กรีนพีซดำรงอยู่เพราะโลกอันบอบบางใบนี้สมควรมีผู้ปกป้อง โลกต้องมีวิธีแก้ปัญหา ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการลงมือทำ
 
 

Zara แฟชั่นชั้นนำ แต่ล้าหลังเรื่องล้างสารพิษ


การรณรงค์เรียกร้องให้ Zara เข้าร่วมโครงการล้างสารพิษ หรือ Detox  ได้เริ่มดำเนินการมาเป็นเวลาเพียงไม่ถึงสัปดาห์ แต่ได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภค นักกิจกรรม และเหล่าแฟชั่นนิสตากว่า 250,000 คน เข้ามาร่วมลงชื่อสนับสนุนกับกรีนพีซ ผลักดันให้แบรนด์แฟชั่นยักษ์ใหญ่ออกมาสร้างสรรค์แฟชั่นปลอดมลพิษเสียที

ถือเป็นการตอบรับจากผู้คนจำนวนมากภายในเวลาอันรวดเร็วเหลือเชื่อ และด้วยเสียงมหาชนอันมหาศาลที่เรียกร้องให้บริษัท Zara ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมก่อมลพิษในเสื้อผ้านี่เองที่ทำให้ทางแบรนด์ Zara ได้ออกมาโต้ตอบอย่างรวดเร็วด้วยการตอบกลับทางอีเมลว่าแบรนด์ของตน “มุ่งมั่นที่จะดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายมลพิษเป็นศูนย์”

นันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี โดยทางทีม Corporate Dialogue ของกรีนพีซได้พูดคุยกับแบรนด์ Zara เพิ่มเติมถึงแนวทางการเปลี่ยนจากความมุ่งมั่นไปสู่การปฏิบัติ เนื่องจากเพียงแค่คำมั่นนั้นยังไม่เพียงพอ

ขณะนี้แหล่งน้ำทั่วโลกกำลังได้รับมลพิษจากสารเคมีอันตรายที่ปล่อยออกมาจากอุตสาหกรรมฟอกย้อมและสิ่งทอ ซึ่งสารเคมีอันตรายเหล่านี้เมื่อถูกปล่อยสู่แหล่งน้ำจะแตกตัวเป็นสารที่ทวีความอันตรายขึ้น อย่างสารที่มีคุณสมบัติรบกวนฮอร์โมนและสารก่อมะเร็ง โดยกรีนพีซพบสารเคมีอันตรายเหล่านี้ในตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าของ Zara จากการตรวจวิเคราะห์หาสารเคมีในห้องแล็บ  นั่นหมายความว่าสารเคมีดังกล่าวกำลังถูกใช้ในกระบวนการผลิต และปล่อยลงสู่แหล่งน้ำและแม่น้ำหลายสายทั่วโลก

หากแต่ละแบรนด์ผลิตเสื้อผ้าออกมา 850 ล้านตัวต่อปีทั่วโลก ดังเช่นที่ Zara ผลิต จะส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้โรงงานที่ผลิตเสื้อผ้าซึ่งเป็นผู้ที่ใช้น้ำในแหล่งน้ำเดียวกันนี้เพื่ออุปโภคบริโภค

ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องผลักดันให้ Zara เป็นผู้นำแบรนด์แฟชั่นที่พาเราไปสู่อนาคตปลอดสารพิษ เพราะแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Zara จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า กลุ่มผู้ผลิตจะรับฟังและปฏิบัติตามแบรนด์ใหญ่อย่าง Zara เนื่องจากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และในฐานะที่เป็นผู้นำทางอุตสาหกรรมแน่นอนว่าทิศทางที่ Zara เลือกก้าวเดินแบรนด์อื่นย่อมก้าวตาม

กรีนพีซต้องการเรียกร้องให้แบรนด์แฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในโลกทำอย่างไรต่อไป

เราเชื่อว่า Zara ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะและสิ่งแวดล้อม ด้วยการยุติการปล่อยสารเคมีอันตรายจากผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าและกระบวนการผลิต รวมถึงต้องเปิดเผยว่าสายการผลิตของตนกำลังปลดปล่อยสารเคมีใดบ้างลงสู่สายน้ำอันมีค่าของเรา ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณโรงงาน และผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์ของ Zara มีสิทธิในการรับรับรู้ว่ามีสารเคมีอันตรายใดแฝงอยู่ในเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ และจะส่งผลร้ายแรงอย่างไรบ้างเมื่อถูกปล่อยลงสู่สิ่งแวดล้อม

แบรนด์แฟชั่นที่เป็นคู่แข่งรายใหญ่ของ Zara ได้ออกมาเฉิดฉายบนแคทวอล์กของแฟชั่นปลอดสารพิษกันบ้างแล้ว อาทิ Marks & Spencer ที่ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะเผยข้อมูลการใช้และปล่อยมลพิษของสายการผลิตภายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2556 รวมถึง H&M เองก็ได้กำหนดว่าจะยุติการใช้สารพีเอฟซี  ซึ่งเป็นกลุ่มสารเคมีอันตราย ภายในวันที่ 1 มกราคม 2556

