วันที่ 3 วัดหมั่นโหมว หวังต้าเซียน กินๆเดินๆในฮ่องกง

เริ่มเช้าวันที่สามอันสดใส ด้วยการออกไปเดินเที่ยวคนเดียว ห๊ะ!!


เป็นสไตล์ส่วนตัวของครอบครัวนี้ ทุกทริปที่ผ่านมา พอวันท้ายๆแฟนเราฮีจะเริ่มอิดออด ไม่ค่อยยอมตื่นไปเที่ยวพร้อมกันละ
จะรอออกไปพร้อมกัน เราก็เสียดายเวลาเที่ยว ประกอบกับการได้ไปเที่ยวเมืองนอกคนเดียวเป็นความฝันของเราเช่นกัน
งานนี้เลยวินวินทั้งสองฝ่าย แอ๊บว่ามาคนเดียวเดินเล่น หาอาหารเช้าเก๋ๆทานดีกว่า

มื้อเช้าของเรา ทานที่ร้าน The Cupping Room ร้านมีหลายสาขา แต่เรามาทานที่เชิงหว่าน เพราะอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมค่ะ
ก็กะว่าจะถ่ายรูปเก๋ๆซะหน่อย แต่คนในร้านเยอะมาก แถมเป็นฝรั่งซะทั้งร้าน เลยเกิดอาการป๊อดไม่กล้าควักกล้องออกมาถ่ายรูปซะงั้น เอ้าาา
เราสั่งลาเต้เย็น 1 แก้วกับครัวซองธรรมดา ค่าเสียหาย 65$ (เท่าที่ได้สำรวจราคากาแฟในฮ่องกง ราคาจะอยู่ที่ 40-45$ พอกันทุกที่ค่ะ)

เดินไปจนถึงแถวเซ็นทรัล ตรงกับวันทำงาน เห็นบรรยากาศมนุษย์เงินเดือนเดินไปทำงานในเช้าวันจันทร์ ขณะที่เรามาเดินเที่ยว แล้วรู้สึกเป็นผู้ชนะ ยังไงไม่รู้ ฮ่าๆๆ


เมื่อสาวกแอนดรอยด์ถ่าย Apple Store 


แวะเข้าห้างแลนด์มาร์ก ตั้งใจมาซื้อครัวซองของร้าน Urban Bakery 


ทีเด็ด คือ ครัวซองใส่ไข่แดงลาวา อร่อยลื้มมม 22$


แถมกาแฟยังราคาถูกกว่าร้านที่เราไปนั่งเมื่อเช้าด้วยแหละ 40เหรียญ เป็นกาแฟเย็นใส่คาราเมล อร่อยกว่าด้วยอ่ะ T__T 
ระหว่างเดินกลับห้องก็ดูดกาแฟแก้วนี้ไปพลางๆ เหลือให้แฟนจริงๆซักครึ่งแก้วก็พอ อิอิ


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในฮ่องกงร้านกาแฟบนห้างหรูไม่จำเป็นต้องราคาแพงกว่าร้านข้างถนนเสมอไปนะจ้ะ

อันว่ามาเที่ยวฮ่องกงแล้วไม่แวะเข้าวัด ก็จะรู้สึกผิดในใจ วันนี้เลยไปเที่ยวซะ 2 วัดเลยค่ะ
Man Mo Temple อยู่ใกล้กับโรงแรมเลยค่ะ พื้นที่เล็กนิดเดียว


บรรยากาศด้านใน


ด้วยความที่ไม่ใช่สายธรรมะธรรโม เลยไม่รู้รายละเอียดใดๆเกี่ยวกับวัดเลยค่ะ
รู้แต่ว่าอาคารเค้าน่ารักดี เล็กๆ เป็นอาคารชั้นเดียวโผล่ท่ามกลางตึกสูง เป็นอีกหนึ่งอาคารโบราณที่ถูกอนุรักษ์ไว้ด้วยค่ะ


ขาออกจากโรงแรมไปเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นทางเดินลงเขาค่ะ ชิวๆ


นั่งรถไฟมาโผล่ยังวัดที่สอง วัดหวังต้าเซียน เดินทางมาง่ายฝุดๆ เพราะตั้งอยู่ติดกับ MTR Wang Tai Sin


มาวัดนี้เพราะครั้งก่อนว่าจะมา แต่ก็ไม่ได้มา (เอ๊ะยังไง)


