รีวิวที่พักจากทริปเที่ยวคันไซ 6 คืนกับ 3 โรงแรม


เปลี่ยนที่นอนไปเรื่อยๆตามเมืองที่ไปเที่ยว ได้ไปพักที่เกียวโต 3 คืน อะราชิยามะ 1 คืน และโอซาก้า 2 คืนค่ะ
บางคนเลือกที่จะนอนที่เดียว ก็ดีตรงที่ไม่ต้องย้ายกระเป๋าบ่อยๆ
แต่ถ้าพักหลายๆที่แบบที่เราทำ ก็ดีตรงที่ได้ไปสัมผัสบรรยากาศของแต่ละเมืองที่ไปเที่ยวมากขึ้นอีกหน่อย
ได้ใช้เวลาตอนเช้าๆ ตอนดึกๆกับเมืองที่ไป โดยไม่ต้องรีบร้อนมาก อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะชอบแนวไหนมากกว่ากันนะคะ


เริ่มจากโรงแรมแรกที่ไปพักกันนะคะ
เกียวโต: Hotel Mystays Kyoto-Shijo นอนที่นี่ไป 3 คืนค่ะ
โรงแรมดูดี สะอาด ใจกลางเมือง ห้องกว้างพอสมควร ที่สำคัญราคาไม่แพงเลย
จองผ่านเวบโรงแรมโดยตรง //www.mystays.jp/e/index.php
เราจองล่วงหน้า 6 เดือน ราคาห้องแต่ละคืนไม่เท่ากัน แถมจองห้องไป 3 แบบ ราคาเฉลี่ย คือ 2500 เยนต่อคนต่อคืนค่ะ

โรงแรมตั้งอยู่บนถนน Shijo ซึ่งเป็นถนนสายหลักเส้นหนึ่งของเมือง
ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสถานีรถไฟ Karasuma กับ Omiya สาย Hankyu Kyoto
ด้านหน้าโรงแรมค่ะ ถ่ายติดคนปั่นจักรยานด้วย ชอบเกียวโตตรงที่คนปั่นจักรยานเยอะมาก แต่งตัวใส่รองเท้าส้นสูงปรี๊ดขนาดไหนก็ปั่นจักรยานอ่ะ


ชั้นล่างมีแต่ร้านอาหารของโรงแรม กับลิฟท์ค่ะ


ส่วนลอบบี้โรงแรมอยู่ชั้น 2 ตรงนี้มี free wifi ให้เล่นด้วย ในห้องมีอินเตอร์เนตแบบต้องเชื่อมสายแลนให้ค่ะ




ห้องแบบ Universal Twin Room ห้องนี้ให้แฟนกับแม่แฟนนอนค่ะ


เป็นห้องที่ออกแบบไว้บริการสำหรับแขกที่ต้องใช้รถเข็น ห้องนี้เลยอยู่ที่ชั้นสอง ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางทั้งหลาย
ห้องจะกว้างกว่าปกติ พื้นห้องก็เรียบเท่ากันหมด ห้องน้ำกว้างกว่าห้องแบบอื่นมากค่ะ


ห้องอาบน้ำกับห้องส้วมอยู่แยกกันคนละห้องเลย




อยู่ใกล้ๆกับ ตู้กดน้ำ ซึ่งโรงแรมมีบริการกาแฟ ชาเขียว ฟรีค่ะ


ต่อมาเป็นห้องแบบ Triple Room ห้องนี้สำหรับ พ่อแม่และเราในคืนแรก (น้องสาวเราตามมาทีหลังค่ะ)


ห้องน้ำก็ไม่ได้แคบมาก


และห้องแบบสุดท้าย คือ Double Room




เราว่าโรงแรมนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการมาพักที่เกียวโต ราคาไม่แพง สะอาด ใหม่ไม่โทรม เดินทางสะดวกมาก รถเมล์ผ่านหน้าโรงแรมเป็นสิบสายค่ะ
แต่ถ้าจะไปรถไฟก็เดินไกลหน่อยนึง 300-400 เมตร ข้าวของในห้องก็ครบตามมาตรฐานบิสซิเนสโฮเทลในญี่ปุ่นเลยค่ะ เวิร์คมาก
อาจจะต้องจองก่อนล่วงหน้านานๆ เพื่อราคาถูกค่ะ เราลองกดไปจองใกล้ๆค่าห้องขึ้นไปเกือบหมื่นเยนแหนะ

โรงแรมที่ 2 อะราชิยามะ: Kyoto Arashiyama Onsen Kadensho 1 คืน (ก็หมดตัวแล่ววว)
จองจาก 2 แหล่ง งงมั้ยล่ะ Rakuten 1 ห้อง Japanican 1 ห้อง โรงแรมหาง่ายมากๆอยู่หน้าสถานีรถไฟ Hankyu Arashiyama เลยจ้า


ซุ้มประตูทางเข้าเล็กๆ




พอเข้าโรงแรม ทุกคนต้องถอดรองเท้าเก็บไว้ในลอกเกอร์ส่วนตัว เพราะพื้นในโรงแรมปูด้วยเสื่อตาตามิทั้งหมด คนไทยอย่างเราคุ้นเคยอยู่แล้ว สบายมาก

มาดูห้องพักกันค่ะ...
ห้องสำหรับ 4 คน Semi Western Style Room (Wayou) จองผ่าน Rakuten เพราะราคาต่อหัวถูกกว่าห้องแบบ Twin และเวบอื่นไม่มีห้องแบบนี้ให้จองค่ะ
ได้ราคา 62000 เยนต่อคืน หรือ 15500 เยนต่อคน รวมอาหารเย็นและเช้าแล้ว
เข้าห้องไปเจอโถงกลางเล็กๆ


พอเลื่อนเปิดประตูไปเจอกับห้องแรก กรี๊ดค่ะ ไม่เคยนอนห้องญี่ปุ่นดีๆแบบนี้มาก่อน


พอจะนอนก็เอาที่นอนที่เก็บไว้ในตู้ออกมาปู (ต้องปูเองนะ ไม่มีคนมาทำให้) จากห้องนั่งเล่นก็กลายเป็นห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่น


มุมมินิบาร์ ถุงขนมกระดาษนั้นไม่เกี่ยวนะ ซื้อมาทานเอง


มีชุดชาเล็กๆซ่อนอยู่ในกล่องไม้


ห้องนี้เป็นห้องนอนสไตล์ตะวันตก ให้พ่อกับแม่นอนค่ะ อ่อในห้องมีช่องสำหรับเสียบสายแลนเชื่อมอินเตอร์เนตได้ค่ะ


มาดูห้องน้ำกันบ้าง มี 2 ห้องแยกกันเลย นี่คือ ห้องแรก เป็นส่วนแต่งตัวกับอ่างอาบน้ำ


อยากอยู่ที่นี่ซัก 3 คืน แต่ปัจจัยไม่พอ T__T


อ่างอาบน้ำที่สวยดี แต่เราไม่ได้ใช้เลยอ่ะ


ส่วนห้องส้วม อยู่แยกมาอีกห้องเลย ชักโครกแบบฉลาด มีอ่างล้างมือแยกไว้สำหรับห้องนี้อีกเช่นกัน




