วันสุดท้าย โลกใบใหม่ในโอซาก้า



เช้านี้ก็เที่ยวคนเดียวเช่นเคย เดินจากที่พักย่านนัมบะ ผ่านเดนเดนทาวน์ก็มาถึงย่านชินเซไก (Shinsekai)
วันนี้อากาศก็ช่างเป็นใจซะเหลือเกิน มัวหม่นจนนึกว่าเดินเข้า Silent Hill ซะอีก



เป็นย่านที่ถูกสร้างเพื่อเป็นแหล่งรวมความบันเทิง เปิดในปี 1912 ก็เลยมีชื่อตามจุดประสงค์การสร้างที่อยากให้ที่นี่เหมือนเป็นโลกใบใหม่
หรือ ชินเซไก ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ
มีการออกแบบให้ครึ่งทางทิศเหนือใช้เมืองปารีสเป็นต้นแบบ ส่วนครึงทางทิศใต้ใช้นิวยอร์กเป็นต้นแบบ 
เราเดินมาจากทางนัมบะ หรือถ้ามารถไฟใต้ดินก็สถานี Ebisucho ก็คือมาโผล่ทางทิศเหนือ 
มีกลิ่นอายปารีสมั้ย



ปัจจุบัน ถือเป็นย่านที่อันตราย แหล่งรวมโฮมเลส มีอาชญากรรมเกิดเยอะกว่าจุดอื่นๆ
ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ถูกปล่อยละเลยมาเรื่อยๆ ที่นี่ก็ค่อยๆเสื่อมโทรมลง 
เดินผ่านตลาดชินเซไก เงียบมาก เรามาคนเดียวไม่กล้าเดินเข้าไปข้างในเลยอ่ะ



ตรงกลางของย่าน เป็นที่ตั้งของหอคอย Tsutenkaku รูปนี้เป็นภาพวาดข้างใต้หอคอย



ที่จอดรถสายหวาน สายเลดี้



ที่พบเจอได้ทุกมุมอีกอย่าง คือ Billiken 





เป็นเหมือนเครื่องราง หรือมาสค็อตนำโชค ซึ่งเราว่าหน้าตาไม่น่ารักซักเท่าไหร่ สรรพคุณคือทำให้สมหวัง เหมือนที่ตรงฐานของบิลลิเคนบอกไว้  
God of Things as They Ought to Be.

ทะลุมาทางทิศใต้ ฝั่งนี้มีนิวยอร์กเป็นต้นแบบ มุมฮิตสำหรับการถ่ายรูปของย่านนี้



สำหรับชินเซไกในปัจจุบันคงไม่ใช่โลกใหม่แบบที่ตั้งใจเมื่อร้อยปีก่อน แต่เป็นโลกที่ถูกละเลยซะมากกว่า 
(อ่านเจอว่า ชาวญี่ปุ่นบางคนยังไม่กล้ามาเดินที่นี่เลยอ่ะ)

กลับมาทานข้าวย่านนัมบะ 
เพิ่งเคยทานแกงกะหรี่ญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก(จานไกลๆ) ดีกว่าที่คิดไว้ รสชาติละม้ายข้าวซอย 



ช็อคโกโกไดว่า เจ้มจ้น



ชอบบันไดเลื่อนที่จะขึ้นไปสถานีนันไกนัมบะ มีช่องแสงลงมาพอดี เหมือนบันไดเลื่อนสู่สวรรค์



มาเที่ยวอยู่ 5 วันไม่เจอฝนตกตอนออกข้างนอกเลย มาเจอตอนสุดท้ายท้ายสุดช่วงแค่ออกจากโรงแรมแล้วข้ามถนนมาสถานี
ระยะทางไม่เกิน 20 เมตร ฝนตกหนักมากแบบฟ้ารั่ว แถมเราไปย่ำตรงแอ่งน้ำพอดี รองเท้าคือเปียกแบบเปียกชุ่มอุ้มน้ำที่สุด ฮ่าๆ
รอรถไฟไปสนามบิน



ถึงสนามบิน ก็ยังมีตู้กาจาปองมาหลอกหลอน



ว่าไปแล้ว ทริปนี้สูญเสียไปกับตู้กาจาปองเยอะกว่าที่เตรียมใจไว้ เจอตู้ไหนก็ต้องเข้าไปส่อง 



บางทีก็หยอดได้ตัวซ้ำเดิม ช้้ำเลย.. ที่เราชอบสุดคือชุดน้้ำชากับขนม ได้มาจากตู้ที่อุจิ



ขอจบทริป Tsuyu Kansai คันไซในสายฝน ไว้เพียงแค่นี้ค่ะ





 

Create Date : 15 สิงหาคม 2561    
Last Update : 15 สิงหาคม 2561 13:21:38 น.
Counter : 1717 Pageviews.  

