วันที่ 3 เดินเล่นย่านฮาจิเลน บูกิส ช้อปปิ้งมุสตาฟา

 เนื่องจากอายุเริ่มมากขึ้น เที่ยวมาวันที่สาม ก็ชักจะขี้เกียจเดิน
เลยนั่งแทกซี่ออกมาจากหน้าโรงแรม 


เจอรถแบบ 7 ที่นั่งเข้าไป นั่งสบายมากกกก แต่ราคามิเตอร์เริ่มต้นที่ 4.2 เหรียญ (ราคาเริ่มต้นขึ้นกับประเภทรถ)
นั่งจากคลากคีย์มาจนถึงฮาจิเลน เสียไป 8.5 เหรียญ ก็โอนะ ไม่แพงมาก นั่งกันมา 3 คน
ถ้านั่งรถไฟฟ้ามาคนละ 1.5 เหรียญ ต้องเดินเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าอีก แล้วต้องเดินจากสถานีบูกิสมาฮาจิเลนก็หลายร้อยเมตรอยู่ 
ถือว่าจ่ายเงินเพิ่มอีกคนละสามสิบบาทเพื่อความสบายละกันค่ะ ^^

ได้คุยกับคนขับ พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย ก็บอกว่าเค้านับถือหลวงปู่ทวดมาก 
ชี้ให้ดูที่คอนโซลหน้าเลย ว่าเช่าบูชาองค์หลวงปู่ทวดมาไว้เป็นศิริมงคลกับรถด้วย 
แต่เค้าไม่เคยไปไหว้ที่เมืองไทยนะ บอกว่าเช่ามาจากวัดไทยที่สิงคโปร์นี่แหละ

ลงจากแทกซี่มา ก็เจอกับตรอกฮาจิกับกำแพงสีสันสดใส


เรามาช่วงสายๆ ยังไม่มีร้านไหนเปิด ส่วนใหญ่ถ้าจะมาให้คึกคักต้องมาช่วงหลังเที่ยงไปแล้วค่ะ
ถ้าอายุน้อยกว่านี้ซัก 10 ปี เดินที่นี่คงจะสนุกม๊ากก 
ส่วนใหญ่เป็นร้านขายเสื้อผ้า ของวัยรุ่น ร้านอาหารแนวๆ คาเฟ่น่ารักๆ และเกสท์เฮ้าส์ 


เป้าหมายจริงๆ คือ มาหาข้าวเช้าทานกันแถวๆนี้
ย่านนี้เป็นย่านชาวมุสลิม พอเดินออกจากฮาจิ ร้านค้าส่วนใหญ่ก็กลายเป็นร้านขายผ้า ขายส่าหรี ร้านอาหารฮาลาล


เดินมาถึงจุดหมายเราแล้ว Singapore Zam Zam
หาง่ายมาก อยู่ตรงข้ามกับมัสยิดสุลต่าน บนถนน North Bridge


เป็นร้านที่ดังมาก ทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวและชาวสิงคโปร์ 
ทำให้เราอยากลองมาทานดู ทั้งๆที่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบเครื่องเทศแบบชาวอินเดียซักเท่าไหร่
อยากรู้ว่าอาหารแนวอินเดียที่เค้าว่าอร่อยๆกัน รสมันจะประมาณไหน ทานแล้วเราจะชอบขึ้นมาบ้างรึปล่าว

เข้ามาในร้านก็จะเจอกับโต๊ะแคชเชียร์อยู่ด้านหน้าเลย มีป้ายเมนูอาหารพร้อมราคาแจ้งไว้เรียบร้อย
นั่งนึกไปก่อนก็ได้ค่ะ พอคิดเมนูที่จะสั่งได้แล้ว เดี่ยวจะมีพนักงานมาถามที่โต๊ะ


จานหลัก เราสั่งมะตะบะเนื้อวัวไซส์กลาง มะตะบะไก่ไซส์เล็กสุด จะเสิร์ฟมากับน้ำแกง และแตงกวาหั่นบางๆราดซอสมะเขือเทศแก้เลี่ยน


จานใหญ่มาก จริงๆน่าจะสั่งไซส์เล็กสุดทุกอย่าง น่าจะอิ่มกะลังดี (อันนี้เราทานไม่หมด)
สำหรับมะตะบะเนื้อ เราว่าอร่อยนะ ชอบตัวแป้งเคี้ยวหนึบๆดี เนื้อผัดมาแบบแห้ง กลิ่นเครื่องเทศมาแบบทนได้ ทานง่าย
แต่มะตะบะไก่ ไส้ไก่จะแฉะๆ แล้วกลิ่นเครื่องเทศแรงกว่า ไม่ค่อยชอบอ่ะค่ะ