ยิ่ง Zara ผลิตเสื้อผ้าในแต่ละปีมากกว่า M&S และ H&M ด้วยแล้ว จึงเป็นสิ่งสำคัญและเร่งด่วนที่ Zara ควรจะต้องเปิดเผยข้อมูลนี้ และยุติการใช้สารเคมีอันตรายเพื่อก้าวตามอีกสองแบรนด์แฟชั่นให้ทัน

Zara สามารถออกแบบ ผลิต และจัดส่งเสื้อผ้าชุดใหม่ไปยังร้านได้ภายในเวลา 15 วัน เราอยากเห็น Zara ตอบโต้กับวิกฤตมลพิษอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน พร้อมกับล้างสารพิษจากอุตสาหกรรมแฟชั่นอย่างถาวร

อย่างไรก็ตาม Zara ได้รับรู้ถึงปัญหานี้มาระยะหนึ่งแล้ว รายงานชิ้นแรกของกรีนพีซ เผยถึงมลพิษจากผลิตภัณฑ์สิ่งทอเมื่อ 18 เดือนผ่่านมาแล้ว แต่หลังจากนั้น Zara เลือกที่จะนิ่งเฉย ทว่าด้วยพลังจากทุกคนที่ร่วมกันขับเคลื่อนภายในไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ในที่สุด Zara ก็เริ่มจะตาสว่าง

มาร่วมรณรงค์ด้วยกัน

คุณสามารถช่วยบอกต่อการรณรงค์ล้างสารพิษ "Detox" นี้ ให้กับเพื่อนๆ และทุกคนได้รับรู้ เพราะยิ่งมีจำนวนผู้เข้าร่วมการณรงค์มากเท่าไร ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทซึ่งหนึ่งในนั้นมีชายที่รวยเป็นอันดับสามของโลก ก็จะตระหนักว่าพวกเขาต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนที่จะล้างสารพิษ โดยคุณยังสามารถเข้าไปที่หน้าเฟสบุ๊คของ Zara ประเทศไทย  หรือหน้าเฟสบุ๊คหลักของ Zara  หรือส่งข้อความในทวิตเตอร์ เพื่อเตือนให้ Zara แสดงความเป็นผู้นำในฐานะที่เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของโลก ก้าวออกมารับผิดชอบร่วมล้างสารพิษกับกรีนพีซ

Zara เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในการเกาะติดเทรนด์ล่าสุดทุกฝีก้าว ดังนั้นเราจึงต้องรวมพลังแสดงให้ Zara เห็นว่าคอลเล็กชันที่แบรนด์แฟชั่นยักษ์ใหญ่ "ต้องไม่พลาด" ในฤดูกาลนี้ คือเสื้อผ้าที่ปลอดสารพิษ 100%

ร่วมลงมือ:

ร่วมรณรงค์ล้างสารพิษ "Detox" และบอกต่อให้เพื่อนรู้




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2555 11:09:20 น.   
Counter : 2111 Pageviews.  


เรื่องราวสารพิษในเสื้อผ้า

น้ำปนเปื้อนสีย้อมผ้าจำนวนมาก

วันนี้คุณใส่ชุดอะไร? ลองสัมผัสมันดู รู้สึกอย่างไรบ้าง? ใช่แล้ว คุณกำลังสัมผัสชิ้นส่วนของเสื้อผ้า คุณกำลังสัมผัสสิ่งทอประเภทหนึ่ง คุณกำลังสัมผัสทางเลือกหนึ่งของแฟชั่น ไม่ใช่เพียงแค่นั้น คุณกำลังสัมผัสถึงเรื่องราว เพราะทุกชิ้นส่วนของเสื้อผ้า ทั้งในตู้เสื้อผ้าของคุณ ตู้เสื้อผ้าของฉัน และตู้เสื้อผ้าของทุกคนล้วนแล้วแต่มีเรื่องราวทั้งสิ้น

ขณะนี้แบรนด์แฟชั่นต่างๆ กำลังกำหนดเรื่องราวให้กับเรา โดยมีตัวเอกคือแหล่งน้ำสาธารณะที่กำลังถูกใช้ระบายน้ำเสียเสมือนเป็นทางระบายน้ำส่วนตัว มีตัวละครหลักอื่นๆ คือ แม่น้ำที่ปนเปื้อนด้วยสารพิษ มีสารเคมีอันตรายที่ตกค้าง และบิดเบือนฮอร์โมนในสิ่งมีชีวิต ซึ่งสามารถส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อระบบนิเวศและสรรพชีวิต

ฉันไม่รู้ว่าคุณคิดเห็นอย่างไร แต่พวกเราที่กรีนพีซไม่พอใจเรื่องราวนี้สักเท่าไร เรารักเสื้อผ้าอย่างแท้จริง เราสวมใส่เสื้อผ้าเพื่อสื่อถึงบุคลิกภาพของตน และเผยความเป็นตัวตนให้โลกรับรู้ แต่เราก็ต่างเห็นพ้องต้องกันกับความเชื่อที่ว่า แฟชั่นไม่ควรจะทำร้ายโลก

