กลางเดือนกันยายนเป็นช่วงเดือนที่อ่อนไหวมากที่สุดสำหรับภูมิภาคอาร์กติก เนื่องจากทะเลน้ำแข็งละลายในปริมาณสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เช้าวันนี้ชาวไทยหัวใจสีเขียวมารวมตัวกันครั้งใหญ่อีกครั้งเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือเพื่อปกป้องอาร์กติก ภูมิภาคอันเปราะบางแต่มีความสำคัญต่อการรักษาสภาพภูมิอากาศของโลกแห่งนี้จากการถูกอุตสาหกรรมน้ำมันคุกคาม พี่น้องนักปั่นกลุ่มต่างๆ เริ่มมายังจุดนัดพบที่บริเวณหน้าห้างโลตัสพระรามสอง มีกลุ่มพี่ๆ เครือข่ายนักปั่นที่เราคุ้นเคยกันดี อย่าง นักปั่นกลุ่มสะพานบุญ นำโดยอาสุทธิชัย สุศันสนีย์ ที่ชักชวนกลุ่มจักรยานมาร่วมกิจกรรมกับเราหลายต่อหลายครั้ง กลุ่มเจริญกรุง 103 กลุ่มสิงห์สลาตัน กลุ่มบางมด และกลุ่มอื่นๆ ที่มารวมพลังรักษ์อาร์กติกกับกรีนพีซ อีกทั้งยังมีกลุ่มเยาวชนจาก กลุ่มพีซเจน กลุ่ม 350.org ประเทศไทย เด็กๆ จากโรงเรียนสีตบุตรบำรุง และกลุ่มชมรมอาสาพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มาช่วยกันสร้างสีสันด้วยเสียงเพลงสนุกๆ
การมาร่วมกิจกรรมเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถทำได้ เพราะสิ่งที่เราคิดว่าไกลตัวอย่างอาร์กติกนั้นสักวันหนึ่งก็จะกระทบถึงเราในที่สุด การที่พวกเรามาร่วมกันรณรงค์ในวันนี้จะเป็นการเผยแพร่การรณรงค์ต่อไปปากต่อปาก ให้เยาวชนเขาสนใจและอยากมาสัมผัสด้วยตนเอง น้องภัรนนท์ อัตกิจบูลย์กุล ตัวแทนเยาวชนจากชมรมอาสาพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กล่าว น่าปลื้มใจที่ในวันนี้มีนักกิจกรรมตัวน้อยมาร่วมเป็นนักปั่นกับเราด้วยจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีแฟนเพจเฟสบุ๊คที่ลงทะเบียนออนไลน์มาร่วมปั่นและปลูกกับเรา เพราะป้าเป็นคนรักโลก และคำนึงถึงกิจกรรมในแต่ละวันของตนที่ส่งผลกระทบต่อโลก จากที่เป็นแค่นักกิจกรรมออนไลน์ กดไลค์เพจเฟสบุ๊คก็หันมาร่วมกิจกรรมกับกรีนพีซอย่างจริงจัง พร้อมกับชักชวนเพื่อนและครอบครัวเข้ามาร่วมกิจกรรมต่อไปด้วย ป้าปิ๋ว ปราณี ถีติปริวัตร นักกิจกรรมออนไลน์ จากจังหวัดราชบุรี กล่าวถึงที่มาจากการผันตัวจากนักกิจกรรมออนไลน์ สู่กิจกรรมรณรงค์ปกป้องอาร์กติก เรียกได้ว่ากว่า 800 คนที่มารวมกันในวันนี้ล้วนมาด้วยในที่มุ่งมั่นปกป้องอาร์กติก ภูมิภาคที่ทำหน้าที่สำคัญในการรักษาอุณหภูมิของโลกไว้ให้สมดุล
ผู้ปั่นจักรยานเป็นกลุ่มคนที่รักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่แล้วเป็นทุนเดิม การที่ป่าชายเลนถูกทำลายเป็นการทำลายความสมดุลของระบบนิเวศ และห่วงโซ่อาหาร อีกทั้งยังเกี่ยวเนื่องกับภูมิอากาศ การที่เรามาปลูกป่าทำให้สัตว์ต่างๆ มีที่อยู่อาศัย ทำให้ระบบนิเวศกลับมาสมบูรณ์ ชาวประมงมีอาชีพให้ทำ และเราก็มีอาหารกิน ทุกอย่างเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าเราไม่ออกมาร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกก็จะแย่ขึ้นไปทุกวัน อาสุทธิชัย ตัวแทนกลุ่มจักรยานกล่าว
ปัญหาหนึ่งที่เกิดจากสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ การสูญเสียพื้นที่ชายฝั่งทะเลเนื่องจากการรุกล้ำและกัดเซาะของน้ำทะเล ส่งผลกระทบถึงประชากรจำนวนมากที่ประกอบอาชีพและมีวิถีชีวิตที่ต้องพึ่งพาท้องทะเล นั่นคือไม่ใช่เพียงแค่ชุมชนชายฝั่งหลายจังหวัดในประเทศไทยเท่านั้นที่ได้รับความเดือดร้อน แต่การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิและปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศและท้องทะเลยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศทางทะเล แนวปะการังจะได้รับความเสียหาย ส่งผลต่อสัตว์น้ำและปลาเศรษฐกิจจำนวนมากที่เป็นแหล่งอาหารสำหรับชาวไทยอีกด้วย และการละลายของน้ำแข็งอาร์กติกจะยิ่งทวีความรุนแรงของผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อน
