กรีนพีซดำรงอยู่เพราะโลกอันบอบบางใบนี้สมควรมีผู้ปกป้อง โลกต้องมีวิธีแก้ปัญหา ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการลงมือทำ
 
 

ยูนิโคล่ แบรนด์เสื้อผ้าสุดฮิตของญี่ปุ่นเข้าร่วมล้างสารพิษแล้ว

ปีใหม่ ศักราชใหม่ แบรนด์แฟชั่นรายใหม่ก็ตบเท้าเข้าร่วมโครงการล้างสารพิษกับกรีนพีซมากขึ้น ล่าสุดแบรนด์ชั้นนำจากญี่ปุ่น ยูนิโคล่ ได้แสดงเจตนารมณ์ยุติการปล่อยสารเคมีอันตรายตลอดห่วงโซ่การผลิตและผลิตภัณฑ์ของตนภายในปีพ.ศ. 2563 ถือเป็นของขวัญรับปีใหม่และการเริ่มต้นที่ดีสำหรับวงการแฟชั่นในปีพ.ศ. 2556 นี้

ข่าวดีนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่ซาร่า แมงโก เอสปรีย์ และลีวายส์ ได้แสดงเจตนารมณ์ในการล้างสารพิษ ตอบรับเสียงจากทั้งนักกิจกรรมและผู้บริโภคทั่วโลกที่ร่วมกันเรียกร้องให้แฟชั่นปลอดสารพิษ โดยยูนิโคล่ได้เข้าร่วมกับอีก 11 แบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่แสดงความมุ่งมั่นในการล้างสารพิษออกจากวงการแฟชั่น  ในขณะที่แบรนด์แฟชั่นระดับโลกอื่นๆ อย่าง แก็บ (GAP) จี-สตาร์ รอว์ (G-Star Raw) และคาลวินไคลน์ (Calvin Klein) ยังคงไม่ตามกระแส แบรนด์ดังเหล่านี้รู้หรือไม่ว่าการแสดงความโปร่งใสในการผลิตผลิตภัณฑ์ และแฟชั่นปลอดสารพิษกำลังเป็นเทรนด์ใหม่มาแรงในปีนี้ หรือพวกเขาไม่ได้สนใจผู้บริโภคเลย

ความหวังจากแดนตะวันออก

การเข้าร่วมล้างสารพิษของบริษัทยักษ์ใหญ่ฟาสต์ รีเทลลิง กรุ๊ป ในเอเชียครั้งนี้จะเป็นการเร่งการปฏิวัติให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษอย่างน้อยร้อยละ 80 ของโรงงานการผลิตทั่วโลกภายในปีพ.ศ. 2556 นี้ การดำเนินการนี้จะทำให้ประชาชนที่อาศัยในบริเวณโรงงานการผลิต รวมถึงสื่อมวลชน และนักกิจกรรมทุกคนมีสิทธิรับรู้ว่ามีมลพิษอะไรบ้างที่ถูกปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม และเป็นการเร่งผลักดันให้แบรนด์อื่นๆ เปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษของโรงงานการผลิตของตนมากขึ้นในปีนี้

การแสดงเจตนารมณ์ของบริษัทฟาสต์ รีเทลลิง กรุ๊ป นี้ นอกจากยูนิโคล่แล้ว ยังรวมถึงแบรนด์อื่นๆ ในเครืออีกด้วย อาทิเช่น คอมทัวร์ เดส์ โคทอนนิเยร์ (Comptoir des Cotonniers) พรินเซส แทม แทม (Princesse Tam Tam) จียู (g.u.) และเธียรีย์ (Theory) ซึ่งรวมกันแล้วมีกว่า 2,000 สาขาทั่วโลก

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแสดงเจตนารมณ์ล้างสารพิษของยูนิโคล่ คือ การแสดงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำการพัฒนาทางเลือกทดแทนการใช้สารเคมีอันตรายที่ใช้อยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น ถือเป็นชัยชนะสำคัญสำหรับชุมชนทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางน้ำ และผู้คนอีกหลายล้านที่ต้องกลายเป็นผู้ปล่อยสารพิษโดยไม่รู้ตัวทันทีที่ซื้อและซักล้างเสื้อผ้า

ร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของชัยชนะครั้งต่อไป

เรารู้ว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง วิกตอเรียส์ ซีเคร็ท แก็บ และคาลวินไคลน์ ต่างจับตามองกระแสในสื่อสังคมออนไลน์เกี่ยวกับแบรนด์ของตน พอๆ กับการที่ติดตามความเคลื่อนไหวของแบรนด์คู่แข่ง วันนี้ยูนิโคล่ได้ส่งสารสำคัญบอกวงการแฟชั่นทั้งหมดว่าการใช้สารเคมีอันตรายนั้นตกยุคไปแล้ว ซึ่งคุณเองยังสามารถเป็นอีกเสียงหนึ่งในการผลักดันแบรนด์ต่างๆ ด้วยการร่วมกันเผยแพร่วิดีโอ “ล้างสารพิษออกจากแฟชั่น” (Detox Fashion) ให้แพร่หลายมากที่สุด


ทุกๆ ครั้งที่คุณกดไลค์ แชร์ แสดงความคิดเห็น และช่วยเราโปรโมทวิดีโอนี้ จะเป็นการเร่งผลักดันให้แบรนด์แฟชั่นออกมาสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการ คือ หยุดยั้งการปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำในประเทศที่ผลิตผลิตภัณฑ์นั้น และยุติการส่งต่อสารเคมีอันตรายไปรอบโลกผ่านทางเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารพิษ

โลกที่ปลอดสารพิษเป็นจริงได้ เพียงทุกคนช่วยกัน




 

Create Date : 09 มกราคม 2556   
Last Update : 9 มกราคม 2556 13:43:30 น.   
Counter : 1304 Pageviews.  