วันที่ 4 เดินเล่นสำรวจโอซาก้า และประสบการณ์มัตซึซากะครั้งแรก



Today's plan is no plan!! 
ออกเดินเที่ยวเรื่อยเปื่อยตามลำพัง เนื่องจากหลายวันที่ผ่านมาเดินไม่ต่ำกว่าวันละสองหมื่นก้าว
วันนี้้น้องเราออกตัวว่า เธอจะไปไหนก็ไปเลยนะ ชั้นจะนอนรอที่โรงแรมนี่แหละ
จากเดิมคิดว่าจะไปปราสาทฮิเมจิ โกเบ เลยตัดเหลือแค่เที่ยวใกล้ๆในโอซาก้าแทน (ฮิเมจิจ๋ารอไปก่อนน้าาา)

เริ่มจากเที่ยวแถวโรงแรม แถวนัมบะมี shopping arcade มากมาย
อย่างซอยนี้ เป็นแหล่งขายเครื่องครัว อุปกรณ์ทำอาหาร


ตลาดสุดฮิต ตลาดคุโระมง Kuromon Ichiba Market


มาช่วงเก้าโมง คนยังไม่เยอะ เดินสบาย 


อาหารน่าทานทั้งนั้นเลย เราพยายามเดินหาร้านที่ขายเนื้อเสียบไม้ แต่หาไม่เจออ่ะ


แว้บมาโผล่ที่ คิตะฮามะ เป็นย่านออฟฟิศสำนักงาน แต่เรามาหากาแฟดื่มค่ะ 
Brooklyn Roasting Company เป็นร้านจากอเมริกา ด้านหลังมีชานให้นั่งติดแม่น้ำ วิวดีมาก อีกฝั่งคือเกาะนากาโนะชิมะ 


เดินข้ามสะพานมาสำรวจเกาะ


มีสถานที่น่าสนใจอยู่มากมาย เหมือนเป็นแหล่งพักผ่อนกลางแจ้งของเมืองเลยค่ะ มีทั้งศาลากลางเมือง พิพิธธัณฑ์ ร้านอาหาร สวนสาธารณะ
Osaka City Central Public Hall


ซานฟรานซิสโกกับโอซาก้า เป็น sister city กันนะเนี่ย 


Nakanoshima Rose Garden 
เป็นสวนที่รวมกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์ แต่ช่วงที่เราไปคือไม่มีดอกเลย เพิ่งผ่านพีคไปช่วงต้นเดือนมิถุนา


แล้วก็กลับมาเดินดูข้าวของย่านชินไซบาชิ
ผ่านคลองโดทงบุริ 


แวะซื้อซาลาเปา 551 กลับไปทานที่ห้อง ได้ยินมาว่ารสชาติดีในราคาประหยัด
แต่พอได้ชิมเอง เราว่ามันไม่อร่อยเลยนะ ไม่ใช่แค่รสงั้นๆ จัดว่าแย่เลยทีเดียว 55 (ซาลาเปาดีกว่าขนมจีบ) แต่ราคามันถูกเลยไม่เศร้าเท่าไหร่


มื้อเย็น คืนสุดท้ายก่อนปิ๊กบ้าน น้องเรารีเควส(อีกละ) อยากกินปิ้งย่าง เลยนั่งเปิดแผนที่หาร้านกัน
สุ่มๆมาเจอร้าน Yakiniku M คะแนนรีวิวดี
ร้านอยู่ชั้นบนของตึก ต้องขึ้นลิฟต์ไป พอไปถึงพนักงานบอกว่าร้านถูกจองเต็มแล้ว แต่มีอีกสาขาอยู่ใกล้ๆกัน ยังมีที่นั่งว่างอยู่ เดี๋ยวจะเดินไปส่ง
ก็เลยเดินตามเค้าไปอย่างว่าง่าย โลเคชั่นแปลกประหลาดมาก


ต้องเดินทะลุวัด ซึ่งเค้ากำลังทำพิธี สวดอะไรซักอย่างอยู่พอดี


ถึงแล้ว


ระบบต้อนรับคือดีมาก น่าจะรับนักท่องเที่ยวเยอะ มาถึงถามก่อนเลยว่าพูดภาษาอะไรได้ จีน อังกฤษ แต่ยังไม่มีภาษาไทยค่ะ
มากันแค่ 2 คน ก็ได้นั่งห้องส่วนตัว จากนั้นก็จะจัดพนักงานที่สื่อสารกับเราได้มาอธิบาย ความเป็นมาของวัตถุดิบ เมนู/คอร์สอาหาร วิธีทาน 


ที่นี่เป็นร้านปิ้งย่างเนื้อมัตซึซากะ 
พนักงานเล่าว่า ปกติเนื้อวัวจากญี่ปุ่น จะมีชื่อเรียกตามแหล่งผลิต บางชนิดส่งออกไปขายนอกประเทศได้ เช่น เนื้อโกเบ 
แต่ถ้าเนื้อมัตซึซากะ ต้องมาทานที่ญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่มีส่งออก ...เค้าว่างี้นะ ไม่รู้จริงมั้ย 
แล้วก็เล่าถึงลักษณะของเนื้อแต่ละส่วนจากวัว ว่าตรงไหนจะลีน ตรงไหนจะมาร์เบิล(ไขมันแทรก) ตรงไหนคือส่วนที่มีน้อยหายาก(และแพง)
ซึ่งนำไปสู่การเลือก เมนูของเราในวันนี้ เราเลือกเป็น Special Course  


