ


เดินๆกันต่อ




สวนถูกสร้างบนเนินเขา เราเดินมาถึงลานด้านบนสุดแล้ว


มองเห็นเมืองคานาซาว่าที่พ้นยอดไม้มาหน่อยๆ


เทคนิกการจัดทรงต้นไม้ เสาค้ำเพียบ


จุดแลนด์มาร์กสำคัญของสวนเคนโระคุเอ็น Kotojitoro lantern
เป็นโคมแบบพิเศษเพราะที่มี 2 ขา ถึงขั้นต้องเข้าคิวรอถ่ายรูป 


แดดร้อน ก็มีร่มเงาไม้ให้นั่งพักอยู่เรื่อยๆ เงยหน้ามหัศจรรย์กับขนาดต้นสนไปพลางๆ


Meiji monument 
อนุสาวรีย์ที่สร้างอุทิศแด่ทหารที่เสียชีวิตในสงครามเซนัน ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2420


เบื้องหลังความสวยงามของสวน พนักงานดูแลสวนเก็บรายละเอียดทุกเม็ด 
นี่คือ มากัน 2 คน ช่วยกันนั่งเก็บนั่งถอนอะไรก็ตามที่ไม่ควรอยู่บนพื้นมอส


จัดสวนเป็นโซนๆ ช่วงที่เรามา เดือนมิถุนา ไม่มีเทศกาลดอกไม้บาน หรือใบไม้เปลี่ยนสี
แต่ยังมีสวนบ๊วย ออกผลให้ชื่นชมนะ 😄


ออกจากสวน เดินผ่านต้นโอ๊กคู่ใหญ่น่าเกรงขาม ปลูกด้านหน้า Shiinoki Cultural Complex


มาถึงย่าน Nagamachi district ย่านบ้านซามูไร ชนชั้นนักรบผู้ทรงเกียรติ ถิ่นที่อยู่จะดูหรูหรามีระดับ อารมณ์ย่านบ้านนายพล


นอกจากรั้วรอบขอบชิด สิ่งที่เห็นชัดอีกอย่างคือ กำแพงดินโคลนสีเหลืองอ่อนที่ยาวจนสุดซอย




หลังนี้เปิดให้เข้าชมความเป็นอยู่ในบ้านซามูไรสมัยก่อนได้ด้วย


สำหรับมื้อเที่ยง ว่าจะกลับไปหาอะไรกินที่ตลาดโอมิโจอีกรอบ 
แวะแชะทางเข้าศาลเจ้าโอยามะ ที่ดูแปลกตากว่าซุ้มทางเข้าศาลเจ้าตามปกติในญี่ปุ่น 
เพราะออกแบบโดยช่างชาวดัตช์ เลยมีความผสมผสานทั้งญี่ปุ่น จีน และยุโรป


ลองไปส่องดูร้านที่ตั้งใจจะไปกินเมื่อตอนเช้า คุณพระช่วย!!
โนคิวค่ะ ในที่สุดก็ได้กินข้าวปลาโนโดกุโระสมใจอยากอิช้อย ร้านนี้รับแต่เงินสด ใครอยากกิน เตรียมเงินในกระเป๋าให้พร้อมค่ะ
เซ็ตนี้ 3300 เยน อร่อยมาก อร่อยสุดๆ เนื้อปลาสีขาวเบาๆ หวานๆ อารมณ์แบบปลาหิมะ


สามารถรับประทานได้หลายแบบ มีคู่มือมาให้ศึกษาด้วย


เราไม่ชอบกินปลาดิบซักเท่าไหร่ แต่ตลาดโอมิโจเค้าเด่นดังจริงๆเรื่อง ข้าวหน้าปลาดิบ อาหารทะเลใดๆ มีร้านให้เลือกซื้อเยอะ 


ต้องมูฟจากคานาซาว่าไปต่อแล้ว เมืองนี้น่ารัก เดินได้ทั่ว คนไม่เยอะ มีความเรโทรปนนิดๆทั้งเมือง


นั่งรถด่วน Thunderbird สู่เกียวโต เมืองที่ฉันเคยรัก 555


เกียวโตรอบนี้ overtourism มากๆ รู้สึกได้ตั้งแต่อยู่ในสถานีรถไฟเกียวโต ทุกที่คนแน่น ทุกร้านอาหารมีคิวต้องรอ
เราก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาที่นี่เหมือนกัน