มีลานให้เขย่ากระบอกเซียมซี กว้างขวางใหญ่โต เพราะว่ากันว่าแม่น


ร้านขายเครื่องรางของนำโชคหน้าวัด 


จากนั้น นั่งรถไฟใต้ดินย้อนมาที่สถานี Prince Edward เพื่อมาทานติ่มซำ Tim Ho Wan สาขา Sham Shui Po
สาขานี้เป็นสาขาดั้งเดิมและได้ดาวมิชลินด้วย มาถึงก็นั่งรอคิวแป๊บนึง ไม่นานนะ แค่ 5 นาทีก็ได้เข้าไปและ ^^


เมนูสั่งง่าย แต่ก็ยังคงสั่งผิดเช่นเคย


ทางร้านแจกถ้วยสีส้มให้ใส่น้ำร้อนเพื่อล้างแก้วล้างตะเกียบก่อนกิน แต่เราไม่ได้ทำนะ เทชาใส่แก้วกินพรวดเลย พฤติกรรมนักท่องเที่ยวมาก
มารู้ทีหลังเมื่อเห็นโต๊ะอื่นเค้าล้างแก้วกันก่อนจะกินทั้งนั้น


ราคามื้อนี้ไม่แพงเลย ถึงว่าคนแน่นแม้จะมีหลายสาขา ทั้งถูกทั้งอร่อย


และนี้คือ เมนูที่สั่งผิดมาค่ะ 


ใจจริงอยากจะกินปาท่องโก๋ห่อก๋วยเตี๋ยวหลอด อ่านในใบสั่งอาหารในหมวดนี้ก็มีก๋วยเตี๋ยวห่อกุ้ง ห่อเนื้อ ห่อตับ แต่ไม่เห็นมีปาท่องโก๋
ทันใดนั้นเห็นบรรทัดสุดท้ายเขียนว่า Steamed rice flour roll น่าจะใกล้เคียงสุด มีทั้งข้าวมีทั้งแป้ง (แม้จะไม่มีคำว่าทอดเลยก็ตามTT)
ก็เลยได้ทานเส้นก๋วยเตี๋ยวล้วนๆนึ่งนุ่มๆราดซอสหอมๆ มากินแบบนี้แหละ รสชาติก็อร่อยดีแต่อยากกินปาท่องโก๋มากกว่า ฮือออ...

ก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้ตับ ตับสุกกะลังดี สัมผัสเด้งๆ หวาน แผ่นแป้งก็นุ่มหนึบ เข้ากันมาก


ฮะเก๋ากุ้ง กุ้งเด้ง อร่อยมากเช่นกัน


ตีนไก่นึ่งเต้าซี่ ตีนโตมากก.. (สงสัยว่าใช้ไก่ไซส์ไหนมาทำ) เปื่อยมาก ไม่ต้องใช้มือช่วยเลย คีบเข้าปากแล้วดูดๆได้อย่างสวยงาม โหะๆๆ


และขาดไม่ได้กับเมนูอันโด่งดังของที่นี้ ซาลาเปาอบไส้หมูแดง


จากบลอกก่อนที่ได้ไปชิมเมนูนี้ของร้านติ่มซำสแควร์ บอกเลยว่าของ Tim Ho Wan ถูกปากเรามากกว่า ทั้งกลิ่นแป้งซาลาเปาที่ไม่มีกลิ่นยีสต์และไส้หมูแดงที่หวานน้อยกว่า
แต่ถึงยังไงเมนูนี้เราก็เฉยๆอ่ะนะ ส่วนตัวเป็นคนไม่ค่อยชอบอาหารคาวที่รสหวานอยู่แล้ว
ไส้หมูแดงด้านในก็ดูเป็นชิ้นเป็นอันมากกว่าด้วย

กินอิ่มแล้วก็มาเดินย่อย ดูผู้คนฝั่งเกาลูนกันมั้ง แต่ไม่ได้เสียเงินช้อปเลยค่ะ
มาคราวนี้รู้สึกข้าวของจะแพงขึ้นมาก ที่ติดป้ายเซลล์ก็ไม่กระตุ้นให้เสียทรัพย์ขนาดนั้น 
เท่าที่ดูทั้ง gior bossini zara h&m ราคาเท่าที่ไทยหรือไม่ก็เมืองไทยถูกกว่าด้วยซ้ำ น้องสาวฝากดูรองเท้าอะดิดาสราคาก็แพงกว่าซื้อในเนตเป็นพันบาท


มาฮ่องกงครั้งนี้เลยเสียตังซื้อกางเกงของบอสซินี่มาเพียงตัวเดียว ในราคา 80$ ช้อปน้อยไปไหม...

