เชียงใหม่ : วัดพระสิงห์วรวิหาร (2)
ใกล้กับพระเจดีย์คือพระอุโบสถ ตั้งในแนวแกนเหนือใต้ขวางอยู่ด้านท้ายวิหารหลวง อุโบสถมีความสมมาตรทั้งสองด้าน จารึกว่าสร้างเมื่อ พ.ศ. 2361 สมัยพระเมืองแก้ว กลางพระอุโบสถมีมณฑปทรงปราสาท ในมณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปพระเจ้าทองทิพย์และพระแก้วมรกต มีทฤษฏีว่าที่นี่อาจจะเป็นพระอุโบสถสองสงฆ์
โดยเชื่อว่าเดิมพระประธานน่าจะหันไปทางทิศเหนือสำหรับพระภิกษุ และด้านใต้สำหรับพระภิกษุณี แต่กระนั้นก็ไม่เคยพบหลักฐานว่า มีการบวชพระภิกษุณีในอาณาจักรล้านนา เพราะแม้การบวชในลังกา ก็สาบสูญไปตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 9 แล้ว
ทางเข้าหลักน่าจะเป็นทิศใต้ ทางขึ้นลงทำเป็นบันไดมกรคายนาค สองข้างตั้งสิงห์ปั้นนั่งด้านละตัว และมีตัวมอมตั้งอยู่ 2 ตัว มีใบเสมาแบบเสาหินปักอยู่ 15 จุด รอบอุโบสถ ตัวอาคารไม้มีหน้าต่างเป็นซี่ลูกกรง ผนังแบบฝาไหล หลังคาลดหลั่นสามชั้น มีคันทวยรองรับโครงหลังคา
มุงกระเบื้องดินเผาประดับช่อฟ้า นาคสะดุ้งและตัวเหงา หน้าบันตกแต่งลายปูนปั้นพรรณพฤกษา ซุ้มทางเข้าออก รูปปูนปั้นนาคสองตัว เลื้อยลงมาเอาหางเกี่ยวกระหวัดอยู่เหนือกรอบประตู วงกลมตรงกลางเป็นรูปสัตว์ ด้านล่างเป็นหงส์ 2 ตัวเกาะอยู่ในลักษณะเหลียวหลัง ที่ขอบประตูมีเทวดาปูนปั้นทาสีทองเป็นทวารบาล 2 องค์ และมีองค์เล็ก 2 องค์ไม่ทาสีที่มุม
สิ่งที่น่าสนใจคือตัวมอมที่ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถ ตัวมอมเป็นสัตว์ที่คอยเฝ้าอยู่หน้า ศาสนสถานทางภาคเหนือ มีลักษณะแปลกตาคล้ายสุนัขพันธ์ปักกิ่งปั้นจากปูน เป็นสัตว์ในจินตนาการซึ่งผสมจากสัตว์ต่างๆ ที่มีสี่ขา ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะจากจีน ก่อนที่จะมาผสมผสานกับศิลปะพื้นเมือง
ชาวล้านนามีประเพณีขอฝนโดยนำตัวมอมที่แกะสลักจากไม้นำขึ้นเสลี่ยงแห่ขอฝน แล้วใช้น้ำสาดให้ตัวมอมเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นพิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ สมัยก่อนตามวัดทางเหนือจะแกะตัวมอมจากไม้ตั้งแต่ขนาดเล็กจนถึงขนาดเท่าแมว แล้วลงรักทาด้วยชาดแดงอย่างสวยงาม ซึ่งอาจเป็นต้นเค้าของการแห่นางแมว
โดยเชื่อว่าตัวมอมเป็นพาหนะของเทพปัชชุนนะ เจ้าแห่งเมฆและฝน ในคัมภีร์มหาสมัยสูตร ระบุว่าเป็นเทพในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา โดยเป็นเทวะบริวารของพระวรุณ ในคราวที่แคว้นโกศลเกิดความกันดาร พระพุทธองค์ทรงเปล่งพุทธโองการให้เทพปัชชุนนะนำฝนให้มาตก ในมัจฉาชาดกเมื่อพระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นมัจฉาเทพ แม้แต่พระอานนท์ยังเคยเสวยชาติเป็นปัชชุนเทวบุตร
เมื่อลงมายังโลกมนุษยตัวมอมก็แสดงอำนาจไปทั่ว กิเลสดังกล่าวทำให้ มอมไม่สามารถกลับขึ้นไปยังสวรรค์ได้ เทพปัชชุนนะจึงสั่งให้มาเฝ้าพุทธสถาน เพื่อรับฟังพระธรรมคำสอนเป็นเนืองนิจ จนกว่าจะละกิเลสคือความทระนงตน
และเข้าใจในพระธรรมจึงจะกลับไปสถิตเป็นเทพพาหนะบนวิมานต่อไป ขณะที่อยู่ในโลกมนุษย์ ตัวมอมก็พยายามสร้างประโยชน์สุขให้กับมนุษยโลก เพื่อเพิ่มบุญเพิ่มกุศลโดยเป็นตัวกลางเพื่อขอให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล เราจะพบตัวมอมได้หลายแห่ง เช่นวิหารและหอมณเฑียรธรรม วัดบุพพาราม หน้าวิหารด้านหลังองค์พระธาตุ วัดพระธาตุดอยสุเทพ หรือบนลายปิดทองล่องชาด ของวิหารลายคำวัดพระสิงห์ บางแห่งเป็นรูปเทวบุตรเหยียบบนตัวมอม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป
Create Date : 22 มีนาคม 2555 |
|
4 comments |
Last Update : 22 มีนาคม 2555 9:22:13 น. |
Counter : 3433 Pageviews. |
|
|