กรีนพีซดำรงอยู่เพราะโลกอันบอบบางใบนี้สมควรมีผู้ปกป้อง โลกต้องมีวิธีแก้ปัญหา ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการลงมือทำ
 
 

5 เหตุการณ์ของกรีนพีซกับเฟสบุ๊คที่น่าจดจำ

'Unfriend Coal' Facebook in Dublin. 04/12/2011 © Kim Haughton / Greenpeace

เฟสบุ๊ค เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยม มีอายุครบรอบสิบปีแล้วเมื่อวานนี้ (4 กุมภาพันธ์) แต่คุณอาจสงสัยว่าแล้วเกี่ยวอะไรกับกรีนพีซล่ะ?

ไม่ว่าคุณจะชอบเล่นเฟสบุ๊คมากน้อยแค่ไหน แต่เฟสบุ๊คก็ได้กลายมาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนที่สำคัญชิ้นหนึ่งสำหรับกิจกรรมรณรงค์ออนไลน์ เฟสบุ๊คมีบทบาทสำคัญ และมีส่วนสร้างความสำเร็จให้กับงานรณรงค์หลายงานของเรา เครือข่ายสังคมออนไลน์กำลังเปลี่ยนอำนาจความเป็นเจ้าของไปยังผู้ใช้มากขึ้น จนบริษัทและรัฐบาลต่างๆ ไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ผู้คนถ่ายทอดออกมาในพื้นที่สาธารณะได้

ฉันถามเพื่อนร่วมงานว่างานรณรงค์ใดที่น่าจดจำมากที่สุดที่เราเคยเผยแพร่บนเฟสบุ๊ค และนี่คือ 5 อันดับที่ดีที่สุด

เฟสบุ๊คเป็นเพื่อนกับพลังงานหมุนเวียนและการทำสถิติโลกกินเนสส์

guinness world record certificateคอมเมนท์บนเฟสบุ๊คมากที่สุดภายใน 24 ชั่วโมงน่ะเหรอ เราตั้งใจไว้ว่าเราจะได้รับ 50,000 คอมเมนท์ ภายในหนึ่งวัน - และเราก็ทำได้ (ได้รับ 80,000คอมเมนท์) และยังมีใบรับรองเป็นการพิสูจน์อีกด้วย!

สถิติโลกกินเนสส์นี้ไม่ได้ทำสนุกๆ เท่านั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของ งานรณรงค์ระยะยาว ที่พยายามโน้มน้าวให้เฟสบุ๊คแสดงความมุ่งมั่นเริ่มใช้พลังงานเซิร์ฟเวอร์จากพลังงานหมุนเวียน ในที่สุดบริษัทก็ได้ประกาศ เป้าหมายในการใช้พลังงานหมุนเวียน เมื่อปีพ.ศ. 2554

หยุด โคคา-โคลา จากการทำลายชายหาดออสเตรเลีย

ปีที่แล้ว โคคา-โคลา พยายามหยุดโครงการรีไซเคิลในออสเตรเลีย โดยการรีไซเคิลนั้นเป็นระบบที่ทำได้ง่ายๆ (เพียงแค่คืนขวดก็ได้รับเงินคืน) ซึ่งยังเป็นการลดปริมาณขยะพลาสติกบนชายหาดออสเตรเลีย

ผู้คนหลายพัน (รวมถึงผู้สนับสนุนกรีนพีซจำนวนมาก) ไปยังหน้าเฟสบุ๊คของโคคา-โคลา ออสเตรเลีย เพื่อเรียกร้องให้หยุดยั้งแผนการนี้ รวมถึงโพสต์โฆษณาโทรทัศน์ที่ถูกห้ามออกอากาศเนี่องจากโจมตีบริษัท แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เราคงยังรณรงค์เรื่องนี้อยู่ โดยคุณสามารถ ร่วมเรียกร้องได้ที่นี่

โฟล์กสวาเกน และสภาพภูมิอากาศ

งานรณรงค์ที่ดีที่สุดบ้างก็มาจากอาสาสมัคร และงานนี้เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุด

โฟล์กสวาเกนเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ขัดขวางกฎหมายใหม่ในสหภาพยุโรปที่จะช่วยสภาพภูมิอากาศด้วยการลดการปล่อยควันคาร์บอนไดออกไซด์ของรถยนต์ เราได้ดำเนินการรณรงค์ชักชวนให้โฟล์กสวาเกนเลือกเดินทางที่ถูกต้องเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา  เมื่อมีอาสาสมัครคนหนึ่งในสหราชอาณาจักรพบเห็นโพสต์บนเฟสบุ๊คของโฟล์กสวาเกนเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2555 ว่า “อยากให้เราทำอะไรในปีใหม่นี้”

กลายเป็นการเปิดช่องทางให้ผู้คนหลายร้อยเข้าไปถามไถ่โฟล์กสวาเกนให้เปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ และหยุดยั้งการขัดขวางกฎหมายที่จะช่วยเรื่องสภาพภูมิอากาศ

ล้างสารพิษออกจากแฟชั่น

แบรนด์แฟชั่นนั้นโด่งดังได้ด้วยภาพลักษณ์ ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ประชาชนที่ห่วงใยและผู้บริโภคได้ใช้ช่องทางสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฟสบุ๊ค ในการเรียกร้องให้แบรนด์ต่างๆ ขจัดสารเคมีอันตราย ออกจากผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต โดยผลที่ออกมานั้นเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีว่าสำเร็จได้ด้วยดี ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เบอร์เบอร์รีได้กลายเป็นแบรนด์ที่ 19 ที่แสดงเจตนารมณ์ล้างสารพิษ

คิทแคท

หากอยากให้เราระบุถึงช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งที่โลกธุรกิจเริ่มเข้าใจว่าพวกเขาไม่สามารถเพิกเฉยสิ่งที่เกิดขึ้นบนเฟสบุ๊คได้ นี่คงเป็นช่วงเวลานั้น

เมื่อปี 2553 หลังจากที่งานวิจัยของกรีนพีซได้เผยถึงผลิตภัณฑ์บางอย่างของเนสเล่ รวมถึงชอคโกแลตคิทแคท นั้นใช้น้ำมันปาล์มที่ปลูกในพื้นที่ทำลายป่าไม้ ผู้คนหลายพันคนก็ต่างเข้าไปที่หน้าเฟสบุ๊คของเนสเล่ เพื่อร้องขอคำตอบจากทางบริษัท อย่างไรก็ตาม คำตอบของเนสเล่เอง ได้กระตุ้นความสนใจไปทั่วโลก

จากนั้นเรื่องนี้ได้กลายเป็นหายนะทางสื่อสังคมออนไลน์ของบริษัท จนเนสเล่ได้ออกมา แสดงความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแหล่งจัดซื้อน้ำมันปาล์ม

ถึงแม้จะมีสื่อสังคมออนไลน์ใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวัน แต่เฟสบุ๊คก็ยังคงได้รับความนิยมสูงสุด อย่าลืมกดไลค์ เพจเฟสบุ๊คของเราเพื่อติดตามข่าวสารล่าสุดและงานรณรงค์ของกรีนพีซนะคะ

ที่มา //www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/5-greenpeace-facebook-moments-to-remember/blog/48129/





 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 10:41:52 น.   
Counter : 1059 Pageviews.  


หมีขั้วโลกและลูกนกเพนกวิน หนึ่งในสัตว์ผู้ได้รับ ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน

ผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังปรากฎเด่นชัดขึ้นทุกวัน และผู้ที่ได้รับผลกระทบของวิกฤตโลกร้อนอย่างเห็นได้ชัดคงหนีไม่พ้นสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะสัตว์บางประเภทที่มีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างหมีขั้วโลกและเพนกวินนั้นเป็นตัวอย่างของสายพันธุ์สัตว์ที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน

ตามธรรมชาติแล้ว อาหารหลักของหมีขั้วโลกคือแมวน้ำ และสัตว์น้ำอื่นๆ โดยเจ้าหมีสีขาวจะรอคอยอยู่ที่ปลายทะเลน้ำแข็งเพื่อให้เหยื่อปรากฎตัวที่ผิวน้ำ แต่เมื่อทะเลน้ำแข็งละลาย เจ้าหมีขั้วโลกจำเป็นต้องว่ายน้ำเข้าหาฝั่ง และหาอาหารประเภทอื่นกิน ไม่ว่าจะเป็นเห็ด ลูกเบอร์รี รวมถึงห่านหิมะ และสัตว์ชนิดอื่น เมื่อสภาวะโลกร้อนทำให้ทะเลน้ำแข็งของอาร์กติกละลายมากเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่หมีขั้วโลกจำเป็นต้องสะสมไขมันจากการกินลูกแมวน้ำก่อนที่จะกลับเข้าฝั่ง