กลับมาเที่ยวฝั่งฮ่องกงที่ Time Square ช่วงที่ไปมีเลโก้สตาร์วอร์มาจัดแสดงอยู่


The Force Awaken กะลังจะเข้าฉายปลายปี 2014 
(นอกเรื่อง.. ไปดูมาแล้วสนุกมาก ตอนเปิดตัวหนังแล้วมีตัวหนังสือลอยขึ้นมานี่เราน้ำตาซึมเลยอ่ะ เหมือนได้กลับมาเจอญาติผู้ใหญ่ที่คิดถึง)


ป่าคอนกรีต ณ เซ็นทรัล 


มื้อเย็นมาทานบะหมี่มิชลินสตาร์(อีกแล้ว!) Tsim Chai Kee ร้านอยู่ใกล้กับมิดเลเวล
เมนูเรียบง่าย เป็นร้านบะหมี่ให้เลือกเอาว่าจะใส่ท้อปปิ้งไปกี่อย่าง (มีให้เลือก 3 อย่าง เนื้อวัว ปลาบด เกี๊ยวกุ้ง)
ใส่ 1 อย่าง 27$/ 2 อย่าง 33$/ 3 อย่าง 37$ ที่แนะนำว่าต้องใส่คือเกี๊ยวกุ้ง อร่อยเด็ด แต่ปลาบดนี่ไม่โดนสำหรับเราอย่างแรง ต้องเกี่ยงกันกินอ่ะคิดดู

สั่งบะหมี่เกี๊ยวกุ้งมา 1 ถ้วย


และบะหมี่ใส่มาทั้ง 3 อย่าง


วันต่อมาเป็นวันกลับ ไม่ได้ไปเที่ยวไหนค่ะ เพราะขึ้นเครื่องตอนสิบโมงครึ่ง แค่ตื่นไปสนามบินให้ทันก็ยากแล้ว
นั่ง Airport Express ไปสนามบิน สะดวกสบายสุด


คืน Octopus card ที่เคาเตอร์ AE ของสนามบินได้เลย มีค่าบัตรหักไป 9$


ขอจบบลอกทอดน่องอินฮ่องกงเพียงเท่านี้ สวัสดีค่ะ




 

Create Date : 10 มกราคม 2559    
Last Update : 10 มกราคม 2559 15:41:55 น.
Counter : 4614 Pageviews.  

วันที่ 2 ขึ้นพีคแทรม เดินย่านเซ็นทรัล ชมวิวหัวค่ำอ่าววิคตอเรีย

เริ่มวันด้วยการไปทานติ่มซำที่ร้าน Dimsum Square อยู่ไม่ไกลจากที่พัก


สั่งง่ายมากมีเมนูภาษาอังกฤษ พร้อมรูปประกอบชัดเจน


อาหารที่สั่งมามีก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง ก๋วยเตี๋ยวหลอดพันปอเปี๊ยะ ฮะเก๋า ขนมจีบ
รสชาติดีทุกอย่างค่ะ ที่ชอบที่สุดคือ ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง ฮะเก๋ารสธรรมดาๆ เป็นอีกร้านที่อร่อยได้แบบเซฟๆ


ลองสั่งซาลาเปาอบไส้หมูแดง มากินเทียบรสกับ Tim Ho Wan ซึ่งมีเมนูนี้เป็นเมนูขายดีเหมือนกัน


ผลออกมาว่า Tim Ho Wan ทำเมนูนี้อร่อยกว่า ของที่นี้แป้งซาลาเปากลิ่นยีสต์เด่นมาก แล้วก็ไส้หมูแดงออกรสหวานมากกว่า
(อันนี้เป็นความชอบส่วนบุคคลเนาะ เพราะหลายคนในเนตก็บอกว่าที่นี้ทำอร่อยดี ไม่ต้องเสียเวลาไปต่อคิวที่ Tim Ho Wan หรอก)

มื้อนี้ ค่าเสียหาย 2 คน 120$ 

หลังจากนั้น ขึ้นรถราง สัญลักษณ์อย่างนึงของฮ่องกง 
เป็นการเดินทางราคาประหยัด เพราะขึ้นลงสุดสายราคาเดียวที่ 2.3$ เท่านั้น
ขึ้นไปชั้นสองเห็นวิวมุมสูง สวยกว่า 


