ฮ่องกง มาเก๊าตามเค้าว่า วันที่ 4 วันสุดท้าย กินและช้อป ให้กระเป๋าเบา



ตอนแรกแผนที่วางไว้สำหรับวันนี้ คือ จะไปเที่ยว วัดหวังต้าเซียน กับวัดนางชีในช่วงเช้า ส่วนตอนบ่ายก็ซื้อของช้อปแถวๆโรงแรม ก่อนจะเดินทางไปสนามบินในตอนเย็น

แต่ว่า... แผนทั้งหมดก็ล่มค่ะ เพราะสมาชิกในทริปป่วย กว่าจะเริ่มเที่ยวกันก็สิบโมงกว่าแล้ว เราเลยเลือกตัดวัดออกค่ะ จะได้ไม่ต้องเดินทางเยอะ เดินเที่ยวแถวๆโรงแรมนี่แหละค่ะ



เริ่มมื้อแรก กันที่ร้าน The Sweet Dynasty



บรรยากาศในร้าน ได้ยินเสียงคนไทยเรื่อยๆนะ (ก็ใครๆก็แนะนำให้มาร้านนี้กันทั้งนั้นนี่เนาะ)



จิบชาร้อนๆ แก้หนาว



บรรดาอาหารที่สั่งมา น้ำซุปเกี๊ยวกลิ่นกุ้งมาเต็มๆ อร่อยทุกอย่างเลยค่า



ปิดท้ายด้วยของหวานที่ร่ำลือ พุดดิ้งมะม่วง และเต้าฮวย (รึปล่าว)



อิ่มแล้ว ก็มาช้อปเก็บตก กันที่ห้างด้านตรงข้าม The Gateway, Habour City ที่เรียงต่อกัน พอดีว่าเค้ามีจัดแสดงงานศิลปะที่ได้แรงบันดาลใจมาจากช็อคโกแลต เลยถ่ายรูปมาอย่างสนุกสนาน



เห็นแล้วหิว



ได้เวลาพอสมควรก็เดินกลับไปที่โรงแรม เตรียมเดินทางไปสนามบิน



เราเลือกเดินทางโดยรถเมล์สาย A21 เดินมาขึ้นที่ป้ายรถเมล์บนถนน Chatham ไม่ถึง 200 เมตรจากโรงแรม หาข้อมูลของสายรถเมล์ ป้ายที่ขึ้นได้จากเวบไซต์ //www.nwstbus.com.hk/home



ราคาถูกกว่านั่งรถ AE เยอะเลย นั่งรวดเดียว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ขึ้นมาป้ายแรกๆ รถโล่งๆ



ขอปิดบลอกชุด ฮ่องกง มาเก๊าตามเค้าว่า.. ด้วยภาพสนามบินฮ่องกง สวยมากค่ะ เดินเข้ามาในเทอร์มินอล 2 ตอนแรกถึงกับตะลึงไปเลย






 

Create Date : 03 เมษายน 2553    
Last Update : 3 เมษายน 2553 22:23:10 น.
Counter : 2447 Pageviews.  

ฮ่องกง มาเก๊าตามเค้าว่า วันที่ 3 ไหว้เจ้าแม่กวนอิม และนั่งรถรางไปชมหมอกมุมสูงที่เดอะพีคกันค่า...


ตอนแรกกะมาเขียนบลอกไปเที่ยวมาเก๊าฮ่องกง ว่าได้ไปเที่ยวที่ไหนมา เดินทางไปยังไง ก็จะมาเล่าบรรยากาศบ้านเมืองซะหน่อย อาหารการกินเรากะไม่ค่อยเน้นเท่าไหร่ ยิ่งเรื่องช้อปนี่กะว่าจะไม่พูดถึงแน่ๆ แต่ไปๆมาๆ คุยถึงเรื่องของกิน และบรรยายบรรยากาศการช้อปปิ้งบ่อยกว่าสถานที่เที่ยวไปซะงั้น พูดตามตรง ถ้าได้มีโอกาสมาฮ่องกงอีก คงเตรียมตังมาหาของอร่อยๆกิน กับงดซื้อเสื้อผ้าใหม่ก่อนมาซัก 3 เดือนแล้วมาซื้อที่ฮ่องกง (คงงดได้อยู่นะแก)
อื้มมมม.......แค่คิด ความสุขก็ล้นปรี่......

