กรีนพีซดำรงอยู่เพราะโลกอันบอบบางใบนี้สมควรมีผู้ปกป้อง โลกต้องมีวิธีแก้ปัญหา ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการลงมือทำ
 
 

อยากไปเสม็ดฟรีแบบ EXCLUSIVE คลิกเลย

“เก็บกระเป๋า ควงแขน เที่ยวละไมไทยแลนด์ วางแพลนไปเสม็ดกัน..” เพื่อชมปัญหาที่ปตท.กำลังซุกซ่อนไว้ใต้พื้นผิวของชายหาดสีขาว และน้ำทะเลสีน้ำเงิน กันดีไหม

ช่วงนี้ปตท. กำลังกระหน่ำโปรโมทกิจกรรมหลายอย่างเพื่อคืนความเชื่อมั่นสร้างกระแสการท่องเที่ยวให้กลับมายังเกาะเสม็ด จังหวัดระยองอีกครั้งหนึ่ง และหนึ่งในกิจกรรมล่าสุดขณะนี้ คือ “We Love PTT on Tour ตอน Let’s go to Samed” ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และมีรางวัลใหญ่ที่น่าสนใจคอยดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างแพ็คเกจที่พักรีสอร์ทสุดหรูบนอ่าวพร้าว ซึ่งเป็นอ่าวที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคราบน้ำมันบนเกาะเสม็ด

PTT promotion ADแน่นอนว่าภาพของหาดทรายขาว น้ำใสกลับมาคืนเกาะเสม็ดแล้ว และปตท.ก็กำลังดำเนินการคืนภาพลักษณ์ของตนเองอยู่อย่างต่อเนื่อง แล้วการดำเนินการฟื้นฟูผลกระทบด้านอื่นล่ะ ปตท.มีการลงทุนเพื่อฟื้นฟูความเสียหายของระบบนิเวศ การปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหาร ผลกระทบต่อการประมงพื้นบ้านชายฝั่ง และสุขภาพอนามัยของพี่น้องชาวระยองอย่างไรบ้าง? หรือแค่ทุ่มเทเพื่อสร้างภาพโฆษณามากกว่าการเข้าไปแก้ปัญหาและรับผิดชอบต่อความเสียหายอย่างแท้จริง

รายงานการสำรวจการปนเปื้นน้ำมันบริเวณแหล่งประมงพื้นบ้าน แนวหิน จังหวัดระยอง กรณีน้ำมันรั่วปตท. ปีพ.ศ.2556 โดยกลุ่มติดตามน้ำมันปตท.รั่วและกรีนพีซ การประเมินความเสี่ยงการปนเปื้อนและความเสียหายจากวิกฤตน้ำมันรั่วและการใช้สารเคมีกระจายคราบน้ำมัน ซิลิกอน เอ็น เอส เพื่อให้คราบน้ำมันแตกตัวและจมลงสู่ใต้ทะเล ซึ่งผลการวิเคราะห์ได้ตรวจพบสารโพลีไซคลิคอะโรมาติไฮโดรคาร์บอนในตะกอนดินที่สามารถสะสมตกค้างในตะกอนดินและเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิตยาวนาน ส่งผลให้เกิดปะการังฟอกขาว และการหายไปของสัตว์น้ำ ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมันนั้นยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง และต้องการความเร่งด่วนในการแก้ไขฟื้นฟูความเสียหายของระบบนิเวศ  