ร้านนี้เครื่องดื่มราคาไม่แพงค่ะ ได้แก้วใหญ่ด้วย เป็นมื้อที่ราคาประหยัดที่สุดในทริปนี้เลย 21.5 เหรียญ
สั่งชาชัก(รสเหมือนๆกับชาชักบ้านเราค่ะ) กับไมโลไดโนซอร์


อาคารแถวนี้เค้าจะภาพวาดน่ารักๆตามจุดต่างๆ เหมาะกับการถ่ายรูป


เดินเที่ยวต่อได้ไม่มากเท่าที่อยาก เพราะฝนตกหนักบ้างเบาบ้าง หนีเข้าห้างกันดีกว่า
แถวบูกิสมีหลายห้าง เดินเชื่อมต่อกันได้หมด เป็นที่หลบฝนอันดีเยี่ยมจริงๆ

มาโผล่ที่บูกิสพลัส ตั้งใจมากินไอติมร้านนี้ Llao Llao


เป็นไอติมแบบ Frozen yohkurt หรือชื่อเรียกสั้นๆว่าโฟรโย่
เลือกสั่งได้หลายแบบ ตามเมนูนี้เลย


เราสั่งแบบ เอาแต่โฟรโย่ 1 ถ้วยเล็ก และแบบ Sanum ซึ่งจะมีให้เลือกใส่ผลไม้สดได้ 3 อย่าง ครั้นช์ได้ 2 อย่าง และซอสราดอีก 1 อย่าง
ได้ออกมาเป็นแบบนี้ ถ้วยนี้ 6.95 เหรียญ 


รสของไอติมก็อร่อยแบบไอติมโยเกิร์ตที่มีขายในเมืองไทยเลยค่ะ ความพิเศษน่าจะเป็นการเลือกของใส่ตามความชอบของเราลงไปนะ

มาสำรวจบูกิสสตรีทกันบ้าง (เพิ่งเห็นว่าถ่ายติดเซ็กส์ช้อปด้วย)


พบว่าไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย เหมือนตลาดนัดในเมืองไทย ของขายก็คล้ายๆกัน แถมเราไปช่วงพักเที่ยง ซอยหลักคนเยอะมาก
ซอยแยกออกมาค่อยเดินสบายหน่อย ถ้าบอกว่านี่คือ ประตูน้ำ ก็คือมันใช่... 


ช่วงบ่าย มารับพลังที่ Fountain of Wealth 
เรานั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานี Promenade เดินทะลุตึกโน้นนี่มานิดหน่อยก็ถึงแล้ว
ตอนนี้ยังเปิดน้ำพุอยู่ แต่ว่าจะมีช่วงที่เค้าปิดน้ำพุเพื่อให้คนเข้าไปด้านในได้ 


เราไปช่วงบ่ายสอง ถ้าใครไปที่นี่ตอนกลางคืนจะมีการแสดงแสงเสียงด้วยนะ
พอปิดน้ำพุใหญ่ด้านนอก ก็จะสามารถเดินเข้าไปตรงกลางน้ำพุได้


มีวิธีการขอพรเขียนบอกไว้เรียบร้อยค่ะ วิธีการคือให้เอามือแตะน้ำพุแล้วเดินวน 3 รอบ
ดังนี้...


หลังจากนั้น ไม่รู้จะไปไหนกันดี เลยไปเก็บตกช้อปปิ้งที่ห้างมุสตาฟา
ตั้งอยู่ห่างจากสถานี Farrer Park มาสองสามร้อยเมตร 
ฟ้าฝนก็ช่างเป็นใจนะ...


หน้าตาข้างนอกดูไม่สวยงามทันสมัยแบบห้างที่เจอทั่วไปในสิงคโปร์ แต่ข้างในคือดีงาม..
เหมือนห้างตามต่างจังหวัดของไทย

ในห้างมีขายทุกอย่าง แบบที่ควรจะมี ของกิน ของใช้ เครื่องประดับ 
ส่วนใหญ่ในเนต คนเค้ามาซื้อน้ำหอมกัน แต่เรากลับได้สบู่กลับมา เหอออออ...