สิ่งที่ได้ในคอร์ส ได้แก่ อาหารเรียกน้ำย่อย สลัด ซูชิเนื้อมัตซึซากะ เนื้อผัดซอสกระเทียม ข้าวผัด
จานเรียกน้ำย่อยกับสลัดเราแแทบไม่ได้แตะเลย แค่นี้ก็จะอิ่มละเนี่ย


หลังจากนั้น พระเอกก็มา ลายเนื้อสวยงามมาก
ทานไปคำแรกๆคือ ปลื้มปริ่มอารมณ์ดี พอหลังๆ เริ่มเกี่ยงกันทานละ เลี่ยนมากไขมันทั้งนั้น จุดนี้อยากได้น้ำจิ้มซีฟู้ด
และปิดท้ายแก้เลี่ยนได้หน่อย คือ ซอเบส้มยูสุ 
ค่าเสียหายมื้อนี้ คนละหกพันกว่าเยน ก็ราคาสูงอ่ะนะ แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลย


ออกมาเดินย่อยอาหาร แต่ไม่ซื้ออะไรแล้ว หมดตัวแล้วจ้าาาา






 

Create Date : 12 สิงหาคม 2561    
Last Update : 12 สิงหาคม 2561 12:02:45 น.
Counter : 597 Pageviews.  

วันที่ 3 เกียวโต วันหนึ่งฉันเดินเดินเข้าป่า...ไปหาขนม



เดินข้ามแม่น้ำคาโมะ ระหว่างทางไปเที่ยวพระราชวังหลวงเกียวโต (Kyoto Imperial Palace)


แวะทานมื้อเช้าแบบเรโทรหน่อยๆที่ร้าน Shinshindo 
มีหลายสาขา แต่สาขาที่เราไปเป็นสาขาหลัก อยู่ไม่ไกลกับพระราชวังที่จะไปเที่ยว


อาหารก็รสชาติกลางๆทั่วๆไป เซ็ตอาหารเช้ามีให้เลือกหลายแบบดี มีขายพวกขนมปังขนมอบแบบซื้อกลับด้วย


ถ้าใครจะมาเที่ยวที่พระราชวังเกียวโต เข้ามาทางทิศเหนือ จะเดินใกล้กว่า(มาก) ถ้านั่งรถไฟคือให้ลงสถานี Imadegawa 
ส่วนเรานั้น เดินมาจากโฮสเทลเข้ามาทางสวนทิศใต้ ต้องเดินอีกไกลมาก กว่าจะถึง
ระหว่างทางก็ว่างเปล่ามาก เป็นสวนสาธารณะใหญ่ๆที่ไร้ผู้คน ฮ่าๆ


ตอนแรกเห็นกำแพงกั้นตรงนี้ก็นึกว่าถึงแล้ว แต่ยังไม่ใช่ค่ะ นี้คือพระราชวังหลวงเซ็นโต 


ต้นไม้ใหญ่โตทั้งนั้น


แล้วก็มาถึง พระราชวังหลวงเกียวโตกันซักที่ เข้าฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย เมื่อก่อนถ้าจะเข้าชมต้องจองรอบทัวร์ไปพร้อมไกด์เท่านั้น
แต่ตอนนี้ใครใคร่เข้าชมก็เข้าไปได้เลยค่ะ ส่วนไกด์พาชมก็ยังมีเหมือนเดิม แต่ต้องนั่งรอรอบเที่ยวตามกำหนดเวลา




ถัดจากซุ้มประตูเข้าไปคือ Shinshinden เป็นอาคารหลักที่ใช้ประกอบพระราชพิธีต่างๆ


เดินเข้าไปดูใกล้อีกนิด 


แต่ที่เราชอบมากกว่าอาคารต่างๆ ก็เห็นจะเป็นสวนด้านในนี่แหละ สวยมากๆ


รูปนี้จะเห็นมีนกเกาะอยู่ที่ราวสะพาน ตอนแรกเราก็นึกว่าคงเป็นรูปปั้้น ซักพักนกขยับได้จ้า..
เป็นนกจริงๆตัวเป็นๆ ไม่รู้เป็นนกเลี้ยงหรือมาเองตามธรรมชาติ แต่ช่างเข้ากันกับสวนมาก


ประทับใจสวนที่นี่อ่ะ ดีงามทุกมุม






นักท่องเที่ยวไม่เยอะ เดินเที่ยวชิวๆ


สถานที่ต่อไป อันนี้น้องเรารีเควสอยากมา ก็เลยต้องจัด
MOAN Cafe


คาเฟ่อยู่ตั้งอยู่บนดอยเล็กๆ ฝั่งตะวันออกติดมหาลัยเกียวโต ฝั่งตะวันตกก็ใกล้ๆกับวัดเงิน
การจะไต่ขึ้นมาสัมผัสคาเฟ่แห่งนี้ ต้องเดินขึ้นดอยผ่านป่าไม้มืดครึ้ม ศาลเจ้า บ้านร้าง ประมาณสิบนาที ไม่ว่าจะมาจากทิศทางไหน
เราขึ้นฝั่งตะวันตก ช่วงแรกยังมีบ้านคน