ดูพยากรณ์อากาศว่าเกียวโตวันพรุ่งนี้โอกาสฝนตกฉ่ำๆ 100%
เลยรีบมาถ่ายรูปกับมุมยอดฮิตในวันนี้ซะเลย เย็นมากแล้ว แต่คนยังเยอะ 
เห็นป้ายติด ห้ามยืนถ่ายรูปกับบ้านเค้า เห็นเจ้าของบ้านออกมาไล่นักท่องเที่ยวไม่ให้ขวางหน้าบ้านเค้า รู้สึกถึงความมาคุมั้ย


ย่านซอกซอยก่อนขึ้นไปวัดคิโยมิซุ 




หิวและเหนื่อย เลือกเข้าร้านบ้านๆข้างทางเป็นร้านขายโอโคโนมิยากิ


โอโคโนมิยากิมาแล้ว แต่ใส่ขิงเยอะมาก ถึงไม่ค่อยชอบแต่ก็กินๆไปเหอะ 😅


จะเดินกลับโฮสเทล แต่อ้อมไปย่าน Shijo-Kawaramachi ซักหน่อย 
ผู้คน รถรา คึกคักสุดๆ


แม่น้ำคาโมะ ยังน่านั่งเล่นอยู่เหมือนเดิม


เดินกลับโรงแรมอีก 1.5 กม. ถึงที่นอนซะที เย้ 🥱

 




 

Create Date : 07 เมษายน 2567    
Last Update : 11 เมษายน 2567 19:26:36 น.
Counter : 162 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

Day 5 ศาลเจ้าพลังมาคุ ชินคันเซ็นครั้งแรก เที่ยวเมืองรอง Kanazawa

วิถีแม่บ้าน ต้องตื่นแต่เช้ามาเดินตลาด
Miyagawa Morning Market เป็นตลาดนัดขนาดย่อมริมแม่น้ำที่ชื่อเดียวกัน เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึงช่วงสายๆ 
วันที่ไปเป็นวันธรรมดาแถมมีฝนตกปรอยๆ เดินมาถึงตลาดแล้วเคว้งคว้างมาก ทำไมเงียบ


เดินไปจนสุดอีกทาง มีร้านเปิดไม่ถึง 10 ร้าน มีนักท่องเที่ยวเดินมางงๆคล้ายเราอีก 3-4 กลุ่ม
เอ๊ะ หรือเราจะมาเช้าเกินไปนะ


ตัดสินใจเดินไปสำรวจเมืองทางอื่นก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาตลาดอีกที เผื่อแม่ค้าจะกำลังเดินทางมา ชีวิตต้องมีหวังเสมอ ว่างั้น


เห็นเสาโทริอิสูงเด่นอยู่ริมน้ำ แถวนี้ต้องมีศาลเจ้าแน่ๆ


ตอนนั้น เดินไปแบบไม่มีความรู้ในหัวใดๆ แค่หาที่ฆ่าเวลาเพื่อจะไปตลาดอีกรอบเท่านั้น 
รู้สึกวังเวง ขนลุกประหลาดๆ ตอนเดินเข้าไปที่ศาลเจ้านี้ สัมผัสได้ถึงพลังงานมาคุ น่าเกรงขาม


ตั้งแต่ไปเที่ยวมา เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้นะ
แบบว่า จะเข้าไปดีไม่เข้าไปดีวะ 


มาหาข้อมูลทีหลังถึงรู้ชื่อ นี่คือ Sakurayama Hachimangu Shrine
เป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในทาคายามะ สร้างขึ้นตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 4 โน้น 
เป็นศาลเจ้าที่เป็นเจ้าภาพใหญ่ของเทศกาลประจำเมืองหรือมัสซึริ เค้ามีพิพิธภัณฑ์เก็บขบวนแห่ไว้ที่นี้ด้วย 
เนี่ย ถ้ารู้ข้อมูลแบบนี้แต่แรกก็ไม่กลัวแล้ว (เหรอ)


จริงๆสามารถเดินขึ้นบันไดไปดูศาลเจ้าด้านในได้อีก แต่เราขนลุกไปหมดแล้ว งึกงักๆตรงนี้ซักพัก เดินกลับดีกว่า ฮ่าาา
ตัดจบง่ายๆซะอย่างนั้น มาคนเดียว ถือคติ trust my gut


กลับมายังตลาดมิยากาวะอีกครั้ง ก็ยังโล่งเหมือนเดิม
สรุปใครจะมาเที่ยวที่นี่ให้คึกคัก ควรมาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ร้านค้าจะตั้งเต็มพื้นที่แบบที่เห็นในรีวิวคนอื่นน่ะ
ถ้ามาวันธรรมดาแบบเรา ก็จะเหงาๆแบบนี้ กะมากินร้านคุกกี้ถ้วยกาแฟ เค้าก็ไม่มาขาย เศร้าเลย