ตอนเจอนี้ อารมณ์ว่าดีใจดั่งได้ทอง เพราะถูกกว่าเมืองไทยมาก (เมืองไทยขายปกติก้อนละ 35 บาทที่นี่ไม่ถึง 20!!)
คือชอบใช้สบู่ซินทอลมาก ใช้มาตั้งแต่เด็ก ในไทยก็หาซื้อยากพอสมควร
ในกรุงเทพมีขายในโลตัสบางสาขาใหญ่ๆ จัสโก้บางสาขา ร้านขายยาบางร้าน แถมชอบขาดตลาด เวลาเจอทีต้องซื้อมาตุนเป็นสิบก้อน
ยิ่งตอนนี้เราย้ายมาอยู่ลำพูน ยังหาที่ซื้อไม่เจอเลยค่ะ ต้องขับรถเข้าเชียงใหม่ปู้น 

เลยได้สบู่ยาร์ดเล่ย์มาด้วย ในไทยก้อนละเกือบร้อย ที่นี่ก้อนละไม่ถึง 40
เผื่อผิวจะนุ่มเนียนขึ้นบ้าง ลองใช้แล้วหอมมาก ซื้อมา 2 กลิ่น ชอบลาเวนเดอร์มากกว่ามะลิค่ะ

ช้อปเสร็จก็กลับมาคลากคีย์ เดินไปจองร้านอาหารมื้อพิเศษส่งท้ายทริปสิงคโปร์
Jumbo Seafood 
ตอนแรกนึกว่าจะอดซะแล้ว เพราะเค้าไม่รับจองโต๊ะไพรเวทแล้ว ถ้าจะจองได้นั่งโต๊ะกลมรวมกับคนอื่น
หรือไม่ก็ให้ลองวอล์คอินเสี่ยงดวงมาตอนร้านเปิดรอบเย็นอีกครั้ง

เทพเจ้าแห่งการกินเข้าข้างเราอีกครั้ง เดินมาอีกครั้งหลังจากร้านเปิดรอบเย็นตอนหกโมง
ได้โต๊ะทันที แถมเป็นโต๊ะริม เห็นวิวทางเดินริมน้ำชัดเจน
แต่มีเวลาทานถึงหนึ่งทุ่ม เพราะมีคิวจองรอโต๊ะอยู่ (อะไรจะฮอตขนาดนั้น)


อาหารที่สั่งมา


ชิลี่แครบ.. ปูตัวโต ซอสสีส้มๆรสเหมือนซอสมะเขือเทศในปลากระป๋องแล้วใส่พริกเติมลงไป อร่อยดีค่ะ
หมั่นโถวทอด.. เอามาจิ้มกินกับน้ำซอส เข้ากันมาก
กุ้งทอดซีเรียล.. ตอนแรกทานรสออกหวานๆ ช่วงท้ายจะมีกลิ่นกุ้งเค็มๆมันๆปนเข้ามา ก็ถือว่าอร่อยนะ เป็นรสชาติที่ไม่เคยทานมาก่อน

ราคาแพงมากก ขนาดว่าเตรียมใจมาแล้วว่าปูร้านนี้ราคา 80-90 เหรียญ 
แต่วันที่เราไปปูตัวละ 101.4 เหรียญ (ยังไม่รวมภาษีและค่าบริการนะ) สรุปรวมทุกอย่างจ่ายไป 162.9 เหรียญค่ะ

ทานเสร็จ ก็เดินเล่นย่อยอาหารแถวนี้แหละ


ข้ามไปฝั่งคลากคีย์ แหล่งท่องเที่ยวกลางคืน บางร้านเปิดถึงเช้าก็มี


ไอติมตุรกี แพงมาก 5 เหรียญต่อโคน ไม่อร่อยด้วย แถมกว่าจะได้กินก็ นะ.. ไม่ยอมให้ซักที


มานั่งดูผู้คนริมน้ำก็สนุกดีนะคะ 
เห็นแสงจากโชว์  Wonder Full อยู่ไกลๆ


วันรุ่งขึ้นติดใจแทกซี่สิงคโปร์ นั่งกลับสนามบินซะเลย กะว่าไม่น่าเกิน 25 เหรียญ
คราวนี้ได้รถเก๋ง 4 ที่นั่ง ธรรมดาๆ 


ผิดคาด.. ปรากฎว่าเจอไป 29 เหรียญทีเดียวเชียว สงสัยเจอชาร์ตค่าทางด่วน กับเวลาเร่งด่วนด้วยมั้ง

ชอบอ่ะ ในสนามบินมีทุเรียนให้ถ่ายรูปคู่ด้วย


ไปเจอชาแบบนี้ขายในดิวตี้ฟรีที่สนามบิน 14 เหรียญ
ที่มุสตาฟาขายแค่ 6.9 เหรียญเอง ถ่ายมาแต่ไม่ได้ซื้อ เราว่าเอาไปเป็นของฝากได้อยู่นะ


มื้อเย็นหลังจากกลับมาถึงบ้าน


เซตหมูทอด น้ำพริกหนุ่ม ข้าวเหนียว เซตละ 2.5 เหรียญ (ุ60บาท)
แฟนเราสั่งมาทานคนเดียวเลย 2 เซตเลย หุหุ
ค่าครองชีพเริ่มใกล้สิงคโปร์ไปทุกทีๆ แต่รายได้นี่สิ..