แผนการขุดเจาะน้ำมันในอาร์กติกของเชลล์เลวร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าการขุดเจาะน้ำมันในอาร์กติกเป็นความคิดที่เลวร้าย คือ เหตุการณ์แท่นขุดเจาะน้ำมัน คุลลุคหลุดออกจากฐานแล้วลอยมาเกยตื้นที่เกาะซิทคาลิแดค ใกล้กับเมืองโคเดียค รัฐอลาสกา โดยแท่นขุดเจาะน้ำมันคุลลุคอันแสนโบราณนี้ไม่ประสบความสำเร็จในการขุดเจาะน้ำมันช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เชลล์จึงได้ใช้เรือลาก Aiviq มูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ลากแท่นคุลลุคเข้าท่าเรือชายฝั่ง แต่เนื่องจากเกิดสภาพอากาศแปรปรวนเกิดกระแสน้ำเชี่ยวในทะเลแบร์ริง และทำให้สายลากความยาว 400 ฟุต ขาด ปล่อยให้แท่นขุดเจาะน้ำมันหลุดลอยไป เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา

ต่อมาในวันที่ 28 ธันวาคม 2555 แท่นขุดเจาะน้ำมันคุลลุคสามารถเชื่อมต่อกับเรือ Aiviq ได้อีกครั้ง แต่ระหว่างทางได้เกิดเหตุ “เครื่องยนต์ขัดข้อง” บริเวณทางใต้ของเกาะโคเดียค ทำให้แท่นขุดเจาะหลุดลอยไปไกล มีการช่วยเหลือกลุ่มลูกเรือบนแท่นขุดเจาะทางเฮลิคอปเตอร์ของ US Coast Guard  หลังจากได้พยายามเชื่อมสายลากและหลุดหลายครั้งต่อหลายครั้ง ในที่สุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ที่ผ่านมา เรือลาก Aiviq และแท่นขุดเจาะ คุลลุค ได้เชื่อมต่อกันอีกครั้งในระยะ ห่างจากชายฝั่งของเกาะโคเดียค 19 ไมล์ และดำเนินการลากไปยังท่าเรือฮอบรอนที่อลาสกา แต่สายลากกลับขาดอีกครั้งในระยะห่างจากชายหาดเพียง 4 ไมล์ จนกระทั่งลอยไปเกยตื้นชายฝั่งในที่สุด


แท่นขุดเจาะน้ำมันคุลลุคประกอบด้วย น้ำมันดีเซล 139,000 แกลลอน และน้ำมันไฮโดรลิค 12,000 แกลลอน ถึงแม้จะยังไม่มีรายงานการรั่วของน้ำมัน แต่หนึ่งในทีมงานได้กล่าวไว้อย่างคลุมเครือว่า “เราไม่ทราบถึงความเสียหาย เนื่องจากมันมืดมาก และอากาศก็เลวร้ายมาก

ขณะนี้ทางเชลล์และ US Coast Guard  กำลังร่วมมือกันหาหนทางดำเนินการ แต่ยังติดปัญหา “สภาพอากาศและคลื่นลมแรง”

เราต่างตระหนักถึงผลกระทบอันแสนสาหัสของวิกฤติน้ำมันรั่วที่อาจเกิดขึ้นที่อลาสกา โดยในปีพ.ศ. 2532 เรือบรรทุกน้ำมันขนาดยักษ์ เอ็กซอน วอลเดช ได้ชนหินเกยตื้นบนแนวปะการังไบลห์ ใกล้ชายฝั่ง พรินซ์ วิลเลียม ซาวน์ ของอลาสกา ตัวเรือฉีกออกและเทน้ำมันดิบทั้ง 11 ล้าน แกลลอนลงสู่อ่าว  คร่าชีวิตนกทะเล แมวน้ำ นากทะเล และวาฬเพชฌฆาตนับไม่ถ้วน  และยังส่งผลกระทบอยู่จนถึงทุกวันนี้

และเหตุการณ์ในครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรสำหรับเชลล์ นอกจากเกิดอุบัติเหตุในการขุดเจาะน้ำมันอยู่บ่อยครั้งแล้ว ยังมีเหตุผลหลักอีก 8 ประการ ที่เราไม่ควรปล่อยให้เชลล์เข้ามารุกรานอาร์กติก

1. เชลล์ไม่มีการเตรียมการค่าใช้จ่ายสำหรับกระบวนการล้างคราบน้ำมันจากการรั่ว

ในเดือนมีนาคม 2555 เชลล์ได้ออกมายอมรับกับ คณะกรรมการตรวจสอบทรัพยากรทางธรรมชาติของสหราชอาณาจักร ถึงเหตุการณ์ฉุกเฉินนี้ว่า เชลล์ไม่มีการเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับการล้างคราบน้ำมันหากเกิดการรั่วซึม ทิ้งความเสียหายไว้ทางการเงินให้กับผู้ถือหุ้น และความเสียหายทางมลพิษให้กับประชากรบนโลก

2. รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้รับรองว่า อาร์กติก ชาลเลนเจอร์ เรือท้องแบนของเชลล์ ว่าปลอดภัยเพียงพอ

เรือ อาร์กติก ชาลเลนเจอร์ เป็นเรือท้องแบนนอายุ 36 ปี ที่เคยถูกใช้ในการลากอุปกรณ์ความปลอดภัยบนทะเลน้ำแข็ง และทางหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาไม่เชื่อถือว่าเรืออาร์กติก ชาลเลนเจอร์ จะสามารถทนทานต่อพายุที่รุนแรงได้

3. US Coast Guard ไม่มั่นใจกับการกำจัดคราบน้ำมันหากเกิดน้ำมันรั่ว

จากการสัมภาษณ์ โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ทางแม่ทัพ US Coast Guard กล่าวว่า “เราไม่มั่นใจว่าจะมีการจัดการอย่างไรในน่านน้ำที่หนาวเย็นของอลาสกา” ซึ่งหนึ่งในกระบวนการจัดการของเชลล์คือน้ำยาล้างคราบน้ำมัน

4. เรือขุดเจาะน้ำมันของเชลล์ลอยเกยตื้นชายฝั่งจากผลกระทบของลมแรง เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2555

5. เรือขุดเจาะน้ำมัน โนเบิล ดิสคอฟเวอร์เรอร์ ของเชลล์เกิดไฟลุกที่เครื่องยนต์

6. ระบบรักษาความปลอดภัยป้องกันน้ำมันรั่วซึมของเชลล์แตกง่ายราวกับกระป๋องเบียร์ในการทดสอบ

7. Pete Slaiby ประธานประจำอลาสกาของเชลล์ ยอมรับว่า “จะมีน้ำมันรั่ว” ในการให้การสัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซ

8. เหตุการณ์แท่นขุดเจาะน้ำมันเกยตื้นเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมานี้

แทนที่จะเปลี่ยนขั้วโลกเหนือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางน้ำมันแห่งใหม่ เราควรจะช่วยกันรักษาสถานที่ที่แสนบอบบางและสำคัญต่อภูมิอากาศของโลกแห่งนี้ให้ปลอดภัยจากกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ไร้ความรับผิดชอบ ร่วมกันหยุดยั้งอุตสาหกรรมน้ำมันที่ไร้จิตสำนึกและรักษาอาร์กติกได้ที่ “Save the Arctic!




 

Create Date : 09 มกราคม 2556   
Last Update : 9 มกราคม 2556 13:32:04 น.   
Counter : 1864 Pageviews.  


ได้เวลาที่เราจะร่วมกันบอกให้ลีวายส์ล้างสารพิษ!

ว้าว.. เพียงแค่ไม่กี่วัน หลังจากที่เราได้รณรงค์ให้บริษัทผู้ผลิตยีนส์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกร่วมล้างสารพิษ หรือ "Detox" ออกจากผลิตภัณฑ์และตลอดห่วงโซ่การผลิต และลีวายส์ก็ได้ตัดสินใจออกมาแก้ไขสถานการณ์แล้ว

การตอบโต้อันรวดเร็วจากลีวายส์นี้เป็นผลมาจากการที่ทุกคนร่วมมือกัน มีประชาชนจำนวนกว่า 100,000 คนจากทั่วโลกได้เข้าร่วมงานรณรงค์เรียกร้องให้แฟชั่นปลอดสารพิษ และขณะนี้ลีวายส์เริ่มรู้สึกกดดันแล้ว

การตอบโต้ภายใต้ความกดดัน

ไม่กี่วันหลังจากที่กรีนพีซเปิดตัวการรณรงค์ ลีวายส์มีการตอบโต้กลับมาด้วยบล็อก

ซึ่งถือเป็นการป้องกันการรณรงค์ของเรา ในบล็อกบรรยายอย่างละเอียดถึงงานที่ลีวายส์ทำ และกล่าวว่าระดับสารเคมีอันตรายที่พบในผลิตภัณฑ์ลีวายส์นั้น "ไม่พบว่าเป็นอันตรายโดยตรงต่อสุขภาพของผู้สวมใส่"   รวมถึงอ้างถึงการรวมกลุ่มกับอุตสาหกรรมอื่นๆ และกล่าวว่าปัญหานี้มีความ "ซับซ้อน"

ก่อนหน้านั้นไม่นาน กลุ่มนักกิจกรรมในเมืองโคเปนฮาเกน ได้จัดแสดงการเดินแคทวอล์กแนวดิ่งในข้างตึกบริเวณร้านลีวายส์แห่งหนึ่ง ซึ่งลีวายส์เองก็ได้ตอบโต้มาเช่นกันในรูปแบบที่เสมือนการวางแผนปฏิบัติการของบริษัท 

ถึงรายละเอียดที่จะก้าวจากเป็น Toxic Zero หรือเลิกใช้สารพิษ สู่การเป็น Detox Hero หรือฮีโร่ผู้ล้างสารพิษ