ใช่แล้ว เสื้อผ้าที่เราสวมใส่ไม่ควรมีสารเคมีอันตรายเป็นเครื่องประดับ เสื้อผ้าไม่ควรถูกผลิตอย่างไม่โปร่งใส และสร้างมลพิษในแหล่งน้ำ เสื้อผ้าไม่ควรถูกผลิตมาให้สกปรกก่อนที่เราจะซื้อมาสวมใส่

ยังมีแนวทางอื่นในการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเสื้อผ้า และต้องอาศัยพลังจากคุณเพื่อช่วยเรียงร้อยเรื่องราว สิ่งสำคัญคือ แบรนด์ที่ผลิตเสื้อผ้าให้เราใส่นั้นจำเป็นต้องฟังเสียงผู้บริโภค เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะหากปราศจากเราแล้วแบรนด์เหล่านี้ก็ไม่มีคุณค่าอะไร ไม่มีค่าเลย และพวกเขาก็ตระหนักถึงจุดนี้

เราไม่ใช่แค่ฟันเฟืองในเครื่องจักรของแบรนด์เสื้อผ้า

เรามีพลังเหนือพวกเขา ทั้งพลังในแต่ละคน และยิ่งเป็นพลังที่มหัศจรรย์กว่านั้นหากเราร่วมมือกัน

เราเรียกมันว่า “#PeoplePower” หรือพลังจากมวลชน ซึ่งเป็นพลังที่นับวันจะยิ่งแผ่ขยายอย่างไม่สิ้นสุด เราคือกลุ่มคนที่รักเสื้อผ้า และเราก็พร้อมที่จะผลักดันสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมการรณรงค์ด้านการล้างสารพิษของกรีนพีซประจำปีนี้จึงขยับไปไกลขึ้นกับการเจาะโลกแฟชั่นไฮสตรีทเพื่อค้นหาการใช้สารเคมีอันตรายในสายการผลิตของผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่างๆ

ในวันนี้เรากำลังเปิดโปงการเชื่อมโยงระหว่างโรงงานอุตสาหกรรมเส้นใยที่ใช้สารเคมีอันตราย และมลพิษในแหล่งน้ำ โดยการตรวจสอบของเราได้รวบรวมแบรนด์แฟชั่นชั้นนำระดับโลก 20 แบรนด์ และทำการทดสอบ 141 ผลิตภัณฑ์ที่ขายโดยแบรนด์แฟชั่น อาทิ ซาร่า มีเทอร์สบอนวี จากประเทศจีน คาลวิน ไคลน์ ลีวายส์ แมงโก้ ทอมมี ฮิลฟิเกอร์ และเวโร โมดา

เราต้องการเรียกร้องให้แบรนด์ต่างๆ ยุติการปล่อยสารเคมีอันตราย สู่สิ่งแวดล้อม และลงในเสื้อผ้า วิธีที่ดีที่สุดคือ การหันมาใช้ทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า และเพื่อให้เห็นว่าแบรนด์ตั้งใจที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ พวกเขาจะต้องแสดงความโปร่งใส่ และเปิดเผยว่าสายการผลิตของตนกำลังปล่อยสารเคมีใดบ้างจากโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่แหล่งน้ำ

หากแบรนด์ต่างๆ มีอำนาจที่แท้จริง และมีอิทธิพลต่อสายการผลิตของตน จะสามารถโน้มน้าวให้เลือกใช้สิ่งที่ปลอดภัยแทนที่สารเคมีอันตราย พร้อมทั้งนำผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสารพิษเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็วได้ แบรนด์อื่นๆ ก็จะปฏิบัติตาม และหากพลังมวลชน #PeoplePower ร่วมผลักดันเรื่องนี้มากพอ เราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ทั่วโลกตลอดไป

ที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงบริษัทต่างๆ คือ ทั้ง 7 แบรนด์ชั้นนำของโลก (พูมา ไนกี อดิดาส เอชแอนด์เอ็ม มาร์คแอนด์สเปนเซอร์ ซีแอนด์เอ และ หลีหนิง) ได้ออกมาให้คำมั่นที่จะเปลี่ยนแปลง ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะเสียงทุกเสียงจากคุณบอกกล่าวกับแบรนด์เหล่านี้ให้ยุติการกระทำ

แต่กระนั้นแบรนด์อื่นๆ อย่างเช่น ซาร่า (Zara) ยังคงนิ่งเฉยอยู่ หากคุณคิดเหมือนกับเราก็สามารถร่วมกันเรียกร้องให้ซาร่าล้างสารพิษออกจากแฟชั่นของพวกเราได้ เพียงแค่บอกกับซาร่า(Zara) ว่าเราไม่ต้องการสารเคมีอันตรายในเสื้อผ้า หรือแหล่งน้ำของพวกเรา หากเรารวมพลังกันเราสามารถกำหนดทิศทางเรื่องราวที่เสื้อผ้าที่เราสวมใส่นำเสนอได้ และสามารถเขียนเนื้อหาที่ปลอดภัยกว่า เพื่อเราทุกคน




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 20 พฤศจิกายน 2555 12:19:18 น.   
Counter : 1540 Pageviews.  