 

Create Date : 11 มิถุนายน 2558    
Last Update : 11 มิถุนายน 2558 22:07:57 น.
Counter : 4717 Pageviews.  

วันที่ 2 Chinatown/Gardens by the Bay/Marina Bay Sands



ก่อนจะเริ่มไปเที่ยวกันทั้งวัน อันดับแรก หามื้อเช้าแบบชาวสิงคโปร์ทานกันก่อน  
มาทานคายาโทส หรือขนมปังปิ้งไส้สังขยาที่ร้าน Yakun Kaya Toast 



สั่งมาโทสต์มาทานสองแบบ มีคายาโทสต์แบบดั้งเดิม เป็นขนมปังแผ่นบางปิ้งจนด้านนอกกรอบ 
มีไส้ตรงกลางเป็นสังขยาหวานๆกับเนยเย็นๆ พอกัดลงไปก็จะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างกัน
สัมผัสทั้งนุ่มและกรอบ ทั้งอุ่นทั้งเย็น รสชาติทั้งมันๆหวานๆเค็มๆ อร่อยดีค่ะ
เฟรนช์โทสต์ เมนูนี้เราไม่ชอบเท่าไหร่ ขนมปังชุบไข่นิ่มๆจืดๆทานกับสังขยา 

ถ้าสั่งเป็นเซต ก็จะมีไข่ลวก 2 ฟอง และเครื่องดื่มเป็นชาหรือกาแฟ มาพร้อมกันด้วย ตกเซตละ 4-5 เหรียญ

หากเป็นคนไม่ทานชาหรือกาแฟ เวลาไปทานตามร้าน ถ้าสั่งน้ำผลไม้หรือน้ำหวานประเภทอื่นมา
ราคาจะกระฉูดจากน้ำชาหรือน้ำเปล่าประมาณนึง 
อย่างที่ร้านนี้ สั่งไมโลเย็นแก้วละ 3.8 เหรียญ.. ที่แพงสุดเจอน้ำมะนาวแก้วละ 6 เหรียญ 
น้ำดื่มธรรมดาตามเซเว่นก็ราคาแพงนะ เรางี้พกขวดน้ำจากโรงแรมออกไปด้วยทุกวันเลย 

ทานเสร็จระหว่างรอคนอื่นขึ้นไปเก็บข้าวเก็บของที่ห้อง เลยออกมาเก็บภาพย่านคลากคีย์ตอนเช้าๆสายๆ


จากนั้นก็เดินไปไชน่าทาวน์ค่ะ 
จริงๆมีรถไฟฟ้าไปได้นะ แต่่เราเห็นว่าเดินไปก็ไม่ไกลมาก แค่ 400 เมตร เลยเดินชมเมืองไปดีกว่า


ก่อนจะถึงไชน่าทาวน์ แวะตึก People's Park Centre เพื่อซื้อตั๋วเข้าชมทั้ง 2 โดมที่การ์เด้นส์บายเดอะเบย์
ได้ราคาตั๋วเข้าชมคนละ 19 เหรียญ ถูกกว่าซื้อตรงทางเข้าโดมร้อยกว่าบาทค่ะ
เราไปที่นั้นกันบ่ายนี้แหละ ถือโอกาสหลบอากาศร้อนอบอ้าวด้านนอกซะเลย

แถวไชน่าทาวน์เจอคนไทยเยอะเลย ตอนแรกเราอยากพักแถวนี้แหละ ท่าทางของกินเยอะดี ฮ่าๆ




เดินมาจนถึงวัดพระเขี้ยวแก้ว เข้าไปด้านในนิดหน่อย แต่ไม่ได้เดินขึ้นชั้นบน


แล้วก็มาทานข้าวมันไก่ร้านเทียนเทียน ที่แม็กซ์เวลฟู้ดเซนเตอร์


คราวก่อนก็จะมาลองกินร้านนี้แหละ แต่คิวยาวเกิ๊นไม่อยากรอ ก็เลยอดตามระเบียบ
ครั้งนี้ ตั้งใจว่าจะมาต่อคิวตั้งแต่ยังไม่หิวมาก คิวยาวแค่ไหน พี่ก็จะสู้!! ฮึ้ย!