ดูไม่แย่นักสำหรับการพยายามครั้งแรก แต่สำหรับประชาชนที่เป็นเหยื่อมลพิษจากการผลิตลีวายส์ 501 จำนวนหลายล้านคนแล้ว มันยังไม่ดีพอ


ดูแบรนด์อื่นเป็นแบบอย่าง

หากลีวายส์อยากจะรู้ว่าการแสดงเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นและน่าเชื่อถือในการล้างสารพิษนั้นเป็นอย่างไร ลีวายส์สามารถดูได้จากแบรนด์คู่แข่งบางแบรนด์ที่ก้าวสู่แฟชั่นปลอดสารพิษแล้ว โดยล่าสุดเอสปรี (Esprit) ได้ออกมาแสดงความมุ่งมั่นในการล้างสารพิษตลอดห่วงโซ่การผลิตและผลิตภัณฑ์ภายในปีพ.. 2563 ซึ่งแบรนด์นี้ยังให้คำมั่นว่าจะเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษของโรงงานการผลิตทั้ง 30 โรงงานในประเทศจีนภายในสิ้นปีพ.. 2556 และยกเลิกการใช้สารกลุ่มพีเอฟซีซึ่งมีอันตรายสูง ภายในสิ้นปีพ..2557 เอสปรีได้เข้าร่วมกับซาร่า (Zara) แบรนด์แฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดของโลก และแมงโก (Mango) ที่ได้ออกมาแสดงความมุ่งมั่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงมาร์กแอนด์สเปนเซอร์ (Marks and Spencer) ที่ต่างออกมาแสดงเจตนารมณ์สู่ปฏิบัติการล้างสารพิษอย่างจริงจัง

สี่แบรนด์นี้จะพร้อมใจกันเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษของโรงงานการผลิตรวมกันกว่า 150 โรงงาน ภายในปีพ.ศ.2563 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสู่ยุคแห่งการปฏิวัติวงการแฟชั่นสู่ความโปร่งใสอย่างแท้จริง

วิธีการสังเกตความมุ่งมั่นจอมปลอมของลีวายส์

ในทางตรงข้ามคำแถลงการณ์ของลีวายส์ดูเป็นเพียงปฏิกิริยาโต้ตอบสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น ทางลีวายส์ก่อนหน้านี้ได้ประกาศว่าตนเชื่อว่าการรวมกลุ่มเป็นการแก้ไขเพียงหนทางเดียว และกว่าหกเดือนมาแล้วที่ได้ปฏิเสธที่จะพูดคุยเพื่อแสดงความมุ่งมั่นรายบุคคลเฉพาะแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และการสร้างแผนปฏิบัติการ

ปัญหาคือคำแถลงการณ์การของลีวายส์และแผนปฏิบัติการยังขาดความมุ่งมั่น การปฏิบัติการของลีวายส์ยังบ่งบอกว่าเป็นการพยายามทำเพื่อกลบกระแสจนกว่าประชาชนจะเลิกสนใจและจะได้ดำเนินธุรกิจที่ก่อมลพิษต่อไป ซึ่งไม่มีส่วนใดที่แสดงความเป็น "ผู้นำ" เลย

ที่แย่กว่านั้นคือ ลีวายส์ยังไม่ระบุดังที่แบรนด์อื่นๆ ได้ทำเป็นแบบแผนไว้เพื่อให้ประชาชนรับรู้ถึงแผนดำเนินการ กล่าวคือ ลีวายส์ไม่ยอมรับว่าประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณโรงงานการผลิตมีสิทธิในการรับรู้ข้อมูลมลพิษที่ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ จุดนี้เองที่นับว่าเลวร้ายกว่าการพลาดที่จะเป็นผู้นำ แต่ยังพลาดที่จะตระหนักถึงสิทธิพื้นฐานของประชาชนหลายล้านคนทั่วโลก ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ซาร่า แมงโก มาร์กแอนด์สเปนเซอร์ และเอสปรี ได้ดำเนินการเพื่อการเปลี่ยนแปลง

สุดท้ายคือ ดูเหมือนว่าลีวายส์ให้ความสำคัญกับการ "จัดการ" สารเคมีอันตราย แต่ไม่ใช่การยกเลิกการใช้ ขณะที่แบรนด์อื่นๆ ตระหนักดีว่าไม่มีระดับปลอดภัยสำหรับการใช้สารพิษที่มีคุณสมบัติบิดเบือนฮอร์โมนและเป็นสารก่อมะเร็ง

ถึงเวลาที่ลีวายส์จะต้องทำตามที่พูด

เห็นได้ชัดว่าลีวายส์ (และฝ่ายโฆษณา) ฉลาดในการเล่นคำ

"Go Forth" (เดินหน้า) คือคำโฆษณา “Be a pioneer” (เป็นผู้นำ) เขากล่าวไว้ “Apathy is death” (การเพิกเฉยคือความตาย) เขาเตือนไว้เช่นนั้น

เป็นข้อความที่น่าสนใจ แต่เป็นภาพลักษณ์ที่ผู้ผลิตยีนส์ที่ใหญ่ที่สุดของโลกสร้างไว้เท่านั้น สิ่งสำคัญคือต้องทำตามด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเพียงคำพูดกลวงๆ และเรามีหลักฐานเชื่อมโยงถึงการก่อมลพิษในแหล่งน้ำของลีวายส์ที่ประเทศเม็กซิโกและประเทศอื่น ดังนั้นเพียงแค่คำพูดสวยหรูคงไม่พอ