อย่าโทษเสือ จงโทษการตัดไม้ทำลายป่า

เด็กชายตัวน้อยจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งในป่าของประเทศอินโดนีเซีย ที่ซึ่งยิ่งป่าฝนเขตร้อนถูกทำลายมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทำให้เสือขาดที่อยู่อาศัยและบุกเข้ามาทำอันตรายผู้คนในหมู่บ้านมากขึ้นเท่านั้น
เด็กชายตัวน้อยจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งในป่าของประเทศอินโดนีเซีย ที่ซึ่งยิ่งป่าฝนเขตร้อนถูกทำลายมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งทำให้เสือขาดที่อยู่อาศัยและบุกเข้ามาทำอันตรายผู้คนในหมู่บ้านมากขึ้นเท่านั้น

การตัดไม้ทำลายป่าที่ประเทศอินโดนีเซียเริ่มเป็นเรื่องที่บานปลายขึ้นเมื่อมีรายงานข่าวว่าเด็กวัยรุ่นชายคนหนึ่งถูกเสือทำร้ายจนเสียชีวิต ซึ่งถือเป็นสัญชาติญาณของเสือที่ต้องหาทางดิ้นรนเอาชีวิตรอดเมื่อถิ่นที่อยู่ถูกทำลายลง แต่ว่าจะต้องมีอีกสักกี่ชีวิตที่ต้องมาสังเวยเช่นนี้ก่อนที่เคเอฟซีจะลงมือยุติพฤติกรรมที่เอื้อต่อการทำลายป่าฝนเขตร้อนอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากที่เสียงของพลังประชาชนเรียกร้องให้คณะผู้บริหารเคเอฟซียุติการเดินหน้าทำลายป่าฝนเขตร้อน ล่าสุดเคเอฟซีได้มีการออกมาแถลงถึงการเริ่มกระบวนการที่จะตรวจสอบที่มาของผลิตภัณฑ์กระดาษอย่างกระดาษเช็ดมือและกล่องใส่อาหาร แต่เพียงแค่การตรวจสอบนั้นยังไม่เพียงพอ เคเอฟซี สำนักงานใหญ่ไม่ได้เพียงแค่ใช้เวลานานหลายเดือนในการพิจารณาเท่านั้น แต่ยังคงไม่ออกมาประกาศหยุดยั้งพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าเสียที อีกทั้งยังไม่มีทีท่าที่จะตัดสายสัมพันธ์กับบริษัทอย่าง Asia Pulp and Paper (APP) (เอพีพี) ที่กำลังผลิตเยื่อกระดาษจากป่าไม้ที่เป็นบ้านของเสือ

ยิ่งเคเอฟซีเพิกเฉยต่อปัญหานี้เท่าไร สถานการณ์ก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

สุมาดี เป็นชาวบ้านของหมู่บ้านจุมราห์ ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนที่จะมีการตัดไม้ทำลายป่านั้นเสือไม่เคยก่อเหตุการณ์ที่เป็นปัญหาขึ้น แต่ทันทีที่ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์ถูกทำลายลง เสือจึงถูกบีบบังคับให้เข้ามาใกล้บริเวณที่ชาวบ้านอยู่อาศัยและทำงาน

วันนั้นเป็นอีกวันที่สุมาดีกับครอบครัวใช้ชีวิตตามปกติ พวกเขาทำงานอยู่ที่บริเวณใกล้กับหมู่บ้านขณะที่เสือปรากฏตัว ด้วยความกลัวและสับสน มันจู่โจมเข้าใส่และคร่าชีวิต อาห์มัด บุตรชายวัย 18 ของสุมาดี

"ไม่มีใครยอมช่วยเรานำศพของเขากลับมายังหมู่บ้าน" สุมาดีอธิบาย "ไม่มีใครกล้าเพราะเสือยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ภรรยากับผมจึงต้องอุ้มศพของเขาเอง เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยก็วางเขาลงและพยายามลูบดินออกจากใบหน้าของเขา ซึ่งมันทำได้ยากเพราะร่างกายเขาเต็มไปด้วยเลือด

"เมื่อครั้งที่ป่ายังสมบูรณ์ ไม่มีเสือตัวใดมาย่างกรายใกล้หมู่บ้านเลย แต่หลังจากป่าถูกทำลายลูกชายของผมก็ถูกทำร้าย เพียงแค่ลูกชายเป็นกลายเป็นเหยื่อของการทำลายป่าก็เกินพอแล้ว ภรรยาผมเองก็ไม่เข้าป่าเพื่อไปทำงานอีก เพราะเมื่อเธอเข้าป่าครั้งใดเธอจะนึกถึงลูกของเรา"

สุมาดี พ่อของอาห์มัด บุตรชายวัย 18 ปีผู้เคราะห์ร้ายจากการโจมตีของเสือสุมาตรา
สุมาดี พ่อของอาห์มัด บุตรชายวัย 18 ปีผู้เคราะห์ร้ายจากการโจมตีของเสือสุมาตรา

สุมาดีมิได้กล่าวโทษเสือว่าเป็นสาเหตุการตายของบุตรชาย เขาอธิบายว่า "สิ่งที่ผมต้องการคือ การที่ป่ายังคงความสมบูรณ์ไม่ถูกทำลาย ให้เสือสุมาตรามีป่าเป็นบ้านไว้อยู่อาศัย ยามที่ไร้ป่าเห็นได้ชัดว่าเสือจะบุกเข้ามาที่หมู่บ้านของพวกเรา"