ปรากฎว่า.. คิวสั้นนิดเดียว มีแค่สี่ห้าคนเองง่ะ 

สั่งไก่ครึ่งตัว ผักราดน้ำมันหอย ข้าวมัน 3 จาน 20.2 เหรียญ


ไก่เนื้อนุ่มดี น้ำซอสราดไก่ที่เค้าว่าอร่อยๆกัน แต่เราว่ามันก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะ (แล้วแต่คนชอบอ่ะเนอะ)
ส่วนน้ำจิ้ม ไม่ได้ชิมอ่ะ เพราะปกติกินข้าวมันไก่ เราก็ไม่ได้ใส่น้ำจิ้มไรงี้อยู่แล้ว เอาว่าวัดกันที่ไก่และข้าวกันเลย
โดยรวมก็ถือเป็นข้าวมันไก่ที่อร่อยนะ แต่ก็ไม่ได้อร่อยแบบว้าวววสุดยอด

ถ้าใครยังไม่เคย ลองมาทานกันก็ไม่เสียหาย จัดว่าเป็นร้านดังระดับกอร์ดอนแรมซีย์การันตีความแซ่บ 
ติดทุกชาร์ตถ้าพูดถึงข้าวมันไก่สิงคโปร์ แถมราคาประหยัด บางทีคุณอาจจะถูกปากกับรสชาติแบบนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้ ^__^

ช่วงบ่าย เดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินไปโผล่ที่สถานีมารีน่าเบย์ 
เพื่อไปเที่ยวโดมต้นไม้ดอกไม้ทั้งสองที่การ์เด้นส์บายเดอะเบย์

เราใช้ตั๋วแบบ Standard ticket ลองคำนวณก่อนไปเที่ยวละ ว่าใช้เงินน้อยกว่าซื้อ EZ-link เพราะนั่งรถไฟแค่ไม่กี่รอบเอง
ราคาต่อเที่ยวแพงกว่าใช้บัตรเติมเงิน แต่ว่าไม่ต้องเสียค่ามัดจำบัตรนู้นนี้ 
เวลาจะใช้ก็ค่อยเติมเงินเป็นรอบๆเอา ใบนี้เก็บไว้เดินทางได้ 6 เที่ยว เราใช้ 6 ครั้งพอดีเป๊ะ เก็บบัตรกลับบ้านมาดูเป็นที่ระลึกซะเลย


ช่วงเวลาแห่งความทรมานได้เริ่มขึ้นแล้ว ฮ่าๆๆ


มันร้อน แสบผิว และเหนอะหนะจริงๆ ณ จุดนี้ ระยะทางระหว่างออกจากสถานีรถไฟฟ้าแล้วเดินไปยังโดมด้านใน 
ต้องเดินกลางแจ้งประมาณ 10-15 นาที (แต่รู้สึกยาวนานกว่านั้น)


เค้าบริการรถรับส่งถึงหน้าโดมเลยค่ะ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ก็เลยไม่ขึ้น..สม..

ใครยังไม่มีตั๋วเข้าชมก็มาซื้อที่นี่เลยก็ได้ ราคาตามนี้


มาถึงโดมแล้วค่ะ เราเลือกเข้า Cloud Forest กันก่อน
เหตุผล: อ่านมาว่าโดมนี้เย็นกว่าอีกโดม


สัมผัสแรกที่เข้าโดมคือ เย็น สบาย อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เจอน้ำตกตรงหน้าเลย


มีต้นไม้เยอะแยะไปหมด ไม่ค่อยมีความรู้ทางนี้เท่าไหร่ แต่น่าจะเป็นพวกพืชในเขตป่าดงดิบ ต้องการความชื้นสูง


อันนี้ทำมาจากเลโก้นะเนี่ย เคยเห็นในข่าวว่าตัวจริงของดอกแดงๆเนี่ย ตอนบานจะเหม็นเหมือนซากศพ ภาษาไทยเรียกว่าบัวผุด ภาคใต้บ้านเราก็มี


ขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนก่อนแล้วค่อยๆเดินกลับลงมา
ด้านบนสุด มีพื้นที่ไม่มาก แต่มีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปเยอะ เค้าตั้งชื่อว่า Lost World


เห็นต้นไม้แปลกๆ แล้วความทรงจำสมัยเรียนสปช. เรียนชิวะ ย้อนขึ้นมาเป็นฉากๆ 


ชอบเดินบนทางเดินนี่มากเลย ได้ภาพสวยๆมาเพียบ




มีจำลองถ้ำ การเกิดหินงอกหินย้อย ประเทศไทยมีของจริงให้ดูเยอะหลายที่ 


อยู่ๆมีพ่นละอองหมอกออกมาด้วย ชักเริ่มหนาวซะแร้ว


มีการจัดแสดงเรื่องถ้าโลกอุณหภูมิร้อนขึ้นมาอีก 5 องศาเซลเซียส ดูสนุกมากเลย ถ้าใครไปลองหยุดดูกันนะ แต่ที่นั่งชมน้อยไปนิด


แผนที่ของ Gardens by the Bay พร้อมกับบรรยายเรื่องการจัดการทรัพยากรของที่นี้ ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง
แต่รู้ว่าเค้าสร้างเทคโนโลยีขึ้นมาเพราะตั้งใจหมุนเวียนทรัพยากรต่างๆมาใช้อย่างคุ้มค่าให้มากที่สุด 
(แหม่... จุดนี้อยากมีลูก แล้วพาลูกมาเที่ยวที่นี่ซะเลย)