ขณะที่เหตุการณ์น้ำมันรั่วของไทยยังคงเป็นปัญหาที่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรม อีกด้านหนึ่งของซีกโลก ที่ประเทศรัสเซีย บริษัทน้ำมัน ลูกอยล์ ที่ก่อเหตุน้ำมันรั่วหลายต่อหลายครั้งในภูมิภาคโคมิ ทางตอนเหนือของรัสเซีย ได้รับคำสั่งจากศาลรัสเซียให้จ่ายค่าความเสียหายเป็นมูลค่า 615 ล้านรูเบิล  (หรือ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ) เนื่องจากมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมที่ทางบริษัทก่อขึ้น ซึ่งเหตุการณ์น้ำมันรั่วในแต่ละครั้ง กรีนพีซรัสเซียและชุมชนในพื้นที่ต่างร่วมกันสำรวจและตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อต่อสู้กับบริษัทน้ำมัน ถึงแม้ค่าปรับจะยังไม่ได้ช่วยให้สภาพของภูมิภาคโคมิที่เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมันและสารเคมี น้ำแข็งและน้ำในแม่น้ำสีดำนั้นดีขึ้นแต่อย่างไร และสภาพที่เลวร้ายของโคมิเป็นเช่นนั้นอยู่ยาวนานถึง 30 ปี

ถึงชัยชนะของชาวโคมินั้นจะเป็นเพียงชัยชนะเล็กๆ ต่อบริษัทน้ำมัน แต่ก็เป็นสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนชาวไทยได้ว่าการต่อสู้เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมสามารถทำได้สำเร็จ และเราจะไม่หยุดยั้งจนกว่าปตท.จะรับผิดชอบอย่างแท้จริงต่อการฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบจากวิกฤตน้ำมันรั่วที่เกิดขึ้น เพราะผลกระทบที่ชาวประมงพื้นบ้าน และระบบนิเวศทางทะเลได้รับนั้นยังไม่เจือจางไปตามภาพโฆษณาอันสวยหรูที่เผยแพร่เพียงไม่นาน

อ่านรายงานการสำรวจการปนเปื้อนน้ำมันบริเวณแหล่งประมงพื้นบ้าน แนวหิน จังหวัดระยอง กรณีน้ำมันรั่วปตท. ปีพ.ศ.2556 โดยกลุ่มติดตามน้ำมันปตท.รั่วและกรีนพีซ

ที่มา //www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/exclusive/blog/48011/




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 10:28:46 น.   
Counter : 866 Pageviews.  


โพลาร์ วอร์เทกซ์ สิ่งที่เกิดขึ้นในอาร์กติกไม่ได้อยู่แค่เพียงในอาร์กติก

ในช่วงนี้เราคงได้สัมผัสกับอากาศเย็นที่มาเยือนประเทศไทยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปีใหม่ พร้อมกับคำว่า “โพลาร์ วอร์เทกซ์” ที่เราได้ยินกันมาอย่างไม่ขาดสายพอๆ กับลมหนาว ถึงแม้ว่าพื้นที่หลายแห่งของโลกกำลังหนาวยะเยือก จนกระทั่งมีข่าวลือไปไกลว่าอาจจะมีหิมะตกให้เห็นกันในประเทศไทย แต่อันที่จริงแล้วสภาวะโลกร้อนทำให้สภาพภูมิอากาศของโลกแปรปรวน โลกไม่ได้เย็นลงแต่อย่างไร สภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นจริงและผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่งจะปรากฎให้เห็นเท่านั้น

ปรากฏการณ์โพลาร์ วอร์เทกซ์ (Polar Vortex) คือ ลมวนขั้วโลก ตามปกติแล้วจะหมุนวนอยู่ที่แถบขั้วโลกเหนือในลักษณะทวนเข็มนาฬิกา และเคลื่อนตัวลงมาที่ต่ำสุดบริเวณประเทศแคนาดา แต่ในปีนี้กลับพัดลงมาที่ละติจูดต่ำลงถึงตอนกลางของสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้ในช่วงต้นปีใหม่ที่ผ่านมาอากาศในหลายรัฐของอเมริกามีอุณหภูมิติดลบระดับขั้วโลก หนาวเย็นที่สุดในรอบสองทศวรรษ จนบางแห่งอุณหภูมิต่ำถึง -50 องศาเซลเซียส ซึ่งกล่าวกันว่าหนาวกว่าอุณหภูมิของพื้นผิวของดาวอังคารเสียอีก พื้นที่ที่อยู่ต่ำลงมาจากขั้วโลกเหนือตั้งแต่อเมริกาเหนือ ยุโรป และแม้แต่เอเชียจึงได้รับผลกระทบจากความหนาวเย็นนี้ ขณะที่มวลอากาศเย็นเดินทางไปที่อื่น ขั้วโลกเหนือรวมถึงแถบอลาสกา และยุโรปเหนือกลับมีอากาศที่อุ่นกว่าปกติ และสภาวะการ “เมา” ของขั้วโลกเหนือเช่นนี้คาดว่าจะเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างสุดขั้วที่เกิดขึ้นในบริเวณต่างๆ ทั่วโลกที่ผ่านมา

กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเกิดขึ้นจากการที่ขั้วโลกเหนืออุ่นขึ้นและน้ำแข็งขั้วโลกละลาย อันมีสาเหตุมาจากสภาวะโลกร้อนที่มนุษย์ก่อขึ้นนั่นเอง ทำให้ความสมดุลความร้อนระหว่างขั้วโลกเหนือและเส้นศูนย์สูตรเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากแม้เพิ่มอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นเพียง 1 องศานั้นสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญได้ ส่งผลทำให้การเคลื่อนที่ของกระแสน้ำอุ่น - น้ำเย็นเปลี่ยนไป ทำให้บางพื้นที่มีอากาศหนาวเย็นมากกว่าปกติ ขณะที่บางพื้นที่เกิดคลื่นความร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รวมถึงเกิดพายุที่รุนแรง ถึงแม้จะยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าสาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นจากสภาวะโลกร้อนหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อเท็จจริงคือการที่น้ำแข็งขั้วโลกเหนือลดจำนวนลงเป็นอย่างมาก ทำให้ลดการสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ โลกจึงได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์มากขึ้น ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของระดับก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศที่สูงขึ้นนั้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ความรุนแรงของปรากฎการณ์นี้ทวีคูณขึ้นอย่างเช่นที่เกิดขึ้น และยังมีโอกาสเพิ่มความถี่ในการเกิดโพลาร์ วอเทกซ์ และภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างสุดขั้วขึ้นอีกด้วย

โพลาร์ วอเทกซ์ เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่แสดงให้เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอาร์กติกนั้นไม่ได้อยู่แค่เพียงในอาร์กติก แต่ส่งผลกระทบไปทั่วทุกมุมโลก และหากเราสูญเสียทะเลน้ำแข็งอาร์กติกไปจนหมดสิ้นจะยิ่งทวีความรุนแรงของวิกฤตโลกร้อนจนยากที่จะแก้ไขได้อีก การที่อาร์กติกกำลังหลอมละลายนั้นส่งผลอันมหาศาลต่อโลกใบนี้ของเราอย่างใหญ่หลวงยิ่งนัก ภูมิภาคที่มีสภาพแวดล้อมที่อ่อนไหวนี้มีบทบาทในการรักษาสภาพภูมิอากาศของโลกคล้ายกับเครื่องปรับอากาศที่คอยรักษาความเย็นของโลกทั้งใบ

ทั้งที่อาร์กติกมีความสำคัญกับโลกถึงเพียงนี้ แต่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ กลับมองหาช่องทางจากการที่ทะเลน้ำแข็งบางลงสร้างธุรกิจ และมองข้ามสัญญาณเตือนภัยแห่งหายนะครั้งใหญ่ของมวลมนุษยชาติและสรรพชีวิต เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล

อีกไม่ช้าไม่นานอากาศเย็นก็คงจะลาจากประเทศไทยไป ทิ้งไว้เพียงอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และสภาพอากาศที่แปรปรวน ถึงเวลาหรือยังที่เราจะยุติการเสพติดพลังงานสกปรกจากฟอสซิลอย่างถ่านหิน และน้ำมัน และก้าวสู่อนาคตสีเขียวด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน ลดปริมาณคาร์บอน เพื่อลดโลกร้อน ซึ่งเป็นทางออกเดียวในการรักษาวิกฤตโลกร้อน

ปกป้องอาร์กติก ปกป้องทุกสรรพชีวิตบนโลก ร่วมลงนามเพื่อปกป้องอาร์กติกกับเรา




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 10:25:51 น.   
Counter : 870 Pageviews.  


