Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

ช่องทางร้องเรียนเกี่ยวกับ ยา-หมอ-คลินิก-โรงพยาบาล-สิทธิรักษา (บัตรทอง ประกันสังคม เบิกได้ พรบ.รถ)

 

ช่องทางร้องเรียน เกี่ยวกับ ยา - หมอ - คลินิก -  โรงพยาบาล - สิทธิรักษา (บัตรทอง ประกันสังคม เบิกได้ พรบ.รถ)



๑. อย. .. สำหรับเรื่อง ยา อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ อาหารเสริม
เมื่อผู้บริโภคประสบปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ประเด็นที่ผู้บริโภคสามารถร้องเรียน อย. ได้แก่ 

พบความบกพร่องของผลิตภัณฑ์ที่เห็นได้ชัดเจน เช่น เสียก่อนหมดอายุ ไม่มีฉลากภาษาไทยการแสดงฉลากไม่ครบถ้วน เป็นต้น

พบโฆษณาโอ้อวด หลอกลวง หรือทำให้เข้าใจผิด ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาโดยวิธีใด

พบการผลิต นำเข้า หรือขายยา และวัตถุเสพติด โดยไม่ได้รับอนุญาต

พบการผลิต นำเข้า หรือขาย ผลิตภัณฑ์สุขภาพปลอม

พบการผลิต หรือขาย ผลิตภัณฑ์ที่ห้าม หรือมีสารที่ห้ามใช้ เช่น ยาชุด ครีมทาฝ้า ที่มีสารปรอท-แอมโมเนีย หรือไฮโดรควิโนน หรือกรดวิตามินเอ อาหารที่ผสมสารบอแรกซ์สารฟอกขาว หรือ กรดซาลิซิลิค เป็นต้น

ได้รับอันตรายจากการบริโภค หรือใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้งที่ได้ปฏิบัติตามวิธีใช้ คำแนะนำ หรือข้อควรระวังตามที่ระบุบนฉลากแล้ว

หมายเหตุ :ชื่อ และการติดต่อกลับ (E-mail หรือ เบอร์โทร ของท่าน) มีประโยชน์มากในการดำเนินงานของกองพัฒนาศักยภาพผุ้บริโภค เนื่องจากในหลายกรณี ข้อมูลที่ท่านให้อาจไม่ครบถ้วน ทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ การขอข้อมูลเพิ่มเติมในบางกรณี ทำให้การดำเนินงานลุล่วงด้วยดี ตามเจตนารมณ์ของท่านที่ได้กรุณาร้องเรียน-แจ้งเบาะแสมาทางเรา

ช่องทางร้องเรียน

https://newsser.fda.moph.go.th/hpsc/frontend/theme/view_complain.php?Submit=Clear&ID_Com=00000054

ผู้บริโภคที่ประสบปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ สามารถร้องเรียนหรือแจ้งข้อมูล โดยแจ้งชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ พร้อมรายละเอียดของเรื่องที่ต้องการร้องเรียน ไปที่
1. สายด่วน อย. โทรศัพท์ 1556 
2. โทรศัพท์ 0 2590 7354-5
3. โทรสาร 0 2590 1556 
4. จดหมาย/หนังสือ (ร้องเรียน)
5. ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข 11004
6. อีเมล์
1556@fda.moph.go.th
7. ร้องเรียนด้วยตนเอง (หรือกรณีมีตัวอย่างผลิตภัณฑ์มามอบให้)
    7.1 ผู้บริโภคที่อยู่ในเขต กรุงเทพฯ สามารถร้องเรียนได้ที่ ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ (ศรร.)
ตึกสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอาคาร A ชั้น 1
                7.2 ผู้บริโภคที่อยู่ในต่างจังหวัด แจ้งร้องเรียนที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด 
             ** กรณีนอกเวลาราชการ สำหรับโทรศัพท์ 0 2590 7354 และ สายด่วน อย. 1556 จะมีเทปบันทึกให้ฝากข้อความอัตโนมัติ**
 
             เรื่องร้องเรียนที่ส่งเข้ามา เมื่อทราบผลการดำเนินการ ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ (ศรร.) จะมีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องเรียนได้ทราบ ดังนั้น ผู้ร้องเรียนจึงควรแจ้ง ชื่อ ที่อยู่ หรือเบอร์โทรศัพท์ ที่สามารถติดต่อได้ นอกจากประโยชน์ในการแจ้งผลการดำเนินการแล้ว กรณีที่ข้อมูลไม่เพียงพอ หรือต้องการหลักฐานเพิ่มเติม เจ้าหน้าที่สามารถติดต่อกับผู้ร้องได้ โดยชื่อ ที่อยู่ ดังกล่าว จะได้รับการเก็บรักษาเป็นความลับ
            ส่วนกรณีผู้ร้องเรียนต้องการสินบนนำจับ จะต้องแจ้งความนำจับเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นไปตามเกณฑ์กำหนดไว้ว่าเรื่องใดจึงจะมีสินบนนำจับไม่ใช่ทุกเรื่องจะมีสินบนนำจับ  และการจะจ่ายสินบนนำจับ จะต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ผู้ถูกแจ้งความมีความผิดจริง ซึ่งบางเรื่องอาจใช้เวลานานเป็นปี โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบ
 
             ดำเนินการคือ กลุ่มกฎหมาย อาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งผู้แจ้งความนำจับจะได้รับสินบนตามอัตราที่กำหนดดังนี้
            1. กรณีที่ไม่มีการจับกุมผู้กระทำความผิด และได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายแล้ว ผู้แจ้งความนำจับจะได้รับเงินสินบนจำนวน 1 ใน 4 ส่วนในอัตราร้อยละ 60 ของเงินค่าปรับที่ได้รับ 
            2. กรณีที่มีการจับกุมผู้กระทำความผิด และได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายแล้ว ผู้แจ้งความนำจับจะได้รับเงินสินบนจำนวน 1 ใน 4 ส่วนในอัตราร้อยละ 80 ของเงินค่าปรับที่ได้รับ

| สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา | 88/24 ถนนติวานนท ์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000 โทรศัพท์ 0 2590 7000 |


ช่องทางร้องเรียนอื่น  ๆ  ( มีเพียบบบบบบบ )
https://newsser.fda.moph.go.th/hpsc/frontend/theme/channel.php?Submit=Clear



๒. สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ (ชื่อเดิม ..กองประกอบโรคศิลปะ)... สำหรับเรื่อง สถานประกอบการ ( คลินิก หรือ รพ. ) ที่สงสัยว่าทำผิดระเบียบ

สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ ( สพรศ.)
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000
โทร 0 2193 7000
กลุ่มโรงพยาบาล  ต่อ 18406            
กลุ่มคลินิก  ต่อ 18407
เวบ สพรศ. https://mrd-hss.moph.go.th/mrd/index.php
หมายเลขโทรศัพท์ภายใน สพรศ. https://mrd-hss.moph.go.th/mrd/tele.php

แบบฟอร์มรับเรื่องร้องเรียน คลินิก/โรงพยาบาล  กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
https://203.157.7.46/complaint/complaintForm.jsp

ตรวจสอบชื่อโรงพยาบาล คลินิก  ที่ได้รับการรับรองจาก กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
https://privatehospital.hss.moph.go.th/

ตรวจสอบค่ารักษาพยาบาล Online
https://hospitalprice.org/

อัตราจ่าย  โครงการเบิกจ่ายตรงผู้ป่วยในสถานพยาบาลเอกชนด้วยระบบ DRG (ลิงค์หน้าเวบสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ  https://www.mrd.go.th/mrd/index.php )
https://www.mrd.go.th/mrd/2015%20DataFormPrivateHospital.xls?newsID=10451

รายการยาสามัญประจำบ้านที่มีไว้ในคลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์
โดย สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2558
https://203.157.7.46/uploadFiles/news/N0000000258248.pdf


คลินิกเถื่อน หมอเถื่อน แจ้ง กรม สบส. 1426 หรือ 02 193 7057

หรือ web ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน https://crm.hss.moph.go.th/

รับเรื่องร้องเรียน ,,,
มาตรฐานการรักษาพยาบาล /มาตรฐานการใช้บริการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
ระบบการใช้บริการสถานพยาบาล /ระบบการใช้บริการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
ค่ารักษาพยาบาล /ค่าบริการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
การโฆษณาสถานพยาบาล /การโฆษณาสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ
สถานพยาบาลเถื่อน /หมอเถื่อน /สถานประกอบการเพื่อสุขภาพเถื่อน /หมอนวดเถื่อน /บริการแอบแฝง
เรื่องเกี่ยวกับอาสาสมัคร
ค่าป่วยการอาสาสมัคร
-ข้อเสนอแนะ ชมเชย และเรื่องอื่นๆ
สามารถร้องเรียนมาได้ที่ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โทร 02-193-7057 หรือ 02-193-7000 ต่อ 18618 ในวันและเวลาราชการ



๓. แพทยสภา สำหรับทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงานของแพทย์การตรวจสอบชื่อสกุลแพทย์ รวมถึงสงสัยว่าจะเป็น แพทย์ปลอมผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นแพทย์ ทำหน้าที่ตรวจรักษาผู้ป่วยทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเป็นแพทย์
https://www.tmc.or.th/

ฝ่ายจริยธรรม   02-590-1881 , 02-589-7700-8800
Email : 
ethics@tmc.or.th

ตรวจสอบรายชื่อแพทย์

https://www.tmc.or.th/check_md/

เฉพาะแพทย์ที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและยังมีชีวิตอยู่ กรณีตรวจสอบไม่พบ หรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-590-1884,02-5901887 

สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา
อาคาร 6 ชั้น7 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุขถ.ติวานนท์ จ.นนทบุรี
โทร.: 02-5901886

 
" ร้องคลินิก ต้องไปที่ไหน ? "  ( ๑๙ พค.๖๒ )
Ittaporn Kanacharoen

มีปัญหา สงสัยคลินิกเถื่อน ค่ารักษาพยาบาลที่คลินิกไม่ถูกต้อง ค่ารักษา รวมถึงคลินิกไม่รับผิดชอบผลของการผ่าตัดต่างๆ จะรักษา ด้วยการเจาะเลือดแปลกๆ สเต็มเซลล์ที่ยังไม่อนุญาต และไม่เป็นมาตรฐาน ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล อยู่ในความรับผิดชอบของกรม สบส. สามารถแจ้งได้ตาม โปสเตอร์ หรือ โทร 02193 7057 หรือ Facebook มือปราบสถานพยาบาลเถื่อน

ขอบคุณหลายท่านที่ส่งมาที่แพทยสภา ผมได้ส่งต่อให้แล้วนะครับ แต่ถ้าเป็นไปได้ส่งตรงเลย แพทยสภา จะดูแลได้ตามอำนาจ ใน พรบ วิชาชีพเวชกรรม ซึ่งจะดูเฉพาะตัวแพทย์ไม่เกี่ยวกับตัวคลินิก และลงโทษได้เฉพาะผู้ถือใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม ไม่มีอำนาจในการไกล่เกลี่ย ขอเงินคืนต่างๆ รวมถึงให้จ่ายชดเชย อันนั้นของ สบส.และ สคบ.ครับ



๔. อื่น ๆ


#หมอชวนรู้ โดย แพทยสภา
ตอนที่ 120 "แพทย์จริง แพทย์ปลอม และสาขาเฉพาะทาง  
.
ตรวจสอบง่ายๆ ได้ แบบ online ได้ที่
https://checkmd.tmc.or.th/
.
บทความโดย
นายแพทย์ภาสกร วันชัยจิระบุญ
ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา
กรรมการแพทยสภา

https://www.facebook.com/thaimedcouncil/posts/3006309486300603



"สบส.ฮอทไลน์"
เบอร์โทรศัพท์สายด่วนกรณีปัญหาจากคลินิกและ รพ.เอกชน ตามพระราชบัญญัติ สถานพยาบาลครับ

1. ร้องเรียน/ปรึกษา จากการไปรับบริการกับคลินิก และ รพ.เอกชน และได้รับความเสียหายหรือเกิดผลกระทบจากการไปใช้บริการ
เบอร์โทร 02-193-7000 ต่อ 18833

2. แจ้งเบาะแส คลินิกเถื่อน หมอเถื่อน
เบอร์โทร 02-193-7000 ต่อ 18822

3. ตรวจสอบคลินิกที่ไปใช้บริการได้รับอนุญาตถูกต้องหรือไม่
เบอร์โทร 02-193-7000 ต่อ 18407

4. ปรึกษาเรื่องอื่นๆ
เบอร์โทร 02-193-7000 หรือ 02-590-2999

เครดิต Ittaporn Kanacharoen   25 พฤศจิกายน 2017 ใ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1628722540521879&set=a.371903056203840&type=3&theater

" มือปราบสถานพยาบาลเถื่อน "  คลินิกเถื่อน หมอเถื่อน
เฟสบุ๊ค  https://goo.gl/F1MjlO
โทร 02-193-7999  ,  02-590-2999  ต่อ 1280


กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
https://www.dms.moph.go.th/request/inputform.html


กระทรวงสาธารณสุข
https://www.moph.go.th/
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข  กระทรวงสาธารณสุข
ถนนติวานนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง   จ.นนทบุรี 11000
โทร. 0-2590-1000

บัตรสุขภาพ (บัตรทอง บัตรสามสิบบาท)

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
เลขที่ 120 หมู่ 3 ชั้น 2-4 อาคารรวมหน่วยงานราชการ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร ฯ 10210
โทรศัพท์ เบอร์กลาง 02 141 4000    โทรสาร (Fax) 02 143 9730 - 1
เว็บไซท์ : https://www.nhso.go.th

สนใจขอรับบริการสอบถามปัญหา ติดต่อได้ที่
* โทรศัพท์ สายด่วน 1330 เปิดบริการ 24 ชั่วโมง
* ติดต่อทาง E-mail e-news@nhso.go.th




ถามตอบ ปัญหาหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
https://www.nhso.go.th/frontend/page-forhospital_faq.aspx




สิทธิหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง) เปลี่ยนหน่วยบริการประจำได้ 4 ครั้งต่อปี

ต้องใช้เอกสารอะไรในการลงทะเบียนเปลี่ยน รพ. และติดต่อทำได้ที่ไหน

กรณีพักอาศัยตรงกับที่อยู่ตามบัตรประจำตัวประชาชน  หลักฐานที่ใช้คือ
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน  หรือบัตรหรือเอกสารที่ทางราชการออกให้ที่มีรูปถ่าย มีเลขประจำตัวประชาชน หากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่ยังไม่ได้ทำบัตรประจำตัวประชาชนให้ใช้สูติบัตรแทน (ใบเกิด)
                              กรณีพักอาศัยไม่ตรงกับที่อยู่ในบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรหรือเอกสารที่ทางราชการออกให้ ต้องใช้หลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดเพิ่มเติม ดังนี้

(1) หนังสือรับรองการพักอาศัยอยู่จริงของเจ้าบ้าน พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าบ้าน
(2) หนังสือรับรองของผู้นำชุมชน พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้นำชุมชน
(3) หนังสือรับรองของผู้ว่าจ้างหรือนายจ้าง พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ว่าจ้างหรือนายจ้าง
(4) เอกสารหรือหลักฐานอื่น เช่น ใบเสร็จรับเงินค่าสาธารณูปโภค ใบเสร็จรับเงินค่าเช่าที่พัก สัญญาเช่าที่พัก ฯ ที่แสดงว่าตนเองมีถิ่นที่อยู่หรือพักอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ
(5) สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขอลงทะเบียน
ทั้งนี้  หากให้ผู้อื่นไปลงทะเบียนแทน  ต้องเพิ่มหนังสือมอบอำนาจและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจด้วย
สถานที่ติดต่อลงทะเบียน
กทม.              ®     สำนักงานเขต 30 เขต  ในวัน – เวลา ราชการ  (รายชื่อเขตตามภาคผนวก)
ต่างจังหวัด       ®     รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล  หรือ รพ.รัฐบาลใกล้บ้าน  ในวัน – เวลาราชการ

https://www.nhso.go.th/frontend/page-forhospital_faq.aspx







 




 

วิธีการใช้บริการสายด่วน สปสช. 1330

  • กด 1 รับฟังข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสิทธิหลักประกันสุขถาพ
  • กด 2 ตรวสอบสิทธอัตโนมัติ
  • กด 3 รับฟังการแก้ไขสิทธิไม่ตรีงตามจริง
  • กด 4 รับฟังการใช้สิทธิสวัสดิการพนักงานส่วนท้องถิ่น
  • กด 5 รังฟังข้อมูลการใช้สิทธิฉุกเฉิน 3 กองทุน
  • กด 0 ติดต่อเจ้าหน้าที่
  • กด # รับฟังซ้ำ


 
 
"สิทธิรักษาพยาบาลของท่านคือสิทธิใด?"