เป็นเรื่องที่ดีหากเคเอฟซีซึ่งเป็นบริษัทฟาสท์ฟู๊ดที่ใหญ่ที่สุดของโลกกำลังเริ่มตรวจสอบปัญหากรณีแหล่งผลิตบรรจุภัณฑ์ แต่วิสัยทัศน์ที่เข้มแข็งและการตัดสินใจลงมือทำเป็นสิ่งที่จำเป็นสูงสุดในตอนนี้

ในการที่จะหยุดยั้งการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของเสือ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเคเอฟซีจะต้องยุติการซื้อบรรจุภัณฑ์จากเอพีพี เพื่อเป็นการแสดงให้เอพีพีเห็นว่า การทำลายป่าไม่ใช่เพียงแค่เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับเสือและชุมชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อธุรกิจของตนด้วย

เดวิด โนวัค ซีอีโอของเคเอฟซี กล่าวอ้างว่าตนเป็นกูรูด้านความเป็นผู้นำ และยังได้รับรางวัลตำแหน่งซีอีโอแห่งปี กระนั้นเห็นได้ชัดว่าเขายังพลาดที่จะเป็นผู้นำในการหยุดยั้งการทำลายป่า

เราจึงต้องรวมพลังกันเพื่อขอให้ทางคณะผู้บริหารเคเอฟซีกดดันให้โนวัคยุติปัญหานี้ เพราะเขาเป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่โนวัคจะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่สามารถปฏิเสธได้

ที่ผ่านมาในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ มีผู้คนกว่า 30,000 คนได้ร่วมกันส่งอีเมลไปยังคณะผู้บริหารเคเอฟซีเพื่อเรียกร้องให้ยุติพฤติกรรมที่เอื้อต่อการทำลายป่าฝนเขตร้อนในการนำมาใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์เคเอฟซี ซึ่งล่าสุดทางเคเอฟซี สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ ได้ออกมาให้คำมั่นที่จะยกเลิกการใช้บริการบริษัทจัดหาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าฝนเขตร้อนอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าข่าวดีเช่นนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีเสียงเรียกร้องจากพลังมวลชนอย่างคุณที่ช่วยทำให้เคเอฟซีได้เห็นว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ที่จะเพิกเฉยได้อีกต่อไป

ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญ แต่เพียงแค่เคเอฟซี สหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ออกมาให้คำมั่นเพียงแค่นั้นก็ยังคงไม่เพียงพอ ยังคงมีเคเอฟซีอีกหลายร้อยสำนักงานทั่วโลก รวมถึงยังคงต้องกดดันให้สาขาแม่ที่เคเอฟซีสำนักงานใหญ่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาแถลงการณ์ยุติสายสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์อาหารเคเอฟซีกับการตัดไม้ทำลายป่าฝนเขตร้อนเสียที

คุณเองก็สามารถเป็นอีกหนึ่งเสียงสำคัญในการช่วยปกป้องถิ่นที่อยู่ของเสือและชุมชนโดยรอบได้ ร่วมกันส่งอีเมลเพื่อเรียกร้องกับคณะผู้บริหารเคเอฟซีโดยตรงตั้งแต่วันนี้ เพื่อยุติเรื่องเศร้านี้ และให้อาห์มัดเป็นเหยื่อรายสุดท้ายจากการทำลายป่าของบริษัทเอพีพี




 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2555 11:36:33 น.   
Counter : 1710 Pageviews.  


สืบสานประเพณีรับบัว สืบทอดสายใยแห่งสายน้ำ

ริมฝั่งคลองสำโรง อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ผู้คนนับหมื่นมารวมตัวกันด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม และสายตาที่จับจ้องแน่วแน่ไปตามลำน้ำด้วยแรงแห่งศรัทธา ฉันรู้สึกราวกับถูกสะกดให้อยู่ในภวังค์ สายสัมพันธ์แห่งสายน้ำก่อบ่มเป็นสายใยร้อยเรียงผู้คนที่นี่เกิดความรักและเคารพสายน้ำไม่ว่าจะผ่านกาลเวลามานานเท่าไร


หลังจากที่ได้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนริมคลองสำโรงตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ฉันและเพื่อนๆ ชาวกรีนพีซพร้อมด้วยอาสาสมัครได้มีโอกาสมาเยือนคลองสำโรงอีกครั้งในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 29 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา ในใจรู้สึกอิ่มเอิบยินดียิ่งนัก เพราะพวกเรากำลังจะได้เป็นส่วนหนึ่งในสักขีพยานของวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่และยาวนานของประเพณีรับบัว อันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลกที่หาชมได้เพียงที่นี่ที่เดียวเท่านั้น