5 กุมภาพันธ์ 2557 หมีขั้วโลกกำลังกินกวางคาริบูที่ตนล่าได้Credit: ©AMNH/R. Rockwell

ล่าสุดหมีขั้วโลกถูกพบในบริเวณตะวันตกของอ่าวฮัดสัน โดยพวกมันจำเป็นต้องกินห่านหิมะ, ไข่ และกวางคาริบู เพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติของหมีขั้วโลกที่จะล่าสัตว์บนพื้นดิน “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าปริมาณแคลอรีที่ได้รับจะสามารถชดเชยเทียบเท่ากับการล่าแมวน้ำเพื่อการดำรงชีวิตได้” ลินดา กอร์เมซาโน นักชีววิทยาด้านสัตว์มีกระดูกสันหลัง จาก พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา(American Museum of Natural History) ในกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกากล่าว  และถึงแม้ว่านี่จะบ่งชี้ว่าหมีขั้วโลกสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมได้บ้าง แต่ในระยะยาวแล้ว ยังไม่สามารถช่วยให้พวกมันเอาตัวรอดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการที่ทะเลน้ำแข็งหายไปได้ สตีเวน ซี แอมสตรัป นักวิจัยแห่ง Polar Bears International กล่าว “การปรับตัวนี้อาจจะช่วยซื้อเวลาสำหรับหมีขั้วโลกบางตัว แต่ในที่สุดแล้วไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่า อาหารทางเลือกของหมีขั้วโลกจะสามารถเพิ่มประชากรหมีขั้วโลกได้”

ห่างไกลจากอาร์กติกออกไป นกเพนกวินที่ชายฝั่งของอาร์เจนตินาเองก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน โดยภายในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2526-2554 กลุ่มนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เฝ้าสังเกตกลุ่มเพนกวินมาเจลลันที่ชายฝั่งของอาร์เจนตินา โดยเฉพาะในช่วงหลังจากที่ลูกนกเพนกวินออกจากไข่ในปลายเดือนพฤศจิกายน ถึงต้นธันวาคม ข้อมูลที่ออกมาเผยว่าสาเหตุที่คร่าชีวิตลูกนกเพนกวินสูงสุดในแต่ละปีก็คือ สภาวะที่อุณหภูมิในร่างกายต่ำกว่าปกติ (Hypothermia) ที่เกิดขึ้นในช่วงพายุฝนรุนแรง ซึ่งตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนั้น

ลูกนกเพนกวินเกิดใหม่ในช่วงอายุ 9-23 วันนั้นมีความอ่อนไหวต่อการเกิดสภาวะที่อุณหภูมิในร่างกายต่ำกว่าปกติสูง เนื่องจากยังเด็กเกินไป และขนที่สามารถกันน้ำได้ยังไม่ขึ้น แต่กระนั้นก็โตเกินกว่าจะหลบหาไออุ่นจากพ่อแม่ของมัน  การที่พวกมันไม่มีขนที่สามารถกันน้ำได้นี่เอง จะทำให้พวกลูกนกตายทันทีที่อยู่ในน้ำ

ความร้อนสูง ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสภาวะโลกร้อนที่ทวีความเลวร้ายขึ้นตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมานั้น ส่งผลกระทบต่อการปรับอุณหภูมิร่างกายของนกเพนกวินและเป็นสาเหตุให้พวกมันเสียชีวิต แต่นั่นก็ไม่เท่ากับสาเหตุจากสภาวะที่อุณหภูมิในร่างกายต่ำกว่าปกติ และในกรณีของลูกนกเพนกวินมาเจลลันแล้ว นอกจากพายุฝนรุนแรงจะสร้างความเหน็บหนาวให้กับลูกนกที่เปราะบาง ยังทำให้น้ำท่วมรังของลูกนกเพนกวินอีกด้วย โดย เวย์น ทริเวลพีซ นักวิจัยด้านเพนกวินแอนตาร์กติก กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยร้ายแรงต่อเพนกวินทุกสายพันธุ์ทั่วโลก ไม่ใช่เพียงแค่สายพันธุ์นี้เท่านั้น และวิกฤตโลกร้อนก็ได้ส่งผลกระทบให้ประชากรเพนกวินในภูมิภาคแอนตาร์กติกาเช่นกัน  และผลกระทบจะชัดเจนยิ่งขึ้นหากสภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้น