ช่วงสุดท้ายก่อนออกจากโดม เป็นป่าดึกดำบรรพ์ เราจินตนาการไปยุคไดโนเสาร์นู้นเลย
มีต้นไม้ที่ดูโบราณๆ เฟิร์นก้านม้วนๆแบบในการ์ตูนโดเรมอนช่วงหลงไปยุคไดโนเสาร์ด้วยไง กร๊ากกก


ก่อนจะเดินออกโดม จะมีเจ้าหน้าที่ถามว่าต้องการกลับเข้ามาที่นี่อีกมั้ย(ภายในวันเดียวกันนะ)
ถ้าจะกลับมาอีก เค้าจะสแตมป์ตรายางให้ที่แขน จะได้กลับเข้ามาได้โดยไม่ต้องแสดงตั๋วค่ะ

มาต่อที่ Flower Dome เข้ามาแล้วรู้สึกโปร่งโล่ง สว่างกว่าโดมก่อน


เหมือนจะรู้ว่าคนมาเที่ยวเริ่มเมื่อย โดมนี้มีที่ให้นั่งพักขาเยอะเลยค่ะ 


ตรงกลางโดม เหมือนเป็นไฮไลท์ มีดอกไม้สีสวยจัดแสดงอยู่ 




มีจัดแสดงพวกกระบองเพชร และพืชทนแล้ง อยู่ด้วยนะ
เห็นแล้วนึกถึงแม่ขึ้นมาทันที ถ้าแม่เรามาเที่ยวที่นี่คงอยู่ได้เป็นวันแน่นอน 


ภาพสุดท้าย ก่อนจะต้องอำลาจากโดมที่เย็นสบายทั้งสองนี้ไป 


ขากลับแวะไปดู Supertree ตั้งอยู่ใกล้ๆกับโดมแหละ แต่เราเดินหลงอ้อมไปซะไกลเลย


หลังจากใช้พลังงานข้าวมันไก่จนหมด เลยเดินเข้ามาหาอะไรลงท้องกันซักหน่อย ที่ The Shoppes at Marina Bay Sands
ห้างสวยมากเลยค่ะ ความรู้สึกเหมือนเดินเมกะบางนา ผสมเวเนเชี่ยนมาเก๊า


มีเรือกอนโดล่าคนพายหน้าตี๋ให้บริการด้วยค่ะ 


อาหารเย็นของเราวันนี้ คือ... เสี่ยวหลงเปาจากร้าน Din Tai Fung
คือดีงาม ประทับใจมื้อนี้ที่สุดในทริปนี้


เสี่ยวหลงเปาเนื้อหมู+ปู อร่อยมากกกกก เราทานแบบกัดก้นถุงออกก่อนนิดนึงแล้วดูดน้ำซุปข้างในก่อน แล้วกัดทานตัวเสี่ยวหลงเปาทีหลัง
ซุปที่อยู่ด้านใน หวานหอม ทานแล้วเคลิ้มเลยยย ส่วนเนื้อกับแป้งก็กลมกล่อมเข้ากัน รักเมนูนี้อ่ะ


อีกอย่างที่ชอบมากเช่นกันคือ ข้าวผัดไข่โปะหน้าด้วยหมูทอดพอร์กชอป
ดูเป็นอาหารธรรมดา แต่มันอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ 
อีกสองอย่างก็อร่อยค่ะ เกี๊ยวทอดกรอบ และเสี่ยวหลงเปาหมู+กุ้ง ห่อแบบเกี๊ยวซ่าเลย น้ำซุปด้านในมีน้อยกว่า

ได้เข้าคาสิโนมาด้วยนะ ข้างในสวยแบบแปลกๆ แต่งแบบล้ำอนาคต รู้สึกเหมือนอยู่ในโพรงมดลูกยังไงไม่รู้ ฮ่าๆ เสียดายเค้าไม่ให้ถ่ายรูป

ออกมานั่งชิวยามเย็น แสงทไวไลท์สวยจัง


ถ่ายรูปเล่นเรื่อยๆ รอดูโชว์  Wonder Full ทางฝั่งมารีน่าเบย์แซนส์บ้าง




ไม่ได้ถ่ายรูปตอนโชว์เลยค่ะ เพราะมัวแต่ดูเพลิน อยากที่บอกตั้งแต่บลอกก่อนว่าฝั่งนี้จัดเต็มกว่าฝั่งเมอร์ไลอ้อนเยอะ
มีทั้งน้ำ ทั้งไฟ ทั้งฟองสบู่ แสง สี เสียง มาเต็มค่ะ ดูจบมีแต่คนปรบมือให้กันเกรียว