กลับมาเข้าเรื่องกินกันดีกว่า
เช้าวันที่สาม เริ่มต้นเมื่อเช้าด้วยติ่มซำ มาตามตำราของเวบฮ่องกงแฟนคลับ (เช่นเคย) ร้านชื่อ Tao heung restaurant อยู่แถวๆโรงแรมที่เราพัก ตั้งอยู่ชั้น 3 อาคาร Carnavon plaza ทางขึ้นจะลึกลับหน่อย พอขึ้นมาก็จะเจอบรรยากาศแบบภัตตาคารจีน อะไรประมาณนั้น

เข้ามาก็ประหม่าทันที แบบว่าไม่รู้ว่าต้องสั่งอะไรยังไง เข้ามานั่งโต๊ะเค้าเอากาน้ำชามาสองกา พวกเราก็นั่งถกว่าจะทำยังไงกับมันดี สุดท้ายคิดกันเอาเองว่า อันนึงเป็นกาน้ำชา ส่วนอีกอันเป็นน้ำร้อนเฉยๆอาจใช้เพื่อเจือจางชาอีกกา ในกรณีที่มันเข้มเกินไปแล้ว (มั้งนะ) ต่อจากนั้นพนักงานก็เอาเมนูมาวางไว้ให้ ตอนแรกเอามาให้แต่ใบสีชมพูซึ่งเค้าเอาไว้ติ๊กเลือกอาหารที่เราจะสั่ง เป็นเมนูอังกฤษแต่อ่านชื่อแล้วจินตนาการหน้าตาอาหารไม่ออก พนักงานคงเห็นเราทำหน้าโง่ๆเลยเอาตัวช่วยให้ เป็นเมนูแบบมีรูปสี่สีอ่านสนุกมาให้ดูทีหลัง หลังจากนั่งทำข้อสอบเอ๊ย...เลือกอาหารจากเมนูร่วมสิบนาที สรุปสุดท้าย คือต้องเรียกพนักงานมาอีกรอบเพื่อช่วยติ๊กอาหารในใบสีชมพูที่เลือกจากเมนูสี่สีอีกต่อนึง เฮ้อออ... กว่าจะได้กินเนาะ



สั่งได้ออกมาหน้าตาแบบนี้นั้นแล....



สรุปว่ามื้อนี้อาหารงั้นๆ ขนมจีบอร่อย กระดูกอ่อนหมูนึ่งเต้าซี่ก็โอ นอกนั้นจัดว่าเฉยๆ ใจจริงเราอยากกินเมนูที่เป็นปาท่องโก๋แล้วห่อด้วยก๋วยเตี๋ยวแหละ แต่หาไม่เจอน่ะ เสียดายๆ มื้อนี้ 110 เหรียญ ถือว่าไม่แพงเลยถ้าเทียบกับร้านอาหารในฮ่องกงโดยทั่วไป

จากนั้นเดินทางไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่รีพัลสเบย์ วิธีไปก็ขึ้นรถ MTR สายสีแดงจากจิ่มซาจุ่ยไปสุดสายที่เซ็นทรัล แล้วก็เดินตามป้าย exchange square เพื่อไปขึ้นรถเมล์ที่ท่ารถนี้แหละ ตามตำราเค้าก็บอกว่า พวกสาย 6 , 6x, 66 ตระกูลหก ป้ายสถานีก่อนถึงให้มองจุดสังเกตจะมีตึกเป็นรูกลมๆอยู่ไกลๆ ป้ายรถเมล์อยู่หน้าตึกนี่เลย ก็เตรียมตัวลงรถก่อนจะถึงตึกนี่แหละค่ะ แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ให้กวาดสายตาหาคนไทยในรถเมล์ แล้วเค้าลงป้ายไหนก็เดินลงรถตามเค้าไปแบบเราก็ได้

เดินเลียบทะเลต่อไปอีก 10 นาที ก็จะมาถึงวัดเจ้าแม่กวนอิมกันซักที



ไม่รู้ว่าต้องไหว้ไหนก่อนหลัง แต่เราก็อาศัยพนมมือ นะโมตัสสะไปก่อนละกัน มาวัดมาวาไม่ใช่แนวเท่าไหร่ แต่ก็แอบเอาตังไปลูบเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ยมาใส่กระเป๋าเหมือนกันนะ (ตามคนอื่นเหมือนเดิม 55)



ก็กะหมายมั่นปั้นมือว่าจะมาขึ้นสะพานต่ออายุซักหน่อย อันนี้ท่องมาดีเลยว่าให้เดินขึ้นได้ทางเดียวห้ามย้อนกลับมา บลาๆๆ
แต่อนิจจา ......สะพานปิดซ่อมแซม.....