การปลูกป่าชายเลน และการใช้จักรยานจึงเป็นอีกวีธีหนึ่งที่ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกอันเกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ถือเป็นการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลต้นเหตุของมลพิษ และยังปลูกป่าชายเลนเพื่อเพิ่มแหล่งผลิตออกซิเจนให้กับทั้งอากาศและในน้ำ รวมถึงสร้างปราการธรรมชาติช่วยชะลอการกัดเซาะชายฝั่งที่เกิดจากภาวะโลกร้อนที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบัน หลังจากที่ทั้งนักปั่นและนักปลูกเดินทางจากจุดนัดพบเป็นระยะทาง 29 กิโลเมตร ก็มาถึงที่ศูนย์เรียนรู้และปฏิบัติการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมหาชัยฝั่งตะวันออก จ.สมุทรสาคร และรวมพลังกันปลูกต้นโกงกางใบใหญ่จำนวน 8,000 ฝัก บนพื้นที่ป่าชายเลน 5 ไร่แห่งนี้ปีพ.ศ. 2525 เราเริ่มสังเกตได้ว่าชายฝั่งหายไป ต้นไม้เริ่มล้มลง แต่ขณะนั้นยังไม่รู้ว่าอะไรคือโลกร้อน อะไรคือน้ำทะเลสูงขึ้น อะไรคือการกัดเซาะชายฝั่ง เพราะขณะนั้นยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเชิงวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อปีพ.ศ.2535 จากดินแดนของเราที่เคยอยู่ติดทะเล เราก็ต้องหนีทีละร้อยเมตรทุก 3-4 ปี ขยับเข้ามาเรื่อยๆ เราจึงคิดว่าหากยังต้องหนีต่อไปเรื่อยๆ เราคงต้องหนีไปถึงถนน จึงหันมาศึกษาองค์รวมของปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
เราเริ่มคิดว่าการปลูกป่าจะช่วยชะลอคลื่นก่อนถึงชายฝั่ง จนในที่สุดหันมาใช้ไม้ไผ่ชะลอคลื่น และใช้ตะกอนที่ตกนำมาปลูกป่าชายเลน เมื่อมีตะกอนเลน มีป่าที่ช่วยบำรุงรักษาระบบนิเวศ สัตว์น้ำวัยอ่อนก็กลับมา กลายเป็นอาชีพของชุมชน และช่วยชะลอการกัดเซาะหน้าดินได้ ที่สำคัญคือเราต้องให้เวลากับระบบนิเวศและธรรมชาติ อยากให้ผู้ผลิตก๊าซเรือนกระจกอย่างเช่นบริษัทน้ำมันและถ่านหินหันมาชดเชยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมมากขึ้นมากกว่าการทำ CSR ที่ทำแต่เพียงเอาหน้าเท่านั้น ผู้ใหญ่หมู--วรพล ดวงล้อมจันทร์ ผู้ประสานงานเครือข่ายรักษ์อ่าวไทยตอนบน จังหวัดสมุทรสาคร กล่าวถึงพื้นที่อนุรักษ์แห่งนี้และการกัดเซาะชายฝั่งอันเป็นผลกระทบของวิฤตโลกร้อน
ระหว่างทางก่อนถึงบริเวณป่าชายเลน ผู้ร่วมกิจกรรมจำนวน 400 คน ยังได้จอดแวะสถานีปั๊มน้ำมันเชลล์ และร่วมกันชูป้ายข้อความ ปกป้องอาร์กติก เพื่อสื่อสารไปยังบริษัทเชลล์ให้ยุติการรุกรานทำลายอาร์กติกจากการขุดเจาะน้ำมัน แล้วจึงมุ่งหน้าต่อไปยังป่าชายเลนเป้าหมายของพวกเรา ท่ามกลางความสวยงามของแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติป่าชายเลน ชาวเครือข่ายมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และเครือข่ายรักษ์อ่าวไทยตอนบน ก็ได้มาแนะนำให้ความรู้ รวมถึงปัญหาและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งในวันเดียวกันนี้ นักกิจกรรมกรีนพีซในชุดหมีขั้วโลก ออโรร่า ที่มีน้ำหนักราว 3 ตัน นำขบวนรณรงค์พร้อมกับนักกิจกรรม 30 คน ได้นำรายชื่อผู้สนับสนุนจากทั่วโลกเกือบ 4 ล้านคนไปยื่นให้แก่สำนักงานใหญ่บริษัทเชลล์ เพื่อเรียกร้องต่อเชลล์ยุติการขุดเจาะน้ำมันที่อาร์กติก ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ด้วยเช่นกัน
ความหวังครั้งใหม่กำลังเติบโตขึ้นที่ป่าชายเลนแห่งนี้ แรงกายและแรงใจจากชาวไทยกว่า 800 คนกำลังส่งต่อไปถึงดินแดนที่อยู่ห่างไกลอย่างอาร์กติก พร้อมกันกับผู้คนในเมืองต่างๆ กว่า 110 เมือง ของ 36 ประเทศทั่วโลก อาร์กติกเปรียบเสมือนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ของโลกที่ปรับสมดุลอุณหภูมิโลก ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับอาร์กติกจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงเราทุกคน หากเราปล่อยให้บริษัทน้ำมันเข้ามาคุกคามพื้นที่อันเปราะบางที่มีความสำคัญของโลกแห่งนี้ต่อไป เราก็จะเป็นผู้แบกรับผลจากการกระทำของบริษัทน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น การเพิ่มของระดับน้ำทะเล และการแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่ไม่สามารถคาดเดาได้อีกต่อไป พลาย ภิรมย์ ผู้จัดการฝ่ายรณรงค์ประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
//www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/blog/46612/