ถัดมาเป็นห้องของแฟนเป็นแบบ Twin Room จองจาก Japanican ราคา 34000 เยน หรือ 17000 เยนต่อคนต่อคืน ราคาต่อหัวแพงกว่าห้องของเรานะ
ที่จองจากเวบนี้เพราะ ใน room type แบบนี้ ที่เวบ Japanican ราคาถูกสุดค่ะ
มีมุมนั่งเล่นเล็กๆอยู่ด้านหน้า


ที่นอนค่ะ


ส่วนของห้องน้ำก็แยกเป็น 2 ห้องเหมือนกัน แต่ไม่มีอ่างอาบน้ำเป็นบลอกฝักบัวแทน




แผนที่ชั้น 1 ของโรงแรมค่ะ เดี๋ยวจะพาไปแช่ออนเซนกันค่ะ


จองมาพักที่นี้ ก็เพื่อสิ่งนี้ ออนเซนแบบส่วนตัว


ออนเซนที่นี้ไม่ได้เป็นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมนะ จะเป็นออนเซนที่มีธีมแตกต่างไปในแต่ละห้องมากกว่า มี 5 ห้องให้เลือกลงแช่
เวลาจะลงก็มานั่งรอที่ห้องนี้ รอดูที่ป้ายไฟ ถ้าไฟห้องไหนดับแปลว่าห้องว่าง ก็เดินเข้าไปแช่ได้เลย


ป้ายไฟที่ว่า..แบบซูมใกล้ๆ


แต่ถ้าอยากแช่ออนเซนแบบไม่ต้องต่อคิว ก็มีออนเซนแบบบ่อรวมแยกชายหญิงให้ลงแช่ แต่เราไปได้ไปอ่ะค่ะ ยังไม่กล้าพอ
แช่ออนเซนเสร็จก็มีไอติมให้ทานฟรีด้วยค่ะ


สำหรับคนอยากปั่นจักรยานเที่ยวอะราชิยามะ ที่หน้าโรงแรมมีร้านเช่าจักรยานให้ปั่นด้วย


สรุปที่นี่ คือ ดูดีน่าอยู่สมราคาของเค้าแหละค่ะ ถ้าอยากหาโรงแรมกึ่งๆเรียวกังแบบไม่ต้องญี่ปุ่นมาก มีความเป็นสากลปนอยู่นิดๆ มาพักตากอากาศเก๋ๆ
มาที่ Arashiyama Kadensho ก็เวิร์คอยู่นะ

มาถึงโรงแรมสุดท้ายที่มีโอกาสไปพักในทริปนี้ค่ะ
โอซาก้า: Nest Hotel Shinsaibashi (เดิมคือ Chisun Hotel Shinsaibashi) 2 คืน
จองผ่าน Japanican ห้องแบบ Twin Room ราคา 3700 เยนต่อคนต่อคืนค่ะ
ที่เลือกเพราะทำเลอย่างเดียวเลย อยู่ใกล้รถไฟใต้ดินสถานี Nagahoribashi มาก สภาพโรงแรมเก่า ตามทางเดินก็เหม็นบุหรี่ค่ะ แต่ในห้องไม่เหม็น
แล้วก็ราคาไม่แพงถ้าเทียบกับ Best Western ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ราคาเท่ากันถ้าเป็นที่ BW จะได้นอนห้อง Semi-double เอง
ที่ลอบบี้มี free wifi ส่วนในห้องไม่มีอินเตอร์เนตค่ะ

ห้องนอนค่ะ


ดูจากสภาพห้องเราว่าเฟอร์นิเจอร์ใช้มาไม่ต่ำกว่า 10 ปี


ห้องน้ำเป็นแบบบลอกแคปซูล อ่อ ชักโครกที่นี่เป็นระบบที่เพิ่งเคยเห็น
คือ ถ้าอยากให้ที่ฉีดก้นเป็นน้ำร้อนต้องกดปุ่มสี่ดำค้างไว้จนกว่าปุ่มจะกลายเป็นสีแดงแล้วค่อยกดเปิดให้น้ำไหลค่ะ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา


ที่นี่มีดีที่ทำเล อยู่ห่างจากสถานี Shinsaibashi แค่สถานีเดียว เดินไปชอปปิ้งแถวนั้นได้สบาย มีทางเดินเชื่อมอยู่ใต้ดินด้วยไม่ต้องกลัวฝนตกกันเลย
แต่สภาพเก่าทรุดโทรม สะอาดพอใช้ ทางเดินเหม็นบุหรี่

จากที่ได้ไปนอนมา 3 เมือง เราชอบบรรยากาศของเกียวโต ถ้าได้มาเที่ยวคันไซอีกคงเลือกพักในเกียวโต
เราว่าเมืองเค้าที่เที่ยวเยอะ สงบเรียบร้อย สะอาด ผู้คนคือดูดีอ่ะ
ต่างจากโอซาก้า ที่ดูสกปรกกว่ามาก คนก็เยอะ แน่นไปหมดทุกที แถมยังดูแซ่บสก๊อยมาเลย
หรืออาจจะขึ้นกับแหล่งที่เราอยู่ด้วยมั้ง เป็นโซนแสงสีก็เลยมีเด็กเที่ยวคนเมาเยอะ

เอามานำเสนอทีเดียว 3 โรงแรมเลย เผื่อจะเป็นการเพิ่มทางเลือกสำหรับคนที่วางแผนจะไปเที่ยวในแถบคันไซในอนาคตนะคะ
รีวิวจบซะทีนะ.. เย้....






 

Create Date : 06 มิถุนายน 2557    
Last Update : 10 มิถุนายน 2557 12:29:32 น.
Counter : 6779 Pageviews.  

Day 6 วันสุดท้าย เที่ยวสบายๆในโอซาก้า

ความตั้งใจแรก ตอนนั่งวางแผนโปรแกรมเที่ยววันสุดท้ายที่เมืองไทย คือ วันนี้จะซื้อ Osaka Unlimited Pass เพื่อเที่ยวในโอซาก้าให้ได้เยอะๆ
แต่เริ่มคิดได้ว่าการซื้อ OUP เที่ยวโอซาก้าวันสุดท้ายนี่มันจะไม่เวิร์คแน่ๆหลังจากที่มาเที่ยวได้ 3-4 วัน เพราะว่าเริ่มล้าจากการเดินเยอะสะสม
ก็เลยยกเลิกแผน OUP ไป เปลี่ยนมาเป็นซื้อตั๋วไปเป็นเที่ยวๆ ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแผนที่ถูกต้องมากกกก

วันนี้เราเที่ยวกันแบบโล่งๆ ไปเที่ยวแค่ไม่กี่ที่ เอาแค่ว่ากว่าจะออกจากโรงแรมก็ปาเข้าไปสิบโมงครึ่งแล้วค่ะ

สถานที่แรกที่ไป ก็คือ... Yoshinoya
ร้านนี้อยู่แถวๆโรงแรม สาขานี้ค่อนข้างใหญ่โต ปกติร้านเชนนี้จะเป็นที่นั่งแบบเคาเตอร์บาร์ แต่สาขานี้มีเก้าอี้ให้นั่งด้วย