โทรถาม 1330 ได้ 24 ชม.
พอรับสายแล้ว ให้ กด 2
จะมีคำสั่งให้ กดเลขบัตรประชาชน
เสียงตอบรับจะทวนเลข
ให้กด 1 ยืนยัน
แล้ว คอมพิวเตอร์จึง จะบอกสิทธิครับ
30บาท ประกันสังคม หรือ ข้าราชการ

ถ้าเป็น 30 บาท จะบอกชื่อโรงพยาบาลเลย
ถ้าบอกมาผิดจากที่ท่านทราบ ให้ กด 0 คุยกับ Operator เลยครับ

ใครไม่เคยเช็ค ลองเช็คดูนะครับ

เครดิต
Ittaporn Kanacharoen

 

สปสช.ปรับแอปฯ สิทธิหลักประกันสุขภาพโฉมใหม่ เริ่มดาวน์โหลด 27 พ.ค.นี้
https://www.hfocus.org/content/2016/05/12225

สำหรับแอปพลิเคชัน ก้าวใหม่ สปสช.แบ่งการใช้งานออกเป็น 9 หมวด คือ

1.หมวดตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาล

2.หมวดวิธีการใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อให้เกิดการเข้าถึงเพิ่มขึ้น

3.หมวดแสดงที่ตั้งศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในหน่วยบริการ 818 แห่ง

4.หมวดแสดงที่ตั้งหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน ตามมาตรา 50 (5) จำนวน 109 แห่ง ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน กรณีที่มีปัญหาการเข้าถึงการบริการในระบบ

5.หมวดสถานที่ตั้ง สปสช.ทั้งสำนักงานกลางและสำนักงานเขต 13 เขตทั่วประเทศ

6.หมวด 1330 มีคำตอบ ซึ่งเป็นการรวบรวมการตอบคำถามที่พบบ่อย (Frequently Asked Questions: FAQ) และสอบถามเข้ามายังสายด่วน 1330 สปสช.

7.หมวดข่าวประชาสัมพันธ์ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

8.หมวดมัลติมีเดีย มีทั้งช่องทางการถ่ายทอดกิจกรรม สปสช.ผ่านเว็บไซต์ รวมถึงการค้นหาและรับชมวีดีโอที่เกี่ยวข้องกับ สปสช.ย้อนหลัง

9.หมวดที่เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์ สปสช. (www.nhso.go.th)




E-book เรื่องควรรู้ "สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ" ใน E-book มีอะไร...
รู้จักหลักการของประกันสุขภาพถ้วนหน้า
สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของคนไทย
รู้จักหน่วยบริการ
สิทธิบัตรทองคุ้มครองโรคร้ายค่าใช้จ่ายสูง
บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค เป็นอย่างไร?

คลิกอ่าน E-book : https://stream.nhso.go.th/wp-content/uploads/ebooks/final_03-04-62/?fbclid=IwAR2b0U1ygvDoEVQl2EQGSZSwQTPtXjnEBUKQcXy2_d738VcSGbLA-YVRHlk

ดาวน์โหลดไฟล์ pdf : https://drive.google.com/file/d/1C-s5t1VYU0jadwBK1LiGkr8kS8UUN2iG/view?usp=sharing


สิทธิ ประกันสังคม
สำนักงานใหญ่ ประกันสังคม  เลขที่ 88/28 หมู่ 4 ถนนติวานนท์  ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง
จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ 11000

หมายเลขโทรศัพท์ 0-2956-2345

สายด่วน 1506

เว็บไซต์: https://www.sso.go.th
อีเมล์: info@sso.go.th
 

“สายด่วนประกันสังคม”   ที่รู้จักกันในหมายเลข 1506 ตอบข้อสอบถาม  ให้คำแนะนำ แก้ไขปัญหาให้แก่ผู้ประกันตน จากที่ไม่รู้… เป็นรู้สิทธิ”
https://www.ssolife.com/article_detail.aspx?id=3


เวบ ผู้ประกันตน สิทธิประกันสังคม
https://www.ssolife.com/index.aspx


ความแตกต่างของผู้ประกันตน มาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40
https://www.ssolife.com/article_detail.aspx?id=78


ผู้ประกันตนมีกี่ประเภท – ประกันสังคม
https://www.myonesabuy.com/social-security-type/
 

ได้อะไรบ้าง จากประกันสังคม มาตรา 40 ผลประโยชน์สำหรับคนสูงวัย

https://news.mthai.com/general-news/405124.html

.........................................

 
 
 
ประชาชนทุกคนที่ได้รับอุบัติเหตุจากรถจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่ว่าผู้ประสบภัยนั้นจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ในรถหรือนอกรถ เป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร เจ้าของรถ คนเดินถนน หากได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตอันเนื่องจากอุบัติเหตุที่เกิดจากรถจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย

ข้อพึงปฏิบัติเมื่อประสบภัยจากรถ
เมื่ออุบัติเหตุรถยนต์เกิดขึ้น ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ หรือผู้พบเห็นควรปฏิบัติดังนี้
กรณีมีผู้บาดเจ็บ
1. นำคนเจ็บเข้ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดและสะดวกที่สุดก่อน
2. แจ้งเหตุที่เกิดให้ตำรวจทราบ และขอสำเนาประจำวันตำรวจเก็บไว้
3. แจ้งเหตุบริษัทประกันภัยทราบ แจ้งวัน เวลา สถานที่เกิดเหตุ
4. เตรียมเอกสาร ถ่ายสำเนากรมธรรม์ประกันภัยรถคันเกิดเหตุ ภาพถ่ายสำเนาบัตรประชาชน หรือหลักฐานอื่นใดที่ออกโดยราชการกรณีเมื่อเรียกร้องค่าเสียหาย
5. ให้ชื่อ ที่อยู่ ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์เพื่อช่วยเหลือในการเป็นพยานให้แก่คนเจ็บ

การยื่นขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นผ่านโรงพยาบาล
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้ประสบภัย ให้เตรียมเอกสาร ดังนี้ (อย่างละ 2 ชุด)
1.สำเนากรมธรรม์ของรถ (ใบเสร็จรับเงินจาก บริษัทประกัน)
2.สำเนาใบบันทึกประจำวันของตำรวจ ประทับตราโล่และสำเนาเอกสารถูกต้อง
3.สำเนาคู่มือรถ หน้าจดทะเบียนและหน้ารายการเสียภาษีหรือสำเนาสัญญาซื้อขาย(สมุดเขียว /น้ำเงิน)
4.สำเนาบัตรประชาชนของผู้ประสบภัย
5.สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประสบภัย
6.สำเนาบัตรประชาชนของเจ้าของรถ
7.สำเนาบัตรทะเบียนบ้านเจ้าของรถ

* มีสิทธิข้าราชการ อุบัติเหตุจากรถ ต้องใช้สิทธิไหนก่อน?
เมื่อผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และเข้ามารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ตามนัยมาตรา9 แห่งพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2535 ของระบบราชการ ต้องใช้สิทธิพรบ.ผู้ประสบภัยจากรถ

* มีสิทธิบัตรประกันสุขภาพ อุบัติเหตุจากรถ  จะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพก่อนโดยไม่ใช้พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถได้หรือไม่?
ตามระเบียบกระทรวงสาธารณะสุข ว่าด้วยหลักประกันสุขภาพ พ.ศ.2540 ต้องใช้สิทธิตามพรบ.ผู้ประสบภัยจากรถ ก่อน

การเบิกค่าเสียหายเบื้องต้น ผู้ประสบภัยมากับรถคันไหนให้เบิกค่าเสียหายเบื้องต้นจากรถคันนั้น แต่ถ้าผู้ประสบภัยเป็นบุคคลภายนอกให้เบิกค่าเสียหายเบื้องต้นจากรถที่เกิดเหตุ (หรือเบิกจากกองทุนเงินทดแทน)
ดังนั้นกรณีที่มีผู้ประสบภัยจากรถ ท่านสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทั้งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน โดยที่ท่านจะรับการรักษาด้วยความสะดวกรวดเร็วไม่น้อยกว่ามาตรฐานของโรงพยาบาล เมื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยหรือญาติจะต้องแจ้งความประสงค์ในการใช้สิทธิตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และให้ญาติเตรียมเอกสารดังกล่าวข้างต้นให้กับโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลจะเป็นผู้ตั้งเบิกต่อบริษัทประกันแทนผู้ประสบภัย ตามค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริงไม่เกิน 30,000 บาท โดยไม่ต้องสำรองจ่าย

*** วงเงินความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.
ค่าเสียหายเบื้องต้น หมายถึง ค่าเสียหายต่อชีวิต – ร่างกาย ของผู้ประสบภัยอันเนื่องจากการใช้รถที่บริษัทประกันภัยต้องจ่ายโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความรับผิดและให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทน
     1. ค่ารักษาพยาบาล ไม่เกิน 30,000 บาท
     2. ค่าทุพพลภาพ / สูญเสียอวัยวะหรือค่าปลงศพตาม
    โดย 1, 2 รวมกันแล้วไม่เกิน 65,000 บาทในชั้นต้น

ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด (รวมค่าเสียหายเบื้องต้น) หมายถึง ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อชีวิต – ร่างกายของผู้ประสบภัยจากรถที่บริษัทประกันภัยต้องจ่ายเมื่ออุบัติเหตุจากรถนั้นเป็นความผิดของผู้ขับขี่รถที่เอาประกันภัย
      1. กรณีบาดเจ็บ ไม่เกิน         80,000 บาท
      2. กรณีเสียชีวิต หรือ ทุพพลภาพถาวร       300,000 บาท
      3. สูญเสียอวัยวะ
             – นิ้วขาด 1 ข้อขึ้นไป  200,000 บาท
             – สูญเสียอวัยวะ 1 ส่วน  250,000 บาท
             – สูญเสียอวัยวะ 2 ส่วน  300,000 บาท
        4. ค่าชดเชยการรักษาตัว (ผู้ป่วยใน) 200 บาท / วัน ไม่เกิน 20 วัน  (4,000 บาท)
* ยกเว้น ผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายผิดจะได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น

หมายเหตุ สำหรับกรมธรรม์ที่เกิดเหตุตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2559 เป็นต้นไป

https://www.thaihealthycare.com/เมื่อประสบภัยจากรถ/

หากผู้ทำประกันภัยรถยนต์ เกิดข้อสงสัยในการให้บริการของบริษัทประกันภัยที่ทำไว้ ว่าทำถูกต้องหรือไม่ เมื่อมีการเครมประกันเกิดขึ้น หากเกิดปัญหาไม่แน่ใจในบริษัทประกันภัยว่าดำเนินการถูกต้องหรือไม่ สามารถติดต่อเข้ามาสอบถามได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คป.ภ.) และสำนักงาน คปภ. ไม่ได้ให้คำปรึกษาเฉพาะประกันภัยรถยนต์เท่านั้น ยังให้คำปรึกษา ประกันชีวิต ประกันวินาศภัยอีกด้วย
หากผู้ทำประกันภัยรถยนต์ มีข้อสงสัยในการให้บริการของบริษัทประกันภัยรถยนต์ ก็สามารถร้องเรียนเข้าไปได้ที่สำนักงาน คปภ. ผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้
1  สายด่วน 1186
2. กระดานรับร้องเรียนhttps://www.oic.or.th
3. ทาง e–mail: ppd@oic.or.th
4. Download OIC Mobile Application  ที่นี่  https://www.oic.or.th/th/consumer/download-oic-mobile-application
5. โทร 0-2515-3999  โทรสาร 0-2515-3970
https://www.easyinsure.co.th/news/?p=2921

 
*********************************************

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
https://www.ocpb.go.th


สารพันลิงค์ ติดต่อเรื่อง ร้องเรียน ...
https://www.pantip.com/cafe/torakhong/link/#c1


ฝาก ทุก ๆ ท่าน ด้วยนะครับ ...
... " อย่าปล่อยให้คนชั่วลอยนวล " ...
... " การนิ่งเฉย ก็คือ การสนับสนุนให้เขาทำชั่ว " ...




ปล.  สำหรับ คลินิกแพทย์ วิธีตรวจสอบง่ายๆ  ก็คือ เข้าไปในคลินิก ต้องแสดงเอกสารเหล่านี้  (ใช้คำว่า" ต้อง " เพราะเป็น กฎหมาย ) .. 

 
 
 
 
 
ถ้าไม่มีการแสดง เอกสาร ดังกล่าว หรือ ผู้ที่ตรวจหน้้าตาไม่เหมือนภาพในเอกสารที่ติดไว้ .. แนะนำให้ไปรักษาที่ คลินิก หรือ โรงพยาบาล อื่น เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง ..