ตลอดสองฝั่งคลองคราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมายที่มาร่วมงานด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มเอ่ยคำทักทายกันอย่างเป็นกันเอง บ้างก็มาจับจองนั่งรออยู่ที่ริมคลองตั้งแต่ก่อนหกนาฬิกา บ้างก็ระงับภาระกิจส่วนตัวของตนในช่วงเช้าและมาในชุดนักศึกษาและชุดทำงาน ยิ่งฉันได้นั่งซึมซาบบรรยากาศก็ยิ่งทำให้จังหวะหัวใจเต้นถี่ขึ้นด้วยความตื้นตันว่า ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง และเป็นหนึ่งเดียวในโลกแห่งนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ แต่เป็นความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างคนกับสายน้ำที่ดึงดูดผู้คนมาได้มากขนาดนี้

จวบจนเลยเวลาแปดนาฬิกา ผู้คนยังคงหลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับสายน้ำคลองสำโรงที่ยังคงไหลรินเป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงผู้คนทางด้านวิถีชีวิตมาช้านาน จนก่อเกิดเป็นประเพณีวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่โด่งดังไปทั่วโลก ประเพณีรับบัวได้รับการสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณของชาวบางพลี โดยจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 29 ตุลาคม 2555 นั่นเอง

ประเพณีรับบัวเป็นงานที่แสดงถึงความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนต่างถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวอำเภอบางพลีที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสายน้ำสืบเนื่องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  จากความเป็นมาเล่าขานกันว่าเป็นประเพณีที่ชาวบางพลีจัดขึ้นเพื่อต้อนรับคนมอญพระประแดงที่ทำนาอยู่ที่ตำบลบางแก้ว เมื่อถึงเวลาออกพรรษาคนมอญจะกลับไปทำบุญที่อำเภอพระประแดง จึงร่วมกันเก็บดอกบัวเพื่อให้คนมอญนำกลับไปถวายพระที่วัดเพื่อนำไปบูชาหลวงพ่อโต และนำน้ำมนต์ของหลวงพ่อกลับไปเพื่อเป็นสิริมงคล ส่วนดอกบัวที่เหลือชาวมอญก็นำกลับไปบูชาพระคาถาพันที่วัดของตน ระหว่างการเดินทางทางน้ำที่ยาวนานก็ต่างพากันร้องรำทำเพลงบนเรือ คนไทยได้เตรียมอาหารคาวหวานไปเลี้ยงรับรอง จึงเป็นที่มาของประเพณีรับบัวมาจนถึงทุกวันนี้

ในงานประเพณีวันนี้มีประชาชนทั้งในท้องที่บางพลีและอำเภอใกล้เคียงมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่าชาวบางพลีจะหาดอกบัวหลวงไว้มอบให้แก่ชาวต่างบ้านต่างเรือนที่มาเยือน รวมถึงจัดหาอาหารเพื่อเลี้ยงแขก ในวันนั้นเราจึงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในวิถีชีวิตริมสายน้ำที่งดงาม อิ่มบุญ อิ่มใจ และอิ่มท้อง เพราะเมื่อเริ่มงานตั้งแต่เจ็ดนาฬิกา ชาวบ้านจะร่วมกันโยนข้าวเหนียว และข้าวต้มมัดที่ใช้เป็นอาหารทานระหว่างเดินทาง เพื่อแบ่งปันให้แขกเหรื่อได้รับประทานตลอดสองฝั่งคลองสำโรง ประสานคลอเคล้ากับเสียงเพลงที่สนุกสนาน ขณะที่ขบวนเรือแห่อัญเชิญหลวงพ่อโตจำลองจะเคลื่อนจากวัดบางพลีใหญ่ในไปจนถึงที่ว่าการอำเภอบางพลี ดอกบัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธาของผู้คนลอยละล่องตกลงสู่บนเรือแห่ เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อใกล้ถึงที่ว่าการอำเภอบางพลีดอกบัวบนเรือก็พูนสูงในระดับอกขององค์พระ เป็นภาพที่น่าประทับใจตราตรึงอยู่ในดวงจิตของพุทธศาสนิกชน

หลังจากดอกบัวดอกสุดท้ายจากฝูงชนถูกโยนขึ้นไปบนเรือ ฉันเองอดนึกถึงภาพของงานประเพณีรับบัวนี้ไม่ได้ว่าในอดีตจะมีความวิจิตรงดงามเพียงใด เดิมทีคลองสำโรงแห่งนี้เคยเป็นคลองที่ใสสะอาดและมีดอกบัวหลวงทั้งตูมและบานสะพรั่งแต่งแต้มธาราไว้อย่างสง่างาม ยากที่จะหาลำคลองใดคล้ายคลึง ดอกบัวถือเป็นสิ่งล้ำค่าของคลองสำโรงที่อยู่เคียงคู่กับลำธารที่สะอาดจนกระทั่งสามารถลงไปดำผุดดำว่ายดื่มน้ำได้อย่างสดชื่น สามารถเก็บดอกบัวมาบูชาพระและแบ่งปันให้แขกผู้มาเยือนได้อย่างไม่มีหมดสิ้น ความโอบอ้อมอารีของชาวไทยที่มีต่อแขกต่างถิ่นนั้นเรียกได้ว่าเป็นผลพวงจากความอุดมสมบูรณ์ของลำน้ำที่โอบอุ้มสรรพสิ่งและวิถีชีวิตของคนไทยก็คงไม่ผิดอะไรนัก แต่ปัจจุบันเราไม่สามารถพบเห็นภาพดอกบัวเช่นนั้นได้อีก สิ่งที่เข้ามาแทนอย่างขมขื่น คือ การเป็นแหล่งรองรับความเจริญจากกรุงเทพฯ กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ผุดขึ้นมาในอำเภอบางพลีกว่า 800 แห่ง ที่ทำให้สภาพของคลองสำโรงเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ หรือจากคลองสวรรค์เป็นท่อระบายน้ำ