อำลาทาคายามะ ด้วยภาพนี้ 


ถึงเวลาแล้วสินะ ที่ฉันต้องโยกย้าย
นั่ง Hida Express ไปลงโทยามะ ระหว่างทางไม่เป็นป่าเขา ก็เป็นหมู่บ้านชนบทเพาะปลูกอะไรก็ว่าไป




และก็เป็นครั้งแรก ที่ได้นั่งชินคันเซ็น เส้นทาง Toyama-Kanazawa
มาญี่ปุ่น 4 รอบ ไม่เคยได้นั่ง เพราะเราเที่ยวใกล้ๆเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญตั๋วชินคันเซ็นมันแพงมากนะเธอ
ครั้งนี้ด้วย JR pass ที่ซื้อมา ให้โอกาสเปิดประสบการณ์นั่งรถไฟหัวกระสุนระยะสั้นๆ แค่ 20 นาที ก็ต้องลองสิคะ
ที่น่ั่งเหมือนสายการบินโลว์คอสที่ดิชั้นนั่งมาญี่ปุ่นเลยค่ะ


พอถึงที่หมาย ทำไมรู้สึกเวียนหัว ทั้งที่นั่งแค่แป๊บเดียวเอง เมารถไฟชินคันเซ็นงี้

สถานีรถไฟคานาซาว่า สวยมากเลย ตรงทางออกมีสถาปัตยกรรมสุดเท่ คนไทยจะมองว่าเป็นเก้าอี้หวายสานนะ
แต่จริงๆเค้าสร้างเป็นสัญลักษณ์แทนกลองโบราณของญี่ปุ่นแหละ


ผ่านมา 5 วัน เพิ่งได้กินราเมงถ้วยแรก!!
ชอบกินราเมงที่ญี่ปุ่นมาก แต่ละร้านมีความเฉพาะของน้ำซุป เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวของไทย ที่มีหลายซุปเบสให้เลือก
Ramen Shirasagi ร้านนี้อยู่ในเส้นทางผ่าน ได้รีวิวเรตค่อนข้างดี แต่ซุปมันเค็มไปสำหรับเรานะ เห็นคนอื่นซดซุปกันหมดถ้วย คุณทำได้ไง!


เพื่อนใหม่ระหว่างเดินเที่ยว น้อง"บีสึ"ชิวาว่าทรงกลม
คุณลุงอุ้มน้องมาชมวิวหน้าบ้าน แวะไปเล่นกะน้อง ลุงก็ไว้ใจคนง่ายเกิ้น ยื่นน้องให้เราอุ้ม นี่ไม่กล้ารับกลัวทำลูกเค้าตกพื้น 


Kazuemachi Chaya District เป็นแหล่งสถานบันเทิงเก่าแก่ 1 ใน 3 ของคานาซาว่า
คำว่า chaya หมายถึงร้านสถานบันเทิง เป็นร้านอาหาร โรงน้ำชาที่มีเกอิชารับหน้าที่เด็กเอนคอยต้อนรับแขก มีการแสดงการร่ายรำ เล่นดนตรีให้ดู
ที่นี่ยังมีชายะที่ยังเปิดบริการอยู่จริงๆด้วยนะ อ่านมาเหมือนจะเหลืออยู่ 4 ร้าน แต่ไม่เปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วๆไปอย่างเรา


ที่นี่จะเงียบสงบ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว มีสะพานไม้ไว้เดินข้ามแม่น้ำ Asano 


มีตรอกเล็กๆ ดูน่ารักดี เป็นเขตอนุรักษ์อาคารเก่า


เห็นคู่รักชาวญี่ปุ่นใส่ชุดประจำชาติมาถ่ายรูป เลยใช้แผนแลกกันถ่ายรูป
เค้าก็ได้มีรูปคู่สวยๆ ส่วนเราก็ได้รูปเดี่ยวสวยๆมาด้วยเช่นกัน วินวิน มุมนี้เหมือนเป็นฉากในหนังซักเรื่อง


เดินข้ามแม่น้ำมาอีกไม่ไกล ก็มาถึงย่านชายะอีกที่ ที่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมากกว่า
Higashi Chaya District


คึกคักกว่ากันมาก ร้านค้าเปิดเต็ม 2 ข้างทางเลย แต่ไม่มีโรงน้ำชาที่มีเกอิชามาทำงานแล้วนะ