อาหารที่สั่งมาค่ะ


ทานเสร็จแล้วถึงค่อยไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ ระบบคล้ายกินที่เมืองไทยค่ะ นั่งโต๊ะ-สั่งอาหาร-กิน-จ่ายตัง
แต่ทุกทีร้านประเภทนี้มักจะให้กดอาหารจ่ายตังที่ตู้กดก่อนแล้วค่อยมาให้พนักงานทำอาหารให้ทีหลังนะ


อิ่มแล้ว.. ก็ไปเที่ยวกันค่ะ ถ้าให้นึกถึงสัญลักษณ์อันดับแรกของเมืองโอซาก้า เราก็นึกถึงที่นี้แหละ ปราสาทโอซาก้า
เดินทางจากโรงแรมที่สถานี Nagahoribashi ด้วยรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Tanimachiyonchome
ใช้บัตร ICOCA แปะเอาค่ะ ตัดเงินเป็นเที่ยวแบบธรรมดา
เดินจากสถานีมาซัก 10 นาที ก็จะเริ่มเห็นปราสาทโอซาก้าอยู่ลิบๆ


บ้านเราก็แวะถ่ายรูปกันเรื่อยเปื่อย กว่าจะถึงตัวปราสาทด้านในใช้เวลาเป็นชั่วโมง
เราว่าถ้าไม่แวะข้างทางเลย เดินอย่างเดียว จากสถานีรถไฟมาถึงลานหน้าปราสาทน่าจะใช้เวลาซัก 20-30 นาที
ดังนั้นใครวางแผนมาเที่ยวคงต้องเผื่อเวลาด้วยนะ แค่เดินไปเดินกลับก็ 1 ชั่วโมงแล้ว


Map of Osaka Castle Park


ประตูแรกที่ต้องผ่านเข้าไปสู่อาณาเขตของปราสาทโอซาก้า Otemon Gate อยู่ทางทิศใต้ เข้าสู่ชั้นแรกของปราสาท


เข้าประตู Sakuramon ที่อยู่ทางทิศตะวันออก เข้ามาชั้นถัดมา


เข้ามาเจอหินยักษ์ก้อนนี้ขวางอยู่ ก้อนนี้เค้าเขียนบอกว่าเป็นก้อนใหญ่สุดที่เอามาสร้างเป็นกำแพงปราสาท


เข้ามาจนถึงหน้าลานปราสาท มีรถขายอาหารขายจำพวกของทานเล่น


ก็เลยซื้อทาโกะยากิมาชิมซะหน่อย งั้นๆมาก ถ้าไม่หิวก็ไม่ต้องซื้อทานก็ได้นะ


แฮ่.... มาถึงซักที เห็นตั้งตระหง่านสวยงามแบบนี้ เคยทั้งถูกเผาในสงครามและถูกฟ้าผ่ามาแล้วนะคะ
ปัจจุบัน ถือเป็นปราสาทโอซาก้า เวอร์ชั่นที่ 3 เพิ่งได้รับการบูรณะให้สวยงามเมื่อปี 1931 ด้วยเงินบริจาคจากชาวเมืองโอซาก้านี่แหละค่ะ


นี่คือ เครื่องซื้อตั๋วเข้าชม ซื้อได้ทีนึงสูงสุดถึงครั้งละ 6 ใบ ค่าเข้าคนละ 600 เยนค่ะ




เจอคุณลุง 2 คน เดินขึ้นปราสาทมาพร้อมๆกัน เวลาคุยก็หันมาเหมือนจะชวนเราเข้าวงสนทนาด้วย เหมือนจะคุยกันรู้เรื่องเลยเนอะ


ภายในปราสาทจะเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติความเป็นมา ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในปราสาท จัดแสดงอยู่ชั้น 2-7
ส่วนชั้น 8 จะเป็นจุดชมวิวมุมสูง ซึ่งติดตาข่ายไว้แล้ว ตามภาพ..
นึกสงสัยว่าเค้าพึ่งติด หรือมีมานานแล้ว เห็นรีวิวที่ผ่านมาไม่เห็นมีใครถ่ายติดตาข่ายแบบเราซักคน หรือคนอื่นใช้มุมกล้องแทรกตาข่ายไปถ่ายมากัน??


จากชั้น 1 แนะนำให้ขึ้นลิฟต์มาที่ชั้น 5 แล้วค่อยไต่บันไดขึ้นไปชั้น 8 ก่อน จากนั้นก็ลงบันไดดูพิพิธภัณฑ์ไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆ จะประหยัดแรงได้มากกว่า
กรณีมากับคนสูงอายุ (เช่นพ่อกับแม่เราเป็นต้น) เจ้าหน้าที่จะมีลิฟท์สำหรับผู้สูงอายุให้ขึ้นไปได้ถึงชั้น 8 เลยค่ะ (คนทั่วไปขึ้นลิฟท์ได้แค่ชั้น 5 นะ)

ส่วนของพิพิธภัณฑ์บางชั้นเค้าก็ห้ามถ่ายรูปนะ ขอสารภาพ.. เราง่วงมากตอนเดินดู (โชว์โง่ซะงั้น..)
หุ่นจิ๋วจำลองเหตุการณ์ตอนที่เกิดสงคราม Summer War of Osaka ในปี 1615 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ปราสาทถูกเผาทำลาย


ตัดกลับมาที่ยุคปัจจุบันของโอซาก้ากันดีกว่า นั่งรถไฟจากปราสาทมาลงที่นัมบะ เดินมาไม่นานก็เข้าสู่ย่านร้านอาหารที่โดทงบุริ


แต่ละร้านหน้าตาคุ้นๆ เพราะเคยผ่านรีวิวในพันทิพมากันทั้งนั้น


เราเลือกร้านนี้จ้ะ Daruma Kushikatsu มีเครื่องหมายการค้าเป็นลุงหน้าโหดยืนต้อนรับอยู่หน้าร้าน
ร้านนี้มีหลายสาขา ดั้งเดิมเลยตั้งอยู่แถวหอคอยซึเทนคาคุในย่านชินเซไก
Kushikatsu เป็นอาหารที่ควรจะต้องจัดเมื่อมาถึงโอซาก้า จริงๆแล้วมันก็คืออาหารเสียบไม้แล้วนำไปชุบแป้งทอด มีซอสจิ้มเพิ่มรสชาติ


เข้าร้านไปจะได้กลิ่นน้ำมันทอดฟุ้งเต็มร้าน และแน่นอนติดตัวออกมาหลังจากทานเสร็จแล้วด้วย
ร้านนี้มีเมนูภาษาอังกฤษให้แต่บางอย่างก็ทับศัพท์เป็นภาษาญี่ปุ่น
หลังจากเลือกเซตอาหารเรียบร้อยแล้วพนักงานจะให้เลือกของทานเล่นซึ่งจะมาเสิร์ฟก่อนของทอดจะมา
มี 3 อย่างให้เลือก ถั่วแระ เนื้อตุ๋นกับบุก และกิมจิ เจอพนักงานบริการไม่ดีคนนึงด้วยตอนที่จะเลือกของทานเล่น
โดนทำหน้าเอือมกลอกตาขึ้นข้างบนและแบะปากใส่ตอนที่ถามว่า Edamame คืออะไร มันคือถั่วแระญี่ปุ่นนะคะทุ๊กกคนน
(พนง.ไม่ได้ตอบเราหรอกนะ ก็เลยลองสั่งมาเลย จะได้รู้ว่าคืออะไร)