ลงป้าย E33 เดินต่ออีกไม่ไกลก็ถึงพีคแทรมแล้ว 


ขนาดว่าเราไปช่วงสายๆ ยังได้รอคิวอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่อยากจะนึกว่าถ้ามาช่วงเย็นต้องรอนานแค่ไหน
ซื้อตํ่วที่เคาเตอร์ด้านหน้า เซตนั่งพีคแทรมไปกลับ+sky terrace 428 มาในราคา 83$ ต่อคน

มาครั้งนี้ได้ขึ้นรถคนแรกๆ เลยได้นั่งฝั่งขวาชมวิวสมใจ (แก้ตัวได้ดีมาก จากครั้งก่อนที่ได้ยืนตัวเกร็งขึ้นไป)




นั่งมาประมาณ 10 นาที ก็ขึ้นมาถึงสถานีรถรางด้านบน
ขึ้นไปชมวิวที่ Sky terrace 428 ก่อนเลย


ในที่สุดก็ได้มาเห็นวิวฮ่องกงในมุมสูงสมใจซักที


สามารถมองออกไปได้รอบทิศเลยค่ะ อีกด้านมองออกไปจะเป็นชายฝั่งทะเล (ซึ่งจากรูปอากาศมัวๆมองแทบไม่เห็น แต่ของจริงเห็นอยู่นะ)


มีคนพาหมามาเที่ยวเดอะพีคเยอะเลย เป็นสมาคมผู้เลี้ยงหมาย่อยๆ


พอนั่งแทรมกลับลงมาด้านล่าง ก็ทอดน่องไปกินอาหารเที่ยงแถวเซ็นทรัลต่อกันต่อเล้ยยย


เดินกลับลงมาทางโบสถ์เซนต์จอห์น ตอนแรกก็งงว่าทำไมคนเยอะจัง 
เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติม เลยถึงบางอ้อว่าช่วงวันอาทิตย์จะมีแม่บ้านฟิลิปปินส์มาพบปะพูดคุยกันแถวนี้เยอะมากๆ เพราะเป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ค่ะ


Battery Path


เดินแป๊บเดียว ก็มาถึงห้างแลนด์มาร์กละ แต่ยังไม่ค่อยหิว เลยขอเดินสำรวจต่ออีกหน่อย
ย่านนี้มีตึกเก่าที่ฮ่องกงอนุรักษ์เอาไว้เยอะเหมือนกัน 

อย่างในภาพด้านล่าง ที่อยู่บนเนินด้านบนคือ Bishop's House 
ส่วนตึกด้านขวาเป็นที่ทำการของ Foreign Correspondents' Club  


สมัยก่อนตามถนนจะใช้ไฟส่องสว่างแบบใช้แก๊ส ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน
ที่ Duddell st. เค้าเก็บเสาโคมไฟแบบใช้แก๊สเอาไว้ 2 ต้นให้คนรุ่นหลังได้ดู ตอนนี้ก็ยังใช้งานได้จริงค่ะ
โดยจะเปิดไฟตอนหกโมงเย็นจนถึงหกโมงเช้าของทุกวันค่ะ


ถ้าเดินลงบันไดตรงโคมไฟนี้ไป ทางฝั่งขวาจะเป็นร้านสตาร์บัคสาขา Duddell st. ซึ่งมีความพิเศษที่ตกแต่งร้านแบบย้อยยุคเป็นร้านน้ำชาสไตล์ฮ่องกง
ตอนแรกก็ว่าจะเดินลงไปดูค่ะ แต่เหมือนเค้ามีการถ่ายงานอะไรบางอย่างด้านล่างเลยเปลี่ยนใจ ไปทานข้าวเที่ยงเลยดีกว่า


มื้อเที่ยง มาทานห่านย่างหมูแดงที่ร้าน Yat Lok ตั้งอยู่บน Stanley st.
มาตอนบ่ายนิดๆ ก็ยืนต่อคิวหน้าร้านประมาณครึ่งชั่วโมง เนื่องจากเป็นร้านที่ได้มิชลินสตาร์ อยู่กลางเมือง ราคาไม่แรงมาก ผู้คนก็เลยแน่นเต็มร้านตลอด