ถึงแม้จะได้รับผลกระทบทางมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้ามาพร้อมกับความเจริญ แต่กระนั้นยังไม่สามารถทำลายสายใยอันแน่นแฟ้นของคนและสายน้ำอันเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีคุณค่าและความหมาย ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษชาวบางพลีได้มอบไว้ให้แก่คนรุ่นต่อไปผ่านทางประเพณีรับบัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดซึ่งสายน้ำใสสะอาดที่คอยหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตในลำคลอง และชีวิตผู้คนอีกนับหมื่นนับแสนริมสองฝั่งธารา

ถึงประเพณีรับบัวจะผ่านพ้นไป แต่กลิ่นอายความอบอุ่นในไมตรีจิตของชุมชนริมสายน้ำยังคงคุกรุ่นไม่คลาย ภาพของผู้คนนับหมื่นร่วมกันถือดอกบัวพนมมือพร้อมกับโยนดอกบัวหลวงสีขาวปนชมพูขึ้นไปยังเรือนั้นยังคงฝังอยู่ในภาพความประทับใจ จะเกิดอะไรขึ้นหากสายน้ำเน่าเสียไป ประเพณีรับบัวอันล้ำค่านี้จะเสื่อมสูญไปด้วยหรือไม่ หากแม้นสายน้ำทุกสายไร้ซึ่งดอกบัวและชีวิตชีวา วัฒนธรรม ความศรัทธา และวิถีชีวิตของผู้คนจะยังคงอยู่หรือไม่ ในปีนี้เรายังคงมีประเพณีรับบัวอันยิ่งใหญ่คู่กับลำน้ำคลองสำโรง แต่หากเราไม่ร่วมมือกันรักษ์ลำคลองเพื่อสืบสานสายใยแห่งสายน้ำเสียตั้งแต่ตอนนี้ ประเพณีรับบัวอาจเป็นเพียงแค่วัฒนธรรมในอดีตที่ไม่อาจหวนคืน




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2555 7:04:33 น.   
Counter : 3047 Pageviews.  


มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ก้าวนำสู่แฟชั่นไร้สารพิษ

คุณกำลังใส่เสื้อผ้าสกปรกอยู่หรือเปล่า?? แม้เสื้อผ้าแฟชั่นราคาแพงจะดูหรูหราน่าสวมใส่เพียงใด แต่หากมีส่วนประกอบของสารเคมีอันตราย เมื่อเราซักล้างสารเคมีอันตรายนั้นจะออกมาพร้อมกับน้ำ และปนเปื้อนแหล่งน้ำของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว การล้างสารพิษใน “เสื้อผ้าสกปรก” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่แบรนด์แฟชั่นทุกแบรนด์ควรจะร่วมมือกันหยุดการปล่อยสารพิษสู่สิ่งแวดล้อม หรือเรียกได้ว่าเป็นการล้างสารพิษให้หมดไปจากสายน้ำและอนาคตของเรา

การชักจูงยักษ์ใหญ่แห่งวงการแฟชั่นให้เปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตเสื้อผ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ด้วยการเปิดเผยข้อเท็จจริงด้านสารเคมีอันตราย และเสียงสนับสนุนจำนวนมากจากพลังมวลชนอย่างคุณ เราจึงสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างเช่นเรื่องราวที่น่ายินดีต่อไปนี้ได้

ดูเหมือนว่าแฟชั่นชั้นนำของโลกกำลังก้าวไปสู่อนาคตที่สะอาดมากขึ้น หลังจากที่เอช แอนด์ เอ็ม เป็นแบรนด์แฟชั่นแบรนด์แรกที่ก้าวสู่เวทีวงการแฟชั่นที่ปราศจากสารพิษเมื่อปีที่แล้ว พร้อมประกาศตอบรับข้อเรียกร้องของพลังมวลชนและกรีนพีซในการให้คำมั่นที่จะยกเลิกการใช้และปลดปล่อยสารเคมีอันตรายทุกชนิดตลอดห่วงโซ่การผลิตเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ภายในปี พ.ศ. 2563 และล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2555 ที่ผ่านมา แบรนด์แฟชั่นเครื่องแต่งกายชั้นนำระดับโลกของสหราชอาณาจักร มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ได้ออกมาประกาศจุดยืนเช่นเดียวกันนี้ พร้อมทั้งได้ให้คำมั่น ยุติการใช้สารพีเอฟซี (เพอ ฟลูโอโรคาร์บอน) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ทั้งหมดภายในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2559