พอตกบ่าย เราก็เดินทางมาถึงย่านช้อปปิ้งอีกแห่งหนึ่งฮ่องกง คือ Causeway bay ขึ้นมาทางออกที่ตึก Time square พอดี ผู้คนคึกคักมาก ที่มาที่นี้เพราะมีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะมาทานห่านย่าง หมูแดงอร่อยๆที่ร้าน Keung kee restaurant แล้วก็ไม่ทำให้ผิดหวัง สั่งมา 3 อย่าง หมูแดงอร่อยสุด ตามมาด้วยห่านย่างที่อร่อยเช่นกันแต่มันเยิ้มไปหน่อย สุดท้ายคือหมูกรอบที่เค็มไปนิด ต้องจิ้มกับมัสตาร์ดที่เค้าให้มาคู่กันรสชาติก็จะลงตัวขึ้นค่ะ



ทานเสร็จก็ออกเดินย่อยแถวนั้น
หน้าตึกไทม์สแควร์



เดินข้ามถนนที่แสนพลุ่กพล่าน วุ่นวายดีจริงๆ เห็นป้ายสีชมพูสะกดจิตให้เดินเข้าร้านของร้านซาซ่าอยู่ด้วย



ถนนเส้นนี้มีรถรางผ่านด้วย



เดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าโซโก้ แล้วก็กลับดีกว่า เดี๋ยวต้องไปต่อคิวนั่งรถรางขึ้นเดอะพีคกันต่ออีก



เรานั่งรถใต้ดินจากสถานี Causeway bay มาลงที่สถานีฮ่องกง แล้วเดินตามป้ายทางออก (ไกลเหมือนกันนะ) ที่จะไปท่าเรือสตาร์เฟอรี่ เพื่อขึ้นรถเมล์สาย 15C ไปยังสถานีพีคแทรมกันค่ะ

ณ ป้ายรถเมล์ สาย 15C จะวิ่งจากท่าเรือเฟอรี่ไปสุดสายที่สถานีพีคแทรม ดังนั้นตัดความกังวลว่าจะลงผิดป้ายรึปล่าวไปได้เลยค่ะ เราเลือกนั่งชั้นบนจะได้เห็นวิวข้างทางไปด้วย แต่ว่าก็จะเมารถได้ง่ายขึ้นด้วยเพราะมันจะแกว่งกว่านั่งด้านล่าง



บรรยากาศขมุกขมัว หมอกเต็มไปหมด แต่เราก็ยังมีความหวังว่าจะเห็นภาพของเกาะฮ่องกงจากมุมสูงอยู่นะ



ขับรถผ่านไปตึกแล้วตึกเล่า (หมอกเยอะได้อีกนะเนี่ย)



จนในที่สุดก็มาถึงสถานีพีคแทรม เราไปถึงสี่โมงว่ามาก่อนเวลาที่คนจะเยอะแล้วนะ ผู้คนมหาศาล ก่อนจะเข้าสถานีก็แปะบัตรปลาหมึกจ่าค่าขึ้นพีคแทรมไป แล้วก็ยังต้องมาต่อคิวผู้คนด้านในอีก



มีใครเคยมีประสบการณ์การยืนบนพีคแทรมแบบเราบ้างมั้ยคะ -_-“
แบบว่าพอถึงคิวเราได้ขี้นแทรม ปรากฏว่าแย่งหาที่นั่งไม่ได้ ในรถรางเราลองนับดูมีคนได้ยืนอยู่ 8 คน เป็นกลุ่มเราซะ 4 คน ขอบอกว่าเสียวมากมาย เพราะแทรมจะไต่ระดับขึ้นเขาซึ่งชันมาก ตอนยืนก็เกร็งน่าดูแหละค่ะ กลัวไหลไปตามแรงโน้มถ่วงโลก แต่ก็ยังมิวายถ่ายบรรยากาศด้านในรถมาให้ดูกันค่ะ (แบบสั่นๆ)



ด้วยความที่หมอกลงจัดมาก เราไปดูที่จุดชมวิวช่วงเย็นๆ ประมาณหกโมง ไม่เห็นอะไรเลย ก็เลยนั่งรอไปเรื่อยเผื่อว่าตอนกลางคืนหมอกจะปลิวหายไป หรือไม่แสงไฟบนตึกอาจจะทะลุหมอกมาให้เราเห็นนิดๆหน่อยๆก็ยังดี