หน้าตาอาหารที่มาเสิร์ฟก็ประมาณนี้ จะสั่งแยกมาเป็นไม้ๆก็ได้
มื้อนี้แพงสุดในทริป ที่ 8000 กว่าเยน


เหมือนจะเป็นการจบทริปแบบไม่น่าประทับใจซักเท่าไหร่
แต่วันเดินทางกลับมีเรื่องที่เราประทับใจมากๆ เกิดขึ้นที่สนามบินคันไซ


เรื่องก็มีอยู่ว่า วันเดินทางกลับก็เข้าไปเชคอินโหลดกระเป๋าที่เคาเตอร์คาเธ่ตามปกติ แล้วก็ต้องผ่าน Security check ของสนามบินก่อนผ่านตม.
แต่ว่า จนท.ไปตรวจเจอของต้องห้ามในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องของเราค่ะ คือ Snow Globe ที่ซื้อจากปราสาทโอซาก้า
เป็นความผิดเราเองลืมไปว่ามันมีของเหลวอยู่ นึกแต่ว่านี้คือกล่องของที่ระลึกก็เลยแยกออกมาถือเอง
ตอนนั้นทำใจว่าคงโดนยึดแน่ๆ เดี๋ยวค่อยไปหาซื้อใหม่ในดิวตี้ฟรีเอาก็แล้วกัน

แต่จนท.เอาบัตรพนักงานสวมคอให้ พาเราเดินย้อนกลับไปที่เคาเตอร์เชคอินใหม่ได้
แล้วสายการบินก็ใจดี หากล่องกระดาษมาใส่กล่องสโนว์โกลบของเราให้โหลดเข้าใต้เครื่องได้อีก
ต้องบอกว่า เหนือความคาดหมายของเราไปมากๆ และประทับใจมากๆเช่นกัน เราขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ช่วยเรา
แม้ว่าจะเป็นของราคาไม่กี่ร้อยเยน ทุกคนก็ยังพยายามที่จะช่วย ทั้งๆที่ด้วยหน้าที่แล้วไม่ต้องทำก็ได้

สุดท้าย ก็ได้กลับมาอยู่เมืองไทยด้วยกันนะ แบบไม่บุบสลายด้วย
ต้องบอกว่า เป็นสโนว์โกลบที่รู้สึก"พิเศษ"กว่าทุกๆโดมที่ผ่านมานะคะ  ^__^


บลอกหน้าเป็นตอนพิเศษ รีวิวที่พักในทริปนี้ค่ะ เปลี่ยนบรรยากาศ 3 โรงแรม 3 แบบกันเลยค่ะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านบลอกนะคะ




 

Create Date : 05 มิถุนายน 2557    
Last Update : 5 มิถุนายน 2557 14:33:16 น.
Counter : 3335 Pageviews.  

Day 5 ชุ่มฉ่ำในอะราชิยามะ (Tenryuji-Shinsaibashi)

เปลี่ยนบรรยากาศออกเที่ยวในวันฟ้าฉ่ำฝน อากาศขมุกขมัวกันบ้างนะคะ
พยากรณ์อากาศที่ญี่ปุ่นนี่แม่นจริงไรจริง อย่างวันนี้เค้าบอกว่ามีโอกาสฝนตก 90%ตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป
เราก็รออยู่นะว่าจะเป๊ะมั้ย ปรากฎว่าพอห้าทุ่มกว่าๆ กะลังแช่ออนเซนอยู่ด้านนอกอาคาร ฝนก็ตกลงมาจริงๆด้วย


มาเที่ยวคราวนี้เจอทั้งหิมะ แดดเปรี้ยง และเปียกฝน เรียกว่าเดาทางไม่ถูกกับอากาศช่วงนี้เลยค่ะ



ยืมร่มของโรงแรมฝ่าฝนออกมาเที่ยว พอฝนตกหนักๆอย่างวันนี้ อะราชิยามะก็แทบจะไม่มีนักท่องเที่ยวเลย
ความคึกคักต่างจากเมื่อวานลิบลับ


วันนี้โปรแกรมเที่ยวโล่งมาก กว่าจะเช็คเอ้าท์จากโรงแรมก็ปาเข้าไปสิบโมงกว่า ไปเที่ยวอยู่ที่เดียว คือ วัดเทนเรียวจิ (Tenryu-ji)


ก็คล้ายๆกับหลายๆวัดในเกียวโต ตอนแรกที่นี่ถูกสร้างเพื่อเป็นวิลล่าตากอากาศของเชื้อพระวงศ์
แล้วก็ถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นวัดในภายหลัง ด้วยเหตุผลที่โชกุน Ashikaga Takauji ต้องการอุทิศวัดนี้ให้จักรพรรดิ Go-Daiko ที่ล่วงลับไป

ตอนแรกว่าจะไม่ไปที่นี่แล้ว เพราะฝนตกหนักมาก แล้วที่วัดนี้เท่าที่ดูรีวิวมาก็ดูเฉยๆตัดไปก็ไม่น่าเสียดาย (คิดเอาเอง)
แต่ก็ฮึดขึ้นมาว่า เอาวะ... ไหนๆก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งไกล เดินอีกแค่กิโลเดียวก็ถึงแล้ว ฝ่าฝนไปละกัน ทั้งเปียกทั้งหนาว
ปรากฏว่า.. ที่นี่เป็นที่ที่เราประทับใจมากที่สุดในการมาเที่ยวครั้งนี้เลย


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝนตกหนักจนทั้งสวนดูเขียวชอุ่ม ดูมีชีวิตชีวามากๆ ตอนแรกเราเก็บกล้องเข้ากระเป๋าไปแล้วเพราะกลัวกล้องเปียก
แต่สุดท้ายชุ่มไปทั้งตัว ไม่กลัวฝนแล้วอ่ะ สวยจนลืมเปียกลืมหนาวไปเลย มารู้ตัวตอนออกวัด คือ หนาวจนปากม่วงไปแล้ว
แถมวันนั้นทั้งสวนของวัดแทบไม่มีคนเลย รู้สึกเหมือนได้ครองโลก ทั้งสวนเป็นของเรา ฮ่าๆๆ
มุมนี้ที่เห็นตามสื่อหรือรีวิวบ่อยๆ ดูแบบธรรมดามาก จุดนี้ยังเฉยๆ


พอเริ่มเดินเข้าไปภายในสวน ก็เริ่มเห็นความงาม น้ำใสไหลเย็นเห็นปลาคาร์ฟ


สวนนี้สร้างและออกแบบโดยพระ Muso Seseki ซึ่งก็ควบตำแหน่งเจ้าอาวาสคนแรกของวัดด้วย


ตอนเดิน จำได้ว่าฮัมเพลง Somewhere only we know ของ Keane ไปด้วย
คือมันใช่อ่ะ...