เล่านิทานล้างสารพิษ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรีนพีซได้เปิดบทใหม่ของงานรณรงค์โครงการล้างสารพิษ หรือ Detox เพื่อแฟชั่นปลอดสารพิษ โดยเผยว่าเจ้าปีศาจน้อยสารพิษนั้นได้ซุกซ่อนอยู่ในเสื้อผ้าเด็กประเภทต่างๆ ตั้งแต่เสื้อผ้าสุดหรูไปจนถึงราคาประหยัด และได้ออกมาเรียกร้องให้แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่างเบอร์เบอร์รี อดิดาส และดีสนีย์ร่วมกันออกมาลงมือเปลี่ยนแปลงเพื่อเยาวชน

แรกเริ่ม...

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นที่งานแถลงข่าว ณ ประเทศจีน ไต้หวัน และฮ่องกง ที่ซึ่งสื่อมวลชนมาร่วมฟังเรื่องราวของปิศาจในตู้เสื้อผ้า : Little Story about the Monsters in our Closet และทำความรู้จักกับปีศาจน้อยสารพิษด้วยตนเอง

Launch of Detox Report: 'A Little Story About the Monsters in Your Closet'

ต่อมา …

อีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น นักกิจกรรมในประเทศฮังการีได้จัดเวิร์กชอปที่มีเจ้าปีศาจสารพิษอยู่ด้านหน้าร้านอดิดาสสาขาใหญ่ในเมืองบูดาเปสท์ เผยถึงปีศาจอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ในเส้นใยที่นำมาใช้ผลิตเป็นเสื้อผ้าของเรา จากการที่ อดิดาสได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมล้างสารพิษ จากห่วงโซ่การผลิตแล้ว และโลกยังคงจับตามอง พร้อมกับเฝ้ารอให้แบรนด์นี้ทุ่มสุดตัวเพื่อแฟชั่นปลอดสารพิษ

Detox Protest Outside Adidas Store in Hungary

กระทั่งในที่สุด...

ทางด้านประเทศแมกซิโก เด็กๆ เกือบ 1,000 คนได้มารวมตัวกันในโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อร่วมส่งสารถึงแบรนด์ผู้ก่อมลพิษในทุกหนแห่งทั่วโลก ให้ร่วมกันล้างสารพิษให้กับอนาคตของเรา โดยไฮไลท์ของวันนั้นอยู่ที่ชายหาดสวยงามในเมืองเปอร์โต วัลลาตา ที่ซึ่งเด็กๆ ร่วม 100 คน ได้ร่วมกันแปรอักษรภาพมนุษย์บนผืนทราย มีภาพเรือธงของกรีนพีซ เรนโบว์ วอร์ริเออร์ อยู่ในพื้นหลัง ดูภาพเหตุการณ์ได้ ที่นี่


นิทานแห่งโลกสังคมออนไลน์

A Detox Fairy Tale

ขณะเดียวกัน บนโลกพื้นพิภพ สำนักงานกรีนพีซทั่วโลกกำลังบอกเล่าเรื่องราวนิทานล้างสารพิษบนสื่อออนไลน์อย่าง ทวิตเตอร์, อินสตราแกรม และ เฟสบุ๊ค ค่อยๆ เผยเรื่องราวในแต่ละบทตลอดทั้งวันควบคู่ไปกับ เวบไซท์นิทานล้างสารพิษ

เหล่านักกิจกรรม บล็อกเกอร์ ผู้ปกครอง และสาวกแฟชั่น ต่างร่วมกันช่วยบอกเล่านิทานสารพิษนี้ออกไป โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์บอกไปยังเบอร์เบอร์รี อดิดาส และดีสนีย์ เพื่อที่เด็กๆ จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตราบนานเท่านาน

จบอย่างมีความสุข?