ถ่าย Peak tower ให้ดู ขนาดอยู่ใกล้ๆ ยังมองไม่ค่อยเห็นเลย



และนี้ก็คือวิวมุมสูงของเกาะฮ่องกงในคืนนั้นค่ะ เรียกว่าอกหักกันเลยทีเดียว



จากนั้นก็ต้องต่อคิวยาวเหยียดเพื่อขึ้นแทรมกลับลงไปด้านล่างอีกครั้ง แถมตอนต่อก็คนมาพยายามแซงคิวตลอดเวลา ตอนนั้นเซ็งสุดๆเลยค่ะ ส่วนโปรแกรมกลางคืนก็ออกตระเวนช้อปปิ้งย่านจิมซาจุ่ยกัน (อีกครั้ง) อาหารมื้อเย็นวันนี้ทานกันที่ร้าน Relax for a while ตามรีวิวในเวบ HKFC อร่อยมากๆ เมนูก็มีหลายหลายแต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูกันเลยค่ะ เพราะก่อนหน้าที่จะมากินข้าว แวะกลับเข้าไปโรงแรมกันก่อน เพื่อลดสัมภาระอันจะทำให้ติดขัดการช้อปปิ้งออกไป เราเลยทิ้งกล้องไว้ที่โรงแรม เอาของติดตัวมาให้น้อยที่สุด

สำหรับบลอกหน้า ก็จะเป็นวันสุดท้ายในทริปฮ่องกงมาเก๊าตามเค้าว่า... แล้วค่ะ




 

Create Date : 27 มีนาคม 2553    
Last Update : 27 มีนาคม 2553 17:05:33 น.
Counter : 2583 Pageviews.  

ฮ่องกง มาเก๊าตามเค้าว่า วันที่ 2 ไหว้พระใหญ่ และตะลุยช้อปปิ้ง


ตามโปรแกรมที่วางแผนเอาไว้ วันนี้เราต้องขึ้นไปถึงจุดซื้อตั๋วขึ้นกระเช้านองปิงตอนสิบโมง แต่พอเอาเข้าจริง สิบโมงแล้วเรายังไม่ได้ออกจากห้องพักโรงแรมเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากตื่นสายและเสียเวลานั่นนี่ ทำให้ที่ตั้งใจว่าจะไปขึ้น peak tram ชมฮ่องกงจากมุมสูงในช่วงเย็นวันนี้ต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะดูยังไงก็ไม่น่าจะทัน หรือถ้าจะทำให้ทันก็ต้องตัดรายการช้อปปิ้งที่ Citygate outlet ออก ซึ่งเราเลือกที่จะตัดพีคแทรมออกไปวันถัดไปดีกว่า -_-"

เช้าวันนี้ ฝากท้องไว้ที่ร้าน Yoshinoya เราเลือกชุดข้าวหน้าเนื้อ ราคาไม่แพงค่ะ 17 เหรียญ



จากนั้นก็นั่งรถ MTR สายสีแดงจาก Tsim sha tsui ไปลงสถานี Lai king เพื่อเปลี่ยนเป็นสายสีส้มนั่งไปสถานี Tung chung ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีกระเช้านองปิง ใครจะขึ้นกระเช้านองปิงช่วงนี้ถึง 30 เม.ย. 2553 จะมีโปรโมชั่นพิมพ์คูปองจากเนตลดราคาได้ 10% สั่งพิมพ์มาให้ครบตามจำนวนคนขึ้นนะคะ

มาสายๆ คนต่อคิวขึ้นกระเช้าเยอะแล้ว ยืนรอซื้อตั๋วประมาณชั่วโมงนึงถึงจะได้ขึ้น เราเจอช่วงไพรม์ไทม์ของกระเช้านองปิงทั้งขาไปและกลับเลยค่ะ ขากลับก็รอนานเหมือนกัน



วิวทะเลมองจากกระเช้า



พอเริ่มสูง หมอกก็ค่อยๆหนาขึ้นเรื่อยๆ



จนในที่สุดก็มองได้แค่นี้



ใช้เวลาอยู่บนกระเช้าประมาณ 25 นาที เราก็มาถึงหมู่บ้านนองปิงกันแล้วค่ะ



เดินผ่านหมู่บ้านมาเรื่อยๆ ก็จะถึงทางขึ้นพระใหญ่ค่ะ ช่วงนี้หมอกจางหน่อย เลยพอเห็นพระแบบลางๆ



ด้านหน้าทางขึ้นมีลานรูปวงกลมให้คนมาไหว้พระ ตอนนี้มองไม่เห็นพระแล้ว อากาศตอนนี้ก็เป็นหมอกปนกับละอองฝน



เริ่มการเดิน..............ขึ้น...............ฮึบ...........