คำเตือน: เป็นความชื่นชอบส่วนบุคคลนะจ้ะ เกิดใครไปเที่ยวแล้วบอกไม่เห็นจะสวยเลย อันนั้นดิฉันไม่รับผิดชอบนะฮ้าาา
เดินมาจนถึงกลางสวน อาคาร Taho-den ภายในมีรูปจำลองของจักรพรรดิ Go-Daiko


ด้านหน้ามีต้นซากุระเพิ่งเริ่มบาน


มีศาลาให้นั่งพักตรงใกล้ทางออกของวัด ซึ่งเชื่อมต่อไปยังป่าไผ่ที่มาเดินเที่ยวกันเมื่อวาน


ถ้าฝนไม่ตกวันนั้น ไม่รู้ว่าจะประทับใจสวนของวัดเทนเรียวจิขนาดนี้รึปล่าวนะ
อย่างนี้ก็ถือว่าฟ้าฝนเป็นใจได้เหมือนกันแหละเนอะ ^___^


อำลาวัดเทนเรียวจิไปด้วยภาพนี้


เดินกลับโรงแรมไปเอากระเป๋าแบบหนาวๆ แวะทานอาหารเที่ยงที่ร้านระหว่างทาง ขอฮีตเตอร์ร้อนๆอย่างด่วน
แฮ่... ได้อาหารมาแล้ว


จานของเราข้าวหน้าหมูย่างทอปปิ้งด้วยไข่ดิบ อร่อยมากกก กินหมดถ้วยเลย สงสัยใช้พลังงานไปเยอะ


ของคนอื่นๆ เท่าที่ถ่ายมาได้ (ต้องรีบถ่าย ก่อนจะถูกจ้วง)




จากนั้นก็ออกเดินทางไปโอซาก้า เปลี่ยนสายรถไฟกันสนุกเลยกว่าจะถึงโรงแรม
พักที่โรงแรม Nest Hotel Shinsaibashi หรือ Chisun Hotel Shinsaibashi เดิมนั่นเอง คงซื้อกิจการต่อกันมานั่นแหละ
ชื่อบอกว่า Shinsaibashi แต่จริงๆตั้งอยู่สถานี Nagahoribashi (ห่างกันสถานีเดียว หยวนๆ)
สามารถเดินทางเชื่อมใต้ดินห้าง Crysta ไปโผล่ที่ Shinsaibashi ได้ ตลอดทางมีร้านอาหาร ร้านขายของ


ทานมื้อเย็น สไตล์โอซาก้า กับโอโคโนมิยากิ ร้าน Tsuruhashi Fugetsu
ไม่ได้ตั้งใจมาร้านนี้หรอก แต่ว่าเดินออกจากโรงแรมเดินลงมาใต้ดินแล้วเจอเลย
มีพนักงานมาทำให้ที่โต๊ะ แต่วิธีทำเค้ารุนแรงมากเลยนะ โขกสับกะหล่ำกระจุยกระจาย ไม่รู้ร้านยี่ห้ออื่นเค้าทำโหดแบบนี้กันรึปล่าว


ผสมวัตถุดิบเสร็จแล้ว ก็รอให้กะหล่ำยุบหน่อยนึง รอกินกันหน้าสลอน


ยากิโซบะอร่อย (อันตรงกลางที่มีไข่คลุม)


แต่โอโคโนมิยากิรสชาติธรรมดา อาจมีร้านอื่นอร่อยกว่านี้นะ


เดินกันมาเรื่อยๆ จนถึงสะพานข้ามคลอง Dotonburi แลนด์มาร์กระดับต้นๆของโอซาก้า คนเยอะสุดๆ


Glicoman.. รูปเดียวเที่ยวทั่วโอซาก้า ฉากหลังมีทั้งปราสาทโอซาก้า ไคยูกัง เคียวเซร่าโดม หอคอยซึเทนกากุ


บลอกหน้าพาเที่ยววันสุดท้ายกันในโอซาก้าค่ะ




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2557    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2557 23:20:23 น.
Counter : 1624 Pageviews.  

Day 4 อีกหนึ่งวันสุขสันต์ในเกียวโต (์Nijo-Kinkakuji-Arashiyama)

เป็นอีกหนึ่งวันที่ยังเที่ยวในเกียวโต และก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ใช้ Kyoto bus pass เป็นหลักในการเดินทางค่ะ
เริ่มโปรแกรมด้วยอาหารเช้าที่ร้าน Yayoiken อยู่เยื้องกับที่พัก
อารมณ์เหมือนทานร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีหลายสาขาในเมืองไทย
ต่างกันที่ตอนสั่งอาหารต้องไปกดเมนูจากตู้สั่งหน้าร้านแล้วเอาให้พนักงาน พอทำเสร็จเค้าจะมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะค่ะ
รสชาติธรรมดาๆ ไม่ต่างกับที่กินเมืองไทย แต่เครื่องเคียงเปลี่ยนจากกิมจิเป็นเต้าหู้ ผักดอง หรือนัตโตะแทน


จากนั้นก็เริ่มเที่ยว..
ปราสาทนิโจ ทางเข้าดูหนักแน่น จริงจัง ขึงขัง ประตูเข้าปราสาทชั้นนอกสุด Higashiote-mon


เข้ามาต่อสู่บริเวณปราสาทชั้นที่ 2 ผ่านอีกประตูนึง สวยงามกว่าประตูด้านนอก มีชื่อว่า Kara-mon


รู้สึกว่าที่นี่จะเจอนักเรียนมาทัศนศึกษาเยอะ สงสัยมาพร้อมกันทั้งชั้นเรียนแน่เลย


ปราสาทนิโจ สร้างขึ้นในสมัยโชกุน Ieyasu Tokugawa เป็นโชกุนที่มีความสำคัญมากคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
เพราะเป็นโชกุนคนแรกในยุคสมัย Tokugawa หรือที่เราจะคุ้นหูกันมากกว่าในยุคสมัยเอโดะ (Edo) นั่นเองงง
ถ้าใครเคยไปเที่ยวนิกโกะ แล้วได้ไปดูรูปสลักลิงน้อยปิดหูหิดตาปิดปากที่ศาลเจ้าโทโชคุ ที่นั่นก็สร้างเพื่อโชกุนท่านนี้เช่นเดียวกันค่ะ

บริเวณด้านหน้า Ninomaru palace ที่นี่เปรียบเสมือนออฟฟิศของท่านโชกุน ด้านในห้ามถ่ายรูป


มีความมหัศจรรย์อย่างนึง เวลาเดินเข้าไปด้านใน พื้นไม้จะส่งเสียงดังเหมือนเสียงนกร้องค่ะ ไม่ได้ดังแบบเอี๊ยดๆอ๊าดๆธรรมดานะจ้ะ
เดินออกมาต่อที่สวน Ninomaru อาจจะสวยสู้สวนญี่ปุ่นตามวัดทั้งหลายไม่ได้นะคะ