ลักษณะของร้านชายะ ก็จะปิดๆหน่อย มองจากข้างนอกไม่เห็นอะไร


เป็นโซนอาคารเก่าที่อนุรักษ์เอาไว้เช่นกัน


ซอยเล็กซอยน้อยใกล้ๆกัน เป็นอาคารไม้ทั้งหมด


ไปๆมาๆมาโผล่ริมน้ำอาซาโนะอีกแล้ว เมืองนี้คนน้อยกว่าทุกเมืองที่ผ่านมา ถ้าหลุดจากย่านท่องเที่ยวก็คือเงียบฉี่
รู้สึกด้วยอายุที่มากขึ้น เราเหมาะกับการเที่ยวเมืองรองแบบนี้แหละ สบายใจดี 


แวะพักขาที่ร้าน and Kanazawa เลือกร้านนี้เพราะเป็นร้านเดียวที่อ่านชื่อออก ตอนเปิดแมพส์ 555
เอาบ้านเก่ามาปรับปรุงเป็นคาเฟ่ เทรนด์นี้เหมือนกันทั้งญี่ปุ่นและไทยแลนด์


เห็นคนที่มาเที่ยวคานาซาว่า เค้ามักซื้อของเกี่ยวกับทองคำเปลว เพราะที่นี้เป็นแหล่งผลิตเยอะสุดของญี่ปุ่น
อย่างไอศครีมก็ต้องแปะทองคำเปลวหุ้มเอาไว้ เป็นกิมมิคของเมือง
ส่วนเราขอบาย ทำใจไม่ได้จริงๆ คิดว่าถ้ากินเข้าไป เราต้องส่องโถส้วมว่ามีระยิบระยับออกมาด้วยมั้ยแน่ๆ
นี่เลยสั่งเป็นไอศครีมคินาโกะ กับชานมเย็นแบบธรรมดาๆเลย


วิธีเดินทางในตัวเมืองคานาซาว่าของเราคือการเดิน และเดินเท่านั้น แต่ละที่ที่ไปห่างกันไม่เกิน 3 กม. เป็นระยะที่เราเดินไหว
ถ้าใครไม่อยากเดินก็นั่งรถเมล์เอา แต่ที่นี่ไม่มีรถไฟฟ้านะ
กลับมาที่สถานีคานาซาว่าอีกครั้ง พอตกเย็นก็มีคนมานั่งพักผ่อนกันหนาตาขึ้น ชิลมาก


อาหารเย็นวันนี้ ได้มาจากร้านในสถานี เห็นเค้าเปิดขายปุ๊บ คนญี่ปุ่นวิ่งไปรุมหน้าร้าน
เราก็ตามสิ เป็นซูชิห่อใบไม้ หน้าตาเก๋ไก๋


แต่เปิดออกมาก็พบกับความผิดหวัง ถึงว่าทำไมถูกกกก
ปลาบางนิ้ดดดเดียว เป็นข้าวซะเยอะ 555 เหมือนอาหารยุคสงครามอ่ะ พลังงานสูงและพกพาสะดวก


คืนนี้นอนโฮสเทล Blue Hour Kanazawa ที่พักราคาถูกสุดในทริปนี้ ทำเลใกล้สถานีสุดๆ รูปนี้ถ่ายจากที่พักเลย
แต่ไม่อยากแนะนำ เพราะห้องนอนผู้หญิงเหม็นรา อับชื้นมาก ห้องน้ำก็เหม็นมีราดำขึ้น รู้สึกสงสารปอดตัวเอง




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2566    
Last Update : 31 ตุลาคม 2566 21:58:37 น.
Counter : 483 Pageviews.  

Day 4 Shirakawago บางวันก็รู้สึกว่าโลกนี้ใจดีกับเราเป็นพิเศษ

เคยได้ยินชื่อหมู่บ้านชิราคาวาโกะ และเคยเห็นรูปมาแล้วมากมาย เป็นอีกที่เที่ยวยอดฮิตของคนไทย
ความรู้สึกก่อนไปก็คือ ไหนๆมาแถวนี้ก็คงต้องไป แต่ไม่ได้รู้สึกอยากมาที่นี่เป็นพิเศษ
กลายเป็นว่า การไปเที่ยวชิราคาวาโกะวันนี้ ได้มีโอกาสเจอผู้คนน่ารักมากมาย ได้อยู่ในบรรยากาศเขียวๆ ลมไม่แรง แดดไม่ร้อน
พอมารวมๆกัน กลายเป็นชอบวันนี้มากๆ ทุกอย่างมันดีไปหมด เป็นวันที่รู้สึกว่าโลกใจดีกับเราจัง 