ระหว่างทางขึ้นก็จะมีซอกให้ยืนพักได้ตลอด ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ยังมีรอยยิ้มนะ



มาถึงองค์พระใหญ่แล้ว แต่มองไม่เห็นพระพักตร์ของท่านเลย เราคงวาสนาต่ำต้อย สงสัยต้องกลับฮ่องกงมาแก้คัวอีกรอบ เที่ยวช่วงท้องฟ้าแจ่มใส



เหล่าเทวดา รอบฐาน



ก่อนจะนั่งกระเช้ากลับลงไป ขอแวะทานของขนมที่ร้าน Honeymoon dessert เห็นเค้าว่ากันว่าอร่อย
เริ่มจากแพนเค้กมะม่วง 25 เหรียญได้มาสองชิ้น



....และสาคูมะม่วง



รสชาติอร่อยดีค่ะ แต่ราคาแพงนำหน้าความอร่อยไปเยอะเลยอ่ะ

จากนั้นเราก็มาเสียทรัพย์ที่ Citygate outlet แต่ก่อนอื่นเติมพลังก่อนที่ ศูนย์อาหาร Food republic อาหารจริงแต่หน้าตาเหมือนอาหารจำลองเลย สีสันสดใสเชียว



อยู่ที่ Citygate outlet จนถึงหนึ่งทุ่ม เสียเงินเยอะกว่าที่นึกไว้อีก ประมาทไปหน่อย เพราะตัวเองไม่ได้เป็นคนช้อปเก่งเลย ปกติจะซื้อเฉพาะของที่คิดอยู่แล้วว่าจะมาซื้อ แต่ที่นี่ของถูกกว่าเมืองไทยมากๆ เช่น รองเท้าเทรนเนอร์ของไนกี้แบบธรรมดาราคาประมาณ 1,200-1,500 บาท ถูกกว่าเกือบครึ่งของราคาในไทย จำพวกเสื้อผ้าก็ถูกดี อยากแนะนำถ้าใครมีโอกาสได้ไป ลองเข้าช้อปของ I.T. เหมือนเป็นเอาท์เล็ตของหลายๆแบรนด์ ราคาลดกัน 70-90% กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็มีร้านของแบรนด์ที่คนไทยรู้จักดี เช่น เอสปรี แมงโก้ ร็อกซี่ คลากส์

นั่งรถไฟฟ้ากลับช้อปในเมืองกันต่อที่ Mong kok เจอเพื่อนๆชาวไทยเยอะเลย นึกว่ามาเดินแถวสยาม เป็นย่านช้อปปิ้งที่คึกคักมากๆ คราวนี้ร้านที่คนไทยเข้ากันเยอะๆก็คงไม่พ้น Giordano Bossini และ Sasa ที่น่าสังเกตคือ ที่ฮ่องกงจะมีร้านขายเครื่องสำอางค์เยอะมาก ทุกๆ 50 เมตรในแหล่งช้อปปิ้งอย่างแถวจิมซาจุ่ย มงก๊ก หรือคอสเวย์เบย์ จะมีร้าน ซาซ่า ไม่ก็บองชู ตั้งอยู่ ส่วนเราเหมือนโดนสะกดจิต ก็เลยเดินเข้ามันทุกร้านที่เจอแหละ แล้วก็เสียตังร้านละมากบ้างน้อยบ้างไปตามระเบียบ

ตื่นตาตื่นใจ เมื่ออยู่ในมงก๊ก สวรรค์นักช้อป



ย่านมงก๊ก จะมีถนนช้อปปิ้งสามสายขนานกันอยู่ ให้คะแนนตามความชอบของเรา อันดับหนึ่ง ได้แก่ Sai yeung choi st.น่าเดินมากที่สุด บรรยากาศเป็นมิตร ข้าวของราคาถูกและสภาพสวยงามน่าซื้อ อันดับสอง Fa yeun st. ขายรองเท้ากีฬาเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใครคิดจะมาช้อปรองเท้าโดยเฉพาะก็อาจจะชอบถนนสายนี้มากกว่า ราคาถูกกว่าเมืองไทย แต่ว่ามันมีแต่ร้านรองเท้าง่ะ ส่วนอันดับสุดท้าย คือ เลดี้มาร์เก็ต เป็นถนนเส้นกลางอยู่ระหว่างสองเส้นแรก ด้วยความที่เราไม่ชอบซื้อของแบบต่อราคา ขี้เกียจไปลับสมองกับคนขายน่ะ บรรยากาศไม่น่าเดินเอามากๆ ก็เลยได้คะแนนน้อยสุด

เลดี้มาร์เก็ต ลักษณะเป็นแผงขายของมาตั้ง อารมณ์ว่าเดินตลาดนัดแถวบ้านปนกับจตุจักรนิดๆ



อ้อยอิ่งอยู่แถวมงก๊กถึงเที่ยงคืน เดี๋ยวจะกลายเป็นซินเดอเรลล่าไม่มีรถไฟกลับไปทีพัก ก็เลยต้องตัดใจกลับมาโรงแรมค่ะ (MTR หมดประมาณเที่ยงคืนครึ่ง จากการถามพนักงานขายของที่ร้านบอสซินี่) เป็นอันจบการเที่ยวในวันที่สอง ส่วนวันพรุ่งนี้เราจะไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมกันที่รีพัลสเบย์กันค่ะ




 

Create Date : 21 มีนาคม 2553    
Last Update : 21 มีนาคม 2553 15:14:09 น.
Counter : 1529 Pageviews.  