โอกาสมาถึงแล้ว

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้จาก "การตอบโต้" ของลีวายส์สื่อให้เห็นว่าลีวายส์กำลังฟังเสียงจากผู้คนทุกระดับรอบโลกที่ออกมาเรียกร้องให้แฟชั่นปลอดสารพิษ

กลุ่มผู้ประสานงานรณรงค์กำลังอดใจรอที่จะพูดคุยกับลีวายส์ถึงวิธีการเปลี่ยนแปลงคำแถลงการณ์ปากเปล่า สู่การดำเนินการที่ทั้งลีวายส์และผู้บริโภคเองจะภาคภูมิใจ

ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องบอกกับลีวายส์ว่าเราต้องการให้ลีวายส์เป็นผู้นำแฟชั่นปลอดสารพิษ ไม่ใช่เพียงการฟอกเขียวสร้างภาพ บอกกับลีวายส์ว่าสิ่งที่เราต้องการคือการกระทำที่เหมาะสมกับคำพูดสวยหรู สิ่งที่เราต้องการคือความโปร่งใส ไม่ใช่ความตายผ่อนส่ง

มีประชาชนกว่า 100,000 คนเข้าร่วมในงานรณรงค์แล้ว เราต้องรวมพลังกันต่อไปเพื่อบอก 501,000 เหตุผลกับลีวายส์ให้หันมาล้างสารพิษ!

ทอมมี ครอว์ฟอร์ด เป็นผู้จัดการกลยุทธ์การสื่อสารของงานรณรงค์ล้างสารพิษ "Detox" สามารถติดตามทวิตเตอร์ของเขาได้ที่ @theecowarrior




 

Create Date : 12 ธันวาคม 2555   
Last Update : 12 ธันวาคม 2555 14:33:09 น.   
Counter : 1751 Pageviews.  


เพราะพลังจากทุกคน! Zara ให้คำมั่นร่วมล้างสารพิษแล้ว

หลังจากที่ประชาชนร่วมกันกดดันอย่างหนักเป็นเวลา 9 วัน แบรนด์เสื้อผ้าในที่สุดแฟชั่นยักษ์ใหญ่ของโลก Zara ได้ประกาศอย่างเป็นทางการถึงเจตนารมย์ร่วมล้างสารพิษกับกรีนพีซอย่างรวดเร็ว ชัยชนะในครั้งนี้เป็นของสาวกแฟชั่น นักกิจกรรม บล็อกเกอร์ และชาวสังคมออนไลน์ ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นได้เพราะพลังจากมวลชนทุกคนร่วมมือกัน

ผู้ประสานงานรณรงค์ของกรีนพีซได้เริ่มพูดคุยกับ Zara ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ของบริษัทอินดิเท็กซ์ (Inditex) ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2554 เพื่อขอความร่วมมือในการยุติปล่อยสารเคมีอันตรายตลอดห่วงโซ่การผลิตและผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เองที่แบรนด์แฟชั่นยักษ์ใหญ่นี้ถูกแรงกดดันจากมวลชนให้แก้ไขปัญหามลพิษจากสารพิษอย่างเร่งด่วน

Zara มุ่งมั่นที่จะยุติการใช้สารเคมีอันตรายตลอดห่วงโซ่การผลิตผลิตภัณฑ์ของตนภายในปีพ.ศ. 2563 รวมถึงขจัดสารเคมีอันตรายสูงสุดอย่างสารกลุ่ม PFCs ภายในปีพ.ศ.  2558 ซึ่งนับว่าเป็นปรากฎการณ์สำคัญในอุตสาหกรรมแฟชั่นเนื่องจาก Zara เป็นกลุ่มผู้ใช้สารเคมีชนิดนี้

นอกจาก Zara แล้วการแสดงเจตจำนงค์มุ่งสู่การเป็นแฟชั่นปลอดสารพิษในวันนี้ยังรวมถึงแบรนด์อื่นๆ ของบริษัทอินดิเท็กซ์ด้วย อันได้แก่ Pull & Bear, Massimo Dutti, Bershka, Stradivarius, Oysho, Zara Home และ Uterqüe

เป็นข่าวดีสำหรับสิ่งแวดล้อม และเป็นข่าวใหญ่สำหรับประชาชนในด้านสิทธิอันชอบธรรมต่อการรับรู้ว่าสารพิษใดและปริมาณเท่าใดบ้างที่ปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ โดย Zara ให้คำมั่นว่าภายในสิ้นปีพ.ศ. 2556 อย่างน้อย 100 โรงงานที่ต้องเปิดเผยข้อมูลนี้

นักปีนของกรีนพีซกางแผ่นป้ายขนาดใหญ่ที่ร้านสำนักงานใหญ่ของซาร่าในกรุงเจนีวา สวิตเซอแลนด์ ส่งข้อความ tweet จากโทรศัพท์ให้ซาร่าและผู้สนับสนุน