นำมาฝาก จาก เฟสบุ๊ค ของ น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา
 
7 ขั้นตอนง่ายๆ ในการตรวจสอบแพทย์ ที่น่าสงสัย..

7 ขั้นตอน ในการตรวจสอบแพทย์ ที่น่าสงสัย..เป็นโปรแกรมในเว็บไซด์แพทยสภาเตรียมไว้ให้ประชาชนตรวจสอบได้ง่ายและรวดเร็วครับ..เพียงแต่รูปหมอนั้นอยู่ระหว่าง update จะมีราวครึ่งหนึ่งที่ยังไม่มีรูป..

ส่วนที่ไม่พบชื่ออาจมีเพราะหลายสาเหตุ เช่นชื่อพิมพ์ผิด / แต่งงานแล้วเปลี่ยนนามสกุล /เปลี่ยนชื่อไม่แจ้งแพทยสภา/ แพทย์แผนไทยหรือแพทย์แผนจีน /หรือวุฒินอกเหนือ 80สาขาที่แพทยสภามี /รวมถึงหมอเถื่อน

สงสัย อย่าพึ่งระบุว่าเขาไม่ใช่แพทย์ครับ ต้องโทรถามแพทยสภาก่อน ที่ 02-5901884 (เวลาราชการ) ..

เช่นกรณีแพทย์-แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจบใหม่ ชื่ออาจขึ้นหลังจากนั้นราว 1เดือนครับ ผมจะพยายามนำรูปทั้งหมดมา update ให้ประชาชนตรวจสอบได้ครบถ้วนเร็วที่สุดครับ..//

ปล.ฝากพี่ๆน้องๆแพทย์ไปตรวจของตัวเองด้วยนะครับ ถ้าพบข้อมูลตนเองไม่ตรง..ต้องการ update ..ต้องการเปลี่ยนรูป แจ้งแพทยสภาแก้ไขด่วนนะครับ ทีี่ 02 590-1887 ครับ


https://www.tmc.or.th/check_md/

 
""""""""""""""""""

สำหรับ สถานพยาบาล คลินิก โรงพยาบาล ที่รับแพทย์ปลอม เข้าไปทำงาน ก็มีความผิดด้วยนะครับ มีคำแนะนำจาก พล.อ.ต. นพ. อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา มาฝาก ..

......

คำแนะนำการตรวจสอบแพทย์ที่จ้างอยู่เวรพิเศษ

เนื่องจากในปัจจุบันมีสถานพยาบาลหลายแห่งที่มีความจำเป็นต้องรับแพทย์เวรนอก เหนือจากแพทย์ประจำที่ทำงานตามปกติ โดยการลงรับสมัครงานในที่ต่างๆ ซึ่งในขบวนการดังกล่าวนั้นอาจเป็นเหตุให้มีการตรวจสอบว่าเป็นแพทย์จริงหรือไม่นั้น ไม่สะดวก   เป็นเหตุให้เกิดช่องว่างให้ผู้ซึ่งมิใช่แพทย์แฝงตัวเข้ามารับงานเป็นแพทย์ได้อยู่เป็นระยะๆ ทั้งนี้จึงใคร่ขอให้คำแนะนำดังต่อไปนี้

1. กรณีรับสมัครแพทย์ ขอให้ตรวจสอบชื่อ นามสกุล และเลขใบประกอบโรคศิลป์ จากเว็บไซต์ของแพทยสภา https://tmc.or.th/check_md/  ว่าถูกต้องและมีชื่อตรงหรือไม่

2. ให้ขอเอกสารแสดงตนทุกรายที่มาสมัคร ได้แก่ บัตรประชาชน และ ใบประกอบวิชาชีพศิลปะ (ถ้ามี) ซึ่งในอนาคตจะใช้บัตร MD CARD แทนได้

3. การชำระเงินให้กับแพทย์นั้น ในกรณีที่เป็นแพทย์ปลอมจะต้องการให้ชำระเป็นเงินสด ถ้าเป็นไปได้ ควรให้จ่ายเป็นเช็คระบุชื่อและนามสกุลของแพทย์ (จ่ายเช็คขีดคร่อม Ac Payee Only)
แพทย์ปลอมใช้ชื่อคนอื่น เบิกเงินไม่ได้ คลินิกก็ไม่ต้องเสียเงิน ในกรณีที่มีปัญหาทางกฎหมายจะช่วยยืนยันให้กับสถานพยาบาลได้มากกว่า

4. กรณีพบแพทย์ที่สงสัย แจ้งได้ที่  ethics@tmc.or.th


ข้อพึงสังเกต พฤฒิกรรมแพทย์ปลอม มักจะ

1.ไม่ให้เอกสารใดๆ ที่แสดงตน บ่ายเบี่ยง ลืมเอามา

2.อยู่เวรจำนวนน้อย มาลงขอเวรบ่อยๆ

3.ไม่อยู่เวรประจำ เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ

4.ขอเป็นเงินสดมากกว่าที่จะรับเงินแบบออกหลักฐาน เนื่องจากไม่สามารถเข้าบัญชีเบิกเงินได้

........................... ทั้งนี้การรับแพทย์ปลอมเข้าปฏิบัติงานในสถานพยาบาล “ เจ้าของและผู้ดำเนินการสถานพยาบาล” จะต้องร่วมรับผิดด้วย เช่น

1. ฐานให้บุคคลผู้มิใช่แพทย์ทำงานเป็นแพทย์ ตามมาตรา 27-28 ของ พรบ. ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พศ.2525 ซึ่งเจ้าของคลินิกสถานพยาบาลจะต้องรับผิดชอบ

2. ผู้ดำเนินการสถานพยาบาลจะต้องถูกดำเนินคดีทางจริยธรรม ตามมาตรา 43-44 มีโทษ จำคุกไม่เกิน3ปี ปรับไม่เกิน3หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. ผิด พรบ. สถานพยาบาล ซึ่งต้องถูกดำเนินการโดยกองประกอบโรคศิลปะ อาจถูกปิดสถานพยาบาล ได้

4. ถูกดำเนินคดีจากผู้ป่วย ในคดีที่ได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาลโดยหมอปลอมทั้งคดีแพ่งและอาญา

5. หากผู้นั้นใช้ชื่อและนามสกุลพร้อม เลข ว. ของแพทย์ ที่มีอยู่จริง จะต้องโดนคดีอาญา ฐานปลอมแปลงชื่อผู้อื่นจากแพทย์ผู้เสียหายอีกด้วย

ทั้งนี้แพทยสภา กวดขันขึ้น เพื่อคุ้มครองประชาชน และปกป้องแพทย์จริง ที่มักเสียชื่อจากแพทย์ปลอมที่ไปรักษาไม่ถูกต้อง ทำให้ประชาชนผู้เคราะห์ร้ายต้องรับกรรม ..

ด้วยความปรารถนาดีจาก

พล.อ.ต. นพ. อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ข้อสังเกตคลินิก ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข

๑.มีป้ายชื่อสถานพยาบาลและเลขที่ใบอนุญาต ๑๑ หลัก ติดไว้หน้าคลินิก

๒.แสดงใบอนุญาต ให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล

๓.แสดงใบอนุญาต ให้ดำเนินการสถานพยาบาล

๔.แสดงหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมประจำปี ของปีปัจจุบัน

๕.แสดงรูปถ่ายของผู้ประกอบวิชาชีพ พร้อม ชื่อและเลขที่ใบประกอบวิชาชีพ

๖.แสดงอัตราค่ารักษาพยาบาล และ สามารถสอบถามอัตราค่ารักษาได้

๗.แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ สิทธิผู้ป่วย ในที่เปิดเผยและเห็นง่าย

 

อ้างอิง:

คู่มือประชาชนในการเลือก คลินิก ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข

สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข

โทร02 193 7000 ต่อ 18416 - 7

www.mrd.go.th

FB@สารวัตรสถานพยาบาลOnline

https://www.facebook.com/สารวัตรสถานพยาบาล-Online-1502055683387990/

 

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

 

คู่มือประชาชนในการเลือก คลินิก ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=07-07-2017&group=15&gblog=80
ช่องทางร้องเรียนเกี่ยวกับ ...ยา ....หมอ ....คลินิก .....โรงพยาบาล ...
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-02-2009&group=7&gblog=18
ไปคลินิกแล้ว จะดูอย่างไรว่า ผู้ที่ตรวจรักษา เป็น หมอจริง ?
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=10-07-2020&group=7&gblog=238
แขวนป้ายแขวน ใบว. ถ้ารู้แล้วยืนยันจะเสี่ยงก็ไม่ว่ากัน
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=12-11-2015&group=7&gblog=193
ข้อแนะนำก่อนจะพบแพทย์กระดูกและข้อ
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-07-2008&group=7&gblog=3
ข้อแนะนำเมื่อต้องรับการรักษา
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=24-12-2007&group=4&gblog=2
คำถาม..ที่ควรรู้..คำตอบ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=03-01-2008&group=4&gblog=3
เคล็ดลับ20 ประการ ที่จะช่วยคุณ "ป้องกันความผิดพลาดทางการแพทย์ในการเข้ารับบริการสุขภาพ "...
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cmu2807&month=10-2010&date=19&group=27&gblog=52
หมอคนไหนดี“ ??? .... คำถามสั้น ๆ ง่ายๆ แต่ ไม่รู้จะตอบอย่างไร ..
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=14-01-2012&group=15&gblog=42
ผลของการรักษาโรค
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cmu2807&month=01-2008&date=05&group=27&gblog=22
 
ข้อเท็จจริงในการดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยแพทย์
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cmu2807&month=06-2013&date=11&group=27&gblog=12
ฉลาดเลือกใช้...การแพทย์ทางเลือกโดยอ.ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-09-2011&group=7&gblog=149
หน้าที่อันพึ่งปฏิบัติของผู้ป่วย(มิย.๖๓) สิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย(สค.๕๘) สิทธิผู้ป่วย(เมย.๔๑)https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=23-12-2007&group=4&gblog=1
ความรู้เกี่ยวกับใบรับรองแพทย์
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=06-01-2008&group=4&gblog=5
 






แถม ...
ไปเจอ #เภสัชกรปลอม ตรวจสอบอย่างไร?
แอบอ้างเป็นเภสัชกร ต้องทำอย่างไร??
ตอนนี้มี drama แม่ค้าคนดัง ไปอ้างว่าเจอหมอปลอมมาทำงานในคลีนิคของตนเอง
กลับมาที่ร้านยาเราบ้าง หลายครั้งเราไปร้านยา พบว่ามีคนใส่เสื้อขาวๆ แล้ว ใช้ชื่อว่าเป็นเภสัชกร แล้วเราไม่แน่ใจ "#อยากรู้ว่าเป็นเภสัชจริงๆหรือไม่?"
ตรวจสอบได้อย่างไร??
เรามาแนะนำอย่างง่ายๆ ดังนี้
1. ไปที่ เว๊ปไซต์ https://www.pharmacycouncil.org
2. ใส่ "ชื่อ" หรือ "นามสกุล" ลงในช่องตามที่ระบุ
จะปรากฏ #ผู้ขึ้นทะเบียนเป็นเภสัชกร > มีชื่อ นามสกุล และ รูปถ่ายตามฐานทะเบียนราษฎร์ ปรากฏขึ้นมาทันที
3. ??? ไม่แน่ใจ หาไม่เจอ ต้องการร้องเรียน???
หากพบว่าคนที่ยืนต่อหน้า #ไม่ได้เป็นเภสัชกร
ลองติดต่อสอบถามได้ที่
สำนักงานเลขาธิการสภาเภสัชกรรม อาคารสภาวิชาชีพ ชั้น 8 กระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 88/19 หมู่ 4 ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 11000
โทรศัพท์ 0 2591 9992-5 โทรสาร 0 2591 9996
Email: pharthai@pharmacycouncil.org


เครดิต Utai Sukviwatsirikul  
https://www.facebook.com/utai.sukviwatsirikul/posts/4961617367202705
...............................

 




 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 17 ธันวาคม 2564 15:12:41 น.   
Counter : 91736 Pageviews.  

การรักษาด้วย คีเลชั่น....ดีจริงหรือมั่วนิ่ม ??? + แพทยสภาไม่รับรอง"คีเลชั่น"





๑๒กย.๖๐ แจ้งเพื่อทราบ ....  สมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย ยืนยันว่า คีเลชั่นตอนนี้ใช้ได้ในการรักษาคนที่ได้รับโลหะหนักเท่านั้น ถ้าใครซื้อคอร์สที่อ้างว่าคีเลชั่นรักษาโรคหัวใจ เส้นเลือดในสมอง ออทิสติค ฯลฯ แสดงว่า ท่านถูกหลอก นะครับ แต่ถ้าท่านรู้ว่า ถูกหลอก แล้วยังเต็มใจให้หลอก ก็ไม่ว่ากัน ^_^

ถาม : ประเด็น“คนซื้อคอร์สถูกหลอก ดูดเลือดออกมาผสมข้างอีดีทีเอข้างนอก แล้วฉีดกลับ”? จริงมั้ย ?
ตอบ : ข้อมูลทำให้เข้าใจผิดอย่างร้ายแรง มโนไปกันใหญ่ ...โดยหลักการคือให้สาร Chelating Agent ผ่านหลอดเลือดดำธรรมดานี่แหละ แหม...รู้ไม่จริงทำซะเรื่องใหญ่โต
ต้องแยกประเด็นกับโอเวอร์เคลม หลอกให้ซื้อคอร์ส อันนี้ก็ไปจัดการกันไปตามวิถีกฎหมายต่อไป

ว่าที่ ร.ต.ต.นพ.บัญชา แดงเนียม อุปนายก สมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย
11 ก.ย. 60 | เจาะลึกทั่วไทย ToNight SpringNews
https://www.youtube.com/watch?v=Lb_JNrio2xc

ที่มา : สมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย   ๑๑กันยายน๒๕๖๐
https://www.facebook.com/thaicmat/posts/1645456475466940

ที่มาภาพ  Drama-addict
https://www.facebook.com/DramaAdd/photos/a.10151331013638291.508570.141108613290/10155864432348291/?type=3&theater

การรักษาด้วย คีเลชั่น....ดีจริงหรือมั่วนิ่ม ??? + แพทยสภาไม่รับรอง"คีเลชั่น"
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-02-2009&group=7&gblog=17

.......................................


กพ.๒๕๕๒ .. นำมาฝาก จากเวบไทยคลินิก...


