จากมติดังกล่าวของครม.ทำให้พืช GMO หรือสิ่งมีชีวิตตัดต่อพันธุกรรม ยังคงอยู่ภายใต้เงื่อนไขการทดลองภาคสนามที่เข้มงวด เช่น ต้องทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ต้องทดลองในสถานที่ของราชการเท่านั้น ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ องค์กรสาธารณะประโยชน์ และนักวิชาการ นอกจากนั้นคณะรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อนุมัติให้มีการทดลองเป็นรายกรณีเท่านั้น ด้วยเหตุนี้บริษัทเจ้าของสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์ GMO และผู้ได้รับผลประโยชน์จึงเดินหน้าเต็มกำลังในการผลักดันพ.ร.บ.ความปลอดภัยทางชีวภาพเพื่อเป็นกฎหมายบังคับใช้แทน ซึ่งพ.ร.บ.ความปลอดภัยนี้ถือได้ว่าเป็นไพ่ใบสุดท้ายของผู้สนับสนุนพืช GMO
เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2558 รศ.ดร.จิราภรณ์ ลิ้มปานานนท์ ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล และนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ตัวแทนคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน และมูลนิธิชีววิถี ได้แถลงข่าวในการประชุมเพื่อวิเคราะห์ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวซึ่งมีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชน สิ่งแวดล้อม และภาคเศรษฐกิจและสังคมดังต่อไปนี้
หมวดความปลอดภัยทางชีวภาพ
-
การขาดความมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ในมาตรา 6 ได้กำหนดให้คณะกรรมการความปลอดภัยทางชีวภาพมาจากภาครัฐ 11 คน (ปลัดกระทรวงและอธิบดี) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่เกิน 10 คนที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรี ซึ่งมาตรานี้เปิดช่องให้รัฐมนตรีสามารถแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในจำนวนเท่าใดก็ได้ เพื่อความโปร่งใส พ.ร.บ.ฯ ควรเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความปลอดภัยทางชีวภาพคัดเลือกตัวแทนกันเอง นอกจากนั้นควรกำหนดจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้ชัดเจน
-
ควรกำหนดให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทที่มีผลประโยชน์จาก GMO
การควบคุมทั่วไป
-
มาตรา 17 ควรประกาศในลักษณะห้ามมิให้มีการผลิตหรือนำเข้าสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมทุกชนิด เว้นแต่จะได้ประกาศยกเว้นไว้แทนร่างฉบับปัจจุบันซึ่งระบุว่า มาตรา 17 ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศกำหนดสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่ห้ามผลิตหรือนำเข้า เพราะตามมาตรา 17 นี้พ.ร.บ.ฯ จะคุ้มครองเฉพาะพืชที่ถูกประกาศ ซึ่งจะเปิดช่องให้การกับการผลิตและนำเข้าพืช GMO นอกรายการ
การขึ้นบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม
-
ควรกำหนดให้มีตัวแทนภาคประชาชน หรือองค์กรพัฒนาเอกชนเข้าไปเป็นคณะกรรมการ
-
การจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกรณีคณะกรรมการผู้ชำนาญการเห็นชอบรายงานประเมินความเสี่ยง (มาตรา 43) โดยผู้ยื่นคำขอขึ้นบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมเอง อาจเกิดปัญหาในการจัดการรับฟังความคิดเห็นและทำให้ไม่ได้รับทราบความเห็นที่แท้จริง จึงควรให้หน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นกลางอื่นเป็นผู้จัดการรับฟังความคิดเห็น
-
ผลการรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 43 จะถูกนำไปประกอบการพิจารณาโดยหน่วยงานผู้รับผิดชอบเท่านั้น (มาตรา 44) และหน่วยงานผู้รับผิดชอบไม่จำเป็นต้องรับฟังหรือปฏิบัติตามผลการรับฟังความคิดเห็นก็ได้
สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม
-
การพิจารณาความปลอดภัย หรืออันตรายที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมใช้เฉพาะข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน และต้องเกิดความเสียหายแล้วเท่านั้น (มาตรา 35, 46) ถือว่าขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายแคบเกินไปทั้งที่ Biosafety Protocol อนุญาตให้ใช้ดุลพินิจตามสมควรได้แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสามารถใช้เหตุผลด้านสังคมเศรษฐกิจ (Socio-Economic consideration) ได้ (Biosafety Protocol Act, 11.8, 26)