แวะมาจองรอบรถบัสทั้งขาไป-กลับชิราคาวาโกะไว้ก่อนแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ใช้ JR pass ยื่นให้พนักงานก็ออกตั๋วได้เลย ไม่เสียเงินเพิ่ม
จองรอบเช้า 8.20 เดินมาขึ้นรถออฟฟิศ Nohi bus อยู่ติดกับสถานีรถไฟทาคายาม่า


ระหว่างรอเวลารถออก ข้าวปลายังไม่ได้กิน ขนมที่ซื้อจากนาโกย่าได้เวลาของเธอแล้ว
กวินยามัน อร่อยมาก หอมเนยชุ่มฉ่ำหวานเจี๊ยบ รู้งี้ซื้อมา 2 ชิ้น


รถแล่นบนถนนที่เป็นอุโมงค์ทะลุภูเขาแทบจะตลอดทาง เลยไม่คดเคี้ยวมาก นั่งสบายๆ 
ใช้เวลา 50 นาทีก็มาถึงหมู่บ้านมรดกโลกยูเนสโก Shirakawa-go 
เห็นหลังคาบ้านทรงจั่วมุงด้วยหญ้าจนหนา ที่เรียกว่า Gassho style house อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบ้านในแถบนี้


ไปขอพี่สาวชาวญี่ปุ่นช่วยถ่ายรูปให้ มากัน 2 คนจากคุมาโมโต้ เค้าพูดญี่ปุ่น เราพูดอังกฤษ แต่ก็คุยกันได้เป็น 10 นาที 
ทำให้รู้ว่า มนุษย์เราสามารถสื่อสารกันพอรู้เรื่องอยู่นะ แม้พูดคนละภาษา สิ่งสำคัญไม่แพ้คำพูดก็คือภาษากายนี่แหละ


หอระฆังของวัด Myozenji ขนาดหอระฆังหลังคาก็ยังมุงหญ้า ไม่หลุดธีม


ตรงข้ามกับวัด มีร้านขายพุดดิ้ง ตอนแรกจะเดินผ่านแล้ว แต่ได้ยินเด็กนักเรียนที่ครูพามาทัศนศึกษากินแล้วชมว่าอร่อย
เลยต้องขอลองซักหน่อย มีติดป้ายว่าได้รางวัลประกวดพุดดิ้งเมื่อปี 2022 ด้วย


อร่อยจริงไรจริง เนื้อนุ่มละมุน หวานกำลังดี นมญี่ปุ่นนี่ขึ้นชื่อเรื่องความหอมมันอยู่แล้วเนอะ 
กินเสร็จ เราเก็บกระปุกแก้ว กลับมาเมืองไทยด้วยแหละ ฮ่าๆ นิสัยคนแก่มากมาย


มาช่วงต้นฤดูร้อน (จริงๆช่วงนี้คือหน้าฝนญี่ปุ่น) บรรยากาศก็จะเขียวๆ มีดอกไม้บาน อากาศสบายๆ 




ช่วงเก้าโมงที่มาถึงหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวน้อยมากๆ แต่ที่เยอะคือ นักเรียน มีตั้งแต่ตัวเล็กๆแบบประถมต้นจนถึงเด็กม.ปลาย
พอใกล้ๆเที่ยง นักท่องเที่ยวเริ่มมาแทนเด็กนักเรียนแล้วล่ะ
ลิบๆบนเขา คือจุดชมวิว ถ่ายรูปมุมสูงของหมู่บ้าน แต่เราไม่ได้ขึ้นไป


เดินๆอยู่ได้ยินเสียงคุยภาษาไทย เลยเอ่ยทักทายซักหน่อย กลายเป็นได้อีกหนึ่งบทสนทนาดีๆ
เป็นคู่แฟนมากัน 2 คน เที่ยวญี่ปุ่นมาเยอะมากๆ รอบนี้ก็เช่ารถมาขับกันเอง น้องชวนเราไปถ่ายรูปตรงจุดจอดรถ
เออ ก็เพิ่งรู้ว่าจุดจอดรถบัสประจำทาง กับจุดจอดรถส่วนตัวรถทัวร์ มันอยู่คนที่กัน 
ถ้าไม่ได้คุยกับน้อง ก็คงไม่ได้โผล่มาตรงสะพานข้ามแม่น้ำตรงนี้ 


ฝั่งนี้คือลานจอดรถ ใครขับรถเองหรือมากรุ๊ปทัวร์ ต้องเดินข้ามสะพานเพื่อมาที่หมู่บ้าน อินโทรดูอลังการกว่ามารถเมล์เยอะ