กว่าสองปีที่ผ่านมาที่กรีนพีซ เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวระดับโลกที่กำลังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมแฟชั่น โครงการล้างสารพิษนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ยินยอมฟังเสียงผู้บริโภคและความคิดเห็นสาธารณะมากน้อยเพียงใด

ด้วยพลังจากมวลชนนี่เอง แบรนด์ดังทั้งหมด 17 แบรนด์ได้เข้าร่วมแสดงเจตนารมณ์ล้างสารพิษ และยินยอมที่จะค่อยๆ ยุติการใช้สารเคมีอันตรายในเสื้อผ้า รวมถึงหยุดการก่อมลพิษต่อสายน้ำของเราภายในปี พ.ศ. 2563 นี้ ยิ่งไปกว่านั้น แบรนด์ส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ก็ได้เริ่มลงมือทำแล้ว (ดูรายชื่อแบรนด์ที่เป็นผู้นำ และแบรนด์ที่ยังล้าหลังไม่ดำเนินตามเจตนารมณ์ที่ตนได้ให้ไว้ ที่  Detox Catwalk)

ตามรอยคู่แข่งมาติดๆ คือแบรนด์อย่าง เบอร์เบอร์รี อดิดาส และดีสนีย์ ที่ยังสามารถผันตัวเองเป็นฮีโร่ในฝันร้ายแห่งสารพิษนี้ได้ด้วยการกำจัดปีศาจสารพิษออกไปตลอดกาล โดยก้าวขึ้นมาสร้างความโปร่งใสในห่วงโซ่การผลิต กำจัดสารเคมีอันตรายออกไป และเป็นผู้นำแนวหน้าในวงการแฟชั่นปลอดสารพิษ

ผู้ปกครอง นักช็อป และเราทุกคนสามารถร่วมยืนหยัดในสิ่งที่เราเชื่อ และสามารถทำให้แบรนด์ดังต่างๆ หันมาฟังเสียงเรียกร้องของเราได้

เปล่งเสียงของเรา

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหว และช่วยเราเผยแพร่งานรณรงค์ล้างสารพิษออกไป เพื่อให้แน่ใจว่าเสื้อผ้าที่เราซื้อมาสวมใส่เอง และให้กับเด็กๆ นั้น จะแฝงไปด้วยเรื่องราวที่เราภาคภูมิใจ

ร่วมกันบอกให้ผู้ก่อมลพิษยุติการปล่อยปีศาจน้อยสารพิษเสียที

อยากรู้ข้อมูลเพิ่มหรือเปล่า?

ที่มา //www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/blog/47929/




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2557 10:17:22 น.   
Counter : 1042 Pageviews.  


ลุ้นรับ "สมุดโน๊ตรีไซเคิล กรีนพีซ" ฟรี!!!


งานรณรงค์ออนไลน์ของกรีนพีซในปี
ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จได้ก็เพราะคุณ ในโอกาสต้อนรับปีใหม่ 2557 นี้ กรีนพีซขอเชิญชวนมาร่วมสนุกลุ้นรับของที่ระลึกรักษ์โลกสุดคูลจากกรีนพีซ LIMITED EDITION! 

ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นี้เท่านั้น โดยติดตามการประกาศรายชื่อผู้โชคดีได้ทุกวันศุกร์ที่เฟสบุ๊คกรีนพี ครั้งต่อไปผู้โชคดีอาจเป็นคุณ!