ผลกระทบต่อชีวิตของหมีขั้วโลกและนกเพนกวินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เพิ่งจะเริ่มปรากฎผลรุนแรงขึ้นเท่านั้น ยังมีสัตว์อีกมากมายหลายสายพันธุ์ทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโลกร้อน เราทุกคนต่างทราบถึงสาเหตุของภาวะโลกร้อนเป็นอย่างดี นั่นคือ การที่มนุษย์เผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และ ก๊าซธรรมชาติ เพื่อผลิตพลังงาน เราต่างทราบดีถึงผลกระทบบางอย่างของภาวะโลกร้อน เช่น การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ความแห้งแล้งอย่างรุนแรง และ การเกิดพายุรุนแรงฉับพลัน

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะหันมาใช้พลังงานสะอาดแทนการพึ่งพาพลังงานสกปรก เร่งลดวิกฤตโลกร้อน เพื่อสัตว์ที่สวยงามอย่างหมีขั้วโลก นกเพนกวิน และทุกสรรพชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้

Savethearctic.org

ที่มา //www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/br/blog/48116/





 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 10:39:17 น.   
Counter : 1781 Pageviews.  


อาร์กติก นกอัลบาทรอสแห่งความโชคร้ายของเชลล์

Shell's Kulluk platform is grounded in Alaska, January 2013

 

'God save thee, ancient Mariner!
From the fiends, that plague thee thus!
Why look'st thou so?' 'With my cross-bow
I shot the Albatross.'

Samuel Taylor Coleridge
The Rime of the Ancient Mariner, 1798

เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่ผ่านมา เชลล์ได้ตัดสินใจที่จะลงทุนครั้งใหญ่ในโครงการใหม่ นั่นก็คือการขุดเจาะน้ำมันในมหาสมุทรอาร์กติกที่กำลังละลายในพื้นที่ใกล้กับชายฝั่งอลาสกา ในช่วงเวลานั้น ราคาน้ำมันกำลังทะยานขึ้นสูง และความต้องการน้ำมันของโลกก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เชลล์เชื่อว่าจะนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาพิชิตสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศที่โหดร้ายและเปราะบางมากที่สุดบนโลก และสามารถเดินออกมาพร้อมกับน้ำมัน 9 หมื่นล้านบาเรล ตามจำนวนที่ผู้เชี่ยวชาญคาดไว้ว่ามีอยู่ใต้อาร์กติก

กลับมายังปีปัจจุบัน พ.ศ.2557 และสิ่งต่างๆ ดูแตกต่างออกไป เมื่อ 30 มกราคม ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซีอีโอคนใหม่ล่าสุดของเชลล์ได้ประกาศต่อกลุ่มนักลงทุนว่า เชลล์จะไม่ดำเนินการขุดเจาะน้ำมันที่อาร์กติกเป็นปีที่สองติดต่อกัน ถึงแม้จะเสียเงินลงทุนไปแล้ว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และชั่วโมงการทำงานอีกนับไม่ถ้วน การตัดสินใจนี้ถูกกำหนดขึ้นโดยศาลในเมืองซานฟรานซิสโกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประเมินปริมาณน้ำมันในภูมิภาคนั้นต่ำเกินไป และด้วยเหตุผลนั้นใบอนุญาตขุดเจาะน้ำมันที่ได้รับการอนุมัติจึงถือเป็นโมฆะ ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่สำหรับเครือข่ายของเราที่ร่วมกันต่อสู้คดีนี้ อาทิเช่น กลุ่ม Inupiat community of the Arctic slope, The Sierra Club, The Alaska Wilderness league  และอีกหลายองค์กรอื่นๆ (สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่).