ซักพัก จะเป็นป่าวังเวงแบบนี้ เจอบ้านร้าง 2-3 หลังระหว่างทาง ถ้ามาคนเดียวคงหันหลังกลับไปแล้วล่ะ


เห็นร้านอยู่ลิบๆละ ค่อยใจชื้นมาหน่อย


ถึงแล้ว... เย้


ขนาดว่ามาลำบากยากเย็น มาถึงที่นั่งเต็มจ้า ต้องเขียนชื่อต่อคิวรอเรียก 
แต่ตัวร้านต้องยอมรับว่าบรรยากาศโดดเด่นจริงๆแหละ บ้านไม้โบราณกลางป่า ส่วนของที่นั่งทานจะอยู่ชั้นสอง


รอครึ่งชั่วโมง ก็ได้เข้าไปนั่ง วิวจากชั้นสองก็ประมาณนี้ เห็นเมืองเกียวโตเบื้้องล่างผ่านยอดไม้อยู่ลิบๆ 


หลักๆคือเป็นคาเฟ่ มีขนมกับเครื่องดื่มต่างๆเป็นหลัก เมนูอาหารมีไม่มาก ตอนแรกจะสั่ง lunch set แต่ขายหมดแล้ว
ก็เลยต้องสั่งขนมมาทานเป็นมื้อเที่ยงแทน สั่งชีสเค้ก น้ำแข็งใสรสส้มยูสุ ส่วนตัวเราว่างั้นๆ 
ถ้าจะมาร้านนี้้เพื่อบรรยากาศแปลกใหม่ก็คุ้มอยู่ แต่ถ้ามาเพื่อหาอาหารอร่อยๆทาน เราว่าไม่ต้องเหนื่อยเดินไต่เขาขึ้นมาก็ได้นะ 




ขากลับ ลองเดินลงทางใหม่ฝั่งตะวันออก ด้วยความหวังว่า จะน่ากลัวน้อยกว่าตอนขึ้นมา
แต่ก็ไม่ได้วังเวงน้อยไปกว่ากันเท่าไหร่55 แค่ทางสว่างกว่า 
เจอคนมาเดินป่าเลยถามทางกลับให้แน่ใจ โชคดีที่เค้าพูดภาษาอังกฤษได้ก็เลยคุยกันรู้เรื่อง 
ทางนี้จะเป็นศาลเจ้า เป็นป่าศักด์สิทธิ์ ทำนองนี้้




พ้นเขตศาลเจ้า ก็ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยเกียวโต ดูเงี้ยบเงียบ 


แล้วก็เดินจนกลับมาถึงโฮสเทล Niniroom เพื่อกลับมาเอากระเป๋าที่ฝากไว้ 
ด้านล่างของโฮสเทลเป็นคาเฟ่น่านั่ง


ตัดฉับมาที่โอซาก้า เราพัก S-Presso Hotel 
อยู่ติดสถานีนันไกนัมบะเลย ขึ้นรถไฟกลับสนามบินสะดวกสุดๆ เพียงแค่ข้ามถนนก็ถึงแล้ว




ห้องดีเลย ใหม่ สะอาด นอนเสื่อตาตามิฟูกญี่ปุ่น


ห้องเล็กตามสไตล์คนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเรา แต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ


ห้องน้ำรวม แต่ยังดีที่มีอ่างล้างมือให้ในห้อง


ข้อด้อยของที่นี่ คือ ห้องส้วมประจำชั้น เป็นห้องน้้ำรวมหญิงชาย ซึ่งเราไม่ใช้เลย ลงไปใช้ห้องน้ำของผู้หญิงโดยเฉพาะที่ชั้น 1 ตลอด
ส่วนห้องอาบน้ำแยกหญิงชาย ก็ต้องลงไปใช้ที่ชั้น 1 เช่นกัน ดีที่ห้องเราอยู่ชั้น 2 ติดบันไดลงเลยเดินไม่ไกล

มื้อเย็นอยากทานราเมง นั่งหาร้านใกล้ๆโรงแรมจากกูเกิ้ลแมพ หาร้านที่ดาวเยอะๆ ตั้งอยู่แถว Denden Town
ราเมงดีมากกก ถูกด้วย ตกคนละ 5-600 เยนเอง


ไม่มีมุมนี้ เหมือนมาไม่ถึงโอซาก้าเนอะ




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2561    
Last Update : 11 สิงหาคม 2561 21:05:44 น.
Counter : 701 Pageviews.  