แล้วน้องคือขยันถ่ายรูปขยันหามุมให้เรามาก ได้รูปมาเกือบ 30 รูป เหมือนฟ้าส่งตากล้องมาให้


ที่นี่นอกจากคนมาเที่ยวเยอะแล้ว หมาก็มาเที่ยวเยอะนะ เห็นหลายตัวเลย คุณพ่อคุณแม่พามาเที่ยวมาใช้เวลานอกบ้านร่วมกัน
น้องชิบะไอหนุ ชื่อ ฟู่กะหลิน น้องน่ารัก พูดรู้เรื่องมาก พ่อแม่เธอพาออกเที่ยวทุกวีคใช่มะ


มีบ้านกัชโช่ในหมู่บ้าน อยู่ราว 60 หลัง เปิดเป็นร้านอาหาร ที่พัก บางหลังก็ปิดไว้เฉยๆ และมีบางหลังที่เปิดให้เข้าชมได้ 
Wada House เป็นหนึ่งในบ้านที่สามารถเข้าชมได้ ค่าเข้า 400 เยน


บริเวณเตาไฟของบ้าน นอกจากเป็นที่ทำอาหาร ยังเป็นที่ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวด้วย


ชั้นสอง เป็นชั้นใต้หลังคาจั่ว โครงสร้างด้านในเป็นแบบนี้เอง


ถ่ายจากห้องใต้หลังคาออกมา ได้วิวแบบนี้


กลับมาถึงทาคายาม่าประมาณบ่ายสอง ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย ไปหาของกินที่ย่านเมืองเก่ากัน 
สะพานแดง Nakabashi bridge


อาคารบ้านเรือนในเขตอนุรักษ์ทาสีดำอยู่สองข้างทาง


Hida Kotte Ushi มาอลงเนื้อวัวฮิดะแบบง่ายๆ ไม่ต้องจ่ายแพง ซูชิ 3 คำ 1000 เยน
มีหน้าข้าว 3 แบบ ฮิดะโรยเกลือ ฮิดะทาซอส ฮิดะห่อสาหร่ายกับไข่
ไม่คิดว่าจะอร่อยนะ ดูเป็นร้านที่ขายเอาคอนเท้น 55 แต่อร่อยมาก อร่อยจริงจังบอกเลย เนื้อนุ่มละลาย รสชาติดีทุกแบบ
แผ่นเซมเบ้รองซูชิก็กินได้ zero waste อีกตะหาก 


ร้านขายของแถวนี้ นอกจากของที่ระลึกสารพัดอย่าง สิ่งที่มีชื่อเสียงในทาคายาม่าคืองานไม้ สาเก และงานคราฟต์ต่างๆ
เรานี่เดินเข้าออกดูของหลายร้าน แต่ไม่ได้ซื้อซักอย่าง แหะๆ 


นึกได้ว่านี่ก็บ่ายแก่ๆ แต่ยังไม่ได้กาแฟของวันเลยนี่หว่า 
แว่บเข้าร้านนี้ Soeur เพราะส่องเข้าไปในร้านแล้วเห็นวิวสวย วิวแม่น้ำมิยากาวะกับแนวบ้านเรือน
สั่งกาแฟกับแซนวิช เพราะเป็นเซ็ตคุ้มกว่า 55 แต่ยังอิ่มกับซูชิตะกี้อยู่ กินไม่หมด เลยห่อแซนวิชกลับไปกินเป็นมื้อเย็นซะเลย


แล้วโชคชะตาก็ทำให้เราเดินมาเจอร้านขายเครื่องเขียนสุดจะน่ารักแห่งนี้ Penhouse IMAI 
ร้านไม่ได้ติดถนนใหญ่ด้วยนะ เห็นป้ายชี้เข้าตรอกเล็กๆ เลยเดินตามมา 


เป็นร้านขายเครื่องเขียนขนาดกะทัดรัด แต่ของเยอะมาก แน่นมาก ราคาทั่วๆไปเลย บรรยากาศสุดจะอบอุ่นเป็นกันเอง
ไปชื่นชมกับพนง.ที่ร้าน บอกว่าเราชอบร้านนี้มาก เค้าให้โบรชัวร์ร้านมาอ่าน เลยรู้ว่าเป็นร้านเก่าแก่ของทาคายาม่าอยู่มาตั้ง 60 กว่าปีแล้ว
ทำต่อมช้อปแตก เครื่องเขียนญี่ปุ่นก็น่ารักอยู่แล้ว มีสมุดที่ปกสกรีนทองเป็นลายบ้านกัชโช่งี้ ยางลบเอามาต่อกันเป็นศาลเจ้าจิ้งจอกงี้
 ปากกาดินสอดีไซน์แพรวพราวงี้ ซื้อเป็นของฝากได้สบาย (แต่สุดท้ายเก็บไว้เอง อิอิ)