ข่าวนี้ถือเป็นบทสรุปอีกปีหนึ่งที่น่าเศร้าสำหรับเชลล์ในภูมิภาคอาร์กติก รวมถึงอุบัติเหตุจากการพยายามขุดเจาะน้ำมันเมื่อปีพ.ศ.2555 ที่ดูจะเป็นเรื่องน่าขันหากไม่ใช่เพราะความอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ของแท่นขุดเจาะน้ำมันสองแท่นระเบิด เกยตื้น, ไฟไหม้เครื่องยนตร์, อุปกรณ์จัดการรับมือน้ำมันรั่วที่ใช้ไม่ได้ และถูกปรับกรณีก่อมลพิษทางอากาศ ความผิดพลาดเหล่านี้ทำให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยของสหรัฐฯ กล่าวว่า เชลล์นั้น  'พังไม่เป็นท่า' — ซึ่งไม่ใช้ภาษาที่เรามักได้ยินจากนักการเมืองสักเท่าไร ในปีพ.ศ.2556  และในปีนี้เองจากการตัดสินของศาล เชลล์จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระงับแผนการขุดเจาะในอาร์กติก เชลล์จึงเสียเงินไปโดยไม่ได้อะไร

ภูมิภาคอาร์กติกจึงเป็นเสมือนห่วงคล้องคอของเชลล์ และกลับกลายเป็นคำสาป บางสิ่งที่ดูเหมือนจะล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น ภูมิภาคนี้ต้องอาศัยเงินมหาศาล มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูง หลายปีแห่งความล้มเหลวได้กลายเป็นตราบาปในชื่อเสียงของบริษัท และเงินมูลค่าหลายพันล้านที่กำลังหลุดลอยไปก็สร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น ยิ่งไปกว่านั้นและสำคัญที่สุดคือเป็นการขุดเจาะน้ำมันในสถานที่อันเปราะบางและงดงามที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกของเรา นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดที่เชลล์เคยทำมา การที่เห็นอาร์กติกเป็นเพียงอีกเป้าหมายหนึ่งของประวัติการทำงานนั้น ผู้บริหารของเชลล์ได้ประเมินพลังจากความเห็นของสาธารณชนต่ำไป และเป็นที่ชัดเจนว่าการขุดเจาะน้ำมันในอาร์กติกนั้นไม่มีทางปลอดภัย รวมถึงการเกิดน้ำมันรั่วก็จะเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับผู้คนและบรรดาสัตว์ที่อาศัยอยู่ที่นั้น นอกจากนี้ยังไม่ต้องสงสัยว่าการฉวยโอกาสที่ทะเลน้ำแข็งละลายเพื่อขุดเจาะน้ำมันเพิ่มนั้นเป็นความคิดที่แย่มาก และไม่ถูกต้องเสียเลย แต่กระนั้นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่นี้ก็ยังดันทุรังรักษาผลกำไรของตนด้วยการพร้อมเดิมพันชื่อเสียงทั้งหมดไปกับการทำลายอาร์กติก

แต่ซีอีโอคนใหม่ของเชลล์ยังมีทางเลือก เขาสามารถเลือกที่จะเดิมพันด้วยเงินหลายพันล้านในโครงการที่จะทำลายชื่อเสียงของบริษัทในศตวรรษที่ 21 นี้ หรือยอมถอยออกจากอาร์กติก ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหล หรืออุบัติเหตุครั้งใหญ่ที่จะทำลายภาพลักษณ์ของเชลล์ และทำลายภูมิภาคอาร์กติกเองจนไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกกำลังเรียกร้องให้เขาเลือกทางเดินที่ถูกต้อง และการตัดสินใจในวันนี้นั้นแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาอาจกำลังรับฟังเสียงจากประชาชน แต่เราอาจจะยังไม่สามารถวางใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ร่วมกันเขียนถึงซีอีโอของเชลล์ เขียนถึงซีอีโอของเชลล์. ร่วมกันเปล่งเสียงให้เขาได้ยิน พลังของเราทุกคนสามารถปกป้องอาร์กติกได้

ที่มา //www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/blog/48079/




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 10:36:42 น.   
Counter : 991 Pageviews.  


ลอรีอัล มุ่งมั่นพลิกโฉมรักษ์ป่า

ลอรีอัล บริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ของโลกประกาศให้คำมั่นที่จะยุติการใช้วัตถุดิบที่มาจากการตัดไม้ทำลายป่าในผลิตภัณฑ์ของตน

“คุณค่าที่คุณคู่ควร” สโลแกนติดหูที่ใช้มานาน 40 ปี ของบริษัทเครื่องสำอางจากฝรั่งเศสนี้ กล่าวถึงอำนาจของผู้หญิง ซึ่งอันที่จริงแล้วก็เป็นคำที่ถูกคิดขึ้นมาโดยนักเขียนคำโฆษณาผู้หญิงซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คนในอุตสาหกรรมนี้อีกด้วย

