:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณนนนี่ ::
:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณนนนี่ ::
วางกับปล่อยให้ว่างต่างกันมั้ยค่ะ
คำถามโดย : นนนี่มาแล้ว วันที่ : 13 สิงหาคม 2553 เวลา : 10:00:26 น.
สวัสดีครับคุณนนนี่
มีคุณนายคนหนึ่งปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ เธอเชื่อมั่นในการ “ปล่อยวาง” ตัวตนของเธอเป็นอย่างยิ่ง วันหนึ่งมีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมยังวัดป่าแห่งหนึ่ง เธอตั้งใจในการปฏิบัติธรรมมาก ขณะปฏิบัติธรรมไป ก็เฝ้าแต่สังเกตคนรอบข้าง และรู้สึกหงุดหงิดใจว่าคนที่มายังวัดนี้ ต่างยังเข้าไม่ถึงธรรมที่แท้เหมือนเธอ เมื่อจบวัน...เธอนั่งสนทนาธรรมกับหลวงตารูปหนึ่งในวัด คุณนายพนมมือแล้วกล่าวกับหลวงตาว่า
“หลวงตาเจ้าคะ อิฉันรู้สึกว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้วล่ะค่ะ ปล่อยวางตัวตนและทุกสิ่งทุกอย่าง การได้มาปฏิบัติธรรมที่นี่ จึงรู้สึกเบิกบานใจเป็นยิ่งนัก”
หลวงตามองดูคุณนายตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
“อย่างแกนี่น่ะหรืออีอ้วนที่ว่าบรรลุธรรม”
เท่านั้นเองคุณนายก็หูแดงตาแดง ในใจนึกโมโหโกรธาหลวงตาแก่เป็นยิ่งนัก หลวงตาแค่มองดูก็รู้ว่าคุณนายโกรธมาก จึงกล่าวด้วยเสียงราบเรียบอีกครั้งว่า
“ก็ไหนว่าบรรลุธรรมแล้วยังไง ตัวโกรธยังวิ่งให้วุ่นอยู่เลยโยม”
เรา “วาง” สิ่งใดในชีวิต ?
มีคนเคยกล่าวด้วยน้ำเสียงหยันเหยียดว่า ถ้าชีวิตต้อง “ปล่อยวาง” คงหมายถึง การที่ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหม วันๆนั่งปฏิบัติธรรม นั่งหลับตาหาสวรรค์ ทอดทิ้งครอบครัว บริจาคทานจนหมดตัว ไม่เกลือกกลั้วกับสังคม พูดจาเนิบช้า ไม่โกรธใคร ไม่ด่าใคร ไม่ติเตียนใคร เห็นคนตาย คนท้อแท้ก็ไม่เศร้า เห็นคนได้ดี ก็ไม่ยินดียินร้ายใดใด
“วางเฉย” และ “เพิกเฉย” ต่างกันเช่นไร “อุเบกขา” ก็ย่อมมิได้หมายความว่า “ไม่รู้ร้อนรู้หนาวใดใด” ฉันนั้น หากแต่หมายความว่า ....
“ให้มองทุกอย่าง...อย่างที่มันเป็น”
“ปล่อยวาง” และ “ปล่อยให้ว่าง”
อะไรคือปล่อยให้ว่าง หากความว่างนั้นมีอยู่แล้ว ไม่มีใครยึดมันไว้ได้ และขณะนั้นก็ไม่มีใครปลดปล่อยมันได้เช่นกัน
ทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวมันเอง ห้องมีความว่าง เราจึงใช้ประโยชน์จากความว่างนี้ได้
เพราะแก้วน้ำมีความว่าง เราจึงเทน้ำใส่ลงไปได้
นี่เป็นประโยชน์ของความว่างที่ใครก็สร้างขึ้นไม่ได้ ทำลายไม่ได้...