สัปดาห์นี้ลุ้นของสุดพิเศษ "สมุดโน้ตรีไซเคิล กรีนพีซ"

เพียงคลิกลงทะเบียนง่ายๆ ที่นี่
ลงทะเบียนผ่านโทรศัพท์มือถือ ที่นี่





 

Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2557   
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2557 16:12:25 น.   
Counter : 972 Pageviews.  


จัดอันดับตัวการก่อปัญหาโลกร้อน

มีลักษณะทางพฤติกรรมที่คล้ายกันระหว่างบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่กับบริษัทผลิตบุหรี คือ บริษัทผลิตบุหรี่นั้นพยายามอย่างสุดความสามารถในการปิดบังว่าการสูบบุหรี่นั้นก่อให้เกิดมะเร็ง ซึ่งต้องใช้เงินมูลค่าหลายพันล้านในการรักษาพยาบาล

ปัจจุบันนี้บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่หลายแห่งกำลังใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในการ ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยยอมเสียค่าใช้จ่ายไปมูลค่ามหาศาล รวมถึงมีการล็อบบี้ และมีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่ช่วยเหลือบริษัทผลิตบุหรี่ในการบิดเบือนความจริงมาร่วมมือในการปิดบังความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คนกลุ่มนี้สามารถเข้าไปอ่านงานวิจัยอย่างที่พวกเราสามารถอ่านได้เช่นกัน แต่กลับพยายามปฏิเสธข้อเท็จจริง หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือ มีการว่าจ้างให้กลุ่ม “นักวิทยาศาสตร์” ของตนสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาเอง

ขณะนี้มี งานวิจัยอิสระชิ้นใหม่ – ซึ่งใช้เวลาในการศึกษาถึง 8 ปี และได้เปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหมด และชี้ทางเปิดโปงว่าใครเป็นตัวการก่อปัญหาโลกร้อนมากที่สุดในโลก และจำแนกแจกแจงออกมาว่าปริมาณจากบริษัทรายไหนมีมากแค่ไหน

แล้วงานวิจัยนี้มีความหมายอย่างไร? เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราสามารถระบุเจาะจงไปได้ว่าบริษัทใดเป็นผู้สร้างมลพิษก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด โดยมีบริษัท Chevron, ExxonMobil, Shell, BP และ ConocoPhilips ต่างมีส่วนร่วมในการก่อมลพิษมากถึงร้อยละ 12.5 ของปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน จากการใช้ข้อมูลที่ดีที่สุด ตอนนี้เราสามารถคาดการปริมาณการปล่อยมลพิษจากแต่ละผู้ผลิตได้ และระบุผู้ก่อมลพิษได้อีกด้วย 

ข้อมูลนี้ควรจะทำให้ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ต้องวิตกกังวล รวมถึงนักกิจกรรม นักวิชาการ และสื่อมวลชนอีกมากมายต้องตื่นเต้น ตัวอย่างเช่น นักกิจกรรมและสื่อมวลชนอย่างกลุ่มนักรณรงค์ปกป้องอาร์กติก 30 คน ที่ประกอบไปด้วย ฮีโร่ผู้ปกป้องสภาพภูมิอากาศ 28 คน และสื่อมวลชนอิสระอีก 2 คน ผู้ซึ่งกำลังถูกคาดโทษคุมขังในเรือนจำของรัสเซียเป็นเวลาหลายปีอันเนื่องมาจากการยืนหยัดต่อสู้กับก๊าซพรอม ซึ่งเป็นตัวการก่อมลพิษที่ใหญ่ที่สุดในเกมนี้ และถูกจัดอยู่ในอันดับ 5 ของบริษัทที่ได้รับการตรวจสอบในงานวิจัยนี้

แล้วรายงานวิจัยนี้เป็นมาอย่างไร? นักวิจัยอิสระ ริชาร์ด ฮีดี ได้สงสัยในคำถามนี้มาหลายปี และผลการวิจัยของเขาในการรวบรวมข้อมูลจาก 90 บริษัทผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และขณะนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Climate Change ซึ่งมีการใช้คำอย่างระมัดระวัง และเป็นงานวิจัยที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการเป็นอย่างมาก