วันที่ 2 Uji Day ชมดอกอะจิไซ ช้อปปิ้งชาเขียว เที่ยววัดเบียวโดอิน



แล้วก็มาถึงมิิชชั่นสำคัญในทริปนี้ คือการชมดอกอะจิไซ หรือไฮเดรนเยีย ซึ่งจะบานสะพรั่งในช่วงฤดูฝน  
หนึ่งในจุดชมอะจิไซที่ว่ากันว่าสวยงามมากแห่งหนึ่ง คือวัด Mimuroto-ji Temple เมืองอุจิ ที่จะไปเที่ยววันนี้แหละ



เรานั่งรถจากสถานีใกล้ที่พัก มาถึงสถานี Mimurodo ในช่วงสาย
ซึ่งวัดอยู่ห่างสถานีไปอีกประมาณกิโลกว่าๆ ตอนแรกก็กลัวว่าจะหลงนะ แต่พอมาถึง คนมาเที่ยวที่นี่เยอะเลย ก็เดินตามๆเค้าไปเดี๋ยวก็มาถึงวัดเองค่ะ



เทพเจ้าแห่งการท่องเที่ยวเข้าข้าง มาเที่ยว 5 วันในหน้าฝน แต่ไม่เจอฝนตอนออกเที่ยวเลย อย่างวันนี้ก็สดใสมาก 
ก่อนไปถึงวัด ผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า เลยแวะซื้ออาหารกล่องไว้ไปหาที่ทานกันข้างหน้า

ก่อนอื่น เสียค่าเข้า 800 เยน 
คนมาชมสวนเยอะมาก ช่วงแรกๆต้องเดินทยอยตามคนอื่นไป แต่พอเข้ามาลึกอีกหน่อยก็เริ่มเดินสบายขึ้นเพราะต่างคนก็แยกย้ายกันไปชื่นชมตามซอกนู้นซอกนี้ 



ดอกอะจิไซ จะเต่งตึงมากถ้ามีฝนตก นี่ฝนขาดช่วงมาหลายวันก็ดูหงอยๆหน่อย 
มีระยะเวลาบานนานเป็นเดือนแต่นี่ก็เข้าสู่ช่วงท้ายฤดูกาลแล้วแหละ





เพลินกับการหามุมถ่ายรูป



อะจิไซโทนสีหวานมาก ม่วง ชมพู ฟ้า ขาว เราก็เตรียมเสื้อชมพูมาใส่วันนี้โดยเฉพาะเลย 
แต่เท่าที่เห็น น่าจะเป็นคนเดียวที่ใส่สีสดใสเบอร์นี้มา ส่วนใหญ่เค้าก็จะแต่งแบบคุมโทน สีสดใสสุดก็สีฟ้าอ่อนไรงี้้ 55 



ตามหลัก ก็ต้องหาอะจิไซรูปหัวใจ 



ชักหิว ว่าแล้วห็หามุมสงบๆ จัดการอาหารกล่องที่ซื้อมาตะกี้ เสื้อขาวนั่งอยู่นั่น น้องเราเอง



จากนั้นก็เดินบันไดไต่เขาย่อมๆ ก็จะไปถึงตัววิหาร(เค้าเรียกแบบนี้มั้ย)ของวัดมิมุโระโทจิ



วัดนี้ขึ้นชื่อว่ามีดอกไม้สวยงามให้ชมตลอดทั้งปี พอเข้าหน้าร้อน ก็จะถึงคิวดอกบัวด้านหน้าวิหารบานต่อ



มีรูปสลักศักดิ์สิทธิ์กระจายอยู่ เห็นคนมาลูปๆคลำๆตลอด แต่เราไม่ได้ลูบนะ แบบว่าไม่รู้สรรพคุณ





แล้วก็ต้องเสียเงินให้กับอะไรอย่างนี้ตลอด น่ารักมากๆมีหลายแบบให้เลือกด้วย



รูปสุดท้ายของสวนอะจิไซ ก่อนไปกันต่อ



ระหว่างทางเดินไปวัดเบียวโดอิน ก็ผ่านร้านของฝากจากเมืองชาเขียว Itoh Kyuemon พอดี สาขานี้คือสาขาหลัก
ขอเข้าไปหาอะไรทาน ได้ตากแอร์ให้ชื่นใจซักนิดเถอะ



เข้าไปก็จะเจอความชุลมุนประมาณนี้ ฟากนี้ที่ถ่ายมาจะเป็นโซนของฝาก มีนานาของฝากจากชาเขียว นี่มันร้านแม่กิมลั้งแห่งอุจิชัดๆ
ระหว่างรอคิวเรียกเข้าไปสั่งอาหาร ก็ช้อปกันก่อนได้ ที่เราได้มาจากที่นี่ ก็เป็นผงชาเขียว ช็อกโกแลตชาเขียว และชาเขียวคาปูชิโน่



สั่งของหวานเย็นๆ พาเฟ่ต์กับพุดดิ้้ง รสชาติโดยรวมก็ทั่วๆไป แต่ถ่ายรูปแล้วดูดีเชียว



เดินต่อจ้ะ ข้ามแม่น้ำอุจิ 



ถึงเชิงสะะพานอีกฝั่ง ก็จะเจอรูปสลักของ Murasaki Shikibu เป็นผู้แต่งนิยาย ตำนานของเก็นจิ (Tales of Genji)
ซึ่งก็ว่ากันมาว่า เป็นนิยายที่เก่าแก่ที่สุด เค้ามีการฉลองครบรอบ 1,000ปี (ถูกค่ะ พิมพ์ไม่ผิดหนึ่งพันปี) ไปเมื่อปี 2008 นี่เอง
โดยในบทตอนท้ายๆ มาใช้โลเคชั่นที่เมืองอุจิซะเยอะ ถึงกับมีการตั้งพิพิธภัณฑ์ตำนานเก็นจิขึ้นในเมืองนี้เลย



สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมาเที่ยววัดดังๆของญี่ปุ่น.. ซอยละลายทรัพย์จ้าาา ขนม ของฝาก ร้านอาหาร สารพัดสิ่งชวนให้สละสมบัติก่อนเข้าวัดทั้งสิ้น





แล้วเราก็มาถึงวัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple)จุดที่เด่นที่สุดในวัดมรดกโลกแห่งนี้ ก็คือ ศาลาฟีนิกซ์ (Phoenix Hall) โดดเด่นขนาดต้องปั๊มลงบนเหรียญ 10 เยนเลยเชียว
ถ้ามาตอนบ่าย ก็จะถ่ายย้อนแสงมืดๆแบบนี้ ถ้าอยากเข้าไปชมด้านในศาลาต้องจ่ายเพิ่มอีก 300 เยน จากค่าเข้าวัดที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว 600 เยนเด้อ



นกฟีนิกซ์สีทอง ที่อยู่บนหลังคา ถ้าอยากเห็นใกล้กว่านี้ ของดั้งเดิมอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของวัด ซึ่งเค้าห้ามถ่ายรูปด้านใน แต่สวยมีพลังมากกกก เป็นสีออกเขียวๆ
พิพิธภัณฑ์ของวัด จัดดีมาก ยิ่งไปอากาศร้อนๆแบบนี้ แค่ไปเดินเอาแอร์ก็คุ้มค่าเข้าวัด 600 เยนที่เสียไปแล้ว



สวนหน้าห้องน้ำ



สืบเนื่องจากในพิพิธภัณฑ์เค้าห้ามถ่ายรูป แต่พอออกมาแล้วก็จะเจอส่วนให้นั่งพักแบบนี้ ชอบมาก เป็นชานพักเอาแรงก่อนไปจุดหมายต่อไป



เด็กนักเรียน เข้าใจว่ามุงซื้อซอฟท์ครีมนะ



สตาร์บักส์ สาขาวัดเบียวโดอิน เจ้านี้ก็ตีเนียนกลมกลืนกับทุกสิ่งแวดล้อมอ่ะนะ



ขากลับเดินข้ามอีกสะพานนึง นี่สำหรับคนเดินโดยเฉพาะ



แล้วก็อีกสะพานนึง 55



เชิงสะพาน เจอรูปสลักอีกครั้ง เป็นตัวละครจากนิยายตำนานเก็นจิในช่วงท้ายที่เรื่องราวเกิดในเมืองอุจิ 
เป็นเรื่องรักสามเส้าของลูกชายเก็นจิ ใครอยากรู้เรื่องก็ไปหาอ่านกันเองละกันเนาะ กลัวเล่าผิด แฮ่... (เราก็ยังไม่เคยอ่าน)



กลับมาทานมื้อเย็นที่เกียวโต อาคารร้านค้าแบบเก่าๆในเกียวโต(เช่นร้านนี้เป็นต้น) จะมีจุดเด่น คือจะมี courtyard อยู่ตรงกลาง
หน้าร้านแคบๆ แต่ยาวลึกเข้าไป ด้วยความที่ภาษีอาคารจะเก็บตามพื้นที่ด้านหน้า ทำแบบนี้ก็เสียภาษีน้อยลง เรียกรูปแบบอาคารแบบนี้ว่า kyomachiya



อาหารมาแล้ว ปิ้งย่างเสียบไม้ ชอบสุดคือเห็ดย่าง จำชื่อเห็ดไม่ได้แล้ว ห๊อมหอม
ตอนแรกกะกินขำๆ แล้วค่อยไปต่อมื้อเย็นจริงจังอีกที แต่ไปๆมาๆก็สั่งข้าวมาเพิ่มคนละถ้วยเฉ้ย..



เดินย่านช้อปปิ้งของเกียวโต แถวสถานี Kawaramachi
โซนร้าน Sou Sou เป็นร้านขายผ้า ออกแบบลายผ้ากุ๊กกิ๊กมินิมอลแบบญี่ปุ่น เสื้อผ้าข้าวของน่ารักมาก แต่ไม่มีตังซื้อจ่ะ 



เดินดูผู้คนข้าวของ



กะจะถ่ายสี่แยกยามค่ำคืน แต่ติดคู่รักเดินจับมือกันหนุงหนิงมาด้วย



ปิดท้ายวันด้วย การเดินขาลากเลาะแม่น้ำคาโมะกลับโฮสเทล





 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2561    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2561 14:22:43 น.
Counter : 950 Pageviews.  