ฮ่องกง มาเก๊าตามเค้าว่า... วันที่1 วันเดียวเที่ยวสามประเทศ


จากประสบการณ์ที่นั่งอ่านกระทู้ในห้องบลูมานานหลายปี เราคิด(เอาเอง..)ว่า ฮ่องกง น่าจะเป็นประเทศที่มีคนตั้งกระทู้ถามถึง และรีวิวมากที่สุด (ไม่รวมเที่ยวในประเทศนะ) ครั้นจะลองไปดูที่ชั้นวางหนังสือนำเที่ยวในร้านหนังสือ ก็น่าจะเป็นประเทศที่มีคู่มือนำเที่ยวเยอะที่สุดเช่นกัน ดังนั้นเมื่อ ใครๆเค้าก็ไปเที่ยวฮ่องกง หรือว่า ใครๆก็ไปฮ่องกงได้ง่ายจัง คราวนี้เราก็เลยขอไปเที่ยวฮ่องกงแบบคนอื่นเค้าว่ามั้ง

จุดเริ่มต้นของทริปนี้ เริ่มเมื่อเดือนพฤษภาคมปี 52 ก่อนจะออกเดินทางจริง 10 เดือน แม่เจ้า... นานจนไม่น่าเชื่อ ด้วยโปรศูนย์บาทของแอร์เอเชีย ตอนแรกกะเข้าไปจองดูเล่นๆ แต่ไปๆมาๆก็ทำให้เราได้ตั๋วไปเที่ยวฮ่องกงในราคาถู้กถูก ไปกลับแค่ 2500 บาท แต่ว่าตั๋วโปรขาไปจากกรุงเทพถึงฮ่องกงมันหมดแล้ว เหลือแต่เที่ยวบินจากกรุงเทพไปมาเก๊าที่ยังมีตั๋วศูนย์บาทอยู่ ก็เลยซื้อตั๋วไปลงที่มาเก๊า ส่วนขากลับออกจากฮ่องกง ทำให้ได้ไปเที่ยวมาเก๊าเพิ่มมาอีกประเทศนึง

ทริปฮ่องกงมาเก๊าตามเค้าว่า ก็หมายความตามชื่อแหละค่ะ ลอกการเดินทางคนนั้นคนนี้มาผสมๆกัน สนุกไปอีกอย่าง ด้วยความที่ข้อมูลการเที่ยวประเทศนี้มันมีมหาศาล เตรียมทริปเพลินเลยค่ะ ทั้งที่กินที่ไหนอร่อย ที่เที่ยวที่ก็ไหนเป็นยังไง เดินทางยังไง โรงแรมไหนตอบโจทย์ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาก็หลายรอบ หลักๆก็หาเอาจากพันทิปกับ เวบฮ่องกงแฟนคลับ ซึ่งเป็นข้อมูลที่อัพเดทและมีประโยชน์มากๆค่ะ

วันที่หนึ่ง วันเดียวเที่ยวสามประเทศ
เริ่มการเดินทางแต่เช้ามืด ออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ เพราะว่าจองตั๋วไปมาเก๊ารอบเช้าสุดออกเจ็ดโมงเช้า พอมาถึงก็เช็คอิน ผ่านตม.มาตามระเบียบ ช่วงนี้เมืองไทยก็มีม็อบอีกแล้ว ทำเอาเสียวๆเหมือนกันว่าจะปิดสนามบินแบบคราวก่อนมั้ย แต่สุดท้ายก็ได้ออกเที่ยวอย่างราบรื่น

ระหว่างรอขึ้นเครื่อง บ้างก็หลับกันเป็นจริงเป็นจัง



มาถึงมาเก๊าตามเวลาไม่ดีเลย์ อากาศค่อนข้างเย็นกว่าที่เราคิดไว้ ตอนออกมาจากเครื่องนี่ มีสั่นสะท้านกันนิดหน่อย วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสที่สุดแล้วใน 4 วัน เพราะหลังจากนี้อากาศจะเป็นหมอกลงหนาตลอดจนถึงวันกลับเลยค่ะ ช่วงที่ไป อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 10-20 องศาเซลเซียส

