ในขณะที่การประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการกำหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ ค.1 โครงการท่าเทียบเรือบ้านคลองรั้วซึ่งเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ของการผลักดัน โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจบลงแบบเก้าอี้ปลิวว่อนไปทั่วห้องประชุม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา วันอังคารที่ 11 มีนาคมนี้ ถือว่าเหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ภาคประชาชนต้องจารึกไว้เมื่อศาลปกครองสูงสุดนัดคู่กรณีมาพิจารณาคดีเพื่อแถลงปิดคดี การเจ็บป่วยจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะปล่อยมลพิษเกินมาตรฐานที่กำหนด
ตุลาการเจ้าของสำนวน นายสุชาติ มงคลเลิศลพ อ่านสำนวนเพื่อขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่ง ดังนี้
- ให้ผู้ถูกฟ้องคดี(คือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสีย หายให้แก่ ผู้ฟ้องคดีแต่ละราย จำนวน ๑๓๑ ราย จำนวน ๑๙ สำนวน พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินที่ผู้ฟ้องคดีทั้ง ๑๑ สำนวน ดังกล่าวข้างต้นเรียกร้องนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น
- ให้ผู้ถูกฟ้องคดี (กฟผ.) หยุดหรือระงับการกระทำละเมิดตามคำฟ้อง
- ให้ผู้ถูกฟ้องคดี (กฟผ.) จัดการฟื้นฟูสภาพสิ่งแวดล้อมและคุณภาพอากาศในบริเวณพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ให้กลับคืนสภาพเดิม
- ให้ศาลสงวนสิทธิที่จะแก้ไขคำพิพากษาส่วนของค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ร่างกาย อนามัยและจิตใจ และค่าเสียหายในการเสียความสามารถในการประกอบการงานตามปกติของผู้ฟ้องคดีทั้ง ๑๔ สำนวน ในระยะเวลาไม่เกินห้าปี
- ให้ผู้ถูกฟ้องคดี (กฟผ.) หยุดการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยถ่านหินลิกไนต์ในโรงงานของผู้ถูกฟ้องคดี ตำบลแม่เมาะ จังหวัดลำปาง จนกว่าจะมีวิธีการป้องกัน ฝุ่นแขวนลอย และสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มิให้ฟุ้งกระจายไปในอากาศได้อย่างสมบูรณ์
- ให้ผู้ถูกฟ้องคดี (กฟผ.) ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนผู้ฟ้องคดีทั้ง 19 สำนวน
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา การต่อสู้ผ่านกลไกทางกฎหมายของชุมชนที่แม่เมาะนับรวมกันแล้วมีทั้งหมด 6 คดีด้วยกัน นับตั้งแต่คดีพืชผลเสียหายจากมลพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์ คดีผู้ป่วยจากมลพิษที่ปล่อยจากโรงไฟฟ้า คดีสุสานหอยขมแม่เมาะ คดี กฟผ.นำที่ดินปลูกป่าไปสร้างสนามกอล์ฟ เป็นต้น คุณมะลิวัลย์ นาควิโรจน์ ประธานเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ สรุปให้ฟังว่านับตั้งแต่ที่ กฟผ.ได้ปล่อยมลพิษเกินมาตรฐานขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจนทำให้ชาวบ้านล้มป่วยเป็นจำนวนมากและสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านก็ล้มตายอีกทั้งยังทำให้พืชผลของชาวบ้านเสียหายในระยะเวลาหลายครั้งหลายหนติดต่อกัน กฟผ.ได้จ่ายค่าชดเชย เยียวยาให้กับชาวบ้านในบางคน
คุณมะลิวรรณพร้อมด้วยชาวบ้านแม่เมาะผู้ฟ้องคดี 131 คน มาพร้อมกับชาวแม่เมาะรวมกันกว่า 300 คน เดินทางมาฟังการพิจารณาคดีที่ศาลปกครองกลาง กรุงเทพฯ พวกเขามั่นใจว่าศาลจะให้ความเป็นธรรม
ในอีกด้านหนึ่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยทำการเข้าตีหลังบ้านโดยผลักดันโครงการโรงไฟฟ้าส่วนทดแทนใหม่ของแม่เมาะเครื่องที่ 4-7
