:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณแม่ซองขาวฯ และ น้องก้อย ::
:: ก๋าราณีตอบคำถามคุณแม่ซองขาวฯ และ น้องก้อย ::
ทานที่ดีที่สุด คือ การให้อภัย
แต่การให้อภัยตัวเองมันยากจริงๆ ถ้าให้อภัยแล้ว เราจะคิดถึงเรื่องที่ผิดอีกไหม จะย้ำในใจอีกหรือเปล่า หรือถ้าคิดไว้เตือนสติก็ไม่ผิดอะไร แล้วจะรู้ได้ไงว่าเรา..ไม่โทษตัวเองแล้ว
คำถามโดย : ก้อยค่ะ (Gunpung ) วันที่ : 23 กรกฎาคม 2553 เวลา : 5:29:15 น.
************
ธรรมทานต่างกับอภัยทานอย่างไร ทำบุญอย่างไรจึงจะได้บุญสูงสุดค่ะ
คำถามโดย : ซองขาวเบอร์ 9 วันที่ : 24 กรกฎาคม 2553 เวลา : 20:48:15 น.
สวัสดีครับคุณแม่และน้องก้อย
ขออนุญาตนำสองคำถามมาตอบพร้อมกัน คำตอบนี้ผมได้คำตอบมาจากอาแปะ (พี่ชายพ่อ) ส่วนตัวผมเองรู้ถึงคำตอบ แต่ไม่สามารถเรียบเรียงได้ วันก่อนมีโอกาสนั่งคุยกับอาแปะเลยถามคำถามนี้ครับ
1. “ธรรมทาน” กับ “อภัยทาน” นั้นแตกต่างกันอย่างไร ? 2. บุญสูงสุดคืออะไร ? และ 3. การให้อภัยตัวเองอย่างไร ถึงจะแน่ใจว่าได้ให้อภัยตัวเองแล้วจริงๆ ?
“ธรรมทาน”
“ทาน” โดยความหมายแล้ว หมายถึง การบริจาคออกไป หมายถึงการเสียสละ ถ้าในความหมายที่ผมรับรู้ “ทาน” เป็นเครื่องมือในการฝึกลดความเห็นแก่ตัวของเรา การ”ให้” เป็นการต่อสู้กับกิเลสที่มีชื่อว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง และความเห็นแก่ตัว
“ธรรม” แปลได้หลายความหมาย จะแปลว่าความจริงสูงสุดก็ได้
ความจริงสูงสุดคืออะไร ? คือ ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เช่น คนเราเกิดมา ต้องแก่ ต้องเจ็บป่วย และต้องตาย ต้องพลัดพรากจากบุคคลและสิ่งอันเป็นที่รักอยู่ตลอดเวลา
สิ่งของต่างๆที่มนุษย์หรือธรรมชาติสร้างขึ้น ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวรเลยแม้แต่สิ่งเดียว จะเป็นภูเขา แม่น้ำ หรือโลกมนุษย์ถึงวันหนึ่งมันก็เสื่อมสลาย หรือเกิดภัยพิบัติรุนแรงที่ทำให้มันเปลี่ยนแปลงและหายไป ตัวเรา สัตว์เลี้ยง แก้วแหวน เงินทอง ตำแหน่งทางสังคม ชื่อเสียง ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่มีสิ่งใดที่คงทนถาวร ต่างเกิดขึ้น ดำรงอยู่ในชั่วขณะเวลาหนึ่ง แล้วถึงจุดหนึ่งมันก็ผุพังเสื่อมโทรมไป
แต่ “ความจริงอันเที่ยงแท้” ไม่มีวันเปลี่ยน... อยู่เหนือกาลเวลา อยู่นอกเหตุเหนือผล เหมือนที่เราหาคำตอบไม่ได้ว่า ใครสร้างเอกภพ และจักรวาลนี้จะอยู่ได้นานเพียงใด พระอาทิตย์จะแตกดับเมื่อไหร่ ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่อาจหาคำตอบได้ด้วยหลักตรรกะหรือเหตุผล และบางครั้งก็ไม่มีความจำเป็นที่มนุษย์จะต้องไปรู้ เพราะถึงรู้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญาที่ถูกต้องเที่ยงแท้
การให้ “ธรรมทาน” คือการให้ความเป็นจริงแก่ชีวิต ให้ด้วยวิธีใด ? ด้วยการชี้ทางให้คนๆหนึ่งรู้แจ้งถึงความจริงแท้ที่อยู่ในตัวเรา ให้รู้ว่าตัวเราเองก็มีสภาวะของผู้รู้แจ้งที่มีอยู่แล้วในตัวเราเอง