จากนั้นก็เที่ยวตามสูตร ออกจากประตูสนามบินเดินตามคนอื่นไปขึ้นรถฟรีของโรงแรมเวเนเชี่ยน



นั่งรถบัสไม่ถึงสิบนาที ก็ถึงโรงแรมแล้วล่ะค่ะ ส่วนที่รถมาส่งเรียกว่า main lobby จัดการฝากกระเป๋าให้เรียบร้อย ก่อนออกเดินทางต่อไปยัง Senado Square โดยใช้บริการรถแท็กซี่ ซึ่งมาจอดรับที่จุดที่รถมาส่งเมื่อกี้แหละค่ะ ค่าโดยสารไม่แพงประมาณ 50 MOP จ่ายเป็นเงินฮ่องกงแทนกันได้เลยค่ะ

วิวระหว่างนั่งแท็กซี่ สะพานข้ามจากเกาะไทปา ไปยังมาเก๊า สูงเชียว



โรงแรมและคาสิโนหน้าตาแปลกๆ



Senado square ก็ประมาณ Siam square ค่ะ ยิ่งสมัยตอนที่ยังมีน้ำพุที่ลานเซ็นเตอร์พ้อยท์นะ เหมือนมาก...
มีร้านค้าตั้งกันเรียงราย ทั้งขายเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ ขนมของฝาก ของใช้ แต่เราอดใจไปใช้เงินที่ฮ่องกงดีกว่า



เที่ยงพอดี หาร้านอร่อยตามเค้าว่าดีกว่า
มาจบลงที่ร้าน Wong chi kei ร้านนี้มีสาขาที่ฮ่องกงด้วยนะคะ



จานของเราเป็นบะหมี่เกี๊ยว ประทับใจน้ำซุปมากๆ อร่อยเข้มข้น รสชาติเหมือนกินหัวกุ้ง (นี่คือชมนะ..) ส่วนเส้นกับเกี๊ยว งั้นๆสำหรับเรา



ลองดูจานอื่นๆ มีบะหมี่ปีกไก่ บะหมี่หมูทอด ส่วนลูกชิ้นปลาหมึกนี่ไม่อร่อยอย่างแรง เหมือนเค้าใส่ส่วนผสมอะไรไม่รู้ ที่มีรสชาติเหม็นๆแบบบอกไม่ถูก ภาษาเหนือจะเรียกความรู้สึกนี่ว่า คิ่ว (คนเหนือจะเก็ตนะ) ถ้าคำไหนกัดไปโดนก็จะพะอืดพะอมไปเป็นคำๆ ขอเรียกส่วนผสมนี่ว่า ปลาร้ามาเก๊าละกัน โดยน้ำจิ้มของลูกชิ้นปลาหมึกก็จะมีสวนผสมของปลาร้ามาเก๊านี้เช่นกัน (เดาว่ามันคือเครื่องในของปลาหมึกรึปล่าวนะ)



กินอิ่มแล้วก็เดินต่อ ยังไม่ทันจะเหนื่อย เราก็เห็นซากโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul’s) ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของมาเก๊าอยู่ลิบๆ



คนมากมาย หลายเชื้อชาติ



ทางที่เดินผ่านเข้ามาตะกี้



เข้าไปดูด้านหลัง มีบันไดให้ขึ้นไปชมวิวจากหน้าต่างโบสถ์ด้วย



มองลงมาเป็นอย่างนี้



จากนั้นก็โบกแท็กซี่แถวหน้าโบสถ์ให้กลับไปส่งที่เวเนเชี่ยน ระหว่างรอแท็กซี่ก็หาซื้อทาร์ตไข่แถวนั้นมากินเล่น อร่อยแบบที่เค้าว่าจริงๆด้วยแฮะ ราคาไม่แพงด้วยแค่ชิ้นละ 7 เหรียญเอง ซื้อเมืองไทยร้านป๋าต๊อบแพงกว่าเยอะเลยชิ้นละตั้ง 40 บาท

ถ่ายรูปเล่นในเวเนเชี่ยน ลูกโลกทองคำ ณ เมนลอบบี้



ขึ้นมาชั้นสาม เดินในส่วนที่จำลองบรรยากาศเมืองเวนิส แอบเห็นว่าอีกหน่อยจะมีร้านทาร์ตไข่ขึ้นชื่อมาเปิดในนี้ด้วย ตอนนี้กะลังทำร้านอยู่



บางครั้งก็มีเสียงเพลงจากชายหนุ่มที่พายเรือกอนโดล่าอยู่ในคลองมาช่วยเสริมบรรยากาศอิตาเลียนอีกแรง