มีเมนูภาษาอังกฤษค่ะ


เราสั่ง ข้าวหมูแดง เพราะไม่ค่อยชอบกินเป็ดห่านเท่าไหร่ จานนี้ 50$ รสชาติงั้นๆมาก หมูแดงแข็งๆด้วย 
เคยทานที่ Keung Kee แถวคอสเวย์เบย์ ร้านนั้นอร่อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด (จานไม่ค่อยสวยค่ะ เพราะทานไปแล้วเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปนี่นา)


ก๋วยเตี๋ยวน่องห่านย่าง 88$ จริงๆตั้งใจว่าจะสั่งมาทานกับข้าวสวยนะ แต่สงสัยเข้าใจผิดตอนสั่งอาหารเลยได้มาทานกับก๋วยเตี๋ยวแทน T__T
คีบห่านย่างมาชิมชิ้นนึง จานนี้อร่อยดีค่ะ หนังกรอบ เนื้อนุ่ม แต่ต้องรีบทานหนังก่อนที่จะเหี่ยวเพราะแช่น้ำซุปนะ 


ใกล้ๆกับร้านห่านย่าง มีถนนเส้นเล็กๆที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นอีกเส้นนึงในฮ่องกง คือ Pottinger st.
พื้นถนนปูด้วยก้อนหินแบบโบราณ เลยแวะถ่ายรูปเล่นซะหน่อย 
ถนนเส้นเล็กๆแถวๆนี้จะมีงานโครเชต์ถักมาหุ้มตามราวจับหรือตะแกรงลวด จะเป็นงานศิลปะ แค่ตกแต่งให้เก๋ๆ หรือกลัวหนาวมือตอนจับเหล็กก็ไม่รู้


สปอร์ตคาร์เจอได้เรื่อยๆ 


แวะซื้อทาร์ตไข่ร้าน Tai Cheong Bakery เป็นอย่างแรกในฮ่องกงที่รู้สึกว่า เออ.. ราคาไม่แพง อันละ 8$ 
วันหลังเลยกลับมาซื้อเป็นของฝากคนที่บ้านด้วย หิ้วขึ้นเครื่องได้ค่ะ แต่เอาจริงๆเราว่าก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้นนะ...


เดินแถวนี้เพื่อไม่ให้ตกยุค ต้องหา กราฟิตี้/สตรีทอาร์ต/HK wall ถ่ายซะหน่อย
กำแพงนี้ยอดฮิตเลย มีคนมาถ่ายตลอด ก็แบ่งๆกันถ่ายนะ


ฝั่งตรงข้ามกันเป็นกำแพงร้าน Ralph Lauren


สำหรับคนที่อยากไปถ่ายรูปที่นี้ สองกำแพงนี้ตั้งอยู่ที่  Graham st. ฝั่งที่ติดกับถนนฮอลลีวู้ดค่า
จริงๆมีอีกหลายกำแพงเลยค่ะที่มีรูปวาดแนวๆนี้ ใครได้มาเดินเล่นแถวมิดเลเวล โซโห โปโห รับรองต้องได้เจอซัก 2-3 ที่แน่นอน

เดินต่อ จนมาถึง PMQ หรือ Police Married Quarter 
เมื่อก่อนใช้เป็นที่พักของครอบครัวตำรวจค่ะ แต่ตอนนี้เปิดเป็นแหล่งรวมร้านขายงานดีไซน์ แกลลอรี่ จัดงานต่างๆด้านศิลปะและการออกแบบ
บอกตรงๆ ตอนแรกกะแค่ว่าแว๊บๆมาเพราะเป็นทางผ่าน แต่พอได้มาเดินละติดใจมากๆ


*ขอเม้าท์* จุดนี้เดินมาไกลมาก จนคุณแฟนเมื่อยขา ไม่สามารถเดินต่อไปด้วยกันได้แล้ว ตอนแรกฮีเลยขอนั่งรออยู่ด้านล่าง

สามีผู้ไม่ไหวจะเดิน


จากนั้น เราก็เดินดูแต่ละชั้นแต่ละห้อง ซึ่งงานมันหลากหลายมากอ่ะค่ะ




พอเดินไปถึงซักชั้นสามก็รู้สึกผิด เลยตัดสินใจชวนแฟนเดินกลับที่พักดีกว่า
แต่พอกลับที่พักแล้ว ก็อดใจไม่ได้จริงๆ เลยส่งแฟนเข้าห้องพักผ่อนไป ส่วนเราขอเดินชมวิวย้อนกลับมาที่นี้อีกรอบ
แถวนี้คือ เดินเพลินมากๆๆ อยากแนะนำสำหรับคนที่ชอบเดินถึกเดินทนกินลมชมวิวจริงๆนะตัวเธอ