ข้ามคูน้ำชั้นในเพื่อเข้าสู่ส่วนในสุดของปราสาท


Honmaru palace


สามารถไต่ขึ้นไปบนกำแพงปราสาทเพื่อชมวิวมุมสูงได้นะ


ช่วงเดินกลับออกมาจะผ่าน Plum grove หรือสวนดอกบ๊วยซึ่งบานในช่วงนี้พอดี


มีคนมานั่งวาดรูปถ่ายรูปกันพอประมาณ สังเกตว่ามีแต่ผู้สูงอายุ


สถานที่ต่อไป...วัดทอง หรือวัด Kinkakuji
วัดนี้สร้างขึ้นในยุค Muromachi เก่าแก่กว่าสมัยเอโดะประมาณ 300 ปี
ในตอนแรกสร้างเพื่อเป็นบ้านพักของโชกุนท่านหนึ่ง แต่ต่อมาหลังจากโชกุนเสียชีวิตลงภายหลังถึงเปลี่ยนเป็นวัดเซน
โดยโชกุนท่านนี้เค้าว่ากันว่า เป็นโชกุนคนเดียวกับที่อยู่ในเรื่องอิคคิวซังเณรน้อยเจ้าปัญญา คนที่ชอบหาปริศนามาให้อิคคิวซังแก้ปัญหาอยู่เป็นประจำนั่นแหละค่ะ


จริงๆแล้วตัวตำหนักสีทองที่เห็นกันอยู่เนี่ย เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ไม่กี่สิบปีนี่เอง ส่วนอาคารเดิมนั้นถูกเผาไปเมื่อปี 1950
เดินสวนของวัดนี้แล้วไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจซักเท่าไหร่ แบบว่า...คนเยอะเกิ๊นนน
ทั้งๆที่สวนของวัดทองนี่ถือว่าเป็นสวนที่จัดวางภูมิทัศน์ให้เดินชมได้อย่างเพลิดเพลินอีกแห่งนึงในเกียวโต


เรียกว่านักท่องเที่ยวเดินกันจนฝุ่นตลบจริงๆค่ะ สำหรับที่นี่ แนะนำให้ไปตั้งแต่เก้าโมงตอนเปิด หรือไม่ก็ไปใกล้ๆเวลาปิด คนน่าจะซาลงกว่านี้

มุมสำหรับตกปลา (Fishing deck) สร้างยื่นออกไปในสระ Kyoko-chi เกาะเล็กๆที่เห็นใกล้ๆกันมีชื่อว่า Dekame-jima


สวนญี่ปุ่นที่นี่เป็นแบบ Strolling garden หรือสวนที่มีไว้เดินชมแลนด์สเคปจากมุมนู้นมุมนี้ ทางวัดก็จะจัดให้เราเดินวนขึ้นเขาลงห้วยจนมาถึงทางออก
เป็นวันเวย์นะคะ เดินมากะว่าเห็นตำหนักทองแล้วเดินกลับเลย เกรงว่าจะไม่ได้นะ

จากนั้นเราก็กลับมากันที่โรงแรมที่เกียวโตเก็บข้าวของที่ฝากไว้ที่ลอบบี้ เพื่อจะไปเชคอินโรงแรมใหม่กัน
ซึ่งโรงแรมที่เราจะไปนอนพักกันในคืนนี้ ถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริป คือเราอยากให้ทุกคนที่บ้านได้ลองประสบการณ์ออนเซนบ้างไรบ้าง
แต่คิดว่าถ้าไปออนเซนแบบห้องรวม แม่เราคงไม่มีวันยอมลงแน่ๆ ก็เลยตัดสินใจนอนโรงแรมที่มีออนเซนส่วนตัวซักคืนเพื่อจุดประสงค์นี้

ที่นอนใหม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลค่ะ Arashiyama Kadensho Hotel อยู่ที่อะราชิยามะ หาง่ายสุดๆอยู่หน้าสถานีรถไฟ Hankyu Arashiyama เลยจ้า
แต่ยังไม่รีบเข้าโรงแรมนะ ขอไปเที่ยวกันก่อน


ชิวมาก เดินผ่านสวนสาธารณะ ในอีกไม่กี่วันแถวนี้ก็จะมีซากุระบาน


แค่ได้มานั่งดูผู้คนก็เพลินแล้ว


บ่ายสองกว่าแล้ว แต่ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงกันเลย -_-"
เดินสุ่มๆเอาร้านที่คิวไม่ยาว และยังเปิดขายอยู่
(หาร้านอาหารช่วงบ่ายสองบ่ายสามค่อนข้างยากเพราะเป็นช่วงปิดร้านแล้วค่ะ ก่ำกึ่งระหว่างร้านขายอาหารกลางวันและอาหารเย็น)
เราได้ข้าวหน้าไข่มาทาน ไข่ล้วนๆราดไปบนข้าว รสกลางๆค่ะ ไม่ประทับใจเป็นพิเศษ
(วันท้ายๆอาหารธรรมดาขึ้นเรื่อยๆ ลิสต์ร้านอร่อยที่เตรียมมาเริ่มไม่ได้ใช้ --)


เดินไปเที่ยวป่าไผ่กันก่อนเลย
(ตอนแรกจะไปวัดเทนริวจิด้วย แต่ดูจากเวลาจะเที่ยวได้แค่แป๊บเดียวก็จะถึงเวลาปิดเลยยกยอดเป็นวันพรุ่งนี้ดีกว่า)


มีสาวแต่งตัวเป็นไมโกะหรือเกอิชาก็ไม่รู้ เดินนำหน้าช่วยสร้างบรรยากาศ นึกถึงหนังเรื่อง Memoirs of a Geisha ขึ้นมาเลย


ที่นี่ไม่มีข้อมูลอะไรในหัว หามุมถ่ายรูปอย่างเดียว มุมสวยแบบแปลกๆลึกลับๆเยอะเลยค่ะ




บรรยากาศอะราชิยามะยามเย็น วันนี้อากาศดีมาก อากาศแค่เย็นๆ




ได้เวลากลับไปพักผ่อนที่โรงแรมแล้ว เราจองห้อง twin ให้สำหรับสามีและแม่ของสามี ส่วนบ้านเรา 4 คนก็นอนห้องสำหรับสี่คนค่ะ
ตอนแรกนึกว่าห้องสี่คนจะดูธรรมดาๆกว่านี้ เพราะหารเฉลี่ยต่อคนแล้วถูกกว่าห้อง twin เปิดห้องพักแล้วถึงกับกรี๊ดเล็กๆ ห้องสวยมาก ไม่เคยได้นอนดีๆแบบนี้อ่ะ




ไว้จะมารีวิวที่พักเต็มๆแยกไปอีกบลอกเลยนะคะ (เพราะแค่นี้บลอกก็ยาวมากกกแล้ว)

ที่นี่มีบ่อออนเซนทั้งแบบห้องรวม หรือจะนั่งรอห้องส่วนตัวก็ได้ เปลี่ยนเป็นชุดที่โรงแรมเตรียมไว้ให้ เตรียมไปแช่ออนเซน


แบบบ่อส่วนตัวมีอยู่ 5 ห้อง อาจจะต้องนั่งรอห้องว่างกันซักพัก
ดูจากป้ายไฟนี้ ถ้าห้องไหนไฟสัญญาณดับก็เดินไปเข้าได้เลยค่ะ


