ปัจจุบันนี้บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่หลายแห่งกำลังใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในการ ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยยอมเสียค่าใช้จ่ายไปมูลค่ามหาศาล รวมถึงมีการล็อบบี้ และมีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มที่ช่วยเหลือบริษัทผลิตบุหรี่ในการบิดเบือนความจริงมาร่วมมือในการปิดบังความจริงเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คนกลุ่มนี้สามารถเข้าไปอ่านงานวิจัยอย่างที่พวกเราสามารถอ่านได้เช่นกัน แต่กลับพยายามปฏิเสธข้อเท็จจริง หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือ มีการว่าจ้างให้กลุ่ม นักวิทยาศาสตร์ ของตนสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาเอง
ขณะนี้มี งานวิจัยอิสระชิ้นใหม่ ซึ่งใช้เวลาในการศึกษาถึง 8 ปี และได้เปลี่ยนสถานการณ์ทั้งหมด และชี้ทางเปิดโปงว่าใครเป็นตัวการก่อปัญหาโลกร้อนมากที่สุดในโลก และจำแนกแจกแจงออกมาว่าปริมาณจากบริษัทรายไหนมีมากแค่ไหน
แล้วงานวิจัยนี้มีความหมายอย่างไร? เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราสามารถระบุเจาะจงไปได้ว่าบริษัทใดเป็นผู้สร้างมลพิษก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด โดยมีบริษัท Chevron, ExxonMobil, Shell, BP และ ConocoPhilips ต่างมีส่วนร่วมในการก่อมลพิษมากถึงร้อยละ 12.5 ของปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน จากการใช้ข้อมูลที่ดีที่สุด ตอนนี้เราสามารถคาดการปริมาณการปล่อยมลพิษจากแต่ละผู้ผลิตได้ และระบุผู้ก่อมลพิษได้อีกด้วย
ข้อมูลนี้ควรจะทำให้ผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ต้องวิตกกังวล รวมถึงนักกิจกรรม นักวิชาการ และสื่อมวลชนอีกมากมายต้องตื่นเต้น ตัวอย่างเช่น นักกิจกรรมและสื่อมวลชนอย่างกลุ่มนักรณรงค์ปกป้องอาร์กติก 30 คน ที่ประกอบไปด้วย ฮีโร่ผู้ปกป้องสภาพภูมิอากาศ 28 คน และสื่อมวลชนอิสระอีก 2 คน ผู้ซึ่งกำลังถูกคาดโทษคุมขังในเรือนจำของรัสเซียเป็นเวลาหลายปีอันเนื่องมาจากการยืนหยัดต่อสู้กับก๊าซพรอม ซึ่งเป็นตัวการก่อมลพิษที่ใหญ่ที่สุดในเกมนี้ และถูกจัดอยู่ในอันดับ 5 ของบริษัทที่ได้รับการตรวจสอบในงานวิจัยนี้
แล้วรายงานวิจัยนี้เป็นมาอย่างไร? นักวิจัยอิสระ ริชาร์ด ฮีดี ได้สงสัยในคำถามนี้มาหลายปี และผลการวิจัยของเขาในการรวบรวมข้อมูลจาก 90 บริษัทผู้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และขณะนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสาร Climate Change ซึ่งมีการใช้คำอย่างระมัดระวัง และเป็นงานวิจัยที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการเป็นอย่างมาก
งานชิ้นนี้เป็นความปรารถนาของริชาร์ดมากว่าทศวรรษ ในที่สุดงานวิจัยนี้ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่และบ่งชี้ไปยังบริษัทจำนวนหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของห่วงโซ่การผลิตที่ต้องรับผิดชอบต่อการสร้างก๊าซเรือนกระจกของโลกขนานใหญ่ และนี่คือกลุ่มบริษัทที่ได้รับผลกำไรมหาศาลจากการป้อนพลังงานสกปรกให้กับการเสพติดพลังงานฟอสซิลของมนุษย์