จะเดินกลับทางเดิมไม่ใช่แนวจ่ะ ต้องเดินทางใหม่ แถวโปโหที่มาแล้วเมื่อวาน


นอกจากคนเดินจูงหมาเดินเล่นแล้ว ตามถนนงานพรีเวดดิ้งก็มา


จุดหมายถัดไปของเราอยู่ที่สุดปลายบันได ปู้นนน


เพื่อมาชะโงกดู Dr. Sun Yat Sen Museum


เดินลงเขายาวๆ ย้อนกลับไป PMQ อีกรอบ มาเที่ยวย่านนี้ต้องขึ้นเขาลงดอยเป็นว่าเล่น


พอเดินเที่ยว PMQ อีกรอบจนหายอยาก ก็เดินกลับโรงแรมไปรับแฟนออกมาเที่ยวต่อยามเย็น
นั่ง MTR จากเชิงหว่านมาจิมซาจุ่ย เพื่อมานั่งชิลดูวิวยามเย็นของอ่าววิคตอเรีย ช่วงที่เราไป Avenue of Star ปิดปรับปรุงค่ะ


มานั่งพักขาพักน่องอยู่แถวนี้พักใหญ่ๆ จนกระทั่งฟ้ามืด แต่ไม่ได้รอดู SoL เพราะเคยมาดูแล้ว แถมหลังๆยังมีคนบอกว่าแสงเสียงไม่อลังเหมือนก่อนด้วย


จากนั้นเดินมาดูไฟที่ฮาร์เบอร์ซิตี้ ที่จัดงานในธีม Happily Ever After
คนเยอะมากๆต้องไหลๆตามกระแสคนเข้าห้าง ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศมาได้นิดหน่อยค่ะ


ปิดท้ายวันด้วยการทานมื้อเย็นที่ร้าน Relax for a While ที่จิมซาจุ่ย
เป็นร้านที่ประทับใจข้าวหมูทอดพริกกระเทียมจากการเที่ยวครั้งก่อนมาก เลยกลับมาทานอีกรอบ สั่งเมนูเดิมเลย 58$
..แต่ทำไมรอบนี้ไม่อร่อยเหมือนคราวก่อนก็ไม่รู้.. หรือว่าเราสั่งมาผิดเมนูเอง แต่หน้าตาก็คล้ายกันอยู่นะ TT


เซตนี้ของแฟน ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นและหมูสามชั้นทอด 72$


แวะถ่ายกับตัวการ์ตูนอะไรซักอย่างที่ห้างย่านจิมซาจุ่ย (ที่จริงไปแวะเข้าห้องน้ำของห้างตะหาก หุหุ)
ก่อนจะลากขาพาตัวเองกลับโรงแรม ถึงเตียงปุ๊บหลับเป็นตายค่ะ น้ำเนิ้มไม่ได้อาบ ฮ่าๆ





 

Create Date : 07 ธันวาคม 2558    
Last Update : 7 ธันวาคม 2558 12:57:48 น.
Counter : 1603 Pageviews.  

วันแรก เชียงใหม่>ฮ่องกง ซิตี้เกตเอาท์เลต โปโห มงก๊ก

แล้วก็ตกเป็นทาสการตลาดอีกเช่นเคย เมื่อแอร์เอเชียออกโปรเชียงใหม่-ฮ่องกง ไปกลับคนละ 3500 บาท
เลยกดจองไปแบบงงๆมา 2 ที่นั่ง ไว้ไปเที่ยวชิวๆกับแฟนช่วงปลายปี
ทริปนี้ ไม่เน้นช้อป ไม่เน้นไหว้พระ เน้นเดินขึ้นดอย จริงๆเน้นกินด้วยแต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ TT

สำหรับเที่ยวบินของไทยแอร์เอเชียจากเชียงใหม่ไปฮ่องกงมีวันละ 1 เที่ยว เครื่องออกตอน 6 โมงเช้า
เป็นเที่ยวบินแรกของวันที่ออกจากสนามบินเชียงใหม่เลยค่ะ

ด้วยความที่เครื่องออกเช้ามาก เราออกจากบ้านที่ลำพูนตอนตีสาม ถึงสนามบินเชียงใหม่ตอนตีสามครึ่ง
ปรากฎว่าเคาเตอร์เช็คอินยังไม่มีพนักงานมาเลยจ้า.. ผู้โดยสารก็ต่อแถวรอกันไป จนตีสี่นิดๆพนักงานถึงมาเปิดเคาเตอร์
จากนั้นพอเช็คอินเสร็จจะผ่านตม. ส่วนของตม.ก็เปิดตอนตีห้า ก็รอกันไปอีกรอบ