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กรีนพีซได้เปิดตัวโครงการรณรงค์ “ล้างสารพิษ (Detox)” อย่างเป็นทางการทั่วโลก  พร้อมด้วยการแสดงแฟชั่นโชว์ และงานแถลงข่าว ณ กรุงปักกิ่ง หลังจากนั้นภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงมีรูปภาพและการแสดงความคิดเห็นต่างๆ หลั่งไหลในโลกออนไลน์อย่างไม่ขาดสาย เฟสบุ๊คของ Zara เองก็เต็มไปด้วยโพสต์จากแฟนของแบรนด์ร่วมกันเรียกร้องให้บริษัทล้างสารพิษ รวมถึงยังมีผู้คนอีกหลายพันบนทวิตเตอร์ และสังคมออนไลน์ Sina Weibo ที่ได้รับความนิยมสูงของจีนอีกด้วย

สามารถอ่านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการรณรงค์นี้จากทั้งทางทวิตเตอร์ และ Weibo ได้ที่นี่  ซึ่งเป็นเสียงจากมหาชนทั่วทั้งโลกหลากชาติหลากภาษา กว่า 7.1 ล้านคน สำหรับในทวิตเตอร์นั้นมีการพูดถึง Zara และ Detox จำนวนอย่างน้อย 43,800 ข้อความภายในสัปดาห์นี้ และขณะนี้กว่า 300,000 คนได้เข้าร่วมโครงการรณรงค์เรียกร้องให้ Zara ล้างสารพิษแล้ว โดยมีผู้คนอีกจำนวนหลายหมื่นได้ส่งอีเมลไปยังบริษัทของ Zara โดยตรงเพื่อให้หันมาแสดงเจตจำนงค์ในการล้างสารพิษอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครและนักกิจกรรมกรีนพีซกว่า 700 คน จาก 20 ประเทศ ร่วมกันออกมาแสดงกิจกรรมที่หน้าร้าน Zara เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา รวมถึงมีการติดป้ายขนาดใหญ่เพื่อส่งข้อความ “Detox” ที่ร้านสาขาใหญ่ของ Zara ในฮ่องกง บูดาเปสต์ เจนีวา ฮัมบูร์ก และมาดริด ซึ่งภาพและวิดิโอของกิจกรรมในวันนั้นได้รับความสนใจและถูกเผยแพร่ออกไปในสื่อสังคมออนไลน์อยู่หลายวัน โดยผู้ใช้ทวิตเตอร์สามารถหาอ่านได้ด้วยการค้นหาข้อความ “Zara” และ “Fashion”  

คำประกาศเข้าร่วมล้างสารพิษของ Zara นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของกระบวนการผลิตเสื้อผ้า และยังเป็นก้าวสำคัญในการเปิดเผยข้อมูลมลพิษให้กับชุมชน สื่อมวลชน และหน่วยงานราชการได้รับรู้ เพื่อให้แน่ใจว่าแหล่งน้ำสาธารณะจะไม่กลายเป็นที่ทิ้งน้ำเสียสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม เจตจำนงค์ของ Zara ในครั้งนี้จะเป็นหัวใจสำคัญสู่การบรรลุเป้าหมาย “การปล่อยมลพิษเป็นศูนย์” ภายในปี 2563 ซึ่งจะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถืออย่างแท้จริงให้กับผู้บริโภค

ขณะนี้ Zara ได้ก้าวสู่เวทีวงการแฟชั่นที่ปราศจากสารพิษร่วมกันกับ Nike, Adidas, Puma, H&M, M&S, C&A และ Li-Ning แต่ยังมีแบรนด์แฟชั่นชั้นนำอีกมากที่ยังต้องตอบรับสถานการณ์ที่เร่งด่วนในการล้างสารพิษ ทางกรีนพีซได้ตรวจสอบตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าจาก 20 แบรนด์ดัง ในปีนี้ และพบสารเคมีอันตรายที่สามารถแตกตัวและสร้างมลพิษในแหล่งน้ำ แต่หากแบรนด์เหล่านี้ผนึกกำลังกับสายการผลิตหันมาใช้ทางเลือกอื่นที่ไม่ก่อมลพิษ บริษัทเสื้อผ้าทุกแบรนด์ก็สามารถเป็นทางออกของปัญหามลพิษได้

พลังจากมวลชนที่ลุกขึ้นมารวมตัวกันในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามีอานุภาพเพียงใด แต่ปฏิบัติการล้างสารพิษออกจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้ายังไม่สิ้นสุดเท่านี้ ในเมื่อแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Zara เข้าร่วมล้างสารพิษ ถึงเวลาแล้วที่แบรนด์แฟชั่นอื่นๆ ออกมาตอบรับแสดงเจตจำนงค์ล้างสารพิษด้วยเช่นกัน

กลุ่มผู้รักแฟชั่น นักกิจกรรม นักสิ่งแวดล้อม บล็อกเกอร์ และดารานักแสดงต่างๆ จะคอยให้การสนับสนุนโครงการรณรงค์ล้างสารพิษอย่างไม่หยุดยั้ง แบรนด์สารพิษต่างๆ ระวังตัวไว้ให้ดี

ร่วมลงมือ

คุณสามารถช่วยเราเผยแพร่วิดีโอของการรณรงค์ล้างสารพิษใหม่ล่าสุด Detox Fashion ให้แพร่หลายมากที่สุดเท่าที่ทำได้ ด้วยการ เปิดชม กดไลค์ และแชร์ วิดีโอนี้ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการต้องการให้กลุ่มอุตสาหกรรมแฟชั่นหยุดยั้งการปล่อยสารเคมีอันตรายสู่แหล่งน้ำ





 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2555 15:20:24 น.   
Counter : 1635 Pageviews.  