ลองคิดดูสิว่าจะต้องใช้ความอดทนมากเท่าไรสำหรับนักวิจัยคนหนึ่งที่จะมองย้อนกลับไปยังประวัติศาสตร์ของการสกัดพลังงานฟอสซิลมาใช้ ย้อนกลับไปยังช่วงศตวรรษที่ 18 กับการใช้ถ่านหิน และศตวรรษที่ 19 ในการใช้น้ำมัน และขุดค้นหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือต่างๆ ในแต่ละปี ลงรายละเอียดลึกไปยังปริมาณน้ำมันที่สกัดได้สำหรับแต่ละตลาด รวมถึงบริษัทที่เป็นผู้ลงทุน
โดยการหาข้อมูลนั้นต้องคำนึงถึงการรวมกิจการกันของบริษัทใหญ่และบริษัทเล็กที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ และจะต้องรวมประวัติของแต่ละบริษัทนี้เข้าด้วยกัน แก้ไขข้อผิดพลาดในการคำนวนซ้ำซ้อน และนำมาแยกเป็นกลุ่มบริษัทรายใหญ่ที่เป็นตัวการสำคัญ มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากน้อยเพียงใด ท่ามกลางการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกจากหลากหลายแหล่งที่มานับล้านแหล่ง
เป็นผลงานที่ซับซ้อนและใช้เวลานานมาก แต่ความซับซ้อนและวิธีการทำงานที่ทำให้งานวิจัยนี้สมดุลทั้งทางด้านความชัดเจนและสิ่งที่งานวิจัยค้นพบ ผู้ผลิตคาร์บอนทั้งหมด 90 บริษัทได้ถูกวิเคราะห์ตรวจสอบ และ ริชาร์ด นั้นสามารถตรวจสอบลึกไปถึงร้อยละ 63 ของปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากพลังงานฟอสซิลทั้งหมดย้อนกลับไปตั้งแต่ปีค.ศ. 1854
ผลงานวิจัยที่ทำขึ้นอย่างยากลำบากนี้ทั้งน่าทึ่ง และมีข้อมูลมากมายที่บริษัทถ่านหินและน้ำมันต่างต้องการปิดบังไม่ให้สาธารณชนรับรู้
แต่เรารู้ และพวกเขารู้ดีว่า แผนการของพวกเขาคือการสกัดและเผาผลาญคาร์บอนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสร้างความเสียหายที่ไม่สามารถเยียวยาได้กับสรรพชีวิตบนโลกของเรา เริ่มต้นกับรายงานของกรีนพีซ Carbon Logic ในปีค.ศ. 1997 หรือ Do the Math ของ บิล แมคกิบเบน ซึ่งนำข้อมูลมาจากงานวิจัย Carbon Tracker Carbon Bubble และต่อเนื่องด้วย งานวิจัยของกรีนพีซในปีนี้ Point of No Return ซึ่งทำให้เราสามารถรับรู้ถึงภาพลักษณ์ที่ชัดเจนตั้งแต่อดีตถึงอนาคตของกลุ่มผู้ผลิตคาร์บอน เราเห็นได้ชัดว่าเราไม่สามารถปล่อยให้แผนการในอนาคตกับการเผาผลาญน้ำมันและถ่านหินของบริษัทเหล่านี้เกิดขึ้นได้ หากเราต้องการหลีกเลี่ยงหายนะทางสภาพภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้น
ถ้าเช่นนั้นแล้วใครล่ะเป็นตัวการที่แท้จริงในที่นี้ กลุ่มผู้ประท้วงอย่างสันติด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างนักรณรงค์ปกป้องอาร์กติก 30 คน หรือบริษัทพลังงานเชื้อเพลิงสกปรกจากฟอสซิล ต้นเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และนำพาเอาชีวิตของพวกเราเข้าไปเสี่ยง พร้อมกับทำลายระบบนิเวศของเรา งานวิจัยชิ้นนี้นี่เองที่ส่องแสงท่ามกลางความมืดมิดที่กลุ่มบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่สร้างขึ้น และคำตอบที่มีก็ปรากฏชัดเจนยิ่งขึ้น
ผมเชื่อว่างานวิจัยที่ชิ้นสำคัญนี้จะสั่นสะเทือนกลุ่มผู้ลงทุนด้านพลังงาน และการที่นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักวิเคราะห์ บริษัทประกัน นักกฎหมาย ภาครัฐ และนักกิจกรรม นำข้อมูลนี้ไปใช้จะสร้างผลกระทบอย่างต่อเนื่องไปสู่ก้าวต่อไปในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นั่นคือ ทำให้ตัวการผู้ก่อมลพิษรับผิดชอบถึงภัยอันตรายที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้น