ขนาดว่าเป็นบ่อให้ลงส่วนตัว เรายังต้องกล่อมแม่พักใหญ่กว่าจะยอมไปลง (ถ้าไม่ยอมลงจริงๆ เราคงแอบเสียดายตังเหมือนกัน จองตั้งแพง)
อาจจะไม่ใช่ออนเซนแบบจริงๆแบบของดั้งเดิมซักเท่าไหร่ แต่ก็ได้ประสบการณ์ที่ประทับใจกลับไปทุกคนนะ ^^

มาถึงอาหารเย็น มื้อนี้ทานกันที่โรงแรมค่ะ รวมกับค่าที่พักไปแล้ว
ต้องลงมาทานที่ห้องอาหารค่ะ ของกลุ่มเราได้ห้องส่วนตัว


อาหารมาเสิร์ฟหลายจานมาก ไม่ค่อยรู้ว่าจานไหนคืออะไรซักเท่าไหร่ เพราะพนักงานประจำห้องเราสื่อสารภาษาอังกฤษกันไม่ได้เลย
เห็นมาอย่างละนิดละหน่อย แต่ก็อิ่มนะ เราสงสัยเล็กๆว่าเค้าไม่มีข้าวให้มาทานด้วยเหรอ แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะเริ่มเหนื่อยกับการใบ้คำแล้ว แหะๆ


ปิดท้ายด้วยของหวาน


พอกลับขึ้นห้องทางโรงแรมโทรขึ้นมาบอกขอโทษที่พนักงานลืมเสิร์ฟข้าวให้กับโต๊ะเรา
เราว่า.. น้องพนักงานก็คงเหนื่อยกับการสื่อสารกับชาวต่างชาติกลุ่มนี้เหมือนกันแหละเนอะ




 

Create Date : 28 เมษายน 2557    
Last Update : 28 เมษายน 2557 17:08:36 น.
Counter : 1800 Pageviews.  

Day 3 มุ้งมิ้งในเกียวโต (Ginkakuji-Kiyomizudera-Higashiyama-Nishiki-Gion)

เคยมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วรอบนึง ตอนนั้นไปโตเกียวค่ะช่วงซากุระบานด้วย ก็ว่าตอนนั้นเมืองสวยน่ารักขั้นสุดแล้วนะ
แต่ตอนนี้ ขอมอบตำแหน่งเมืองน่ารักแห่งใหม่ ให้กับเกียวโตค่ะ (ปรบมือรัวๆ)
หลงรักเธอเข้าอย่างจังเลย เมืองบ้าอะไร ผู้คนแต่งตัวสวยหล่อขนาดไหนก็ปั่นรถจักรยานขึ้นลงเนินแบบชิวๆ ขยะเรี่ยราดก็ไม่เห็นมี
มีบ้านเรือนบรรยากาศเก่าๆ มีคนแต่งตัวด้วยชุดญี่ปุ่นเดินให้เพียบ มีสวนญี่ปุ่นสวยๆให้ชม มีแม่น้ำใสไหลผ่านกลางเมือง
ดูคุณภาพชีวิตดี๊ดีอ่ะ.. โม้มาซะเยอะเลย ไปเที่ยวกันดีกว่า

วันนี้เดินทางโดยใช้รถเมล์เป็นหลัก เลยซื้อ Kyoto bus pass 1 day ราคา 500 เยน มาใช้ ซื้อจากเคาเตอร์ต้อนรับของโรงแรมที่พักค่ะ
มื้อเช้าเปลี่ยนบรรยากาศมาทานอาหารง่ายๆแบบตะวันตกอย่างแซนวิช แพนเค้ก ทานคู่กับกาแฟ ชากันบ้างค่ะ
ร้าน Holly's cafe อยู่แถวๆโรงแรม แต่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ เพราะด้านในร้านอนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ด้วย เหม็นมาก

ข้อดีหากเราพักในเกียวโต คือ เวลาขึ้นรถเมล์ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวฮิตๆ ถ้าขึ้นจากหน้าสถานีเกียวโต คนจะแน่นมาก
แต่ถ้าขึ้นจากจุดอื่นสายอื่นที่ไม่ผ่านสถานีเกียวโต รถเมล์ก็จะโล่งๆแบบนี้แหละ


นั่งรถเมล์ชมเมืองมาเพลินๆ แป๊บๆก็มาถึงวัด Ginkakuji หรือวัดเงิน
ตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไรกับวัดนี้เลยค่ะ แต่พอมาเที่ยวแล้วคิดในใจว่า ถ้าไม่ได้มาที่นี่คงน่าเสียดายมากๆแน่
ทางเดินขึ้น จะผ่านต้นทางของถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher's path)


ทางขึ้นมีร้านขายขนมของฝากคอยดักเงินนักท่องเที่ยวตาดำๆตลอดสาย
สุดท้ายก็ไม่รอด แม่เราแวะซื้อขนมอะไรซักอย่าง เป็นแป้งเหนียวหนึบโรยด้วยผงชาเขียว


เข้ามาในเขตวัด Ginkakuji แค่ทางเข้าก็น่าสนใจแล้ว


จ่ายเงินปุ๊บ ผ่านประตูเข้ามาก็เจอต้นสนอายุเยอะกว่าคุณทวดของคุณทวดต้นนี้ต้อนรับอยู่


สวนสวยมากๆ ตำหนักเงิน ที่มาของชื่อวัด


ตอนเราไปถึงมีคนมาเที่ยวไม่เยอะเท่าไหร่ เดินชมสวนดูโน่นดูนี่ได้แบบสบายๆ


มีลานกรวดสวนหินอยู่หน้าตำหนัก


พื้นสวนปกคลุมด้วยมอสเขียวๆ บางจุดยังมีหิมะที่ยังไม่ละลายเหลืออยู่




อาจเป็นเพราะเราชอบเดินดูสวนดูต้นไม้สวยๆ กลับมาดูรูปอีกรอบใจก็ยังเต้นแรงอยู่เลย
ใครชอบแนวๆนี้ แนะนำให้ไปให้ได้นะ รับรองว่าถูกใจ ขนาดเราไปตอนแห้งๆยังสวยขนาดนี้


ขอมาเดินสำรวจเส้นทางนักปราชญ์ซักหน่อย ไม่ใช่ช่วงซากุระบานหรือใบไม้เปลี่ยนสี ทางเดินเลียบคลองแห่งนี้ก็ดูเงียบสงบดีนะ


เอ๊ะ...นี้บ้านโดราเอมอนเหรอ?


เจอแก๊งนี้เข้าไป แก๊งขุ่นพ่อขุ่นแม่เราดูวัยรุ่นไปเลย


ขึ้นรถเมล์ไปเที่ยวต่อที่วัดสุดฮิตของเกียวโตกันดีกว่า
คนเยอะได้อีกนะ สูตรเดิม ถนนดูดเงินก่อนเข้าวัด มาวัดทั้งที เงินของนอกกาย ตายไปก็ไม่ได้ใช้ใช้ซะตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่นี่แหละ กร๊ากก


เสียเงินกับของทานเล่น ต่างๆนานา
แวะทานขนมชูครีมและเค้กที่ร้านพ่อค้าสุดหล่อกันค่ะ


เดี่ยวจะหาว่าโม้..