Zara กำลังฟังอยู่หรือเปล่า?

คุณรู้หรือไม่ว่าผู้จัดการสาขาของ Zara จะต้องรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านกลับไปยังสำนักงานใหญ่ทุกวัน นักข่าวสายธุรกิจวิเคราะห์ว่าจะเป็นการช่วยให้แฟชั่นตามกระแส (Fast Fashion) สามารถติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ได้ทันท่วงที

อย่างไรก็ตาม หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้วหลังจากที่กรีนพีซรณรงค์ให้ Zara หันไปสร้างแฟชั่นปลอดสารพิษ แต่ Zara ก็ยังรีรอไม่มีทีท่าว่าจะเริ่มล้างสารพิษ

สัปดาห์ที่ผ่านมา นักกิจกรรมของกรีนพีซที่ฮ่องกง บูดาเปสต์ เจนีวา ฮัมบูร์ก มาดริด รวมถึงประเทศไทยได้แวะไปยังร้าน Zara เพื่อส่งข้อความที่จะต้องโดดเด่นในรายงานประจำวันของผู้จัดการสาขา ด้านล่างนี้เป็นภาพบางส่วนของกิจกรรมที่ถูกแชร์กันในทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค และอินสตาแกรมอย่างแพร่หลาย สำหรับภาพเต็มๆ ของกิจกรรมรณรงค์ของประเทศไทยสามารถเข้าไปชมได้ที่นี่



นักกิจกรรมแต่งตัวเป็นหุ่นแฟชั่น พร้อมกับถือป้ายข้อความ "No More Fashion Victims" (หยุดเหยื่อของแฟชั่น) ที่ด้านหน้าร้าน Zara สาขาหลักในเมืองมาดริด


นักกิจกรรมแขวนป้ายในภาษาสเปนที่แปลว่า "Zara, Join Toxic Free Fashion" หรือ Zara ร่วมผลิตแฟชั่นปลอดสารพิษกับเรา ที่ด้านหน้าร้าน  Zara สาขาหลักในเมืองมาดริด


นักกิจกรรมกำลังปีนเพื่อแขวนภาพขนาดยักษ์ด้านหน้าร้าน Zara ที่เมืองเจนีวา สื่อข้อความว่า "Zara DETOX your fashion" (Zara ล้างสารพิษออกจากแฟชั่น)


นักกิจกรรมกรีนพีซสามคนยืนอย่างกลมกลืนราวกับล่องหนอยู่ด้านหน้าร้าน Zara ที่ฮ่องกง


นักกิจกรรมกำลังปีนเพื่อแขวนภาพขนาดยักษ์ที่ด้านหน้าร้าน Zara ในเมืองฮัมบูร์ก พร้อมกับข้อความที่แปลว่า "Do You Know Zara's Dirty Secret? Detox Now!" หรือ รู้หรือไม่ว่า Zara มีความลับสกปรก ล้างสารพิษเดี๋ยวนี้!


นักกิจกรรมสวมใส่ชุดป้องกันและหน้ากากอยู่ด้านหน้าร้าน Zara กลางเมืองบูดาเปสต์

เหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันอังคารที่แล้ว (20 พฤศจิกายน) ในงานแถลงข่าวที่เมืองปักกิ่ง หลังจากที่กรีนพีซได้เผยผลการตรวจสอบในการรายงานล่าสุด ถึงการพบสารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า 20 แบรนด์ดัง

แต่นั่นไม่ใช่งานแถลงข่าวธรรมดาทั่วไป เพราะในงานเริ่มต้นด้วยงานแสดงแฟชั่นโชว์สารพิษที่เหล่านางแบบนายแบบแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ระดับโลกอย่าง Zara เปลี่ยนให้เรากลายเป็นเหยื่อของแฟชั่นด้วยการบังคับให้เราซื้อเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารเคมีอันตราย และเป็นผู้ก่อมลพิษทางน้ำโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากตัวแทนการผลิตของแบรนด์กำลังใช้สารเคมีอันตรายในกระบวนการผลิต นั่นหมายความว่าแม่น้ำในบริเวณโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตนั้นกำลังถูกมลพิษคุกคาม ยังไม่จบแค่นั้น แม่น้ำทุกสายในโลกจะถูกปนเปื้อนด้วยมลพิษเช่นกัน เมื่อซักล้างผลิตภัณฑ์เสื้อผ้านั้นสารพิษที่ตกค้างอยู่ก็จะถูกปล่อยสู่แหล่งน้ำ