การรักษาด้วยคีเลชั่น....ดีจริงหรือมั่วนิ่ม?
โดย : ศ.น.พ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

//www.bangkokbiznews.com/home/news/life-style/health/2009/02/16/new s_16430.php


การรักษาด้วยคีเลชั่น จุดประสงค์คือ การขจัดโลหะหนักที่เป็นพิษออกจากร่างกาย โดยเปลี่ยนทำให้ละลายน้ำได้ เพื่อขับออกทางไตและตับ

ภายในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หมอถูกถามด้วยคำถามเดียวกันจากเพื่อนสองรายและคนไข้ หนึ่งราย ว่าจะไปรักษาคีเลชั่น (chelation) ดีไหม

เพื่อนคนแรกอายุเท่าหมอ (นั่นคือ....ยังไม่แก่นัก) สุขภาพแข็งแรง แต่ได้ยินว่าทำแล้วกระชุ่มกระชวย
เพื่อนคนที่สอง เคยมีอัมพฤกษ์ และเส้นเลือดหัวใจมีแคลเซียมเกาะหนา

ส่วนคนไข้เป็นโรคกรรมพันธุ์สมองส่วนท้ายทอยเหี่ยว ซึ่งไม่มีทางรักษาในปัจจุบัน ได้รับข้อเสนอให้ใช้สเต็มเซลล์ (stem cell) ซึ่งเคยเรียนให้ทราบหลายครั้งแล้วว่าขณะนี้นอกจากโรคเลือด อย่างอื่นๆ ยังมั่วนิ่มทั้งหมด (สมาคมนานาชาติการค้นคว้าสเต็มเซลล์ Guidelines for the clinical translation of stem cells 3 ธันวาคม 200Cool

โดยสเต็มเซลล์ 10 เข็ม ราคา 250,000 บาท แถมทำคีเลชั่นให้อีก 10 ครั้ง (ราคา 40,500 บาท) ผ่อนก็ได้ 10 เดือน ไม่มีดอกเบี้ย

......... เท่าที่หมอยืนยันไปก็คือ ขณะนี้ไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ ทั้งสิ้นว่า การรักษาคีเลชั่นมีประโยชน์จริง

การรักษาด้วยคีเลชั่น จุดประสงค์ก็คือ การขจัดโลหะหนักที่เป็นพิษออกจากร่างกาย โดยเปลี่ยนทำให้ละลายน้ำได้ เพื่อขับออกทางไตและตับ มีประวัติยาวนานตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อรักษาผู้ถูกก๊าซพิษที่มีสารหนู (arsenic) ออก หลังจากนั้นมียาคีเลชั่นหลายชนิดเพื่อใช้รักษาโรคที่เกิดจากการสะสมของธาตุเ หล็ก (ในโรคเลือดกรรมพันธุ์ธาลัสซีเมีย) ปรอท ตะกั่ว ยูเรเนียม พลูโตเนียม

ในเวลาต่อมา มีผู้ผันแปรเจตนาเดิมมาใช้ในการรักษาโรคหัวใจที่มีเส้นเลือดตีบ แม้กระทั่งโรคออทิสติก โดยอ้างว่าโรคออทิสติกเกิดจากสารปรอทที่ปนเปื้อนในวัคซีน (thiomerosal) ซึ่งไม่เป็นความจริง

สำหรับการใช้กับโรคหัวใจในประเทศไทย มีการโฆษณาโจ๋งครึ่ม ถึงการรักษาคีเลชั่นเพื่อฟื้นฟูหลอดเลือดในหน้าหนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต จากโรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาล คลินิก

โดยเฉพาะที่น่าหดหู่ก็คือ มีสมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย สำนักแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข เป็นตัวตั้งตัวตีด้วย รวมทั้งมีศูนย์คีเลชั่นแบบนำร่อง ในจังหวัดต่างๆ

ในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น สหรัฐและมีปัญหาเกี่ยวกับการรักษาด้วยทางเลือกใหม่ (Alternative medicine) จะมีหน่วยงานและสถาบันของรัฐทำหน้าที่ในการค้นหาหลักฐานข้อมูลความเป็นจริง ว่ามีประโยชน์ ประสิทธิภาพดีจริงหรือไม่ และมีข้อเสียที่ต้องระวังหรือไม่ รวมทั้งถ้าพิสูจน์ไม่ได้ตามที่กล่าวอ้าง สมควรต้องออกกฎระเบียบห้ามการใช้ ห้ามโฆษณา โดยไม่เป็นเสียเอง โอบอุ้ม อาหารเสริม ยาผีบอก การรักษาที่ไม่ได้พิสูจน์ และยังส่งเสริมการใช้เสียอีกเช่นนี้

การศึกษาโดย Knudtson และคณะ ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์ของสหรัฐ (JAMA) ค.ศ.2002 โดยการศึกษาคนไข้ที่มีเส้นเลือดหัวใจตีบ 2 กลุ่มๆ ละ 40 ราย
โดยกลุ่มแรกให้การรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น และอีกกลุ่มให้ยาหลอกสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไปนาน 15 สัปดาห์ และต่อด้วยเดือนละครั้งไปนานอีก 3 เดือน รวม 33 ครั้ง
ปรากฏว่าไม่มีผลแตกต่างกัน โดยการดูจากระยะเวลาของการออกกำลังจนกระทั่งคลื่นหัวใจแสดงลักษณะของการขาดเ ลือด ประสิทธิภาพของการออกกำลัง และคุณภาพชีวิต

โดยการใช้ EDTA หวังว่าจะไปจับกับแคลเซียมที่คล้ายเป็นตะกรัน ในหลอดเลือดที่ตีบ เช่น ในหัวใจ ในสมอง โดยเชื่อว่ามีกลไกทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำก่อน จะได้ไปดึง แคลเซียมที่เกาะอยู่ตามเส้นเลือดออก

โดยที่ความเชื่อนี้ไม่มีการพิสูจน์ทางกระบวนการวิทยาศาสตร์ใดๆ นอกจากนั้นยังเชื่ออีกว่าเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ และยังลดการสะสมของธาตุเหล็กในตัว ทำให้เส้นเลือดขยายตัวยืดตัวได้ดี และอื่นๆ อีกมากมาย

รายงานที่ผ่านมาของการให้ EDTA คีเลชั่น เป็นการรายงานในผู้ป่วยที่ไม่มีระเบียบวิธีการศึกษาที่รัดกุมดีพอ ประกอบกับคนไข้ รู้สึกดีขึ้นกระชุ่มกระชวยเองจากจิตใจ (placebo effect)

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาผลของ EDTA คีเลชั่นในผู้ป่วยเส้นเลือดตีบที่ขาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 ในวารสารหลอดเลือด (Circulation) ซึ่งไม่พบว่าก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ

สมาคมหัวใจของสหรัฐ (American Heart Association) ปัจจุบันยังคงยืนยันว่า การรักษาด้วย EDTA คีเลชั่นยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้ และอาจทำให้ในผู้ที่ได้คีเลชั่นเกิดความนิ่งนอนใจว่าได้รักษาแล้ว และ หยุดการรักษาหรือป้องกันโรคหัวใจด้วยวิธีมาตรฐานอีก


ในสหรัฐเองมีการใช้ EDTA คีเลชั่น โดยไม่ได้รับการรับรองจาก อย.สหรัฐ โดยคิดค่าใช้จ่ายประมาณ ครั้งละ 1,500-3,000 บาท และในเดือนแรกต้องทำ คีเลชั่นตั้งแต่ 5-30 ครั้ง โดยเดือนต่อมาทำเดือนละครั้ง ตัวสาร EDTA ก็ไม่ได้ถูกรับรองให้เป็นยามาตรฐานในการรักษาโรคของเส้นเลือด

ทั้งนี้ ทั่วในสหรัฐหรือในประเทศยุโรป บริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบในการเบิกจ่าย รวมทั้งไม่รับผิดชอบถ้าเกิดผลแทรกซ้อนจากการทำคีเลชั่น

ผลแทรกซ้อนที่พบได้มีตั้งแต่ เกิดไตวาย (renal tubular necrosis) มีการกดการทำงานของไขกระดูก ความดันเลือดตกจนถึงช็อก มีลมบ้าหมู เกิดการเต้นผิดปกติของหัวใจหรือมีปฏิกิริยาแพ้จนไม่หายใจ

สำหรับเหตุการณ์เสียชีวิตจาก EDTA คีเลชั่นที่ทำให้ระดับแคลเซียมต่ำ มีตัวอย่างผู้เสียชีวิตในสหรัฐ รัฐเทกชัส เพนชิลเวเนีย และโอเรกอน ระหว่างปี 2003-2005 (Mortality and Morbidity Weekly Report ฉบับเดือนมีนาคม 2006)

มีเด็กชาย อายุ 5 ขวบ ในเดือนสิงหาคม 2005 เป็นโรคออทิสติก และได้รับการรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น โดยแท้ที่จริงแล้ว โรคนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความผิดปกติของสมองที่เกิดจากการสะสมของปรอทเลย หลังจากได้คีเลชั่น เด็กหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตในที่สุด จากการที่ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง ซึ่งเป็นผลจากคีเลชั่น

ในเดือนสิงหาคม 2003 สตรีอายุ 53 ปี ซึ่งไม่ได้มีโรคเส้นเลือดหัวใจหรือโรคอื่นๆ ได้รับการคีเลชั่น จากคลินิกบำบัดธรรมชาติ เพื่อขจัดโลหะหนักในร่างกาย โดยความเชื่อว่าจะทำให้สุขภาพดีขึ้น

หลังจากทำการบำบัดได้ประมาณ 10-15 นาที ไม่รู้สึกตัว และเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งผลการชันสูตร พบว่า เกิดจากการที่หัวใจเต้นผิดปกติ

อันเป็นผลจากการที่แคลเซียมต่ำจากการให้คีเลชั่น และระดับต่ำลงถึง 3.8 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (ค่าปกติ 4.5-5.3) แม้ว่าจะได้รับการฉีดแคลเซียมระหว่างนำส่งโรงพยาบาล และขณะทำการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตที่ห้องฉุกเฉินก็ตาม

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 เด็กหญิง วัย 2 ขวบ ได้รับการรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น เนื่องจากตรวจพบว่าน่าจะมีตะกั่วสะสมในตัวจนเกิดโลหิตจาง หลังจากได้คีเลชั่น เด็กหัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตในที่สุดจากแคลเซียมต่ำ

ไม่ใช่แต่เพียงสมาคมโรคหัวใจในสหรัฐอเมริกาทั้งสองสมาคม (American Heart Association และ American College of Cardiology) เท่านั้นที่ไม่ยอมรับวิธีการรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) สหรัฐ สมาคมแพทย์สหรัฐ (American College of Physicians และ American Medical Association) สถาบันสุขภาพ หัวใจ ปอด และเลือด (National Heart, Lung, Blood Institute, National Institutes of Health) ต่างก็ประสานเป็นเสียงเดียวว่าไม่เห็นด้วยกับการรักษาคีเลชั่นที่ไม่ได้ถูกร ับรองเช่นนี้


ถึงกระนั้นก็ตาม เนื่องจากมีการใช้อย่างแพร่หลายผิดๆ ในสหรัฐ (รวมกระทั่งโดยเฉพาะในเมืองไทยด้วย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็เป็นเสียเองด้วย)

ในเดือนสิงหาคม 2002 สถาบันสุขภาพสหรัฐ (National Institute of Health) โดยศูนย์การรักษาทางเลือก (National Center for Complementary and Alternative Medicine) และ สถาบันโรคหัวใจ ปอด และเลือด ได้ประกาศทำการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยด้วยการรักษา EDTA คีเลชั่น โดยจะมีผู้ป่วยในการศึกษา 2,372 ราย .ในผู้ป่วยที่อายุ 50 ปีขึ้นไปและเคยมีหัวใจวาย

ทั้งนี้โดยที่มีสถาบันหรือโรงพยาบาล ในการศึกษานี้ประมาณ 100 แห่งทั่วประเทศ การศึกษาดังกล่าวเริ่มแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม 2003 และจะเสร็จสิ้นในปี 2010 เพราะฉะนั้น ใครที่อยากกระชุ่มกระชวย ล้างตะกรันในเส้นเลือดหรือหวังจะช่วยโรคหัวใจที่เป็นอยู่แล้ว กรุณาอดใจรอสักนิดว่า คีเลชั่นดีจริง หรือ มั่วนิ่ม โดยเฉพาะถ้าดูราคาในเมืองไทยที่แอบเปิดบริการ (อย่างโจ๋งครึ่ม) เหล่านี้ยังแพงกว่าของสหรัฐอีกนะครับ

แถมท้าย กระทรวงสาธารณสุข สถาบันวิจัย ราชวิทยาลัย สมาคมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่ช่วยกันคุ้มครองคนไข้กันบ้างหรือครับ เขามีสิทธิทราบข้อเท็จจริง ทั้งผลดี ผลร้าย ความเป็นไปได้ในการรักษาที่ไม่มีหลักฐานเหล่านี้มากพอจะตัดสินใจที่จะเสียทร ัพย์ เสียโอกาส เพื่อเป็นหนูทดลองตามคำโฆษณาที่ยังไม่ได้พิสูจน์ หรือไม่

ส่งโดย: ppom


"""""""""""""""""""""""""""""

คีเลชั่นคืออะไร รักษาเส้นเลือดหัวใจตีบได้หรือไม่

ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา

17 ม.ค. 2559

การรักษาคีเลชั่น (chelation) เป็นการรักษาทางเลือกนอกแบบ ที่พิสูจน์ชัดเจน คือ การขจัดโลหะหนักที่เป็นพิษออกจากร่างกาย โดยเปลี่ยนทำให้ละลายน้ำได้ ขับออกทางไตและตับ โดยมีประวัติตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อรักษาผู้ถูกก๊าซพิษที่มีสารหนู (arsenic) ออก

หลังจากนั้นมียาคีเลชั่นหลายชนิดเพื่อใช้รักษาโรคที่เกิดจากการสะสมของธาตุเหล็ก (ในโรคเลือดกรรมพันธุ์ธาลัสซีเมีย) ปรอท ตะกั่ว ยูเรเนียม พลูโตเนียม ในเวลาต่อมา มีผู้ผันแปรเจตนาเดิมมาใช้ในการรักษาโรคหัวใจที่มีเส้นเลือดตีบ แม้กระทั่งโรคออทิสติก โดยอ้างว่าโรคออทิสติกเกิดจากสารปรอทที่ปนเปื้อนในวัคซีน (thiomerosal) ซึ่งไม่เป็นความจริง...ในสหรัฐฯมีปัญหาเกี่ยวกับการรักษาทางเลือกใหม่ เลยจัดตั้งให้มีหน่วยงานและสถาบันของรัฐการแพทย์ทางเลือก ทำหน้าที่ในการค้นหาหลักฐานข้อมูลความเป็นจริงว่ามีประโยชน์ประสิทธิภาพดีจริงหรือไม่ และมีข้อเสียที่ต้องระวังหรือไม่ รวมทั้งถ้าพิสูจน์ไม่ได้ตามที่กล่าวอ้าง ก็จะประกาศทั่วกัน