ผู้โดยสารรอ ตม.ขาออกเปิด (คงมีแต่เที่ยวบินเดียวกันกับเรานี่แหละ เพราะดูตารางแล้ว เที่ยวบินขาออกต่างประเทศเที่ยวถัดไป ออกตอน 8 โมงนู้น)
ส่วนเราขี้เกียจยืนต่อแถวอีกรอบ เลยมานั่งรอให้แถวสั้นลงแล้วค่อยไปยืนต่อ ก็ได้ขึ้นเครื่องแบบสบายๆเค้าเรียกบอร์ดดิ้งพอดี


ดังนั้น.. ถ้าใครจะนั่ง FD515 ไม่ต้องรีบมาเร็วก็ได้ เราว่ามาถึงซักตี่สี่ครึ่งกำลังดี จะได้มีเวลานอนต่อที่บ้านอีกนิด

ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงสนามบินฮ่องกง ผ่านตม.ฮ่องกงมาอย่างรวดเร็ว ไม่ถงไม่ถามอะไรซ้ากกคำ 
รอรับกระเป๋า เช่า octopus card เสร็จ ก็เดินมารอรถสาย S1 ไป Citygate Outlet
ตอนแรกก็วางแผนว่าจะฝากกระเป๋าระหว่างเดินช้อปที่นี่ แต่พบว่าลอกเกอร์ที่ซิตี้เกตเต็มทั้ง 2 ชั้น (มีช่องลอกเกอร์น้อยมาก ใครจะฝากบอกเลย..ว่ามีโอกาสเต็มสูงค่ะ)
เห็นว่ามีที่ฝากกระเป๋าที่สถานีกระเช้านองปิงด้วย ก็ไปหาจนเจอ แต่ค่าฝากแพงมาก 80$ ต่อชิ้น ทำใจฝากไม่ลง
ดังนั้น ก็หอบกระเป๋าไปช้อปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ 

สรุปเดินได้แค่ 2 ชั่วโมง แถมไม่ได้ของอะไรเลยซักอย่าง มาเที่ยวรอบนี้ของแพงขึ้นมากค่ะ 
ดูแล้วราคาพอๆกับที่ไทย กลับไปซื้อที่บ้านก็ได้ ชิ..

จากนั้นก็นั่งรถบัสสาย E11 ไปเช็คอินโรงแรม จริงๆจากนี้จะนั่งรถไฟฟ้าไปก็ได้นะราคาก็พอๆกัน แต่ขี้เกียจเดินไกล ต้องลงเดินเปลี่ยนสายอีก
เราหาข้อมูลสายรถบัสจาก //www.nwstbus.com.hk/home/default.aspx?intLangID=1 มีบอกละเอียดทุกสิ่งค่ะ เริ่ดมาก

ครั้งนี้เราพักที่โรงแรม Butterfly on Hollywood ขอย้ายมาฝั่งฮ่องกงบ้าง
ขอบอกว่าทำเลถูกใจมาก โรงแรมตั้งอยู่บนถนนฮอลลีวู้ด แถวเชิงหว่าน มีคาเฟ่สวยๆ ถนนสะอาดสะอ้าน ฝรั่งหน้าตาดีให้เกลื่อนกลาดค่ะ
แต่ไม่เหมาะกับคนที่มากับเด็กๆหรือผู้สูงอายุเท่าไหร่ เพราะห่างจากสถานีรถไฟฟ้าพอสมควรและต้องเดินขึ้นดอยอีกเล็กน้อย 


ส่วนของห้องพัก พื้นที่กำลังดี ไม่แคบมากค่ะ จอง Agoda ราคาสามพันต้นๆต่อคืน
ห้อง Deluxe room มีหน้าต่างที่ผนังห้องทั้ง 2 ด้าน 




ด้านนึงติดสวนสาธารณะ อีกด้านเป็นวิวราวตากผ้าของตึกฝั่งตรงข้ามค่ะ :P


ห้องน้ำ


มีโทรศัพท์ให้ ใช้ 3Gได้ไม่อั้น โทรในประเทศได้ฟรี เราเอาออกไปเที่ยวด้วยทุกวัน เอาไว้เปิดแผนที่กับแชร์เนต