-
ร่าง พ.ร.บ. นี้ใช้บัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมเป็นกลไกในการบริหารจัดการ โดยหากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยฯ ก่อให้เกิดความเสียหาย ร่าง พ.ร.บ. นี้ไม่ได้กำหนดให้มีผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยกำหนดให้ต้องมีการรับผิดชอบเฉพาะกรณีความเสียหายเกิดจากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่ไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยเท่านั้น (มาตรา 52) ซึ่งรูปแบบการกำหนดแยกประเภทสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่อยู่และไม่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยนั้นเป็นรูปแบบที่ไม่ปรากฏใน Biosafety Protocol หรือ Nagoya-Kuala lumper Supplement Protocol ดังนั้นการไม่กำหนดให้ต้องมีการรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรมที่อยู่ในบัญชีปลดปล่อยจึงอาจขัดกับวัตถุประสงค์ของ Biosafety Protocol หรือ Nagoya-Kuala lumper Supplement Protocol
ด้วยสภาวะทางการเมืองในปัจจุบันเป็นการยากที่เราจะทราบว่า พ.ร.บ. ความปลอดภัยทางชีวภาพ จะประกาศออกมาเมื่อไร แต่จากฉบับร่างที่ถูกนำมาเปิดเผยในงานแถลงข่าวก็พอจะเห็นได้ชัดเจนว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้มีช่องโหว่ที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเมล็ดพันธุ์ข้ามชาติเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ต้องการให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมาโดยขาดการรับรู้และมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เช่นเดียวกันกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ โปรดช่วยกันแชร์เรื่องนี้ออกไปให้เป็นกระแสสังคมเพื่อรักษาอธิปไตยบนผืนดินให้ลูกหลานของเราในวันหน้า
ในช่วงนี้มีข่าวที่ไม่ดีนักเกี่ยวกับแอปเปิลที่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้ผู้ บริโภคพอจะหลีกเลี่ยงได้ไม่ยากด้วยการหันมาบริโภคผลผลิตในประเทศซึ่ง นอกจากจะปลอดภัยจากความเสี่ยงแล้วยังเป็นการลดการก่อมลภาวะจาก การขนส่งด้วย อย่างไรก็ตามนอกจากแหล่งกำเนิดของผลผลิตแล้วกระบวน การผลิตก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริโภคควรจะรับรู้ซึ่งข้อมูลนี้จะแสดงอยู่บนสติก เกอร์เล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนฉลากนั่นเอง
International Federation for Produce Standard ได้กำหนด ตัวเลขบนฉลากสำหรับการคำนวณราคา ณ จุดขาย (Price Look-Up) ซึ่ง ตัวเลขบนฉลากนี้นอกจากจะใช้ในการคิดราคาแล้วยังบอกถึงระบบการเพาะ ปลูกของผลผลิตนั้น ๆ ได้อีกด้วย
-
หากบนฉลากมีตัวเลขอยู่สี่หลัก หรือห้าหลักที่ขึ้นต้นด้วยหมายเลข 0 หมายความว่าผลผลิตนั้นปลูกขึ้นในระบบทั่วไปซึ่งจะใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง เช่น กล้วยที่ปลูกโดยใช้สารเคมีจะติดฉลากด้วยหมายเลข 4011
-
หากบนฉลากมีตัวเลขอยู่ห้าหลักและขึ้นต้นด้วยหมายเลข 8 หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นพืชที่ถูกตัดต่อพันธุกรรม ดังนั้นกล้วย GMO จะติดฉลากด้วยหมายเลข 84011
-
หากบนฉลากมีตัวเลขอยู่ห้าหลักและขึ้นต้นด้วยหมายเลข 9 หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นเป็นพืชปลูกในระบบอินทรีย์ ดังนั้นกล้วยอินทรีย์จะติดฉลากด้วยหมายเลข 94011
อย่างไรก็ตามเนื่องจากไม่มีการบังคับใช้ที่เข้มงวดในการติดหมายเลข 8 หรือ 9 ผู้ค้าส่วนมากจึงหลีกเลี่ยงการติดหมายเลข 8 เพื่อให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าเป็นผลผลิต ทั่วไป
และที่น่ากลัวมากขึ้นไปอีกคือ ในปี 2557 International Federation for Produce Standard ได้กำหนดหมายเลขนำหน้าเพียงสองหมายเลขคือ หมายเลข 0 และหมายเลข 9 โดยไม่ได้ระบุหมายเลข 8 ไว้ในคู่มือผู้ใช้งานอีกต่อไป นี่หมายความว่าผู้บริโภคจะไม่สามารถทราบได้อีกต่อไปว่าพวกเขากำลังบริโภคอะไรอยู่
เรื่องราว - มกราคม 27, 2558
ที่มา : //www.greenpeace.org/seasia/th/news/Thai-gmo-and-last-card/