ร้านอยู่ชั้นสอง ของตึกด้วยนะ ดูความหลบมุมแล้วยังหากันจนเจอ


พอตกเย็น ทาคายาม่าก็กลายเป็นเมืองร้างอีกแล้ว เมื่อชั่วโมงก่อน คนยังเดินกันขวักไขว่อยู่เลย
เดี๋ยวพรุ่งนี้ (บลอกถัดไป) จะมาเที่ยวตลาดเช้าแห่งนี้ นี่เดินตอนเย็น เงียบผีหลอก




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2566    
Last Update : 15 ตุลาคม 2566 11:03:08 น.
Counter : 566 Pageviews.  

Day 3 เช้า Nagoya เย็น Takayama

นาโกย่ามีวัฒนธรรมอาหารเช้าที่เป็นเอกลักษณ์ เรียกว่า Morning service
เป็นบริการเมื่อเข้าคอฟฟี่ช้อปสั่งกาแฟในตอนเช้า ที่ร้านจะแถมอาหารแบบง่ายๆ เช่น ขนมปัง ไข่ต้มให้ ไม่ก็คิดราคาอาหารถูกกว่าราคาปกติ
เริ่มจากการเกิดขึ้นของโรงงานอุตสาหกรรม คนต้องไปทำงานแต่เช้าก็แวะเข้าร้านกาแฟ
ร้านก็เหมือนเข้าใจหัวอกแรงงาน แถมอาหารเติมพลังสำหรับการทำงานต่อไปทั้งวัน

เรามากินมื้อเช้าที่ Coffee House Kako นี่ว่ามาเร็วแล้ว ยังได้รอคิว
หน้าตาร้านดูเรโทร นึกถึงเพลงสุกี้ยากี้ขึ้นมาในหัวเลย 


สำรวจเมนู ราคาค่อนข้างแรงกว่าร้านอื่น ร้านนี้เค้าเด่นที่แยมผลไม้ทำเอง 


ได้นั่งหน้าเคาเตอร์ โซนนี้เหมือนเป็นสภากาแฟฉบับญี่ปุ่น ทุกคนมาพูดคุยเม้ามอย และมีอายุกันหมด (รวมเราด้วยมั้ย 52)
สั่งลาเต้ร้อน กับขนมปังปิ้งเนื้อนุ่มปาดถั่วแดงกวน ครีมสด ท้อปบนสุดด้วยแยมผลไม้ 4 รสชาติ
พนักงานแนะนำด้วยว่าจานนี้ใช้แยมอะไรบ้าง ชอบแยมกล้วยลิ้นจี่ที่สุด เพิ่งเคยกินรสชาตินี้ เป็นการจับคู่ที่อร่อยเข้ากันมาก


ถึงจะเป็นช่วงเช้าวันทำงาน แต่ก็ไม่คิดว่าในสถานีนาโกย่าคนจะแน่นขนาดนี้ แน่นขนาดที่ว่ายืนเบียดไปไหนไม่ได้กันตรงทางจะลงไปรถใต้ดิน 
เรานักท่องเที่ยว ขอยอมแพ้ ออกมาช้อปของฝากรอด้านนอกก่อน รอหลัง 9 โมงคนเริ่มบาง ถึงนั่งรถกลับโรงแรมได้
เข้าโรงแรมเก็บของ เซ็คเอ้าท์ แล้วก็ไปเที่ยวกันต่อ

ปราสาทนาโกย่า ช่วงที่เราไปปราสาทปิดซ่อมแซม ถ่ายรูปได้แค่ลานด้านนอก


ยังเข้าไปที่พระราชวัง Hommaru ที่อยู่ติดกันได้ ซึ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นเวอร์ชั่นทำใหม่เพิ่งเสร็จเมื่อปี 2018 นี่เอง
โดยทำให้เหมือนของเดิมมากที่สุด สร้างด้วยไม้สนฮิโนกิ ส่วนอาคารดั้งเดิมโดนทำลาย ตั้งแต่ช่วงสงคราม เมื่อ 1945 


ใช้เป็นออฟฟิศของวัง และเป็นห้องพักรับรองของวีไอพี 
ผนังและประตูของโถงต้อนรับตกแต่งด้วยภาพวาดเสือ ที่เห็นเป็นสีทองก็คือใช้แผ่นทองคำเปลวมาประดับ 