แม้จะเดินมาเยอะมากในวันนี้ แต่เรายังไม่กลับโรงแรมง่ายๆ
ต้องแวะไปเจิม Helix Bridge ก่อน สะพานนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสายเกลียว DNA


ตอนแรกก็งง ว่าไอ้ตัวอักษรตามพื้นนี้คืออะไร นึกไปนึกมา อ่อคู่เบสแพร์โครงสร้างของ DNA นั่นเอง  ลึกซึ้งๆ


บลอกของวันนี้ยาวเชียว มีแต่เรื่องอยากเล่าทั้งนั้นนิ..




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2558    
Last Update : 7 มิถุนายน 2558 15:37:00 น.
Counter : 2108 Pageviews.  

วันที่ 1 บินตรงจากเชียงใหม่ไปสิงคโปร์

ด้วยโปรของสายการบินไทเกอร์แอร์.. ทำให้ทริปนี้เกิดขึ้น
ราคาไปกลับเชียงใหม่-สิงคโปร์ ราคาประมาณ 4000 บาทต่อคน 
มีเที่ยวบินตรงจากเชียงใหม่ ไม่ต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพให้เหนื่อย ก็เลยกดซื้อมาอย่างไม่ลังเล

เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าอาคารฝั่งระหว่างประเทศของสนามบินเชียงใหม่
ดูดีกว่าฝั่งในประเทศมากกกก... 


สังเกตว่า แถวหน้าเกทมีเครื่องอำนวยความสะดวกให้ลูกค้ารายใหญ่ของสนามบิน คือ ถังน้ำร้อนขนาดใหญ่หลายจุด ฮ่าๆๆ
พอเดาออกว่าก่อนติดตั้ง ร้านค้าในนี้คงถูกนักท่องเที่ยวจีนถามว่ามีน้ำร้อนให้ต้มบะหมี่มั้ย อยู่บ่อยๆเป็นแน่แท้

ใช้เวลา 3 ชั่วโมงจากเชียงใหม่ เราก็มาถึงยังสนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ ตอนหนึ่งทุ่ม จบบลอกวันแรกค่ะ..


เอ้ย...
ไม่ใช่ละ..


เวลานี้ยังเยาว์สำหรับประเทศนี้ แถมที่พักเรายังอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืนอย่างคลากคีย์ซะด้วยสิ
คืนนี้ยังอีกยาวไกล อิอิ

ทริปนี้เราพักที่โรงแรม Swissotel Merchant Court ทั้งสามคืนเลยค่ะ
โรงแรมอยู่แทบจะติดกับ MRT Clarke Quay เหมือนจะสะดวกนะ แต่.. รถไฟฟ้าสายสีม่วงมันไม่ค่อยวิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวที่เราจะไปซักเท่าไหร่
จะไปไหนมาไหนก็ต้องเปลี่ยนสายรถไฟตลอดตลอด อย่างจากสนามบินมานี้ต้องเปลี่ยนขบวนรถ 3 รอบแน่ะ

มาดูห้องพักกันนะ สำหรับสามคน เตียงเสริมกางติดทีวีเลย


ห้องน้ำ


เหมาะสำหรับคนอยากไปแฮงค์เอาท์ย่านคลากคีย์มากถึงมากที่สุด เพราะแค่เดินออกจากโรงแรมเดินข้ามสะพานไม่ถึง 50 เมตรก็ถึงแล้ว
แต่เจ้าของบลอกเป็นคนคลีนๆอ่ะค่ะ ก็เลยไม่ได้ไปดื่มเหล้าเมาเบียร์ทางฝั่งนั้นแต่อย่างใด (ราคาแพงเกิ๊นนน ข้าเจ้ารับบ่ด้ายยย)

หลังจากจัดการเรื่องห้องพักเสร็จ ก็เริ่มออกเดินสำรวจกัน
วันที่ไปตรงกับวันเสาร์ แถวหน้าห้างเซ็นทรัลคลากคีย์คึกคักมาก เหมือนมีงานอะไรซักอย่าง คนเยอะ มีโชว์ตามทางเป็นระยะ
พยายามไม่แวะนานค่ะ เพราะเป้าหมายเรายิ่งใหญ่กว่านั้น


ที่นี่... เห็นมั้ย คนมีเป้าหมายเดียวกันยืนรอกันเพียบ


นั่นคือการมาหาของกินค่ะ ขนาดมาตอนสามทุ่ม (ร้านเค้าปิดสี่ทุ่ม) คนยังต่อคิวยาวได้อีก
Song Fa Bak Kut Teh