EDTA ซึ่งเป็นที่นิยมใช้ในการรักษาทางเลือกใหม่เป็นกรดอะมิโน ซึ่งสามารถจับกับตะกั่ว, แมกนีเซียม, สังกะสี, แคลเซียม, ทองแดง โดยการใช้ EDTA หวังว่าจะไปจับกับแคลเซียมที่คล้ายเป็นตะกรัน ในหลอดเลือดที่ตีบ เช่น ในหัวใจ ในสมอง โดยเชื่อว่ามีกลไกทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำก่อน จะได้ไปดึงแคลเซียมที่เกาะอยู่ตามเส้นเลือดออก โดยที่ความเชื่อนี้ไม่มีการพิสูจน์ทางกระบวนการวิทยาศาสตร์ใดๆ

นอกจากนั้นยังเชื่ออีกว่าเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระและยังลดการสะสมของธาตุเหล็กในตัว ทำให้เส้นเลือดขยายตัวยืดตัวได้ดี และอื่นๆอีกมากมาย

รายงานที่ผ่านมาของการให้ EDTA คีเลชั่น เป็นการรายงานที่ไม่รัดกุมดีพอ ประกอบกับคนไข้รู้สึกดีขึ้นกระชุ่มกระชวยเองจากจิตใจ การศึกษาที่มีระเบียบรัดกุม ในผู้ป่วยเส้นเลือดตีบที่ขาปี 1994 ในวารสารหลอดเลือด (Circulation) ไม่พบว่าก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ

การศึกษา ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์ของสหรัฐฯ (JAMA) 2002 คนไข้มีเส้นเลือดหัวใจตีบ 2 กลุ่ม กลุ่มละ 40 ราย โดยกลุ่มแรกให้การรักษา ด้วย EDTA คีเลชั่น และอีกกลุ่มให้ยาหลอกสัปดาห์ละ 2 ครั้งไปนาน 15 สัปดาห์ และต่อด้วยเดือนละครั้งไปนานอีก 3 เดือน รวม 33 ครั้ง ปรากฏว่าไม่มีผลแตกต่างกัน

ในสหรัฐฯเองมีการใช้ EDTA คีเลชั่น โดยไม่ได้รับการรับรองจาก อย.สหรัฐฯ และในเดือนแรกต้องทำคีเลชั่นตั้งแต่ 5-30 ครั้ง โดยเดือนต่อมาทำเดือนละครั้ง ตัวสาร EDTA ก็ไม่ได้ถูกรับรองให้เป็นยามาตรฐานในการรักษาโรคของเส้นเลือด มีคนทำคีเลชั่นเฉลี่ยประมาณ 111,000 รายต่อปี ในช่วงปี 2002 ถึง 2007

การรักษาด้วยคีเลชั่นคืออะไร รักษาเส้นเลือดหัวใจตีบได้หรือไม่

ทั้งนี้ ทั่วในสหรัฐฯหรือในประเทศยุโรป บริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบในการเบิกจ่าย รวมทั้งไม่รับผิดชอบถ้าเกิดผลแทรกซ้อนจากการทำคีเลชั่น ผลแทรกซ้อนที่พบได้มีตั้งแต่เกิดไตวาย มีการกดการทำงานของไขกระดูก ความดันเลือดตกจนถึงช็อก มีลมบ้าหมู เกิดการเต้นผิดปกติของหัวใจหรือมีปฏิกิริยาแพ้จนไม่หายใจ

สำหรับเหตุการณ์เสียชีวิตจาก EDTA คีเลชั่นที่ทำให้ระดับแคลเซียมต่ำ มีตัวอย่างผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ รัฐเท็กซัส เพนซิลเวเนีย และโอเรกอน ระหว่างปี 2003-2005 (Mortality and Morbidity Weekly Report 2006) มีเด็กชายอายุ 5 ขวบ ในเดือนสิงหาคม 2005 เป็นโรคออทิสติกและ ได้รับการรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น โดยแท้ที่จริงแล้ว โรคนี้ไม่ได้เกี่ยวกับความผิดปกติของสมองที่เกิดจากการสะสมของปรอทเลย หลังได้คีเลชั่น เด็กหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตในที่สุด จากการที่ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำลง ซึ่งเป็นผลจากคีเลชั่น

ในเดือนสิงหาคม 2003 สตรีอายุ 53 ปี ซึ่งไม่ได้มีโรคเส้นเลือดหัวใจหรือโรคอื่นๆ ได้รับการคีเลชั่นจากคลินิกบำบัดธรรมชาติ เพื่อขจัดโลหะหนักในร่างกาย โดยความเชื่อว่าจะทำให้สุขภาพดีขึ้น หลังทำการบำบัดได้ประมาณ 10-15 นาที ไม่รู้สึกตัวและเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งผลการชันสูตรพบว่า เกิดจากการที่หัวใจเต้นผิดปกติ อันเป็นผลจากการที่แคลเซียมต่ำจากการให้คีเลชั่น และระดับต่ำลงถึง 3.8 มก.เดซิลิตร (ค่าปกติ 4.5-5.3) แม้ว่าจะได้รับการฉีดแคลเซียมระหว่างนำส่งโรงพยาบาล และขณะทำการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตที่ห้องฉุกเฉินก็ตาม

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 เด็กหญิงวัย 2 ขวบ ได้รับการรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น เนื่องจากตรวจพบว่าน่าจะมีตะกั่วสะสมในตัวจนเกิดโลหิตจาง หลังจากได้คีเลชั่น เด็กหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตในที่สุดจากแคลเซียมต่ำ...ไม่ใช่แต่เพียงสมาคมโรคหัวใจในสหรัฐอเมริกาทั้งสองสมาคมเท่านั้นที่ไม่ยอมรับวิธีการรักษาด้วย EDTA คีเลชั่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) สหรัฐฯ สมาคมแพทย์สหรัฐฯ สถาบันสุขภาพ หัวใจ ปอด และเลือด ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับการรักษาคีเลชั่นที่ไม่ได้ถูกรับรองเช่นนี้
ถึงกระนั้นก็ตาม เนื่องจากมีการใช้อย่างแพร่หลายในสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม 2002 สถาบันสุขภาพสหรัฐฯ โดยศูนย์การรักษาทางเลือกและ สถาบันโรคหัวใจ ปอด และเลือด ได้ประกาศทำการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยด้วยการรักษา EDTA คีเลชั่นในโรคหัวใจขาดเลือด ในผู้ป่วยที่อายุ 50 ปีขึ้นไปและเคยมีหัวใจวาย ทั้งนี้ โดยที่มีสถาบันหรือโรงพยาบาลในการศึกษานี้ทั่วประเทศ การศึกษาดังกล่าวเริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม 2003 และเสร็จสิ้นในปี 2010 ผลการศึกษาที่เริ่มทยอยรายงานตั้งแต่ปี 2013 จนปัจจุบัน มีคนอยู่ในการศึกษาท้ายสุดจำนวน 1,708 ราย พบว่าได้ผลเฉพาะในคนที่มีเบาหวานและมีโรคหัวใจเท่านั้น

โดยกลุ่มนี้จะมีอยู่ประมาณหนึ่งในสาม โดยที่ลดความเสี่ยงลงได้ 40% จากการมรณะจากโรคหัวใจ จากการเกิดอัมพฤกษ์ และลดการเกิดซ้ำของหัวใจล้มเหลวได้ 52% และลดการมรณะจากเหตุใดๆได้ 43% ทั้งนี้ การให้ร่วมกับวิตามินขนาดสูงและเกลือแร่จะได้ผลดีขึ้น

อย่างไรก็ดี กระบวนการในการให้ ไม่ว่าจะเป็นคีเลชั่นจริง หรือหลอกซึ่งต้องมีการให้สารละลายทางเส้นเลือดมีผลแทรกซ้อนข้างเคียง โดย 16% ที่ได้จริงและ 15% ที่ได้หลอก ต้องหยุดให้กลางคัน และรุนแรง 2 ราย ในแต่ละกลุ่ม (รวม 4 ราย) 1 รายในแต่ละกลุ่มเสียชีวิต อาการข้างเคียงที่เกิดได้มีตั้งแต่แสบร้อนบริเวณที่ให้ทางเส้นเลือด ไข้ ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ที่รุนแรงขึ้นคือ หัวใจวาย ช็อก แคลเซียมต่ำ หัวใจหยุดเต้น ไตวาย

ทั้งนี้ ย้ำ จากการศึกษานี้ที่มีผู้เชี่ยวชาญเฝ้าดูแลอย่างรัดกุม การทำคีเลชั่น ต้องระมัดระวังสูงสุด ถึงตายได้ถ้าการทำไม่มีความชำนาญไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่จะแก้ไขผลแทรกซ้อนวิกฤติ ขณะทำ หรือหลังทำ และ คนที่เป็นเบาหวานเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ โดยอธิบายกลไกไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร.

หมอดื้อ
สุขภาพพรรษา
ไทยรัฐ วันอาทิตย์

https://www.facebook.com/thiravat.hemachudha/posts/10155593233131518การรักษาด้วย


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::


แพทยสภาไม่รับรอง“คีเลชั่น”

11 ก.ย. 2017 15:05 น.


ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภาระบุการรักษาแบบ “คีเลชั่น”ไม่อยู่ในการรับรองของแพทยสภา ชี้ในสหรัฐฯไม่รับรองการรักษาด้วยวิธีนี้ แนะประชาชนหาข้อมูลให้ดีก่อนเข้ารับบริการ

เมื่อวันที่ 11 ก.ย. นพ.เมธี วงศ์ศิริสุนทร ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ให้สัมภาษณ์ “new18” กรณีที่มีข้อถกเถียงเรื่องคีเลชั่น ซึ่งล่าสุดกำลังเป็นประเด็นเมื่อจะมีการฟ้องร้อง "หมอแล็บแพนด้า" หรือ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน แอดมินเพจเฟซบุ๊กชื่อดังที่ไปให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า การรักษาแบบคีเลชั่น เป็นการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษโลหะหนัก ซึ่งมีมานานตั้งแต่สมัยสงครามโลก โดยการใส่กรดอะมิโน ที่มีชื่อทางการแพทย์ว่า EDTA เข้าไปในเลือด เพื่อไปจับกับโลหะหนักที่ร่างกายของผู้ป่วยได้รับมากเกินไปให้ลดลงได้ แต่ไม่ใช่การรักษาเพียงวิธีเดียวในปัจจุบัน และในต่างประเทศ องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ก็ไม่รับรองการรักษาด้วยวิธีนี้ รวมถึงบริษัทประกันในต่างชาติก็จะไม่ให้เบิกเงินประกัน หากคนไข้เลือกรับการรักษาด้วยวิธีนี้ รวมถึงมีรายงานการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการทำคีเลชั่นจริงในต่างประเทศ

นพ.เมธี กล่าวต่อว่า สำหรับในประเทศไทย มีสถานบริการบางแห่งมีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น ช่วยรักษาโรคหัวใจ ช่วยล้างหลอดเลือด ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย ผิวพรรณเต่งตึง ซึ่งการรักษาด้วยข้อบ่งชี้ทั้งหมดนี้ไม่อยู่ในการรับรองของแพทยสภา ไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนแพทย์ และไม่อยู่ในตำราทางการแพทย์ที่ถูกต้อง นอกเหนือจากการรักษาพิษโลหะหนักในร่างกาย

“การรักษาแบบคีเลชั่น ที่มีการนำเลือดออกมาจากตัวผู้ป่วย ใส่สารบางอย่างแล้วฉีดกลับเข้าไป ถือว่าเป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม หากแพทย์คนใดนำวิธีนี้ไปใช้แล้วอ้างว่าเป็นการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก ก็ต้องไปดูนิยามทางกฏหมายว่าเข้าข่ายหรือไม่ พร้อมฝากเตือนประชาชนให้หาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวให้ครบถ้วน และหากตัดสินใจเข้ารับบริการ ก็ให้เก็บข้อมูลหลักฐานการรักษาเอาไว้ให้ครบถ้วน เผื่อใช้ในการเรียกร้องทางกฏหมายกรณีเกิดการฟ้องร้องในอนาคต 

//www.newtv.co.th/news/5322

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

แพทยสภาไม่รับรอง “คีเลชั่น”
(ขยายความ ไม่รับรองสำหรับการเอาไปใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคต่างๆเช่น โรคหัวใจ หรือเพื่อเอาสารตัวนั้น ตัวนี้ออก เพื่อกระชุ่มกระชวย อ่อนวัยโดยที่ไม่ได้เกิดเป็นพิษจริง ของสารนั้น เช่น ได้สารพิษ ปรอท ตะกั่ว เป็นต้น)

แพทยสภาระบุการรักษาแบบ “คีเลชั่น”ไม่อยู่ในการรับรองของแพทยสภา ชี้ในสหรัฐฯไม่รับรองการรักษาด้วยวิธีนี้ แนะประชาชนหาข้อมูลให้ดีก่อนเข้ารับบริการ

เมื่อวันที่ 11 ก.ย. นพ.เมธี วงศ์ศิริสุนทร ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ให้สัมภาษณ์ “new18” กรณีที่จะมีการฟ้อง"หมอแล็บแพนด้า" หรือ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน แอดมินเพจเฟซบุ๊กชื่อดังซึ่งให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่ง ทำนองการรักษาแบบคีเลชั่นบำบัดเป็นเรื่องหลอกลวงว่า การรักษาแบบคีเลชั่น เป็นการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษโลหะหนัก ซึ่งมีมานานตั้งแต่สมัยสงครามโลก โดยการใส่สารอะมิโน ที่มีชื่อทางการแพทย์ว่า EDTA เข้าไปในเลือด เพื่อไปจับกับโลหะหนักที่ร่างกายของผู้ป่วยได้รับมากเกินไปให้ลดลงได้ แต่ไม่ใช่การรักษาเพียงวิธีเดียวในปัจจุบัน และในต่างประเทศ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ก็ไม่รับรองการรักษาด้วยวิธีนี้ รวมถึงบริษัทประกันในต่างชาติก็จะไม่ให้เบิกเงินประกัน หากคนไข้เลือกรับการรักษาด้วยวิธีนี้ รวมถึงมีรายงานการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการทำคีเลชั่นจริงในต่างประเทศ