นอกจากนี้มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ยังให้คำมั่นว่าจะกำหนดแผนการระยะสั้นในการหยุดใช้สารเคมีอันตรายชนิดอื่นๆ รวมถึงสารในกลุ่มอัลคีฟีนอล ซึ่งถูกสั่งห้ามใช้งานในสหภาพยุโรป พร้อมแสดงความโปร่งใสในการรายงานข้อมูลมลพิษที่ผู้ผลิตของตนที่ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ โดยเริ่มจากข้อมูลสารพิษจากห้าโรงงานผู้ผลิตที่ประเทศจีน เนื่องจากทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณโรงงานการผลิตและผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ต่างมี “สิทธิในการรับรู้” ว่ามีการปล่อยมลพิษและสารเคมีใดบ้างลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ

การที่มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์เป็นหนึ่งในผู้ใช้สารพีเอฟซีรายสำคัญได้ออกมาประกาศการยุติการใช้สารเคมี ถือเป็นการส่งสารที่ชัดเจนไปยังอุตสาหกรรมแฟชั่น รวมถึงบริษัทผู้ผลิตสารเคมีทั้งหมดด้วย ว่าถึงเวลาแล้วที่จะลาขาดจากการใช้และการผลิตสารเคมีเสียที

ลงมือตั้งแต่วันนี้

เราต้องเริ่มลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้ เพราะขณะนี้อุตสาหกรรมฟอกย้อมและสิ่งทอกำลังเปลี่ยนสายน้ำทั่วโลกให้ชุ่มฉ่ำไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เป็นทั้งสารก่อมะเร็งและสารรบกวนฮอร์โมนด้วยการทิ้งสารพิษเหล่านี้ลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะราวกับเป็นท่อระบายน้ำส่วนตัว มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้วยการก้าวสู่เวทีแฟชั่นที่ปราศจากสารพิษ และเป็นต้นแบบให้แบรนด์อื่นได้เห็นแล้วว่าการมุ่งมันลงมือทำนั้นทำได้ง่ายแค่ไหน ถึงเวลาแล้วที่จะร่วมกันเรียกร้องให้แบรนด์อื่นๆ ไม่รอช้าและก้าวออกมารับคำท้าเพื่อก้าวสู่ผู้นำแฟชั่นอย่างแท้จริงในการขจัดสารพิษ! ออกจากสายน้ำของเราร่วมกัน

- บอกเรื่องราวนี้ต่อกับเพื่อนและครอบครัวเพื่อสร้างจิตสำนึกของโลกแฟชั่นที่ปราศจากสารพิษ

- คุณเองก็สามารถเป็นดาราดังได้ ด้วยการส่งรูปร่วมสนุกในวิดีโองานรณรงค์ #PeoplePowered พร้อมกับบอกว่าคุณอยากให้แบรนด์ใดเป็นแบรนด์ต่อไปที่ควรจะร่วมล้างสารพิษกับเรา




 

Create Date : 30 ตุลาคม 2555   
Last Update : 30 ตุลาคม 2555 11:06:51 น.   
Counter : 2038 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  

greenpeacethailand
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ในพ.ศ.2514 กลุ่มนักกิจกรรมกลุ่มเล็กๆ จากเมืองแวนคูเวอร์ แคนาดา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวิสัยทัศน์แห่งโลกสีเขียวและมีสันติสุข ได้แล่นเรือหาปลาเก่าๆ ออกจากแวนคูเวอร์ แคนาดา นักกิจกรรมเหล่านี้ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกรีนพีซ เชื่อว่าบุคคลไม่กี่คนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

ภาระกิจของพวกเขาคือการ "เป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ" ของการทดลองนิวเคลียร์ใต้ดินที่เกาะอัมชิตกา ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ นอกชายฝั่งตะวันตกของรัฐอลาสก้า ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

อัมชิตกาเป็นสถานหลบภัยของนากทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ 3,000 ตัว และเป็นบ้านของนกอินทรีย์หัวล้าน เหยี่ยวต่างถิ่น และ สัตว์ป่าอื่นๆ มากมาย

ถึงแม้ว่าเรือเก่าๆ ของพวกเขา คือ ฟิลลิส คอร์แมก ถูกขัดขวางก่อนที่จะไปถึงอัมชิตกา แต่การเดินทางครั้งนี้จุดประกายเล็กน้อยให้แก่ความสนใจของสาธารณชน

สหรัฐอเมริกายังคงจุดระเบิดอย่างหนักหน่วง แต่เสียงเพรียกแห่งเหตุผลมีผู้ได้ยินแล้ว การทดลองนิวเคลียร์บนเกาะอัมชิตกาได้สิ้นสุดลงในปีเดียวกัน และเกาะแห่งนั้นได้ถูกประกาศให้เป็นสถานหลบภัยของนกทั้งหลาย

ปัจจุบัน กรีนพีซเป็นองค์กรนานาชาติที่ให้ความสำคัญแก่การรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก


คุณพร้อมที่จะร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือยัง?
มีหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้ตอนนี้!


หลายคนอาจจะคิดว่าการดูแลรักษาโลกเป็นเรื่องยาก แค่ลำพังเราอาจทำอะไรได้ไม่มากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วแค่เพียงสองมือเล็กๆของเราก็สามารถทำเพื่อโลกได้มากมาย อ่านต่อ

ติดตามกรีนพีซเพ่ิมเติมได้ที่:

Facebook | Twitter | Instagram | YouTube
[Add greenpeacethailand's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com