ห้องนอนของโชกุน


Kinshachi ลูกผสมตัวเป็นปลาคาร์ฟ-หัวเป็นเสือ บนยอดปราสาทนาโกย่า กลายมาเป็นมาสค็อตสำคัญของเมือง


มาช้อปของราคาถูก ของมือสองที่ย่านการค้า Osu ส่วนตัวว่าเหมือนสำเพ็ง ที่เดินโล่งสบายกว่า


ร้านนี้เป็นที่รักของเหล่าแม่บ้านจักรยานมาก ไม่ได้เข้าไป แต่เดาว่าต้องมีของลดราคาเยอะแน่ๆ


วัดฺ Banshoji มีเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ตั้งอยู่กลางย่านช้อปปิ้ง ที่ดูผ่านๆนึกว่าร้านปาจิงโกะ


มื้อเที่ยงกับอีกหนึ่งจานเด็ดของนาโกย่า หมูทอดราดซอสมิโสะแดง 
มิโสะแดงเป็นวัตถุดิบทำอาหารที่ขึ้นชื่อของบริเวณนี้ ซอสในถ้วยก็สีแดงและซุปมิโสะจะเป็นสีน้ำตาลแดงไม่ได้สีขาวขุ่นแบบที่เห็นกันบ่อยๆ


วัด Osu วัดใหญ่ของย่านนี้ 


มีความตั้งใจอยากกกินเค้กน้องลูกเจี๊ยบที่ร้านคาเฟ่เจนเชียน ฮิตมาก ดูความน่ารักนั่นสิ เค้าเปิดขายตามรอยเวลา
นี่เราก็มาตามรอบ แต่เห็นแถวยาวจากหน้าร้าน หักแถวเข้าไปในซอยอีก เลยตัดใจไม่ซื้อก็ได้ เดี๋ยวขึ้นรถไฟไม่ทัน


เดินเรื่อยเปื่อยในสถานี ก็มาเจอร้านขนมปัง มีขนมเยอะมากน่ากินมาก เลยซื้อร้านนี้แทน บอกเลยว่าราคาถูกกว่าในไทย
ซื้อครัวซอง กับกวินยามัน รวมกันแค่ 500 เยนเอง


5 วันจากนี้ เราจะเริ่มใช้ Takayama-Hokuriku JR pass ซื้อจาก Klook ที่ไทย แล้วเอาใบจองมาแลกพาสจริงที่สถานีนาโกย่า
คุ้มมากๆ นั่งรถไฟ รถบัสเกินราคาพาสไปเยอะ
นั่ง Hida Express ไปนอนทาคายาม่ากัน เบาะสีส้มแดงเป็นสัญลักษณ์แทนเนื้อฮิดะสินะ 555


ห้องน้ำกว้างมาก


นอนที่นี่ 2 คืน Guesthouse Ouka ไกลจากสถานีหน่อย แต่ได้ห้องส่วนตัว(ห้องน้ำรวม) ในราคาประหยัด ถือว่านอนสบายดีเลยล่ะ


มาถึงก็เย็นแล้ว ขอออกสำรวจพื้นที่ซักหน่อย กะหาข้าวเย็นกินด้วย
เดินมาแบบไม่มีแผน แต่มาเจอของดีโดยบังเอิญ มาเจอต้นแปะก๊วยยักษ์ อายุ 1200 ปี ที่วัด Hida Kokubunji
จินตนาการว่าถ้ามาช่วงใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง คงสวยมากๆ


ทาคายาม่ายามเย็น 


เงียบสงบมาก แทบไม่เจอผู้เจอคน


แล้วยังไง ร้านต่างๆก็ปิดกันหมด แล้วมื้อเย็นเราล่ะ


ได้อาหารซูเปอร์มาร์เก็ตช่วยชีวิตไว้ แถมได้ลดราคาด้วย ข่าวห่อสาหร่ายกับปลาราดซอส รวมกันแค่ 200 เยน หรือ 50 บาท มันเริ่ด


ที่พักมีตู้เย็นรวมให้ใช้แช่อาหารได้ เลยซื้อสตรอเบอรี่มาด้วย แต่เปรี้ยวมาก รออีก 2 วันก็ยังเปรี้ยวอยู่
ทำไมไม่เจออันหวานฉ่ำแบบคนอื่นรีวิวบ้างนะ




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2566    
Last Update : 12 ตุลาคม 2566 14:56:40 น.
Counter : 504 Pageviews.  

1  2  

khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.