วันที่ 1 เกียวโตไม่มีเบื่อ ศาลเจ้าเฮอัน วัดนันเซนจิ ตลาดนัดเทนจินซัง



เริ่มเที่ยวอย่างเป็นทางการวันแรก
เช็คเอ้าท์ช่วงสายๆ นั่งรถไฟใต้ดินแล้วต่อรถไฟเคฮังไปเกียวโต โดยนัดเจอกับน้องเราที่โฮสเทลที่เกียวโต นางมาเช็คอินรออยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าวันเสาร์ ส่วนเมื่อวานเรามาถึงดึกเกินที่จะถ่อมาเกียวโต

Hostel Niniroom 

ตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ Jingu-Marutamachi ประมาณ 300 เมตร อาจไม่ใช่ย่านนักท่องเที่ยว แต่สงบดี เดินทางไปไหนก็สะดวกใช้ได้ 

นอนห้อง double room ถ่ายตอนจะเช็คเอ้าท์แล้ว เลยดึงผ้าปูที่นอน เก็บหมอนเเก็บผ้าห่มเรียบร้อย
พื้นที่ใช้สอยกำลังดี โฮลเทลเปิดมาได้ไม่ถึงปี ที่นี่เริ่มโครงการจากการระดมทุนผ่าน crowd funding เมื่อพี่น้องสองสาวอยากทำโฮสเทล เก๋มะ


ห้องที่เราจองไม่มีห้องน้ำในตัว ต้องใช้ห้องน้ำรวม สะอาดมาก มีสบู่แชมพูเครื่องเป่าผมให้ แต่ที่นี่ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้นะ เช่าได้แต่มีค่าใช้จ่าย


เก็บข้าวเก็บของเสร็จ ก็เดินไปศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine) วันนี้อากาศแจ่มใส แดดจ้ามาก 
อากาศปลายๆมิถุนาก็ร้อนแล้วแหละ แต่ยังร้อนไม่มากประมาณ 30 ต้นๆ อากาศยังแห้งไม่เหนอะหนะ 


ถึงแล้ว ซุ้มประตูทางเข้าศาลเจ้า ในส่วนของศาลเจ้าเข้าฟรี


ช่วงที่เราไป ตามศาลเจ้าจะมีการนำวงฟางใหญ่ๆมาตั้งไว้ตรงทางเข้า
เลยกลับมาค้นเพิ่มเติม วงฟางนี้เรียกว่า Chinowa Kuguri เชื่อว่าถ้าลอดแล้วจะปัดเป่าสิ่งไม่ดีอออกไป
ปีนึงก็จะมาวางไว้แบบนี 2 ครั้้ง ช่วงปลายเดือนมิถุนา และะปลายเดือนธันวาค่ะ


เข้ามาด้านใน รีบหลบเข้าร่มกันเถอะ


มาเที่ยวญี่ปุ่นช่วงหน้าฝนแบบนี้ อาจไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ แบบช่วงซากุระบาน หรือใบไม้เปลี่ยนสี
แต่ความงดงามของหน้าฝน ก็คงจะเป็นช่วงที่ต้นไม้ดอกไม้เขียวชอุ่มชื่นใจที่สุด อย่างวันนี้เราก็จะมาดูดอกไม้บานที่สวนของศาลเจ้าเฮอัน 
ค่าเข้าชมสวน คนละ 600 เยน เข้าสวนปุ๊บก็อากาศเย็นเลย




เดินมาที่บึงใหญ่กลางสวน เพื่อมาชมดอก Hana Shobu หรือดอกไอริสญี่ปุ่น แต่เลยช่วงพีคไปแล้วน่ะสิ เหี่ยวไปเกือบหมดแล้ว


หน้าตาแบบนี้แหละค่ะ ดอกม่วงๆ เรานี่ส่องสถานการณ์ผ่าน IG ก่อนมาทุกวันเลย รู้ว่าเลยพีคมาแล้ว แต่ก็ยังอยากมาอยู่ดี


มุมอื่นๆภายในสวน




พักเหนื่อยคลายร้อน มีสะพานทอดกลางบ่อให้นั่งพักรับลม 


ถ้าใครเคยมาเกียวโต น่าจะเคยเห็นเสาโทริอิขนาดยักษ์แบบนี้ที่อยู่สวนด้านหน้าศาลเจ้าเฮอันกัน


ตู้ไปรษณีย์น่ารักหน้าศาลเจ้า ^^


ได้เวลามื้อเที่ยง แผนแรกอยากทานร้าน Yamamoto menzou ร้านอันโด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวเยี่ยงเรา
อยู่ใกล้ๆกับศาลเจ้าเฮอัน ประมาณ 300 เมตร 
ปรากฏว่า วันธรรมดาแถมยังหน้าโลว์ที่เพิ่งมีแผ่นดินไหวมาหยกๆ คิวยังยาวขนาดนี้ 


จริงๆคิวก็ไม่ยาวมากกกขนาดดนั้น แต่ไม่อยากตากแดดรอ มันร้อน 
ป่ะ ไปหาร้านอื่นเอาดาบหน้าละกัน

แล้วเราก็ได้มานั่งทานมื้อเที่ยงในวิวแบบนี้ ที่ร้าน Gontaro of Kyoto (อ่านชื่อจากเมนูภาษาอังกฤษ)
เป็นร้านสไตล์ญี่ปุ่น แบบต้องมุดซุ้มประตูเข้ามาเจอสวนร่มรื่นๆ แแล้วค่อยถึงตัวร้าน 


เราสั่งอุด้งเย็นเสิร์ฟกับเทมปุระ 
พนักงานบริการดีมาก แม้พูดอังกฤษไม่ได้เลย ก็พยายามมาแนะนำวิธีทานให้เรา ก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างอ่ะนะ 55 แต่บริการได้ใจค่ะ