ด้วยเหตุที่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ที่แม่เมาะถือเป็นโครงการหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ ตามมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่ต้องจัดทำรายงาน EHIA ดังนั้นกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของ ประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียทั้ง 3 ขั้นตอน คือการกําหนดขอบเขตและแนวทางการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพหรือ ค.1 (Pubic Scoping) ขั้นตอนการประเมินและจัดทํารายงานหรือ ค. 2 และการทบทวนร่างรายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือ ค.3
และเราได้เห็นแล้วว่า กระบวนการรับฟังความคิดเห็นทั้ง 3 ขั้นตอนที่เป็นอยู่นี้ เป็นกระบวนการที่ชั่วร้าย มันเป็นเพียงตรายางประทับให้โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินได้เกิดขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟัง ความคิดเห็นสาธารณะโดยวิธีประชาพิจารณ์ฉบับปัจจุบัน เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในเวที ค.1 โครงการท่าเทียบเรือถ่านหินบ้านคลองรั้ว จังหวัดกระบี่เป็นตัวอย่างสดๆ ร้อน ๆ
กฟผ. ได้ใช้เหตุผลเรื่องความมั่นคงด้านพลังงานและเทคโนโลยีถ่านหินสะอาดซึ่งจริงๆ แล้วมันคือ "การโกหกที่แสนสกปรก (dirty lie) อธิบายความจำเป็นในสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ในที่เก่าทั้งที่ แม่เมาะ และ กระบี่
แม่เมาะจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคเหนือ ส่วนกระบี่จะเป็นศูนย์กลางพลังงานฝั่งทะเลอันดามัน นี่คือแนวคิดของ กฟผ. เป็นแนวคิดอันคับแคบและไม่ฟังเสียงใคร
แม่เมาะเป็นการทดแทนโรงไฟฟ้าเก่าที่จะหมดอายุโดยจะใช้เทคโนโลยีใหม่เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงถ่านหินลิกไนต์และในอนาคตจะเป็นถ่านหินนำเข้าขนส่งโดยทางรถไฟ ส่วนกระบี่ กฟผ. ใช้คำว่าโครงการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า (สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่บนที่ตั้งโรงไฟฟ้าน้ำมันเตาในปัจจุบันและโรงไฟฟ้าลิกไนต์ในอดีต) โดยขนส่งถ่านหินด้วยเรือถ่านหินขนาดใหญ่จากอินโดนีเซียหรือออสเตรเลียมายังกลางทะเลอันดามันเพื่อขนถ่ายลงเรือถ่านหินเข้าสู่ท่าเทียบเรือและโรงไฟฟ้าในที่สุด
แต่เมื่อพิจารณาด้วยปัญญา จากข้อมูลของ กฟผ. จะพบว่า ระบบการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ณ ปัจจุบัน มีกำลัง ผลิตติดตั้งรวมกันทั้งหมด 33,321 เมกะวัตต์ เปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 26,598 เมกะวัตต์ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราไม่ได้เผชิญกับวิกฤตไฟฟ้าอย่างที่ถูกยัดเยียดในโฆษณาหรือที่นักการเมืองพูดจนน้ำลายท่วมปาก
ไฟฟ้าดับทั่วภาคใต้เมื่อปี 2556 เป็นปัญหาเทคนิคของสายส่งไฟฟ้าแรงสูง โดยไม่มีการเตรียมความพร้อมของ กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองที่มีอยู่แล้ว ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนต่างๆ รวมทั้งเครื่องผลิตไฟฟ้าของภาคเอกชนอื่นๆ จึงไม่เกี่ยวกับการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม
หากเราไม่เตรียมพร้อมเหตุฉุกเฉินให้ดีขึ้น จะสร้างโรงไฟฟ้าใหม่อีกกี่แห่งก็ยังจะเสี่ยงไฟฟ้าดับอยู่ดี
ส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ช่วงปี 2555-2562 ที่มีแผนชัดเจนแล้วก็รวมถึงพลังงานหมุนเวียน 6,095 เมกะวัตต์ การผลิตร่วมไฟฟ้าและความร้อน(หรือโคเจนเนอเรชั่น) อีก 5,107 เมกะวัตต์ เมื่อรวมกันแล้วจะเพิ่มขึ้นเป็น 11,202 เมกะวัตต์
หากรวมแผนอนุรักษ์พลังงาน 20 ปีของกระทรวงพลังงานตามมติคณะรัฐมนตรี 27 ธันวาคม 2554 ที่เห็นชอบเป้าหมายการประหยัดไฟฟ้าในปี 2573 เท่ากับ 96,653 ล้านหน่วย เข้าไปด้วย เราจะลดความต้องการไฟฟ้าได้ 17,470 เมกะวัตต์ และลดความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ได้ 20,091 เมกะวัตต์ (หรือประมาณ 25 โรง)
เผยแพร่ครั้งแรกที่ //www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/blog/48462/