นพ.เมธี กล่าวต่อว่า สำหรับในประเทศไทย มีสถานบริการบางแห่งมีการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น ช่วยรักษาโรคหัวใจ ช่วยล้างหลอดเลือด ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย ผิวพรรณเต่งตึง ซึ่งการรักษาด้วยข้อบ่งชี้ทั้งหมดนี้ไม่อยู่ในการรับรองของแพทยสภา ไม่มีการเรียนการสอนในโรงเรียนแพทย์ และไม่อยู่ในตำราทางการแพทย์ที่ถูกต้อง นอกเหนือจากการรักษาพิษโลหะหนักในร่างกาย

“การรักษาแบบคีเลชั่น ที่มีการนำเลือดออกมาจากตัวผู้ป่วย ใส่สารบางอย่างแล้วฉีดกลับเข้าไป ถือว่าเป็นการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตาม พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม หากแพทย์คนใดนำวิธีนี้ไปใช้แล้วอ้างว่าเป็นการรักษาแบบแพทย์ทางเลือก ก็ต้องไปดูนิยามทางกฏหมายว่าเข้าข่ายหรือไม่ พร้อมฝากเตือนประชาชนให้หาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวให้ครบถ้วน และหากตัดสินใจเข้ารับบริการ ก็ให้เก็บข้อมูลหลักฐานการรักษาเอาไว้ให้ครบถ้วน เผื่อใช้ในการเรียกร้องทางกฏหมายกรณีเกิดการฟ้องร้องในอนาคต

ข้อมูลเพิ่มเติม จาก สถาบันสาธารณสุขของสหรัฐจนกระทั่งถึงปี 2017

ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาคีเลชั่น โดยมีการศึกษาที่การควบคุมอย่างรัดกุมในสหรัฐโดยสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ
ผลตามรายละเอียดทางด้านล่าง หนึ่งที่เคยได้เขียนในบทความในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเมื่อสองปีที่แล้ว

นอกจากนั้น สรุปจากสถาบันสาธารณสุขของสหรัฐฯในปี 2017 ยังคงไม่เป็นที่รับรองในการใช้ทั่วไป และยังสรุปว่า ผลการศึกษาก่อนหน้านี้ (TACT1) ยังไม่สามารถอธิบายได้ถึงผลที่ดูเหมือนจะได้ผลดี โดยที่มีเฉพาะในกลุ่มคนที่เป็นเบาหวานและเคยมีเส้นเลือดหัวใจอุดตันมาแล้วเท่านั้น

นอกจากนั้น มีการวิเคราะห์จากรายงานต่างๆทางหลักฐานเชิงประจักษ์ตามรายละเอียดทางด้านล่างครับ ในปี 2017

ท่าทางต้องอดใจรอผลของการศึกษาจากสถาบันสาธารณสุขของสหรัฐซ้ำใหม่ที่เรียกว่า TACT2

//www.thairath.co.th/content/563621

Official website updated 2017 on chelation therapy
https://nccih.nih.gov/health/chelation




:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

นำมาฝาก เป็นความรู้ เพื่อประกอบ การตัดสินใจ ... เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ ก็พิจารณา กันเอง นะครับ ...

เงินของท่าน สุขภาพของท่าน .. ทานก็เลือกเอง รับผิดชอบเอง .. ถ้าท่านเชื่อ และ อยากจะทดลอง ผมจะไปว่าอะไรท่านได้ ...  ผมก็เพียงแต่บอกว่า "ผมไม่เชื่อ " ก็เท่านั้น



:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

เพิ่มเติม ลิงค์ ดร่าม่า รอผลว่า สมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย จะฟ้องเมื่อไหร่ ?  หรือ แค่ ขู่  ?
สนใจ แวะไปแจมกันได้  ^_^
เพจหมอแล็บแพนด้า
https://www.facebook.com/MTlikesara/posts/674162999456554
เพจสมาคมดีเลชั่นไทย
https://www.facebook.com/notes/สมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย/หมอแลบแพนด้ามั่วข้อมูล-คีเลชั่นมีหลักสูตรเรียนต่อเนื่อง-สมาคมฯแพทย์ลั่นไม่ยอมอีก/1643218062357448/

Poom Chayapum ขอถามหน่อยครับ บรรทัดนี้ใน ref pubmed แปลว่าอะไรครับ
Small randomized trials conducted in patients with angina or peripheral artery disease, however, were not sufficiently powered to provide conclusive evidence on clinical outcomes.
ดูคำแปล

Rattanasakda Teeda Subject ใน ref pubmed ที่อ่าน มานะ ส่วนมากยังทำในหนูกับทำmechanism ในเซลล์อยู่เลย จะเชื่อได้ไงว่าเอามาทำในคนไข้แล้วจะไม่อันตรายค่ะ ทางสมาคมตอบได้ไหมค่ะ "Ultimately, further studies are required to confirm the signals of benefit noted in TACT" เปเปอร์ Review ที่ออก 1 สิงหา 2017 ยังพูดว่าต้องมีการยืนยันประโยชน์ของ Trial to Assess Chelation Therapy (TACT) ที่ทำมาถึง 10ปี อยู่เลยค่ะ PMCID: PMC5105603

หญิง นิสสา ถ้ามีผลดี และได้รับการยอมรับขนาดนั้น ก็น่าจะถูกใส่ลงใน standard guidelines ของการรักษาโรคต่างๆ ของสักประเทศในโลกบ้างแล้วนะคะ

ดาร์ค แองเจิล Poom Chayapum มีการศึกษาทดลองโดย randomized trials ในผู้ป่วยที่มีภาวะ angina หรือ peripheral artery disease จำนวน กลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนน้อย แต่ผลการศึกษาดังกล่าวไม่เพียงพอ (ผลการศึกษา ไม่ strong พอ เพราะกลุ่มตัวอย่างมีจำนวนน้อย) ต่อการนำไปสู่ข้อสรุปผลการศึกษาเชิงประจักษ์ สำหรับการทดสอบทางคลินิก

พนมกร หมอหมู ดิษฐสุวรรณ์ สมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย ที่บอกว่า " จนเมื่อ มค.2559 ท่านก็เขียนบทความอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ชมคีเลชั่นมากขึ้น .. ด่าน้อยลงนะ " 
ผมไม่แน่ใจว่า .. ใช่ บทความ นี้หรือเปล่าครับ ?
" //www.thairath.co.th/content/563621 "

ถ้าอ่านจากสรุปวรรคสุดท้าย .. ผมไม่คิดว่า นั่นคือคำชม นะครับ ... หรือว่า ผมอ่านภาษาไทยไม่แตก ตีความไม่ลึกซื้งพอ ?
" ทั้งนี้ ย้ำจากการศึกษานี้ที่มีผู้เชี่ยวชาญเฝ้าดูแลอย่างรัดกุม การทำคีเลชั่น ต้องระมัดระวังสูงสุด ถึงตายได้ ถ้าการทำไม่มีความชำนาญ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่จะแก้ไขผลแทรกซ้อนวิกฤติ ขณะทำ หรือหลังทำ และ คนที่เป็นเบาหวานเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ โดยอธิบายกลไกไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร "


Kanjana Thevavongsa
Ref สากลพอหรือยังคะ?

ตรงสรุป เขาบอกว่ายังไม่พร้อมที่จะใช้รักษาจริงหนิ แล้วใช้จริงได้ยังไง @สมาคมการแพทย์คีเลชั่นไทย



National Center for Complementary and Integrative Health (NCCIH),
https://nccih.nih.gov/health/chelation
This page last modified July 28, 2017

Bottom Line
  • Overall, TACT showed that infusions of disodium EDTA chelation therapy produced a modest reduction in cardiovascular events. However, further examination of the data showed that chelation therapy benefitted only the patients with diabetes.
  • Patients with diabetes, who made up approximately one-third of the 1,708 TACT participants, had a 41 percent overall reduction in the risk of any cardiovascular event; a 40 percent reduction in the risk of death from heart disease, nonfatal stroke, or nonfatal heart attack; a 52 percent reduction in recurrent heart attacks; and a 43 percent reduction in death from any cause. In contrast, there was no significant benefit of EDTA treatment in participants who didn’t have diabetes.
  • The TACT study team also looked at the impact of taking high-dose vitamins and minerals in addition to chelation therapy. They found that chelation plus high-dose vitamins and minerals produced the greatest reduction in risk of cardiovascular events versus placebo.
  • Further research is needed to fully understand the TACT results. Since this is the first clinical trial to show a benefit, these results are not, by themselves, sufficient to support the routine use of chelation as a post-heart attack therapy in people with diabetes.
  • A new study, called the Trial To Assess Chelation Therapy 2 (TACT2), is now in its early stages. Its purpose is to repeat the first TACT study—but only in patients with diabetes and a prior heart attack—to see if the apparent benefit can be confirmed. The results of TACT2 will help the FDA determine whether disodium EDTA chelation therapy should be approved to reduce the risk of further cardiovascular events in patients who have both coronary artery disease and diabetes.

คีเลชั่น Chelation อันตรายถ้าใช้ไม่ถูกต้อง
https://med.mahidol.ac.th/th/infographics/54
คณะแพทยศาสตร์ รพ. รามาธิบดี






“คีเลชั่น”อันตรายถ้าใช้ไม่ถูกต้อง

23 ก.ย. 2017 19:50 น.
//www.newtv.co.th/news/5841

หลายคนมีคำถามและสงสัยว่า “คีเลชั่น”คืออะไร ใครบ้างต้องทำคีเลชั่น แล้วจำเป็นต้องทำหรือไม่ อย่างไร?

อ.นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ อาจารย์สาขาวิชาเวชเภสัชวิทยาและพิษวิทยาคลินิก ภาควิชาอายุรศาสตร์และศูนย์พิษวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า “คีเลชั่น” คือ การใช้ยาเพื่อขับโลหะหนักออกจากร่างกาย สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะโลหะหนักเป็นพิษต่อร่างกายเท่านั้นที่ต้องรักษาด้วยการคีเลชั่น

ผู้ที่มีความเสี่ยงมีโลหะหนักในร่างกาย เช่น ผู้ที่อาศัยหรือทำงานในแหล่งสัมผัสสาร เช่น สนามยิงปืน โรงงานแบตเตอรี่ ช่างทอง ช่างเชื่อมโลหะและบัดกรี หรือมีความผิดปกติในพฤติกรรมการกิน เช่น กินดิน หรือกินสีทาบ้าน มีประวัติถูกยิงซึ่งมีกระสุนฝังในร่างกาย คนเหล่านี้ควรมีการตรวจร่างกายและตรวจหาระดับสารโลหะหนักตามความเหมาะสม

“คีเลชั่น”ไม่ลดริ้วรอยหรือช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ไม่ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ไม่รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ออทิสติก อัมพฤกษ์ อัมพาต

สิ่งที่เป็นอันตรายและไม่ช่วยรักษาโรคใด ๆ คือ การฉีดสารอีดีทีเอผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ขอย้ำว่า หากไม่มีพิษจากโลหะหนัก ไม่ต้อง “คีเลชั่น”

อันตรายที่อาจเกิดจาก “คีเลชั่น” ที่ไม่ถูกต้อง คือ ติดเชื้อในกระแสเลือด แคลเซียมต่ำลงจนชักหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ สูญเสียโปรตีนการแข็งตัวของเลือด 

คนเราไม่จำเป็นต้องไปตรวจหาสารโลหะหนักในร่างกาย ต้องบอกก่อนว่าสารบางอย่างมีอยู่ในร่างกายของคนเราอยู่แล้ว สำหรับคนที่ตรวจพบในปริมาณมาก แสดงว่าอาจจะมีการสัมผัสสารดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น คนทำงานในโรงงานแบตเตอรี่ มีโอกาสสัมผัสสารตะกั่ว อย่างคนทั่วไปค่าสารตะกั่วต้องน้อยกว่า 25 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร แต่ถ้าทำงานในโรงงานแบตเตอรี่กำหนดว่าค่าไม่ควรเกิน 40 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ถ้าเกินจากนี้แสดงว่าไม่ปลอดภัยในการทำงาน ดังนั้นต้องมาดูว่าทำไมเกิน หรือคนทั่วไปถ้าเกิน 25ไมโครกรัมต่อเดซิลิตร ก็ต้องไปดูว่ามีงานอดิเรก ทำกิจกรรมอะไร รับประทานอาหารอะไร ใช้ผลิตภัณฑ์อะไร เพราะโลหะหนักบางอย่างสามารถดูดซึมผ่านทางผิวหนังได้

ก่อนที่จะไปคีเลชั่นต้องแก้ที่ต้นเหตุก่อน บางคนเข้าใจว่าถ้าตรวจพบค่าโลหะหนักเกินจะต้องจัดการเอาออกทันที ทั้งที่ความจริงเราควรกลับไปแก้ที่ต้นเหตุก่อน ถ้าไม่แก้ต้นเหตุแล้วไปคีเลชั่นทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม ตรวจเจอเหมือนเดิม

ตัวอย่างกรณีที่พบในบ้านเรา เช่น โรงงานคัดแยกขยะละเลยปล่อยสารตะกั่ว จนทำให้ลูกของคนงานวัย 8 เดือน มีอาการชักเกร็งจนเกือบเสียชีวิตในปี 2555 กรณีนี้เกิดจากโรงงานไม่ได้มาตรฐาน ในเด็กรายนี้มีอาการรุนแรงต้องได้รับการรักษาด้วยการคีเลชั่นและควบคุมอาการชักในโรงพยาบาล คนงานที่มีอาการและตรวจพบระดับสารตะกั่วในเลือดสูงมากกว่า 70 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตรก็ได้รับการรักษาและหยุดการสัมผัสสารตะกั่วเพิ่มเติม ส่วนคนงานที่ไม่มีอาการและระดับตะกั่วในเลือดไม่ถึง 70 ไมโครกรัมต่อเดซิลิตรเมื่อแก้ที่ต้นเหตุระดับสารตะกั่วก็ค่อยๆลดลงโดยไม่ต้องคีเลชั่น

อยากบอกว่า  ไม่ว่าการรักษาใดก็ตาม คนไข้ไม่ใช่หนูทดลอง ความเชื่อของคนเราห้ามไม่ได้ ต่อให้เราไปห้ามเขาก็ยังทำ ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ คือ การให้ข้อมูลความรู้ เพื่อให้ใช้วิจารณญาณก่อนไปทำ เพราะการรักษาทางเลือกบางอย่าง เราไม่รู้ว่า ยา หรือสารที่ใช้ คืออะไร มีการขึ้นทะเบียนหรือไม่ และมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ถ้าแพทย์นำไปใช้มีการลงบันทึกอย่างไร เพราะถ้าเกิดปัญหาภายหลังจะได้ตรวจสอบได้

ปัจจุบันมีการรักษาทางเลือกหลายสาขา จึงไม่แปลกที่อาจจะมีบางคนหาประโยชน์จากความเชื่อของคน ซึ่งการแพทย์แผนปัจจุบันตอบสนองไม่พอกับความต้องการของคนบางกลุ่ม ที่พูดไม่เฉพาะคีเลชั่นเท่านั้น แต่รวมไปถึงสมุนไพร อาหารเสริม ที่มีการอวดอ้างสรรพคุณในเรื่องความสวยงาม ทำให้อายุยืน แข็งแรง หรืออวดอ้างสรรพคุณทางเพศ

อ.นพ.สหภูมิ บอกด้วยว่า หากตรวจพบมีโลหะหนักในร่างกาย ความจริงทุกคนไม่ต้องไปเสียเงินทำคีเลชั่น เพราะสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีโครงการจัดหายาต้านพิษให้กับทุกสิทธิ์การรักษาพยาบาลฟรีอยู่แล้ว และแม้จะตรวจพบสารโลหะหนักในปริมาณมากและเกินค่าที่กำหนด ก็ไม่ได้หมายความว่าค่าเกินแล้วต้องป่วย ไม่เหมือนกับคนที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด ดังนั้นหากไม่มีอาการเป็นพิษจากโลหะหนักก็ไม่ต้องคีเลชั่นแต่อย่างใด



แถม ..