ตกแต่งธีมฮอลลีวู้ด


ออกไปเดินเล่นทอดน่องกันดีกว่า มาทานมื้อที่สองในฮ่องกงที่ For Kee Restaurant 
(มื้อแรกที่เอาท์เล็ต ไม่อร่อย ขอไม่พูดถึงนะ)


อยู่ใกล้กับที่พักมาก เดินมาไม่เกิน 100 เมตร ร้านนี้ดังเรื่องข้าวหน้าพอร์กชอป แต่ตอนเรามาข้าวหมดซะละแต่ยังมีพอร์กชอปอยู่
เลยสั่งขนมปังพอร์กชอปมาแทน หมูทอดรสอร่อยดี นุ่มมาก เสียดายไม่ได้กินกะข้าว


สั่งขนมปังปิ้งกับชานมร้อนด้วย แต่สองอย่างนี้รสธรรมดา กินที่ไทยถูกปากกว่า


เป็นร้านบ้านๆ มีแต่คนท้องถิ่นมาทาน ที่ร้านมีเมนูภาษาอังกฤษค่ะ 
เห็นคนเยอะๆหน้าร้าน นี่คือ มาถ่ายแมวเหมียวกันนะ ไม่ได้ต่อคิวเข้าร้าน


แมวเหมียวของร้าน น่ารักเนอะ


มีแรงแล้ว ก็เดินขึ้นดอยกัน


แถวนี้เรียก ย่าน Poho แหล่งรวมคาเฟ่ แกลอรี่ศิลปะ ร้านขายของดีไซน์สวยๆ ไอเดียแปลกๆ 
ที่นี่ คือ นิมมานเหมินท์แห่งฮ่องกง นั่นเองงงงง


Hong Kong Museum of Medical Science
ไม่ได้เข้าไปหรอก แต่ตึกสวยดี


มีคนจูงหมาเดินเล่นแถวนี้เยอะมากๆๆ 


ถนนฮอลลีวู้ด มีร้านขายของแอนทีคซะเยอะ


Upper Lascar Row หรือ Cat Street ก็ขายของเก่าสไตล์จีนๆเช่นกัน
แต่เราคนไทยอ่ะเนอะ ดูแล้วก็เฉยๆ แต่เห็นฝรั่งเดินหยิบๆจับๆกันสนุกเลย


เดินมาเรื่อยๆจนมาถึงร้าน Kau Kee ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อชื่อดัง บน Gough st.
เห็นคนต่อคิวแล้วนึกอยากจะลองบ้างแต่ยังอิ่มอยู่ ขอผ่านจ้า..


ไปเที่ยวช่วงปลายพฤศจิกาต้นธันวา เริ่มมีตกแต่งคริสต์มาสกันบ้างแล้ว
บรรยากาศที่ The Landmark 


จากนั้น นั่งรถไฟฟ้าไปมงก๊ก ก็กะว่าจะไปช้อปปิ้งนะ แต่ของแพงจริงๆ ไม่ได้เสียเงินช้อปอีกเช่นเคย
เลยไปเสียตังกับอาหารแทนที่ Good Hope Noodle


เราสั่งบะหมี่เกี๊ยวน้ำ ซุปรสธรรมดา เกี๊ยวก็เฉยๆ สงสัยหวังไว้มาก 32$


ถ้วยนี้ของแฟน บะหมี่เนื้อตุ๋นและหมูฝอย เนื้อตุ๋นอร่อยมาก ตุ๋นเปื่อยรสอร่อย ค่อยยังชั่วหน่อย 41$


กลับโรงแรมด้วยรถไฟฟ้าลงสถานี Central แล้วลองใช้ทางเลื่อน Mid-level Escalator 
ต้องเดินไกลกว่าแต่ยอม.. เพื่อให้ได้ขึ้นทางเลื่อนนี่แหละ หุหุ
(จริงๆสถานี MTR ที่ใกล้โรงแรมคือ Sheung Wan และ Sai Ying Pun)


ทริปนี้เดินเยอะมาก ทอดน่องอินฮ่องกง จนน่องจะแตกกันเลยทีเดียว 
บลอกหน้า ขึ้นพีคแทรม แก้ตัวจากครั้งก่อนที่มา แล้วไม่เห็นวิวเมืองแม้แต่น้อย เพราะหมอกบังหมด -_-"




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2558    
Last Update : 3 ธันวาคม 2558 18:40:39 น.
Counter : 1210 Pageviews.  


khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.