เราจะทำอย่างไรได้บ้าง

สิ่งแรกที่คุณทำได้ (หากยังไม่ได้ทำ) คือ ร่วมลงชื่อรณรงค์กับเรา ซึ่งขณะนี้มีผู้ร่วมรณรงค์กว่า 250,000 คนแล้ว และนี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีข้อความบนทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ค และบนเว็บอื่นๆ อีกนับพันต่อวัน มาจากทั้งผู้บริโภค นักกิจกรรม และแฟชั่นนิสตาที่มาร่วมเรียกร้องให้ Zara ล้างสารพิษ คุณสามารถเข้าไปที่หน้าเฟสบุ๊คของ Zara ประเทศไทย  หรือหน้าเฟสบุ๊คหลักของ Zara  แล้วเขียนข้อความ หรือส่งข้อความผ่านทวิตเตอร์ เพื่อถามกับ Zara โดยตรงว่าทำไมถึงไม่ปรับสไตล์ความเป็นแฟชั่นตามกระแสมาใช้กับการล้างสารพิษออกจากสายการผลิตของแบรนด์เสียที

บอกให้ร้าน Zara ล้างสารพิษโดยตรง

สำหรับผู้ที่ชอบความท้าทาย คุณสามารถแวะไปที่ร้าน Zara และส่งข้อความให้กับผู้จัดการสาขาโดยตรง โดยผู้จัดการสาขาจะส่งรายงานประจำวันกลับไปยังสำนักงานใหญ่ ซึ่งเป็นโอกาสทองที่เราสามารถสื่อสารให้สำนักงานใหญ่ของ Zara ในการล้างสารพิษ

ทำอย่างไร

- ค้นหาร้าน Zara สาขาใกล้บ้าน
- โพสต์ลงทวิตเตอร์หรือเฟสบุ๊ค เพื่อชวนให้เพื่อนๆ ไปร่วมด้วย
- ไปที่ร้าน Zara และถามเจ้าหน้าที่ว่าต้องการขอพบผู้จัดการสาขา หากเจ้าหน้าที่ถามว่ามีเรื่องอะไร ให้แจ้งว่าเกี่ยวกับสารเคมีในเสื้อผ้าของ Zara ที่กรีนพีซตรวจพบ
- หากคุณใช้เฟสบุ๊ค หรือโฟว์สแควร์บนมือถือ ให้เช็คอินที่ร้าน พร้อมกับเขียนข้อความว่า "Detox ZARA"
- หากได้พูดคุยกับผู้จัดการสาขา ให้ถามว่า
1. Zara มีเสื้อผ้าที่ผลิตขึ้นโดยปลอดสารเคมีอันตราย หรือไม่สร้างมลพิษบ้างไหม
... และ...
 2. ขอให้ผู้จัดการสาขาช่วยรายงานกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของ Zara เพื่อถามว่าเมื่อไรแบรนด์จะแสดงความมุ่งมั่นในการล้างสารพิษ

ขั้นตอนมีเพียงเท่านี้ หากคุณได้ทำแล้วอย่าลืมกลับมาร่วมแชร์ประสบการณ์กับเราได้ที่ความคิดเห็นด้านล่างนี้นะครับ




 

Create Date : 27 พฤศจิกายน 2555   
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2555 11:16:18 น.   
Counter : 1564 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  

greenpeacethailand
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ในพ.ศ.2514 กลุ่มนักกิจกรรมกลุ่มเล็กๆ จากเมืองแวนคูเวอร์ แคนาดา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวิสัยทัศน์แห่งโลกสีเขียวและมีสันติสุข ได้แล่นเรือหาปลาเก่าๆ ออกจากแวนคูเวอร์ แคนาดา นักกิจกรรมเหล่านี้ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกรีนพีซ เชื่อว่าบุคคลไม่กี่คนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

ภาระกิจของพวกเขาคือการ "เป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ" ของการทดลองนิวเคลียร์ใต้ดินที่เกาะอัมชิตกา ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ นอกชายฝั่งตะวันตกของรัฐอลาสก้า ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

อัมชิตกาเป็นสถานหลบภัยของนากทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ 3,000 ตัว และเป็นบ้านของนกอินทรีย์หัวล้าน เหยี่ยวต่างถิ่น และ สัตว์ป่าอื่นๆ มากมาย

ถึงแม้ว่าเรือเก่าๆ ของพวกเขา คือ ฟิลลิส คอร์แมก ถูกขัดขวางก่อนที่จะไปถึงอัมชิตกา แต่การเดินทางครั้งนี้จุดประกายเล็กน้อยให้แก่ความสนใจของสาธารณชน

สหรัฐอเมริกายังคงจุดระเบิดอย่างหนักหน่วง แต่เสียงเพรียกแห่งเหตุผลมีผู้ได้ยินแล้ว การทดลองนิวเคลียร์บนเกาะอัมชิตกาได้สิ้นสุดลงในปีเดียวกัน และเกาะแห่งนั้นได้ถูกประกาศให้เป็นสถานหลบภัยของนกทั้งหลาย

ปัจจุบัน กรีนพีซเป็นองค์กรนานาชาติที่ให้ความสำคัญแก่การรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก


คุณพร้อมที่จะร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือยัง?
มีหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้ตอนนี้!


หลายคนอาจจะคิดว่าการดูแลรักษาโลกเป็นเรื่องยาก แค่ลำพังเราอาจทำอะไรได้ไม่มากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วแค่เพียงสองมือเล็กๆของเราก็สามารถทำเพื่อโลกได้มากมาย อ่านต่อ

ติดตามกรีนพีซเพ่ิมเติมได้ที่:

Facebook | Twitter | Instagram | YouTube
[Add greenpeacethailand's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com