และในวันนี้เราก็รู้สึกได้ว่าสโลแกนนี้มีความหมายใหม่ขึ้นมา

เจตนารมณ์ในการยุติการทำลายป่าไม้ในห่วงโซ่การผลิตของแบรนด์นั้นถือเป็นชัยชนะของผู้บริโภคและป่าไม้ทั่วโลก

เราเรียกร้องให้ลอรีอัลให้คำรับรองว่าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นั้นเป็นมิตรต่อป่าไม้ และยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ไม่ใช่รอถึงปีพ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นกำหนดเวลาที่บริษัทตั้งขึ้น แล้วจึงเริ่มลงมือ หากบริษัท เฟอร์เรโร สามารถกำหนดปีไว้ที่ปีพ.ศ.2558 บริษัทอื่น รวมถึงลอรีอัลเอง ก็สามารถทำได้เช่นกัน

Deforestation for Palm Oil by Bumitama in Indonesia Excavators clear intact peatland forests and build drainage canals in an oil palm concession owned by PT Andalan Sukses Makmur, a subsidiary of Bumitama Agri Ltd.

ในแต่ละวันคุณมีโอกาสใช้น้ำมันปาล์มบ่อยครั้งมาก โดยอาจไม่รู้ตัว น้ำมันปาล์มเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ แชมพู ยาสีฟัน ชอคโกแลต และผงซักฟอก เรียกได้ว่าอยู่ในผลิตภัณฑ์แทบทุกอย่าง มีการปลูกปาล์มเพื่อนำผลของปาล์มมาผลิตเป็นน้ำมันและขายให้กับผู้ซื้อ และจากบริษัทเหล่านี้เองที่นำมาขายต่อไปยังบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผลิตสินค้าที่เราพบเห็นบนชั้นวางของห้างสรรพสินค้าต่างๆ

กว่าจะมาถึงจุดนี้นั้นไม่ง่ายเลย และถึงแม้คุณอาจจะไม่รู้ตัว ความสำเร็จนี้คงไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากคุณ

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อเราเริ่มตรวจสอบว่า วิลมาร์ อินเตอร์เนชันแนล บริษัทจัดจำหน่ายน้ำมันปาล์มที่ใหญ่ที่สุดของโลก หันมาเสาะหาน้ำมันปาล์มจากแหล่งที่ทำลายป่าไม้ และจำหน่ายให้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง จิลเลทท์ เฟอร์เรโร แคดเบอรี ลอรีอัล และ เคลียราซิล ได้อย่างไร

เราได้เผยว่า นโยบายที่ไม่เข้มงวดพอของบริษัทเหล่านี้ได้ทำให้ผู้บริโภคมีส่วน ในการทำลายป่าไม้ได้อย่างไร  ด้วยการเผชิญหน้าที่สำนักงานของบริษัท และติดต่อกับแบรนด์ต่างๆ ทั่วโลกที่ใช้น้ำมันปาล์มดังกล่าว

จากนั้นได้เกิดเรื่องน่าสนใจขึ้น

อันดับแรก เฟอร์เรโร ได้เปิดตัวนโยบายที่ลงรายละเอียดว่าจะรับซื้อน้ำมันปาล์มที่เป็นมิตรต่อป่าไม้เท่านั้น  ต่อมา มอนเดเลซ (บริษัทผู้ผลิต แคดเบอรี) ก็ประกาศเช่นกันว่าจะเริ่มดำเนินการนโยบายในเชิงเดียวกัน

จากนั้น เราหันไปจับตามองการดำเนินการของบริษัทเหล่านี้ในปฏิบัติการ Tiger Challenge แสดงให้เห็นว่านโยบายที่หย่อนยานนั้นส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ที่เราใช้ทำลายป่าไม้อย่างไร

ในวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา บริษัท วิลมาร์ ได้ประกาศว่าจะยุติการทำลายป่า และยุติการซื้อน้ำมันจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้

และล่าสุดคือลอรีอัล

แม้ว่าคุณจะไม่ได้ส่งอีเมลไปยังลอรีอัลเกี่ยวกับการใช้น้ำมันปาล์มที่ทำลายป่าไม้ แต่การเป็นส่วนหนึ่งของกรีนพีซคุณก็ได้ช่วยแล้วเช่นกัน เป็นสิ่งที่คุณและผู้คนอื่นหลายล้านคนทั่วโลกได้มีส่วนร่วมลงมือในกิจกรรมต่างๆ มากพอที่จะโน้มน้าวบริษัทเหล่านี้ให้หันมาเปลี่ยนแปลง