งานชิ้นนี้เป็นความปรารถนาของริชาร์ดมากว่าทศวรรษ ในที่สุดงานวิจัยนี้ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่และบ่งชี้ไปยังบริษัทจำนวนหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่การผลิตที่ต้องรับผิดชอบต่อการสร้างก๊าซเรือนกระจกของโลกขนานใหญ่ และนี่คือกลุ่มบริษัทที่ได้รับผลกำไรมหาศาลจากการป้อนพลังงานสกปรกให้กับการเสพติดพลังงานฟอสซิลของมนุษย์

ลองคิดดูสิว่าจะต้องใช้ความอดทนมากเท่าไรสำหรับนักวิจัยคนหนึ่งที่จะมองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ของการสกัดพลังงานฟอสซิลมาใช้ ย้อนกลับไปยังช่วงศตวรรษที่ 18 กับการใช้ถ่านหิน และศตวรรษที่ 19 ในการใช้น้ำมัน และขุดค้นหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือต่างๆ ในแต่ละปี  ลงรายละเอียดลึกไปยังปริมาณน้ำมันที่สกัดได้สำหรับแต่ละตลาด รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้ลงทุน

โดยการหาข้อมูลนั้นต้องคำนึงถึงการรวมกิจการกันของบริษัทใหญ่และบริษัทเล็กที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ และจะต้องรวมประวัติของแต่ละบริษัทนี้เข้าด้วยกัน แก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวนซ้ำซ้อน และนำมาแยกเป็นกลุ่มบริษัทรายใหญ่ที่เป็นตัวการสำคัญ มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากน้อยเพียงใด ท่ามกลางการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกจากหลากหลายแหล่งที่มานับล้านแหล่ง

เป็นผลงานที่ซับซ้อนและใช้เวลานานมาก แต่ความซับซ้อนและวิธีการทำงานที่ทำให้งานวิจัยนี้สมดุลทั้งทางด้านความชัดเจนและสิ่งที่งานวิจัยค้นพบ ผู้ผลิตคาร์บอนทั้งหมด 90 บริษัทได้ถูกวิเคราะห์ตรวจสอบ และ ริชาร์ด นั้นสามารถตรวจสอบลึกไปถึงร้อยละ 63 ของปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากพลังงานฟอสซิลทั้งหมดย้อนกลับไปตั้งแต่ปีค.ศ. 1854

ผลงานวิจัยที่ทำขึ้นอย่างยากลำบากนี้ทั้งน่าทึ่ง และมีข้อมูลมากมายที่บริษัทถ่านหินและน้ำมันต่างต้องการปิดบังไม่ให้สาธารณชนรับรู้ 

แต่เรารู้ และพวกเขารู้ดีว่า แผนการของพวกเขาคือการสกัดและเผาผลาญคาร์บอนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาได้กับสรรพชีวิตบนโลกของเรา เริ่มต้นกับรายงานของกรีนพีซ Carbon Logic ในปีค.ศ. 1997 หรือ  Do the Math ของ บิล แมคกิบเบน ซึ่งนำข้อมูลมาจากงานวิจัย  Carbon Tracker Carbon Bubble และต่อเนื่องด้วย งานวิจัยของกรีนพีซในปีนี้ “Point of No Return” ซึ่งทำให้เราสามารถรับรู้ถึงภาพลักษณ์ที่ชัดเจนตั้งแต่อดีตถึงอนาคตของกลุ่มผู้ผลิตคาร์บอน เราเห็นได้ชัดว่าเราไม่สามารถปล่อยให้แผนการในอนาคตกับการเผาผลาญน้ำมันและถ่านหินของบริษัทเหล่านี้เกิดขึ้นได้ หากเราต้องการหลีกเลี่ยงหายนะทางสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้น