ในร้านคนก็ยังมากมาย เต็มทุกโต๊ะ คาดได้ว่า น่าจะอร่อยจริงๆ


เห็นคนเยอะแบบนี้ คนที่(พลาด)เข้ามาอ่านบลอกนี้อย่าเพิ่งท้อใจไปนะคะ รอไม่นาน ประมาณสิบนาทีก็จะถูกเชิญให้ไปนั่งประจำโต๊ะเก๋ๆแล้วค่ะ
อาหารก็ได้เร็ว ไม่เกิน 5 นาที เพราะเค้าจะให้เราสั่งล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงยืนต่อคิวแล้ว เมนูมีรูปภาพสวยงาม สั่งง่าย

โต๊ะนี้สวยงามเมื่อมีเธออยู่... มาแล้วค่ะ ของที่สั่งไป อะไรที่เค้าว่าดีว่าเด็ดก็จัดมาค่ะ


มีบักกุ๊ดเต๋ หรือซี่โครงหมูตุ๋นยาจีน ที่น้ำซุปเด็ดมาก ทานแล้วสดชื่น มีกลิ่นพริกไทยหอมเด่นมาเลย แถมซดซุปหมดถ้วยขอเติมได้อีกเรื่อยๆค่ะ
ส่วนตัวซี่โครงหมูชิ้นโต เนื้อนุ่มดีค่ะ แต่ไม่เปื่อยอย่างที่นึกไว้ตอนแรก
ผัก..ราดน้ำมันหอย จานนี้รสชาติทั่วๆไป ถ้าคนชอบกินผักน่าจะชอบ เพราะผักหวานสดดีค่ะ 
คากิพะโล้ จานนี้คือรสชาติไท้ยยยไทย เหมือนเป๊ะกับร้านหมูพะโล้แถวบ้าน 

พลาด.. premium ribs ตั้งใจจะสั่งมากิน เห็นว่าเนื้อหมูจะนุ่มเปื่อยเป็นพิเศษ แต่อดค่ะ เพราะของหมดไปแล้ว 

อิ่มแล้วก็มีแรงเดินต่อ จุดหมายต่อไปคือ เมอร์ไลอ้อน
ระหว่างทาง สะอาดสะอ้าน เดินแบบสบายใจ ไม่ต้องกลัวใครมาขอเงิน หรือต้องระวังโจรฉกชิงวิ่งราว 




ในที่สุดก็เดินมาจนถึงเมอร์ไลอ้อนจนได้ 


ดึกแล้วแต่นักท่องเที่ยวยังขวักไขว่


ถ้าใครมาสิงคโปร์แล้วมาไม่ถึงเมอร์ไลอ้อน ถือว่า...ผิด (ยืมโควทมาจากครัวคุณต๋อย)

มองออกไปด้านทะเล เมื่อหลายปีก่อนที่เรามาเที่ยวที่นี่ครั้งแรก ตรงนั้นยังเห็นทะเลด้านนอก ยังเห็นเสา แท่งเหล็ก เครนก่อสร้างบางอย่างอยู่
วันนี้ กลายมาพื้นดินซะละ แถมยังมีอาคาร สิ่งก่อสร้างรูปร่างแปลกตา อยู่ตรงนั้นอีกตะหาก
เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของเกาะไปแล้ว 


ประเทศที่พัฒนาแล้ว มันก็พัฒนาแล้วจริงๆเล้ย ..อุ้ยยย..

มานั่งพักขารอดูการแสดง  Wonder Full รอบห้าทุ่มอยู่แถวๆเมอร์ไลอ้อนนี่แหละ


มีโอกาสได้ดูการแสดง แสง สี เสียงจากทั้ง 2 ฝั่งของปากแม่น้ำสิงคโปร์ (ฝั่งมารีน่าเบย์-ฝั่งเมอร์ไลอ้อน)
ขอแนะนำว่าหากใครมีเวลาน้อย เลือกดูได้แค่ครั้งเดียว ไปดูที่ฝั่ง MBS สวยกว่าเยอะ มีลูกเล่นเยอะกว่า 

สำหรับฝั่งนี้ก็จะได้ยินเสียงเพลงเบาๆ กะเห็นแสงเลเซอร์ที่ยิงออกจากตึก MBS สวยๆ แต่ไม่รู้สตอรี่ของโชว์


ดูจบเดินกลับโรงแรม ชมบรรยากาศเที่ยงคืนของสิงคโปร์กันต่ออีกหน่อย




กลับถึงห้องก็หลับเป็นตาย (นี่แค่วันแรกนะ...)

คราวนี้จบบลอกของวันนี้จริงๆแล้วค่ะ 




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2558    
Last Update : 5 มิถุนายน 2558 21:31:32 น.
Counter : 2511 Pageviews.  


khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.