“ความว่าง” นั้นมีอยู่แล้ว มีมาก่อนที่เราจะสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา “ความว่าง” สร้างสิ่งต่างๆขึ้นมา... เราอาจเรียก “ความว่าง” ว่า “พระเจ้า” “ธรรมชาติ” “พระผู้สร้าง” “เต๋า” “โลกุตรธรรม” ฯลฯ
สิ่งต่างๆในโลกและจักรวาล ถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่เราไม่เคยเห็นตัวตน ไม่รู้ว่าถือกำเนิดมาได้อย่างไร และจะดับไปเมื่อไหร่
แต่สิ่งนี้กลับสร้างดวงดาว สร้างจักรวาล สร้างน้ำและอากาศ สร้างมนุษย์และสิ่งต่างๆ
สร้างขึ้น ให้ดำรงอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะเสื่อมสลายทลายไป ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ได้นิรันดร ยกเว้นตัว “ความว่าง” เอง....
นี่คือความมหัศจรรย์ของ “ความว่าง” ความว่างซึ่งทำให้ดวงดาวโคจรอยู่ได้โดยไม่พุ่งชนกัน ความว่างที่ก่อกำเนิดมนุษย์ และสัตว์ให้มีรูปลักษณ์ ผิวสี และคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ความว่างที่ก่อให้เกิดฤดูกาล ความมืด ความสว่าง ความว่างที่สร้างอารมณ์รัก โลภ โกรธ เกลียด ความอยากในการผสมพันธุ์เพื่อให้เกิดการขยายเผ่าพันธุ์ ฯลฯ
ที่สุดแล้วเราต้องปล่อยวางสิ่งใด ?
สิ่งนั้นคือการปล่อยวาง
“ความยึดติดในตัวตน”
เราเคยสำนึกรู้หรือไม่ว่าเราเกิดมาทำไม ? เรามีชีวิตไปเพื่ออะไร ? แล้วเมื่อตาย..เราไปที่ไหน ?
การปล่อยวางที่แท้จริง
คือ การรู้ให้ได้ว่าตัวตนของเรามันเกิดจาก “ความคิด” หรือ “จิต” ที่สร้างตัวตนขึ้นมาผ่านการคิด พูด และการกระทำซ้ำๆ จนติดเป็นนิสัยหรืออาจินต์.... เป็นความเคยชินที่ติดอยู่ในความคิดจนนำไปสู่กรรมหรือการกระทำ ที่ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดมิรู้จักสิ้นสุด
การปล่อยวางนี้มิใช่ให้เราเพิกเฉยปิดหูปิดตาไม่รับรู้สิ่งใดใดที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เห็นคนเดือดร้อนก็เพิกเฉยไม่ดูดำดูดี เห็นคนได้ดีก็ไม่กล้าแสดงความยินดีชื่นชมกับเขา
แล้วจะปล่อยวางสิ่งใด ?
ปล่อยวางสิ่งที่รู้
รู้อะไร ?
รู้ว่าเราไม่รู้..
เพราะหลายสิ่งที่เรารู้ เป็นความรู้ที่ไม่ได้เป็นจริงตลอดไป เป็นเพียงความรู้ที่เราค้นหา เมื่อเวลาผ่านไปความรู้นี้สามารถถูกหักล้างแก้ไขได้ จากความรู้ใหม่ๆที่คนอื่นค้นพบในภายหลัง
แต่ความรู้ที่แท้จริงและไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คือ ความรู้ในเรื่องของ “ความว่าง” ความว่างอันเป็นที่สุด
เมื่อไหร่ที่เธอค้นพบและสัมผัส “ความว่าง” นี้ได้ เธอย่อมไม่มีสิ่งใดต้องปล่อย ไม่มีสิ่งใดต้องวาง แค่หลอมรวมและ “เป็นหนึ่งเดียวกับความว่าง” นี้ เท่านั้นเอง.
Create Date : 18 สิงหาคม 2553 |
|
150 comments |
Last Update : 18 สิงหาคม 2553 5:04:59 น. |
Counter : 1649 Pageviews. |
|
|