ถ้าเช่นนั้นแล้วใครล่ะเป็นตัวการที่แท้จริงในที่นี้ กลุ่มผู้ประท้วงอย่างสันติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างนักรณรงค์ปกป้องอาร์กติก 30 คน หรือบริษัทพลังงานเชื้อเพลิงสกปรกจากฟอสซิล ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนำพาเอาชีวิตของพวกเราเข้าไปเสี่ยง พร้อมกับทำลายระบบนิเวศของเรา งานวิจัยชิ้นนี้นี่เองที่ส่องแสงท่ามกลางความมืดมิดที่กลุ่มบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่สร้างขึ้น และคำตอบที่มีก็ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น

ผมเชื่อว่างานวิจัยที่ชิ้นสำคัญนี้จะสั่นสะเทือนกลุ่มผู้ลงทุนด้านพลังงาน และการที่นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักวิเคราะห์ บริษัทประกัน นักกฎหมาย ภาครัฐ และนักกิจกรรม นำข้อมูลนี้ไปใช้จะสร้างผลกระทบอย่างต่อเนื่องไปสู่ก้าวต่อไปในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั่นคือ ทำให้ตัวการผู้ก่อมลพิษรับผิดชอบถึงภัยอันตรายที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้น




 

Create Date : 30 พฤศจิกายน 2556   
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2556 10:47:56 น.   
Counter : 1022 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  

greenpeacethailand
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ในพ.ศ.2514 กลุ่มนักกิจกรรมกลุ่มเล็กๆ จากเมืองแวนคูเวอร์ แคนาดา ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากวิสัยทัศน์แห่งโลกสีเขียวและมีสันติสุข ได้แล่นเรือหาปลาเก่าๆ ออกจากแวนคูเวอร์ แคนาดา นักกิจกรรมเหล่านี้ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกรีนพีซ เชื่อว่าบุคคลไม่กี่คนสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

ภาระกิจของพวกเขาคือการ "เป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ" ของการทดลองนิวเคลียร์ใต้ดินที่เกาะอัมชิตกา ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ นอกชายฝั่งตะวันตกของรัฐอลาสก้า ซึ่งเป็นภูมิภาคที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

อัมชิตกาเป็นสถานหลบภัยของนากทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ 3,000 ตัว และเป็นบ้านของนกอินทรีย์หัวล้าน เหยี่ยวต่างถิ่น และ สัตว์ป่าอื่นๆ มากมาย

ถึงแม้ว่าเรือเก่าๆ ของพวกเขา คือ ฟิลลิส คอร์แมก ถูกขัดขวางก่อนที่จะไปถึงอัมชิตกา แต่การเดินทางครั้งนี้จุดประกายเล็กน้อยให้แก่ความสนใจของสาธารณชน

สหรัฐอเมริกายังคงจุดระเบิดอย่างหนักหน่วง แต่เสียงเพรียกแห่งเหตุผลมีผู้ได้ยินแล้ว การทดลองนิวเคลียร์บนเกาะอัมชิตกาได้สิ้นสุดลงในปีเดียวกัน และเกาะแห่งนั้นได้ถูกประกาศให้เป็นสถานหลบภัยของนกทั้งหลาย

ปัจจุบัน กรีนพีซเป็นองค์กรนานาชาติที่ให้ความสำคัญแก่การรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับแรก


คุณพร้อมที่จะร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงหรือยัง?
มีหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้ตอนนี้!


หลายคนอาจจะคิดว่าการดูแลรักษาโลกเป็นเรื่องยาก แค่ลำพังเราอาจทำอะไรได้ไม่มากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้วแค่เพียงสองมือเล็กๆของเราก็สามารถทำเพื่อโลกได้มากมาย อ่านต่อ

ติดตามกรีนพีซเพ่ิมเติมได้ที่:

Facebook | Twitter | Instagram | YouTube
[Add greenpeacethailand's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com