มันจึงเป็นการศึกษาขั้นสูงสุดของชีวิตที่คนๆหนึ่งพึงรู้จักตัวเอง เมื่อใดก็ตามที่คนรู้ถึงการกำเนิดของชีวิต รู้ว่าตนเกิดมาเพื่อทำอะไร และรู้ว่าเมื่อตายแล้วเราจะกลับไปมีสภาพแบบใด แล้วเราจะอยู่กับความรู้เหล่านี้อย่างเข้าใจ ยอมรับความจริงได้ เมื่อนั้นเราจะไม่ทุกข์ เราจะรู้ว่าในโลกนี้มีความรู้มากมายที่เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ เพราะถึงรู้ไปก็ไม่ช่วยทำให้เราพ้นทุกข์ และทุกข์ที่เราเผชิญอยู่เราก็หลีกเลี่ยงมันไปไม่ได้เลย
เว้นแต่เราจะเข้าใจความคิดของตัวเอง และคิดอย่างถูกต้อง
“ธรรมทาน” ที่แท้จริงจึงมิสามารถให้ใครมอบให้แก่ใครได้ ใครอยากรู้ต้องลงมือปฏิบัติเอง ครูผู้สอนอาจทำหน้าที่ชี้แนะได้บ้าง แต่การรู้แจ้งต้องเป็นไปด้วยตัวเองเท่านั้น ใครทำแทนใครไม่ได้ มอบให้กันไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือใครคนใดก็ตาม
“อภัยทาน”
“อภัย” คือ การไม่คิดเคียดแค้นพยาบาท ไม่โกรธเกลียดจองเวรกัน จะอภัยได้ เราต้องรู้ว่าทั้งเขาและเราต่างมาจาก “สภาวะ” เดียวกัน นั่นคือ เราถูกสร้างขึ้นมาจาก “ธรรมชาติ” อันเป็นหนึ่งเดียวกัน ธรรมชาติที่เราได้อธิบายไปแล้วว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ไม่มีใครรู้ ไม่มีรูปร่างให้สัมผัสจับต้อง แต่เป็นพลังงานที่สามารถกำเนิดสิ่งต่างๆขึ้นมาบนโลกนี้ ทำให้เดือนดาวตะวันโคจรอยู่ได้โดยไม่พุ่งชนกัน ทำให้เกิดเวลานาที อากาศ และสรรพชีวิต
แต่ทุกสิ่งทั้งคน สัตว์ สิ่งของ ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ไม่มีสิ่งใดเลยแม้แต่อย่างเดียวที่ดำรงคงอยู่ได้ตลอดกาล
เราเคยตระหนักถึงความจริงในข้อนี้กันบ้างไหม ? ว่าเราเองไม่มีสิ่งใดที่เหนือไปกว่าชีวิตอื่น ที่เราแตกต่าง คือ หน้าที่ที่เรามี เป็นสัตว์ก็ดำรงชีวิตแบบสัตว์ เป็นมนุษย์ก็ดำรงชีวิตแบบมนุษย์ แต่ชีวิตของคนๆหนึ่งจะมีคุณค่าความหมาย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาเป็น แต่อยู่กับสิ่งที่เขาทำ
คนเราเกิดมาในชาติหนึ่ง สมควรอย่างยิ่งที่จะเกิดมาเพื่อทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นกับตัวเองและสังคม ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเพื่อดำรงตนอย่างมีคุณค่าและสร้างสรรค์
เมื่อใดที่เรารู้ว่าตัวเราและตัวเขา ไม่ได้มีอะไรที่ต่างกันเลยในความเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราจะฆ่ากันไปทำไม เราจะด่า โกรธ เกลียดไปทำไม ในเมื่อเรามี “แม่” เดียวกัน ปัญหาของโลกในทุกวันนี้ คือ เราคิดว่าเราต่าง เราเหนือกว่า จนนำไปสู่ความขัดแย้งทางความคิด
เราเกลียดเพื่อนร่วมงานเพราะเขาคิดไม่เหมือนเรา เราโกรธคนรอบข้างที่ไม่เป็นไปอย่างที่ใจเราต้องการ
เราให้อภัยใครไม่ได้เพราะเราไม่เคยรู้ถึง “ความเหมือน” ในสรรพชีวิต เราไม่เคยคิดว่าคนและสัตว์สิ่งของเหล่านั้นเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายกับเรา
เราแบ่งแยกเขาออกจากตัวเรา ทั้งๆที่เราและเขาไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลย....
