ที่ผ่านมาในกระบวนการจัดทำ E(H)IA ในการพิจารณาโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน กรณีของโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และท่าเทียบเรือขนส่งถ่านหินบ้านคลองรั้ว ถือเป็นตัวอย่างของกระบวนการ E(H)IA ที่ล้มเหลวและไม่ชอบธรรมมากที่สุด
ขณะนี้กระบวนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือรายงาน E(H)IA ของท่าเทียบเรือและโรงไฟฟ้าถ่านหินกำลังเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ หรือคชก.เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ถึงแม้จะมีเสียงคัดค้านจากชาวกระบี่ผู้ไม่เห็นด้วยกับโครงการ และประชาชนกว่า 45,000 คน ที่ร่วมลงชื่อปกป้องกระบี่บน ProtectKrabi.org และ Change.org ทั้งในประเด็นเรื่องผลกระทบทางสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความอุดมสมบูรณ์สวยงามอันเป็นเอกลักษณ์ของกระบี่ที่อาจถูกทำลายไปหากเกิดโรงไฟฟ้าถ่านหินขึ้น เห็นได้ชัดถึงจุดบอดของกลไก E(H)IA หากเราไม่เร่งรื้อระบบ E(H)IA เราคงต้องยอมสูญเสียกระบี่ไปให้กับความไม่ชอบธรรมของระบบ E(H)IA ที่เอื้อต่อเจ้าของโครงการ
#EHIAreform ต้องรื้อ! เหตุผลที่ต้องปฏิรูประบบ E(H)IA
1. แยกเจ้าของโครงการออกจากผู้จัดทำ E(H)IA
กระบวนการ E(H)IA ควรจะเป็นกระบวนการที่เอื้อต่อการแสดงความคิดเห็นของชุมชนและประชาชนทั่วไป ไม่ใช่เอื้อและสร้างความชอบธรรมให้กับเจ้าของโครงการ โดยเจ้าของโครงการต้องไม่เป็นผู้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในการทำรายงาน E(H)IA ควรมีหน่วยงานอิสระเป็นหน่วยงานกลางในการทำหน้าที่จัดหาผู้ทำรายงาน และมีหน้าที่ในการดูแลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไม่ให้ตกเป็นผลประโยชน์ของผู้ใดผู้หนึ่ง จำเป็นต้องสร้างกฎหมายรองรับสิทธิชุมชน ประกอบกับการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปด้วย ดังเช่นที่เห็นในกรณีของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตพยายามผลักดันโครงการให้ผ่านพ้นเวทีรับฟังความคิดเห็นโดยที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและภาคสังคม
2. กำหนดอายุของการจัดทำรายงาน E(H)IA ของโครงการนั้นๆ
ปัจจุบันกระบวนการ E(H)IA อนุญาตให้ผู้เสนอโครงการสามารถแก้ไขได้หลายรอบจนกว่าจะผ่าน กล่าวคือ ในกรณีที่คชก. ให้ความเห็นชอบกับรายงานฯ สผ.จะสรุปความคิดเห็นไปให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และครม.พิจารณา หลังจากนั้นหน่วยงานผู้อนุญาตจะออกใบอนุญาตให้เจ้าของโครงการดำเนินการต่อไปได้ แต่หากไม่เห็นชอบ เจ้าของโครงการจะต้องดำเนินการแก้ไขรายงานฯ แล้วยื่นรายงานที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม หรือจัดทำใหม่ทั้งฉบับให้กับสผ. สรุปการพิจารณาและนำเสนอคชก.ภายใน 30 วัน ซึ่งนั่นหมายความว่า ถึงแม้ครั้งนี้คชก.จะไม่อนุมัติโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ แต่กฟผ.จะสามารถนำไปแก้ไขและเสนอได้ใหม่ในอีกทุกๆ 30 วัน หรือทำรายงานใหม่และยื่นเสนอใหม่อีกครั้งโดยไม่จำกัด อีกนัยหนึ่งคือ เราคงต้องต่อสู้เพื่อผลักดันให้โครงการนี้ยุติลงอย่างไม่มีวันสิ้นสุด หากกระบวนการ E(H)IA ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ชอบธรรม
3. เริ่มต้นระบบ SEA เพื่อประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์
การประเมินผลกระทบ EIA หรือ EHIA นั้นไม่เพียงพอ จำเป็นต้องประเมิณผลกระทบสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment: SEA) นำทางเลือกและทิศทางในการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ อย่างละเอียด สอดคล้องกับชุมชน และความคิดเห็นของประชาชน แต่สำหรับในกรณีของโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่นั้น นอกจากจะไม่พิจารณาทางเลือกพลังงานหมุนเวียนที่ชุมชนต้องการแล้ว ยังผลักดันโครงการด้วยการเสนอพื้นที่ตั้งโครงการมาเพียงสองตัวเลือก คือ บริเวณสะพานช้าง และบริเวณบ้านคลองรั้ว ซึ่งอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ที่มีความสำคัญระดับโลก มีหญ้าทะเลผืนใหญ่ที่สุดในประเทศอันเป็นบ้านของฝูงพะยูน และเป็นแหล่งประมงที่หล่อเลี้ยงชาวกระบี่และชาวไทย อีกทั้งยังขาดการประเมินผลกระทบที่เกิดจากมลพิษของโรงไฟฟ้าถ่านหิน และไม่มีการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพและสังคมของบริเวณนั้นอย่างแท้จริง กระบี่มียุทธศาสตร์ของจังหวัดที่ประชาชนเห็นร่วมกัน คือ การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยที่เน้นเกษตรกรรม การประมง และการท่องเที่ยว ซึ่งเหมาะกับสภาพแวดล้อมของกระบี่ ชาวกระบี่ไม่ปฏิเสธโรงไฟฟ้า แต่ปฏิเสธโรงไฟฟ้าถ่านหินเท่านั้น