อย.ยันไม่เคยอนุญาตนำเข้าเครื่องตรวจสุขภาพนักวิทย์ฯชี้ผลวิเคราะห์โรคกล่าวอ้างเกินจริง //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=30-10-2015&group=4&gblog=115

อย.ย้ำ ผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อ เครื่องบำบัดด้วยกระแสไฟฟ้าสถิตย์ อวดอ้างสรรพคุณรักษาโรค //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-09-2008&group=7&gblog=7

การรักษาด้วยคีเลชั่น....ดีจริงหรือมั่วนิ่ม ??? + แพทยสภาไม่รับรอง"คีเลชั่น" //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-02-2009&group=7&gblog=17

การหลอกขายของด้วยการลวง ตรวจเลือด live blood analysis ... รศ. ดร.เจษฎา ทนพ.ภาคภูมิ และ Drama-addict //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=25-09-2015&group=4&gblog=114

มหัศจรรย์!ล้างพิษมายาวิทยา-ไสยศาสตร์ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=27-08-2013&group=7&gblog=175

รวบรวมกระทู้เกี่ยวกับน้ำMRET ... ใครเชื่อ ผมไม่เชื่อ ???? //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-04-2009&group=7&gblog=25

หนังสือเคล็ด(ไม่)ลับ การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย่างรู้เท่าทันโฆษณา ( หนังสือ pdfแจกฟรี) //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2012&group=7&gblog=160

หนังสือทุกข์ล้นเหลือ เหยื่อโฆษณา ............ของดี ฟรีด้วย โหลดอ่านกันได้เลยครับ //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=26-10-2012&group=7&gblog=163






 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 26 กันยายน 2560 15:47:39 น.   
Counter : 31162 Pageviews.  

กลูต้าไทโอน ทำให้ผิวขาวจริงหรือไม่.. โดย...สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย



โครงการ FACT SHEET แพทยสภา ::
 

เรื่อง..กลูต้าไทโอน ทำให้ผิวขาวจริงหรือไม่..b>
 

โดย...สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย




กลูต้าไทโอน (Glutathinone)

เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญในร่างกายที่สามารถสร้างขึ้นเองจากอาหาร ประเภทโปรตีน ไข่และนม รวมถึงผลไม้ประเภท อะโวคาโด และจะถูกเก็บไว้ที่ตับที่ได้รับ สามารถพบได้ทุกเซลล์

เป็นสารที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine และ Glutamic acid หน้าที่หลักมีอยู่ 3 ประการ คือ

1. ต้านอนุมูลอิสระ Antioxidant :

กลูตาไทโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซีและอี อาจจะทำงานได้ไม่เต็มที่

2. กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย Immune Enhancer :

ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอมรวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส

นอกจากนี้กลูตาไทโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA

3. การขจัดสารพิษ Detoxification :

กลูตาไทโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกาย โดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย

นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับ จากการถูกทำลายโดย แอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ และยาพาราเซตามอลเกินขนาด (Overdose) ฯลฯ





ข้อบ่งใช้ในทางการแพทย์

สารนี้บางประเทศขึ้นทะเบียนเป็นยา และ บางประเทศใช้เป็นอาหารเสริม

แต่ในประเทศไทย สารนี้ยังไม่ผ่านการอนุมัติจาก องค์การอาหารและยา

มีรายงานการใช้สาร กลูต้าไทโอน ในหลายกรณี เช่น

โรคทางระบบประสาท เช่น พาร์กินสัน โดยใช้ฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ
ใช้รักษาภาวะการเป็นพิษจากโลหะหนัก พิษจากยาพาราเซ็ทตามอล
ทำลายพิษในตับ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในคนไข้ AIDS , มะเร็ง
และใช้ต้านความชรา

แต่ข้อมูลที่ใช้รักษาฝ้า และทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเหมือนมีแสงออร่า นั้นยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน

พบว่าเป็น ผลข้างเคียง จากการใช้สารนี้ที่ใช้รักษาโรคอื่นแล้วผิวขาวขึ้น จึงมีการนำมาใช้ทำให้ผิวขาวขึ้น




 

ปัญหาของกลูต้าไทโอน


1. ผลข้างเคียงที่น่ากลัว คือการฉีดยาเข้าเส้นเลือดดำ มีโอกาสที่จะแพ้ได้ ทั้งการแพ้สารกลูตาไทโอน เอง หรืออาจจะแพ้ สารฆ่าเชื้อ หรือ สารกันเสีย หรือ สารปนเปื้อน

ขณะนี้มีรายงานในต่างประเทศ ว่าผู้ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไทโอนขนาดสูงที่ใช้กันอยู่มีอาการช็อค ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และ เสียชีวิตได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

2. สารกลูต้าไทโอน ที่ใช้อยู่ เป็นการลักลอบนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา สารนี้ที่ใช้ในการแพทย์ มีชื่อว่า Tationil ซึ่งผลิตโดยบริษัท Roach ประเทศอิตาลี

แต่ บริษัท Roach ประเทศไทย ได้ยืนยันมาว่าบริษัทไม่ได้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย

และยังพบว่ามียาปลอมมีที่ผลิตที่เวียดนาม และ จีน โดยที่พิมพ์ว่าผลิตในอิตาลี ทำให้เกิดผลข้างเคียงในการฉีดได้

3. การที่ฉีดมักจะให้วิตามินซีในขนาดสูงร่วมด้วย ซึ่งการฉีดวิตามินซี ในขนาดที่สูงและ เร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึนศีรษะ คล้ายจะเป็นลมได้

4. พบว่าการที่ได้รับสารกลูต้าไทโอน เป็นเวลานานๆจะทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง ทำให้รับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต

ทางวารสารทางการแพทย์สหรัฐอเมริกาจัดว่าเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา

5. การใช้สารกลูต้าไทโอนในผู้ป่วยมะเร็ง ทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาทางเคมีลดลง

5. การได้รับสารกลูต้าไทโอนปริมาณมาก มีผลต่อแร่ธาตุในขบวนการเมตาบอลิซึม และ ตัวมันเองสามารถกลายเป็นอนุมูลอิสระ มาทำร้ายร่างกายได้

6. ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในเรื่อง "กลูต้าไธโอน" นั้น เท่าที่ทราบมีการขายเกลื่อนตามเว็บไซต์ ราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท

และมีการแนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณจนทำให้คนที่อยากขาวเกิด ความสนใจ และซื้อหาไปทดลองทั้งฉีดกันเอง ซึ่งอาจทำให้เกิดการแพ้ การติดเชื้อ และปัญหาอื่นๆอีกมากมาย



ผู้บริโภค ไม่ควรหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่าสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นเพราะไม่มีผลิตภัณฑ์ในที่จะทำให้ผิวขาวขึ้นได้อย่างถาวร ผลิตภัณฑ์หรือยา อาจช่วยได้ชั่วคราวแต่เมื่อหมดฤทธิ์ร่างกายก็ผลิตเม็ดสีตามปกติ

ทั้งนี้การที่ประชาชนในแถบเอเชียมีผิวคล้ำ ถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เพราะสามารถป้องกันแสงอัลตราไวโอเลต จากแสงอาทิตย์ได้ ทำให้โอกาสการเกิดมะเร็งผิวหนังน้อยกว่าคนผิวขาว จึงไม่ควรมีค่านิยมที่ผิดในการเปลี่ยนสีผิวให้ ผิดธรรมชาติ


ข้อมูลโดย :: สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

เผยแพร่โดย :: สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา



-----------------------------------------------------------------------------------------------

กรณีพบสถานพยาบาล หรือ คลินิกที่มีการใช้ กลูต้าไธโอน
ถือเป็นการผิดกฎหมาย กรุณาแจ้งได้ที่

1.นพ.ธารา ชินะกาญจน์ ผู้อำนวยการ กองการประกอบโรคศิลป์
โทร .02 5918844
https://203.157.6.200/web/home/

2.ฝ่ายจริยธรรม แพทยสภา
โทร. 02-590-1881,02-590-1888 กด 2 แฟกซ์ 02 5918614-5
email :tmc@tmc.or.th

3.นอ.(พ.)นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา
email :ittaporn@gmail.com

เพื่อดำเนินการต่อไป ขอบคุณครับ...








ปล. เรื่องนี้ มีกระทู้เก่า ๆ พูดกันเยอะแล้ว แต่ก็ยังมีคนมาถามเป็นระยะ ... เลยนำมาฝากอีกรอบ


อาหารเสริม ดีจริงหรือ ??? กินกูลต้าไธโอน ขาวจริงป่ะ ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2008&group=7&gblog=4


บทความเรื่อง : สาร Glutathione สำหรับทำให้ผิวขาวที่กำลังเป็นที่นิยม

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=05-01-2009&group=7&gblog=9



บริษัท Roach ประเทศไทย เคยออกมาชี้แจงแล้วว่า ไม่ได้นำเข้ากลูต้าไธโอน ที่มีขายกันเกลื่อน อ้างว่าเป็นของบริษัท Roach ผิดกฎหมาย ทั้งนั้น ...


เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา .. ส่วนการตัดสินใจ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละท่าน เพราะ คนที่จะได้รับผลที่ตามมา ก็คือ ตัวท่านเอง ..





 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2564 21:13:45 น.   
Counter : 9230 Pageviews.  

!@! มดลูกเกือบแตก !@!



กระทู้ก่อน ได้รับความสนใจ อย่างล้นหลาม ... แล้วก็กลายเป็น การแตกประเด็นไปเรื่องอื่น ....


มีบทความต่อเนื่อง จาก คุณหมอท่านเดิม .. ก็นำมาฝากกัน ...

อ่านสนุก ๆ นะครับ อย่าคิดมาก เป็นชีวิต ของ หมอใหม่ คนหนึ่ง ... ซึ่ง หลาย ๆ ท่าน อาจยังไม่รู้ ....

ถือว่า เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในอีกมุมหนึ่ง ของชีวิต ...


เริ่มกันเลยนะครับ





มดลูกแตกกำลังเป็นที่สนใจ เลยเอาเรื่องเก่าที่เคยเล่าให้อ่าน มาให้อ่านอีกที ใครเคยอ่านแล้วก็ผ่านไปละกัน

เป็นภาคต่อจากเรื่อง "โชคดีที่ไม่ได้เรียนวิชาสูติศาสตร์" กระทู้นี้

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7492405/L7492405.html



เมื่อถึงคราที่ต้องออกไปเป็นแพทย์รับใช้ชาติต่างจังหวัดตามพันธสัญญาทาสที่ใ ห้ไว้เป็นเวลา 2 ปี

ฉันจับฉลากได้โรงพยาบาลประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง

Undecided เฮ้อ... ไม่เคยคิดเลยว่า...... ชีวิตคนเรียนวิทย์อย่างฉัน... จะถูกลิขิตด้วยการจับฉลาก....

ฉันพกความมั่นใจที่ได้จากการเรียนหนัก 6 ปี บวกกับทำงานหนักอยู่เวรคืนเว้นคืนในช่วง 1 ปีที่เป็นแพทย์ฝึกหัด

ผ่านแผนกต่างๆทุกแผนกที่สำคัญแผนกละ 2-3 เดือน แผนกย่อยแผนกละ 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือน

เก็บเกี่ยวประสบการณ์เหลือคณา มีความรู้ความสามารถพื้นฐานที่แพทยศาสตร์บัณฑิตพึงมี

ครอบคลุมการรักษาโรคของผู้ป่วยที่มาโรงพยาบาลถึงประมาณ 80%

สามารถผ่าตัดโรคที่พบบ่อยๆได้ เช่น ผ่าไส้ติ่ง ผ่าท้องคลอด

ส่วนอีก 20% ที่เหลือเป็นโรคที่รักษายากและพบไม่บ่อย เป็นหน้าที่ของแพทย์เฉพาะทางช่วยดูแล

ถึงกระนั้น ฉันก็ยังไม่มั่นใจพอที่จะขึ้นเวทีโดยไม่มีพี่เลี้ยง ไม่กล้าบินเดี่ยวโดยไม่มีครูฝึกเป็นที่ปรึกษา

ไม่ยอมเป็นทหารเกณฑ์เดนตายที่ถูกส่งไปแนวหน้าที่ชายแดน ให้ไปตายเอาดาบหน้าโดยไม่มีอาวุธที่ทันสมัย

นับว่าเป็นความโชคดีที่ความขี้กลัวทำให้ฉันไม่ต้องไปอยู่ รพ. 10-30 เตียง

จึงมีรุ่นพี่คอยช่วยเวลาเจอ case ยาก อย่างเช่น rare case, difficult case, complicated case ที่ต้องอาศัยประสบการณ์สูง

ไม่เสี่ยงเจอ case ให้ยาชาที่สันหลังแล้วคนไข้ shock แก้ไม่ตก เพราะเรามีพยาบาลดมยา

ได้ทำผ่าตัดสารพัด ตัดไส้ติ่งจนเบื่อ ผ่าตัดคลอดจนชำนาญ ตัดไส้เลื่อนก็เป็น ทำหมันก็เก่งทั้งหมันหญิงหมันชาย

ช่วยพี่ตัดแขน ตัดขา ตัดต่อลำไส้ ตัดไต ตัดตับ ตัดม้าม ผ่าสมอง ในคนไข้อุบัติเหตุจากเทกระจาดมาแบบเละทั้งตัว ฯลฯ

ถ้าขยันก็สามารถผ่าทอนซิล ธัยรอยด์ ถุงน้ำดี ได้ด้วย

นับว่าช่วงใช้ทุน เป็นช่วงเวลา 2 ปีที่มีค่าต่อชีวิตแพทย์เป็นอย่างยิ่ง บ่มเพาะให้ฉันเป็นแพทย์อย่างเต็มภาคภูมิ

ได้ใช้ความรู้ความสามารถเท่าที่มี ช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ในชนบทไว้มากมาย

ท่ามกลางความขัดสนเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ แต่เปี่ยมด้วยน้ำใจจากเพื่อนร่วมงาน

โดยเฉพาะพี่ๆพยาบาล ที่ดูแลคนไกลบ้านอย่างฉันให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแบบคนไร้ญาติขาดมิตร

คอย support ให้ฉันทำงานอย่างสะดวกปลอดภัย ทักท้วงเมื่อเราทำอะไรแปลกๆ

พี่ๆพยาบาลช่วยผ่าตัดเก่งมาก ดึง retracter ให้เราเห็น tube จะๆ เราแค่คีบขึ้นมาผูกแล้วตัด ตอนทำหมันหญิง

ช่วยเราหาไส้ติ่งอย่างชำนาญ "นั่นไงหมอ ไส้ติ่ง เห็นมั้ย คีบเลยหมอ" เราแค่คีบขึ้นมาตัดๆๆๆ

แม้งานจะหนัก อยู่เวรคนเดียวทั้งโรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการที่ไม่เปิดนอกเวลาราชการ ทำงานแบบจับเสือมือเปล่า

เพิ่งมีแพทย์เฉพาะทางเพียง 1 คน คือศัลยแพทย์ ที่เหลือเป็นแพทย์รุ่นพี่ที่ปฏิบัติงานในแผนกจนชำนาญ

พี่คนนี้แหละที่สอนเราสารพัด จนฉันบินเดี่ยวด้วยความมั่นใจ

ทำอย่างไรได้เล่า ณ ที่นั่นในเวลานั้น สภาพแวดล้อมที่ขาดแคลนเช่นนั้น....