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราได้อภัยทั้งเขาและเราอย่างแท้จริงแล้ว
เมื่อใดที่เรารู้ว่าไม่ได้แตกต่างจากสรรพชีวิต เราจะไม่คิดทำร้ายทำลายใคร เราจะมองงูเป็นเพื่อนร่วมโลก เราจะมองคนต่างสีผิว ต่างชาติพันธุ์ว่าเป็นเพื่อนร่วมโลก เราจะไม่โลภและหวังยึดครองสิ่งต่างๆมากมายเกินความจำเป็น เมื่อเรารู้ว่าที่สุดแล้วอะไรที่เราว่าเป็นของเรา มันไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริงเลย
มันเป็นแค่การดำรงคงไว้ซึ่งสิ่งหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
เราเป็นนายดำก็แค่ชั่วขณะ เมื่อตายไป ความเป็นนายดำก็หายไป เราเป็นพ่อค้า เศรษฐี ทนาย พระ หมอ ขอทาน ครู ฯลฯ ก็เพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่ง ถึงเวลาหนึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็หายไป....
เมื่อไหร่ที่เราไม่ยึดติดในตัวตนสมมติเหล่านี้ เราคิดแค่ว่าขณะนี้เราเกิดมา มีชีวิต เพื่อทำหน้าที่.... เมื่อนั้นความโลภ โกรธ หลงในใจเราจะบางเบาลง... นั่นถึงจะเป็นการให้อภัยตัวเองได้อย่างแท้จริง
บุญสูงสุด จึงมิใช่การทำบุญสร้างวิหารแสนล้าน หรือการบริจาคทานจนตัวเองสิ้นไร้ไม้ตอก มิใช่การบริจาคทานด้วยเงินหรือปัจจัยใดใด
หากแต่เป็นการที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้รู้ซึ้งถึง “พุทธจิต” แห่งตน ได้รู้ความจริงว่าตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นเกิดจาก “ความคิด”
“ความคิด” เป็นตัวกำหนดรูปแบบและลักษณะของชีวิตใครคนหนึ่ง
คนๆหนึ่งจะเป็นคนดี ชั่ว เลว ระยำ หรือประเสริฐเลิศล้ำ นั้นขึ้นอยู่กับ “ความคิด” ตัวเดียวเท่านั้น การที่เราค้นพบ “จิตดี” หรือ “ความคิดที่ดี” ได้นั้น ย่อมถือเป็น “บุญกุศลอันสูงสุด” เพราะเมื่อจิตคิดดี คำพูดย่อมดี การกระทำย่อมดี และสิ่งดีที่เราคิด พูด ทำ ย่อมนำชีวิตเราไปสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง....
น่าเสียดายที่เราเรียนรู้ความรู้มากมายทางโลก แต่ความรู้เหล่านั้นไม่ได้ช่วยยกระดับคุณภาพความคิดของเราได้เลย เราจึงต้องอยู่ในสังคมที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง มองเห็นคน แต่มองไม่เห็นธรรม มองเห็นความร่ำรวย แต่มองไม่ความสุขที่แท้จริง
วิชาที่สำคัญที่สุด ไม่เคยถูกบรรจุไว้เพื่อสอนในมหาวิทยาลัย แต่มันถูกสอนอยู่ในธรรมชาติรอบตัวเรา ขอเพียงเราอ่อนน้อมถ่อมตน และเดินเข้าไปหาธรรมชาติอย่างนอบน้อม เชื่อแน่ว่า “ปัญญาญาณ” แห่งความรู้แจ้งยังเปิดประตูรอเราอยู่เสมอ ขอเพียงเราเชื่อว่าเรารู้แจ้งได้ และถ้าเราจะรู้ได้... ก็ต้องรู้ด้วยตัวเราเองเท่านั้น
ขออนุญาตประชาสัมพันธ์กิจกรรมการประกวดบล็อกยอดเยี่ยมประเทศไทย THAILAND BLOG AWARDS 2010 ผมได้เข้าร่วมประกวดบล็อก รวมทั้งเพื่อนบล็อกอีกหลายท่าน ก็ขอแรงใจแรงเชียร์จากเพื่อนบล็อกให้ช่วยเข้าไปโหวตคะแนนให้ ตามลิ้งค์ที่ผมได้ทำไว้เลยนะครับ
ตกหล่นเพื่อนบล็อกท่านใดต้องขออภัยด้วยครับ ผมยังดูผู้เข้าประกวดไม่ครบทุกสาขาเลยครับ
ขอบคุณทุกกำลังใจและไมตรีจิตครับ
กะว่าก๋า
ปล.