เจอสาวๆแต่งกิโมโนกันตรึมเลย คา-วา-อี๊..


เอ๊ะ นี่ยังไม่ได้บอกเลยใช่มั้ยคะว่าเราจะไปที่ไหนกัน แต่เชื่อว่าหลายคนคงรู้แล้วแหละ
ที่นี่คือ วัด Kiyomizudera หรือวัดน้ำใสค่ะ


คนกำลังต่อคิวทานน้ำศักดิ์สิทธิ์มี 3 สาย เพื่อขอพรให้สมหวังใน 3 ด้าน การศึกษา ความรัก สุขภาพ แต่ถ้าทานครบทุกสายจะถือว่าเป็นคนโลภ เท่าที่เห็นมีแต่วัยรุ่นที่มาต่อแถว


เดินต่อมาที่ย่านเก่าแก่ที่ถูกอนุรักษ์เอาไว้ Higashiyama area


เป็นตรอกซอยเล็กๆ กินพื้นที่ระหว่าง เนินเขาที่ตั้งวัด Kiyomizudera ไปจนถึงศาลเจ้า Yasaka มีร้านค้าบรรยากาศเก่าๆ วัดหลายแห่ง เรียวกังในเกียวโตส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ค่ะ


มุมกุ๊กกิ๊ก หน้าร้านแมวมอง


มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้ง ถ้ามาตอนใบไม้เปลี่ยนสีหรือช่วงซากุระบานจะฟินขนาดไหนเนี่ย


มีร้านค้าของข้างทางให้มองตลอด อากาศเย็นๆ แถมเดินลงเขา ไม่ทันจะเหนื่อยก็เดินมาถึงศาลเจ้า Yasaka


เดินกันต่อผ่านย่านกิอง ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำกาโมะ (Kamogawa)


จนมาถึงตลาดนิชิกิ ที่เดินไกลขนาดนี้ไม่ใช่ว่าลืมใช้บัสพาสนะ แต่ร้านค้าบรรยากาศข้างทางมันน่าเดินมาก


มาหาข้าวเที่ยงทานกันตอนบ่ายสองกว่าๆ (เมื่อบลอกก่อนยังบอกว่าต้องให้พ่อแม่ทานอาหารให้ตรงเวลาอยู่เลย แฮ่...) ที่ร้าน Gogyo Ramen


ร้านราเมนแต่รอบกลางคืนเปิดเป็นบาร์ด้วย ร้านเลยตกแต่งสวยเชียว มาแบบไม่ต้องรอคิว เพราะเค้ากำลังจะปิดร้านรอบกลางวันแล้วจ้ะ ไปทันเวลา last order พอดี
จัดราเมนมาหลายแบบ ทุกคนในกลุ่มลงความเห็นว่าอร่อยจริงอะไรจริง แถมพนักงานยังใจดีอาสาถ่ายรูปหมู่ให้ด้วย


แม้ราเมนจะมี Burnt oil สีดำลอยอยู่ด้านบนแต่มันอร่อยนะ ไม่เลี่ยนแบบที่จินตนาการเอาไว้


ทานกันเสร็จ กลับไปพักร่างที่โรงแรมกันแป๊บ เดินไปได้ ห่างจากตลาดนิชิกิประมาณครึ่งกิโล
แล้วก็กลับไปรับน้องสาวของเราสมาชิกคนสุดท้ายที่เพิ่งตามมาสมทบเพราะชีแอบแว๊บไปเที่ยวหาเพื่อนที่โตเกียวมาก่อนหน้านี้
หนึ่งทุ่ม พากันนั่งรถเมล์มาที่ย่านกิอง ที่ถนน Hanami-koji เพื่อพบกับความเงียบเหงา กับแสงไฟสลัวๆแบบห่างๆ สงสัยจะมาดึกเกินไป


ลองเดินมาดูแถวคลอง Shirakawa ก็พบว่ายิ่งวังเวงหนักไปกว่าเดิมอีก


หมดความพยายามสำหรับกิองแล้ว เดินไปหาอะไรทานสำหรับมื้อเย็นดีกว่า
มื้อนี้ลองพาพ่อแม่มาเจอปลาดิบตัวจริงเสียงจริงกันดูบ้าง ร้าน Chojiro อยู่ย่าน Pontocho ฝั่งที่อยู่ติดกับคลอง
ร้านอยู่ชั้นใต้ดิน หาง่าย ไม่ไกลจากทางออกรถไฟใต้ดิน Kawaramachi ร้านนี้ได้คะแนนเรตติ้งค่อนข้างดีใน tripadvisor ด้วย
Tourist-friendly สุดๆ พนักงานพูดภาษาอังกฤษพอได้ สั่งเมนูพร้อมภาพประกอบจากไอแพดประจำโต๊ะ มีเมนูอังกฤษ พ่อครัวยิ้มแย้มพูดคุยกับเราตลอดเลย
พยายามให้ทั้งสองแม่ลองทานปลาดิบ แต่ไม่มีใครยอมทานเลย ยอมทานแค่ไข่หวาน ซูชิหน้าปลาไหลย่าง ซุปหอย ส่วนพ่อเราสบายมาก จกหมดทุกอย่าง


มีเรื่องฮา กับซูชิปลาฮามาจิจานนี้


เรื่องก็มีอยู่ว่า พ่อครัวเข้ามาคุยว่าเพิ่งได้ปลาฮามาจิสดๆมา อยากจะลองทานกันมั้ย จริงๆเราก็อิ่มแล้วแหละ
แต่ด้วยความเกรงใจ ไหนๆเค้าก็ภูมิใจนำเสนอ เลยขอลองซักจาน ก่อนเอาซูชิมาเสิร์ฟ พ่อครัวก็ยกหัวปลาฮามาจิที่เพิ่งถูกตัดมาวางโชว์ถึงโต๊ะ กำลังพะงาบๆเลย
เราก็ไม่เคยกินฮามาจิมาก่อน นึกในใจตอนนั้นว่า ต้องแพงแน่เลย พอเค้ายกมาปลามาเสิร์ฟเห็นสีจานแล้วก็โล่งใจหน่อยว่ามันก็ไม่ได้แพงนี่หว่า
ก็แบ่งกันทานคนละชิ้นกับแฟน..

พอเข้าปาก..เริ่มเคี้ยวชิ้นปลาเท่านั้นแหละ ถึงกับน้ำตาคลอ ..กลืนไม่เข้าคายไม่ออก.. ซึ้งเลยกับคำเปรียบเปรยนี้
เนื้อปลามันเหนียว กัดไม่ขาด พยายามกลืนแต่มันก็ไม่ไปซักที พ่อครัวยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น จะคายออกมาก็ดูแย่ เราเลยอมยิ้มให้พ่อครัวค่ะ
จนเค้าเดินไปทางอื่น นั่นแหละ ถึงได้คายออกมา.. เฮ้อออออ



บลอกหน้าจะพาไปเที่ยวเกียวโตทางฝั่งตะวันตกพร้อมอาบน้ำแร่แช่ออนเซนค่ะ




 

Create Date : 21 เมษายน 2557    
Last Update : 28 เมษายน 2557 17:11:05 น.
Counter : 4191 Pageviews.  

1  2  

khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.