ออกมาถ่ายรูปด้านนอกโรงแรม ใหญ่มาก กล้องเก็บไม่หมด



จากนั้นก็เข้าไปอุดหนุนกิจการคาสิโนของโรงแรมอีกนิดหน่อย ผลคือขาดทุน แป๊ว....
ส่วนของคาสิโนเค้าห้ามถ่ายรูปนะจ้ะ

เสียทรัพย์เสร็จพอขมปากขมคอ ได้เวลาอันสมควรก็เดินไปรับกระเป๋าที่ฝากเอาไว้ เพราะเราจะเริ่มเดินทางข้ามไปยังประเทศที่สามของเราในวันนี้กัน คือ ฮ่องกง โดยจะเดินทางด้วยเรือเฟอรี่ของ Cotai jet ซื้อตั๋วได้ที่ west lobby ของโรงแรมเวเนเชี่ยน ซื้อตั๋วเสร็จเดินออกจากโรงแรมก็จะมีท่ารถชัตเทิลบัสฟรีไปส่งถึงท่าเรือเลยค่ะ ระวังอย่าขึ้นรถผิดคันละกันค่ะ โดยจุดที่เราจะลง คือ Taipa ferry terminal



ตัดมาที่บรรยากาศในเรือ ถึงตอนนี้เรากินยาแก้เมากันไว้แล้ว ขึ้นเรือปุ๊บหลับภายในห้านาที แต่....



จุดวิกฤติของการเมาเรือคราวนี้ มันอยู่ตอนที่เรือจะเทียบท่าที่ฮ่องกง ช่วงเข้าฝั่ง คลื่นแรง เรือโคลงเคลงมาก นึกแล้วยังเวียนหัวไม่หาย ไม่น่าตื่นมาก่อนเรือจอดเลย ฮือ.....

อันที่จริงถ้าใครพักฝั่งเกาลูน ตอนนี้ Cotai jet มีเที่ยวเรือไปลงฝั่งเกาลูนแล้วนะคะ จะได้ไม่ต้องต่อ MTR มาจากฝั่งฮ่องกงแบบเรา ตอนไปถึงห้าโมงครึ่ง-หกโมง คนกะลังเลิกงาน คนในรถไฟอย่างแน่นเลย เรานั่งรถไฟจากสถานี Sheung wan ต่อรถไฟอีกสายที่ Central แล้วก็ลงที่ Tsim sha tsui เพื่อเข้าที่พักค่ะ



ทริปนี้ทั้งสามคืน พักที่โรงแรม Butterfly on Prat ได้ห้องดีลักซ์มาในราคาคืนละ 600 HKD โรงแรมสะอาด ใหม่ ห้องใช้ได้เลยค่ะ ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดินประมาณ 200-300 เมตร ข้อเสียคือ ประตูห้องน้ำและผนังบางส่วนเป็นกระจกใสและกระจกสี ลักษณะแขกที่มาพักต้องเป็นคนเปิดเผยนิดนึงนะ หุหุ



ห้องน้ำไม่เล็กเหมือนบางที่ ที่เคยเห็นคนมารีวิวค่ะ เดินไปมาได้นะ



ด้วยแรงที่พอจะเหลือน้อยนิด เราก็พาตัวเดินมาที่ Avenue of Star เพื่อมาชมการแสดงแสงสีเสียง Symphony of Light ซึ่งมีแสดงกันทุกวันเวลา 2 ทุ่ม คนไม่เยอะเท่าไหร่นะ คงเพราะเป็นวันธรรมดา เดินหาโลเคชั่นเหมาะๆ สุดท้ายได้ไปนั่งดูบนลานที่เค้าจัดไว้ให้แถวหอนาฬิกานู้น จัดได้ว่าตระการตากันเลยทีเดียว แอบทรมานสังขารเล็กน้อย เพราะลมแรง หนาวมาก



กลั้นหายใจถ่ายรูปมาก็ได้แค่นี้แหละค่ะ



กลับมาถึงโรงแรมก็สลบเหมือดไปเลย วันนี้โปรแกรมแน่นมาก เรียกว่าขึ้นรถ ลงเรือ เหินฟ้า ทำมาทุกอย่าง พรุ่งนี้เราก็จะชดใช้การที่ทำร้ายตัวเองในวันนี้ด้วยการตื่นสาย (ที่จริงเป็นนิสัยส่วนตัวอยู่แล้ว) แล้วขึ้นไปไหว้พระใหญ่กันค่ะ




 

Create Date : 18 มีนาคม 2553    
Last Update : 18 มีนาคม 2553 21:19:28 น.
Counter : 3396 Pageviews.  


khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.