วิธีการลงคะแนนโหวต ถ้าจะโหวตครั้งละ 3 คะแนน รบกวนสมัครที่นี่เลยครับ เมื่อเข้าไปแล้วกดตรงคำว่า Sign Up ครับ
กฏกติกาการโหวตคะแนน
โหวตได้ทุกวัน แต่ห้ามโหวตซ้ำบล้อกกันในหนึ่งวัน โหวตได้ทุกวันจนถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2553 ครับ
โหวตให้บล็อกพี่สิน
โหวตให้บล็อกย่าดา
โหวตให้บล็อกกะว่าก๋า
โหวตให้บล็อกเป็ดสวรรค์
โหวตให้บล็อกป้าแอ็ด
โหวตให้บล็อกพี่วา
โหวตให้บล็อกพี่อุ้มสี
โหวตให้บล็อกน้องวี
โหวตให้บล็อกน้องดอย
โหวตให้บล็อกน้องสาว
โหวตให้บล็อกน้องแอม
โหวตให้บล็อกคุณหนี่ฯ
โหวตให้บล็อกน้องเอม
โหวตให้บล็อกพี่แอม
โหวตให้บล็อกน้อง yjam
โหวตให้บล็อกพี่คนขับช้า
โหวตให้บล็อกพี่จิน
โหวตให้บล็อกคุณพู่
โหวตให้บล็อกพี่ไก่
โหวตให้บล็อกบีแอล
โหวตให้บล็อกคุณนัทธ์
โหวตให้บล็อกพี่ ซซ
โหวตให้บล็อกพี่แป๋ว
โหวตให้บล็อกคุณเอ๋
โหวตให้บล็อกพี่อาคุงกล่อง
โหวตให้บล็อกพี่จิบ
โหวตให้บล็อกพี่ตี๋น้อย
โหวตให้บล็อกคุณน้ำอ้อย
โหวตให้บล็อกน้องหนึ่ง
โหวตให้บล็อกพี่โสดในซอย
โหวตให้บล็อกคุณคนสาธารณะ
โหวตให้บล็อกพี่ชาลี
โหวตให้บล็อกคุณปุ๊ก
โหวตให้บล็อกคุณนก
โหวตให้บล็อกพี่ปูขาเก เซมารู
โหวตให้บล็อกคุณถม
โหวตให้บล็อกน้องโยโย่
โหวตให้บล็อกคุณไฮกุ
โหวตให้บล็อกน้องเมย์
โหวตให้บล็อกพี่ก้อย
โหวตให้บล็อกคุณหมอหมู
โหวตให้บล็อกพี่พีร์
โหวตให้บล็อกพี่เซียนกระบี่ฯ
โหวตให้บล็อกคุณเจฟ
โหวตให้บล็อกพี่โดม
โหวตให้บล็อกน้องแจง
โหวตให้บล็อกพี่เทียนส่องแสง
โหวตให้บล็อกน้องส้มแช่อิ่ม
โหวตให้บล็อกน้องต่อ
โหวตให้บล็อกพี่รี่+พี่ต๊อก
โหวตให้บล็อกน้องแป้ง
Create Date : 05 สิงหาคม 2553 |
|
154 comments |
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 5:12:24 น. |
Counter : 1406 Pageviews. |
|
|
ฝนตกทุกวันเลยค่ะทางใต้
บรรยากาศจึงน่านอนนนนนน