และการที่มีพลังมหาชนจากทั่วโลกนี่เอง เราจึงสามารถโน้มน้าวให้ลอรีอัลผลักดันเจตนารมณ์ของตนในการปกป้องป่าไม้ หากบริษัทเริ่มลงมือทำจริง

นั่นแหละคือพลังของคุณ

ขณะนี้ลอรีอัลได้หันมาดำเนินตามรอย เนสเล่ ยูนิลิเวอร์ และเฟอร์เรโร ที่ได้แสดงเจตนารมณ์มุ่งมั่นประกาศนโยบายยุติการทำลายป่าไม้ และจะนำนโยบายนี้ไปใช้กับแบรนด์ต่างๆ ในเครืออย่าง เมย์เบลลีน การ์นิเย และ คีลส์ เป็นต้น

เราจะตั้งตารอวันที่ลอรีอัล สามารถให้คำรับรองว่าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นั้นปลอดการตัดไม้ทำลายป่าอย่างสิ้นเชิง ในระหว่างนี้ เราจะยังคงผลักดันให้ลอรีอัลให้คำรับรองว่าผลิตภัณฑ์ของตนจะเป็นมิตรต่อป่าไม้ภายในปี พ.ศ. 2563 แต่ป่าไม้ไม่สามารถรออีกหกปีได้

เจตนารมณ์ของลอรีอัลได้ปลุกกระแสแบรนด์อื่นๆ ที่ยังคงรีรอไม่ดำเนินการ บริษัทต่างๆ อาทิ แบรนด์อย่าง เฮดส์แอนด์โชล์เดอรส์ คอลเกต และเคลียราซิล จะต้องก้าวออกมาแสดงความมุ่งมั่นเช่นกัน เหมือนกับที่เราพยายามผลักดันอย่างต่อเนื่องให้ทุกบริษัทยุติการทำลายป่า

ที่มา //www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/how-loreal-committed-to-the-ultimate-makeover/blog/48047/




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 10:34:00 น.   
Counter : 872 Pageviews.  


ล้างสารพิษออกจากแบรนด์แฟชั่นอย่างไรภายใน 14 วัน จาก 6 เมือง และ 10,000 ทวีต

burberry commits to detox

สำเร็จแล้ว! แบรนด์สุดหรูแห่งอังกฤษ เบอร์เบอร์รี ได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมขจัดปีศาจสารพิษออกจากกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าของตนภายในปีพ.ศ. 2563 ถือเป็นข่าวดีจริงๆ และยังเป็นอีกหนึ่งชัยชนะที่เกิดขึ้นจากพลังของมวลชนในการเรียกร้องให้รันเวย์แฟชั่นปลอดสารพิษ

และทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะคุณ

keep calm and detox

เกิดขึ้นได้อย่างไรน่ะเหรอ สิ่งแรกและสิ่งสำคัญก็คือ ต้องขอบคุณผู้คนหลายพันจากทั่วโลกที่ร่วมกันรณรงค์เรียกร้องทางออนไลน์ และออกมาตามท้องถนนในเมืองต่างๆ เพื่อเรียกร้องให้เบอร์เบอร์รีหันมาแสดงเจตนารมณ์ร่วมล้างสารพิษ

พายุพลังสื่อสังคมออนไลน์

ภายในเวลาเพียงสามวัน ผู้สนับสนุนกรีนพีซชาวออนไลน์ ผู้ปกครอง และชาวแฟชั่นได้ร่วมกันส่งข้อความที่ชัดเจนไปถึงเบอร์เบอร์รีให้ล้างสารพิษ อันดับแรกเราใช้ช่องทางทวีตเตอร์ ที่ซึ่ง ผู้คนกว่า 1 หมื่นคน ได้ร่วมทวีตไปยัง @Burberry เพื่อยุติการใช้ปีศาจสารพิษน้อย จากนั้นหน้าวอลล์ของเฟสบุ๊คก็ท่วมท้นไปด้วยข้อความที่เรียกร้องให้เบอร์ เบอร์รีล้างมือจากสารพิษเสีย และท้ายที่สุด ชาวอินสตาแกรมก็ร่วมส่งข้อความไปยังแบรนด์ด้วยรูปภาพเช่นกัน!