จานนี้ของน้อง ข้าวหน้าเทมปุระ


เดินต่อมายังวัดนันเซนจิ (Nanzen-ji Temple) 


วัดแถวนี้ ร่มรื่นทุกวัดเลย


อยากมาดูสะพานส่งน้ำ (aqueduct) Suiro-kaku เราว่าวิวแปลกดี
ตอนไปมีเด็กมาเที่ยวกันเพียบ น่าจะโรงเรียนพามา 


นั่งดูน้องถ่ายรูปทีม ถ่ายแบบเรียงแถวตอนลึกแล้วเอียงตัวออกมาแบบเราสมัยก่อนเลย(ท่าเจ้าแม่กวนอิมพันมือ) 55


ยังมีคนมาเรื่อยๆ ไม่รอคนซาละ เข้าไปถ่ายด้านใต้สะพานมั้ง


ขากลับแวะอีกแล้ว ร้านกาแฟ Blue Bottle สาขานันเซนจิ 
หน้าร้านน่ารักมาก 




ปกติเราทานลาเต้เย็น แต่ที่นี่ไม่มีอะไรแบบนั้น พนักงานแนะนำกาแฟเย็น ชื่อ New Orleans ก็มีความคล้ายกาแฟลาเต้อยู่นะ
รอฟังเรียกชื่อตัวเองอย่างตั้งใจ คิมุซามะ คิมุซามะ น้องเราบอก เค้าเรียกชื่อแกแล้วอ่ะ ..อ่าวเหรอ เค้าเรียกชั้นละใช่มั้ย 55


บ่ายแก่ๆ นั่งรถเมล์ข้ามไปทางฝั่งตะวันตกกันบ้าง ไปเที่ยวตลาดนัดกัน
ทุกวันที่ 25 ณ ศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังงุ (Kitano Tenmangu Shrine) จะมีงานฉลองและมีตลาดขายของรอบศาลเจ้า
ขาแม่บ้านตลาดนัดอย่างเรา มาเที่ยวตรงวันที่ 25 พอดี มีรึจะพลาด
มีตั้งแผงขายของตลอดทางเดินหลักเข้าศาลเจ้า 


เรียก ตลาดเทนจินซัง (Tenjin-san) ขายทั้งของกินของใช้ เปิดขายตั้งแต่เช้าตรู่จนถึง 4-5โมงเย็นเริ่มเก็บของกลับบ้าน


เสียทรัพย์ไปกับงานคราฟท์ของร้านนี้ ตุ๊กตาแกะสลักรูปหมา 600 เยน


มีวงฟางปัดเป่าตั้งเหมือนที่ศาลเจ้าเฮอัน 
วงนี้เราร่วมเดินด้วย ก็ตามเหล่าคุณพี่คุณป้าที่กำลังลอดอยู่นั่นแหละ เค้าจะเดินวนเป็นเลขแปด


ยังมิวายเดินเข้าสวน ค่าเข้า 500 เยน
รู้มาว่าสวนที่นี่ก็เป็นจุด hot spot ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี แต่มาตอนนี้้ก็ไม่ค่อยมีใครอ่ะค่ะ เขียวมากกก


ทางเดินเลียบคลองเล็กๆ เดินไปก็ได้ยินเสียงนกร้องเสียงน้ำไหล


สะพานแดงตัดกับบรรยากาศเขียวๆ


เดินออกจากสวน กลับเข้ามาในศาลเจ้า เจอโชว์ลิง คนมุงกันเพียบ 


ศาลาพัก ภาพเขียนด้านบนดูโบราณดี 


ขากลับ เดินอ้อมกลับทางหลังศาลเจ้า ตลาดเทนจินซังยังตามมาด้วย แต่โซนนี้จะเป็นพวกเสื้อผ้า ของเก่า ของแต่งบ้าน


มื้อเย็นไปทานร้านแถวๆที่พัก ซึ่งย่านที่อยู่จะติดกับโรงพยาบาลของม.เกียวโต ถัดไปหน่อยก็ม.เกียวโต เรียกเป็นย่านสถานศึกษาได้มั้ย 
สั่ง mondanyaki เป็นตระกูลโอโคโนมิยากิ แต่นอกจากแป้งแล้วยังมียากิโซบะเป็นฐาน เรียกว่าแป้งในแป้งเลยล่ะ


จานร้อนเนื้อย่างจานนี้ ปรุงอร่อยมาก จำไม่ได้ว่าเป็นเนื้อส่วนไหน ประทับใจจานนี้สุดในทริปเลย


จบวันแรกค่ะ เล่าเหมือนอัดอั้น ทั้งฝอยทั้งรูปเยอะมาก เอามาอ่านเองทีหลังก็สนุกดีนะ นึกถึงบรรยากาศตอนนั้นได้เลย
บลอกหน้าไปเที่ยวอุจิ ชมดอกอะจิไซ ดอกไม้แห่งหน้าฝน




 

Create Date : 09 กรกฎาคม 2561    
Last Update : 9 กรกฎาคม 2561 10:14:59 น.
Counter : 1078 Pageviews.  

1  2  

khimyo
Location :
ลำพูน Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add khimyo's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.