เหตุการณ์บนท้องถนนแฟชั่น

ในขณะเดียวกัน อาสาสมัครกรีนพีซใน 6 ประเทศ อาทิ ในเมืองปักกิ่ง จาการ์ตา เนเธอร์แลนด์ และแม็กซิโก ต่างพากันไปเยี่ยมเยือนร้านเบอร์เบอร์รีและเผยให้เห็นถึงปีศาจสารพิษน้อยที่ซุกซ่อนอยู่ในผ้าลายหมากรุกของแบรนด์ พร้อมกับเรียกร้องให้ยุติการใช้สารพิษเหล่านี้ในผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าของแบรนด์

อีกก้าวหนึ่งสู่อนาคตปลอดสารพิษ

เบอร์เบอร์รี เป็นแบรนด์ล่าสุดที่เข้าร่วมกับอีก 18 แบรนด์ดัง อย่างซาร่า,ลีวายส์ ,เบเนตอง และวิคตอเรีย ซีเคร็ท ในการแสดงเจตนารมณ์ล้างสารพิษออกจากผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตที่เคยใช้ปีศาจสารพิษอันตราย เจตนารมณ์นี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีว่า เมื่อมวลชนรวมพลังกันแล้วเราสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้

ร่วมฉลองความสำเร็จกับเราด้วยการแชร์เรื่องราวนี้ออกไปทางเฟสบุ๊ค ทวีตเตอร์ หรือบอกเล่าให้เพื่อน เพราะพลังมวลชนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง!

ร่วมกล่าวขอบคุณกับ @Burberry ที่มุ่งมั่นทำสิ่งที่ถูกต้อง

ที่มา //www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/14-6-10000/blog/48033/




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 10:31:03 น.   
Counter : 857 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  

greenpeacethailand
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ในพ.ศ.2514 กลุ่มนักกิจกรรมกลุ่มเล็กๆ จากเมืองแวนคูเวอร์ แคนาดา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวิสัยทัศน์แห่งโลกสีเขียวและมีสันติสุข ได้แล่นเรือหาปลาเก่าๆ ออกจากแวนคูเวอร์ แคนาดา นักกิจกรรมเหล่านี้ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกรีนพีซ เชื่อว่าบุคคลไม่กี่คนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

ภาระกิจของพวกเขาคือการ "เป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ" ของการทดลองนิวเคลียร์ใต้ดินที่เกาะอัมชิตกา ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ นอกชายฝั่งตะวันตกของรัฐอลาสก้า ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

อัมชิตกาเป็นสถานหลบภัยของนากทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ 3,000 ตัว และเป็นบ้านของนกอินทรีย์หัวล้าน เหยี่ยวต่างถิ่น และ สัตว์ป่าอื่นๆ มากมาย

ถึงแม้ว่าเรือเก่าๆ ของพวกเขา คือ ฟิลลิส คอร์แมก ถูกขัดขวางก่อนที่จะไปถึงอัมชิตกา แต่การเดินทางครั้งนี้จุดประกายเล็กน้อยให้แก่ความสนใจของสาธารณชน

สหรัฐอเมริกายังคงจุดระเบิดอย่างหนักหน่วง แต่เสียงเพรียกแห่งเหตุผลมีผู้ได้ยินแล้ว การทดลองนิวเคลียร์บนเกาะอัมชิตกาได้สิ้นสุดลงในปีเดียวกัน และเกาะแห่งนั้นได้ถูกประกาศให้เป็นสถานหลบภัยของนกทั้งหลาย

ปัจจุบัน กรีนพีซเป็นองค์กรนานาชาติที่ให้ความสำคัญแก่การรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก


คุณพร้อมที่จะร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือยัง?
มีหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้ตอนนี้!


หลายคนอาจจะคิดว่าการดูแลรักษาโลกเป็นเรื่องยาก แค่ลำพังเราอาจทำอะไรได้ไม่มากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วแค่เพียงสองมือเล็กๆของเราก็สามารถทำเพื่อโลกได้มากมาย อ่านต่อ

ติดตามกรีนพีซเพ่ิมเติมได้ที่:

Facebook | Twitter | Instagram | YouTube
[Add greenpeacethailand's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com