แพทยศาสตร์บัณฑิตอย่างเราเปรียบประดุจสิบเบี้ยใกล้มือที่มีค่า เป็นที่พึ่งที่เก่งที่สุดในขณะนั้น...

โชคดีที่ช่วงเวลานั้น แพทย์รุ่นแรกๆที่ออกไปรับใช้ชาติ เป็นบุคลากรที่ชาวบ้านเห็นคุณค่า...

เรียกขานกันว่าหมอใหญ่ในความหมายว่าแพทย์ปริญญา

ในสภาวการณ์เช่นนั้น ด้วยหนึ่งสมองและสองมือ หมอใหญ่หน้าละอ่อนได้ทำเต็มที่และดีที่สุดแล้ว

ด้วยไมตรีจิตของเพื่อนร่วมงาน อัธยาศัยอันดีงามของคนไข้และญาติตามแบบฉบับของชาวชนบทที่โอบอ้อมอารี

ฉันยังจำรอยยิ้มและแววตาขอบคุณเหล่านั้นได้ดี คนไข้คงไม่รู้ว่ามันมีค่าทางใจแก่หมอเพียงใด

ทั้งหลายทั้งปวงที่ว่ามา ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หมอใหญ่วัยละอ่อน มีกำลังใจทำงานอย่างมีความสุข

ยิ่งงานหนัก ยิ่งได้ทำประโยชน์แก่คนไข้ เก็บเกี่ยวหลากหลายประสบการณ์จากการรักษาคนไข้ได้ทุกแผนก

เป็นประสบการณ์ที่เราไม่มีโอกาสได้พบอีกแล้วเมื่อเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง

2 ปีที่ทำงานในต่างจังหวัด จึงมีเหตุการณ์ที่น่าจดจำมากมาย

ความทรงจำต่างๆที่ประทับใจในหน้าที่การงานที่ฉันยังจำได้แม่นยำล้วนอยู่ในช่ วงเวลานี้ทั้งสิ้น

หนึ่งในเหตุการณ์ที่ยังไม่เคยลืมเลือน คือตอนผ่าตัดคนไข้คลอดยากของแผนกสูติกรรม

เป็นที่มาของเรื่องมดลูกเกือบแตกที่ลืมไม่ลงถึงทุกวันนี้




คุณแม่วัยประมาณ 50 ปี มาด้วยตั้งครรภ์ครบกำหนด เจ็บท้องคลอดมาโรงพยาบาล

โดยปกติ คนไข้ที่คลอดลูกมาหลายท้องแล้ว มักจะคลอดง่าย ส่วนใหญ่คุณพยาบาลจะเป็นผู้ทำคลอดให้

บางคนคลอดกลางทางเสียด้วยซ้ำ คุณพยาบาลหิ้วเครื่องมือไปช่วยตัดสายสะดือในรถก็มี

และเลขทะเบียนรถกลายเป็นเลขเด็ดที่เจ้าหน้าที่เอาไปแทงหวยกัน

มีคลอดในรถมาโรงพยาบาลเมื่อใด คอหวยมีลุ้น รีบจดเลขเด็ดบอกต่อเพื่อนคอหวยด้วยกันคึกคัก ส่วนใหญ่ถูกกินเรียบ หน้าแห้งตอนหวยออก

แม้คุณป้ารายนี้จะเคยคลอดมาหลายท้อง แต่ท้องนี้กลับคลอดยากกว่าปกติ

ถึง แม้จะได้ยาช่วยให้มดลูกบีบตัวเพื่อเร่งคลอด ปากมดลูกเปิดเต็มที่แล้ว แต่ไม่คลอดเสียที ถือว่าเป็นการคลอดที่ล่าช้า (prolong labor)

เย็นวันนั้นฉันอยู่เวรนอกเวลาราชการ ซึ่งมีเราคนเดียวอยู่เวรทั้งโรงพยาบาลทั้ง ER และ ward

ได้รับรายงานผู้ป่วยรายนี้จากพยาบาลแผนกสูติกรรม พิจารณาแล้วเห็นว่าคงคลอดเองไม่ได้เป็นแน่ เข้าข่ายต้องคลอดด้วยการผ่าตัด

ตอนนั้นบ้านนอก ไม่มีเครื่องอัลตราซาวนด์ และคนไข้ก็ไม่ได้ฝากครรภ์

ไม่มีวิสัญญีแพทย์ ฉันทำการผ่าตัดคนไข้โดยมีวิสัญญีพยาบาลช่วยดมยา

เมื่อผ่าตัดเปิดหน้าท้องออกเห็นมดลูก ฉันก็ต้องตกใจสุดขีด!!!

มดลูกเหลือเพียงเยื่อบางๆชั้นเดียวเท่านั้น รอช้ากว่านี้มดลูกคงแตกเป็นแน่แท้...

เมื่อเปิดชั้นเยื่อบุออก ล้วงมือเข้าไปควักหัวเด็ก ก็ต้องตกใจอีกครั้ง

ไฉนควักยากจัง หัวโตอย่างกับลูกมะพร้าวขนาดย่อม กว่าจะควักออกมาได้ต้องออกแรงจนเมื่อยแขน

อื้อหือ !!!..... เด็กหัวบาตรนี่หว่า !!!.......

ตั้งแต่เกิดมาเคยเห็นแต่เด็กหัวบาตรในโทรทัศน์ งานวัดก็ไม่เคยไป

ถึงจะเรียนวิชาแพทย์ ตอนผ่านแผนกเด็กก็ไม่เคยเห็นสักครั้ง คราวนี้เจอของจริงที่อยู่ในท้องเสียด้วย

สูติแพทย์เองก็ใช่ว่าจะมีโอกาสเห็นผู้ป่วยแบบนี้....

มิน่าล่ะ.... ไม่คลอดซักที ถ้าฝากครรภ์และมีเครื่องอัลตราซาวนด์ คงวินิจฉัยได้ตั้งแต่ตอนฝากครรภ์

เด็กเสียชีวิตแล้ว ส่วนแม่นั้นมดลูกเละจนดูไม่ออกว่าตรงไหนเป็นอะไร .....เดือดร้อนละซี.......









การผ่าตัดคลอดนั้น ฉันทำจนชำนาญแล้ว ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เสร็จ แต่ตัดมดลูกนี่สิ ไม่เคยลงมือเองซักครั้ง

ถ้าอยู่โรงพยาบาลชุมชนที่มีแต่แพทย์รับใช้ชาติไม่กี่คน เจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้แย่แน่ๆ

คงต้องส่งไปผ่าคลอดที่โรงพยาบาลจังหวัด มดลูกจะไปแตกกลางทางหรือเปล่าก็ไม่รู้

ฉันต้องวานคุณพยาบาลโทร.ตามแพทย์รุ่นพี่แผนกสูติกรรมมาช่วย ทั้งที่เค้าไม่ได้อยู่เวร

“บอกพี่ให้มาช่วยตัดมดลูกให้หน่อย เละแบบนี้เก็บไว้ไม่ได้แล้วค่ะ”

เมื่อพี่มาถึงห้องผ่าตัด ล้างมือเปลี่ยนชุดผ่าตัด ยื่นหน้าเข้ามาดูขณะสวมถุงมือ

สีหน้าบอกว่า เรื่องเล็ก สบายมาก ฉันย้ายไปด้านตรงข้ามทำหน้าที่เป็นมือสอง

ให้พี่มาเป็นมือหนึ่งแทนที่ฉัน ช่วยกันผ่าตัดมดลูกจนเสร็จ ปล่อยให้ฉันเย็บปิดหน้าท้องให้เรียบร้อย คนไข้ปลอดภัยดี เสียเลือดไม่มาก

อยู่โรงพยาบาลที่มีหมอหลายแผนกก็ดีอย่างนี้ บ้านพักแพทย์ก็อยู่ในโรงพยาบาล

ถึงคราวคับขันต้องระดมพลมาช่วยกัน พี่ๆเป็นที่พึ่งของน้องๆ และร่วมแรงร่วมใจกันเป็นที่พึ่งของคนไข้

โชคดีที่ตอนนั้น คนไข้ยังน่ารัก ถ้าดุแบบสมัยนี้ อาจโดนข้อหาตัดมดลูกโดยพละการ ใบขออนุญาตผ่าตัดมีมั้ย?..


เฮ้อ.... เหนื่อยจัง..... ดึกแล้ว... ไปนอนเอาแรงไว้ก่อนดีกว่า

คืนนี้ไม่รู้เวรจะยุ่งหรือเปล่า?..... จะได้นอนหรือเปล่า? ..... พรุ่งนี้ต้องตื่นทำงานแต่เช้าด้วย....

ตัดมดลูกไปแล้ว ตานี้ป้าก็ไม่ต้องท้องตอนวัยทองมาให้หมอทำคลอดอีกแล้วนะ

ป้านะป้า..... ทำหมอหัวหมุน..... ดีนะเนี่ย... ไม่วินิจฉัยผิดว่าเป็นเนื้องอกมดลูก

วัยเจริญพันธุ์ของป้าช่างยาวนานไปถึงวัยทองนั่นเทียว ตอนประจำเดือนไม่มา คงคิดว่าเลือดจะไปลมจะมาละสิ

ใครจะคิดว่าตั้งครรภ์ แถมไม่ฝากครรภ์อีกตะหาก มีลูกหัวแตงโมซะอีกด้วย ป้ากลัวหมอจะไม่เก่งหรือไงHuh

ตัดมดลูกไปแล้ว หมดสิทธิ์มีลูกแล้วนะป้านะ ไม่เป็นมะเร็งปากมดลูกแล้วด้วย

แต่ถึงมดลูกยังอยู่ ป้าก็คงไม่ตั้งท้องอีกแล้วแหละ คงเข้าสู่วัยทองจริงๆซะทีเนอะ







ส่งโดย: ppom
















 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2552 10:36:19 น.   
Counter : 3690 Pageviews.  

ภัยจากนามบัตร ยาป้าย ยาสลบ ( ใครที่มีสุตรยาป้าย ถ้าได้ผลจริง มีคนให้เงินล้าน ไม่ต้องไปป้ายข้างถนน)







ได้รับ FW mail เนื้อหาในเมล์ ดังนี้...

ภัยจากนามบัตร


หญิงคนหนึ่ง ไปเติมแก็สที่ปั้มแก็ส มีชายมาเสนอบริการทาสี โดยยื่นนามบัตรให้ หญิงคนนั้นก็รับมาอ่าน แล้วถือเข้ามาในรถด้วย สักครู่เมื่อขับรถออกมาจากปั้มแก็ส ก็สังเกตว่าชายคนนั้นขับรถตามมา และเธอก็รู้สึกว่า หายใจไม่ค่อยออก เธอรับเปิดหน้าต่าง และตระหนักว่า กลิ่นนั้นมาจากมือของเธอเอง ซึ่งเป็นมือข้างที่เธอรับนามบัตรมาจากชายคนนั้น

เธอตัดสินใจขับรถและกดแตรดังไปตลอดทางเพื่อขอความช่วยเหลือ ชายคนนั้นจึงขับรถหนีไป

ยาที่ป้ายบนนามบัตร คือ ยา BURUNDANGA เพิ่อให ้เราหมดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วเจ้าตัวร้ายก็จะขโมยของและหรือข่มขืนเรา โดยยานี้มีประสิทธิภาพแรงกว่ายาที่ใช้ข่มขืนสาวๆ ถึง 4 เท่า

ดังนั้นอย่ารับ กระดาษ นามบัตร แผ่นพับ จากคนแปลกหน้านะจ๊ะ !!!! หรือแม้แต่คนที่แจกโฆษณา

ฝากส่งต่อเยอะ ๆ เลยนะจ๊ะ

..................

อ่านแล้วแปลก ๆ ก็เลยไปถามอากู๋ ได้ความว่า ...



Results 1 to 10 of about 29,900 for BURUNDANGA (0.02 Seconds)

//search.conduit.com/Results.aspx?q=BURUNDANGA&hl=th&SelfSearch=1&ctid=CT461365&octid=CT461365&start=0


เยอะมาก ๆ เลย ... แสดงว่า ส่งต่อกันไปทั่วโลกแล้ว ...
เข้าไปดูเวบนี้ ... โห .. เนื้อหาเหมือนกัน เป๊ะ ๆ .... ไม่รู้ว่าใคร ลอกใคร ???


//urbanlegends.about.com/od/crime/a/burundanga.htm

Description: Email rumor
Circulating since: May 2008
Status: Mostly false

Variant #1:
Email example contributed by Cally, Aug. 25, 2008:

Subject: BE AWARE! READ THIS GIRLS!

Share with your sisters, daughters, nieces, mothers, female friends, EVERYONE.

NEW WARNING!! Incident has been confirmed

In Katy, Tx a man came over and offered his services as a painter to a female putting gas in her car and left his card. She said no , but accepted his card out of kindness and got in the car. The man then got into a car driven by another gentleman. As the lady left the service station and saw the men following her out of the station at the same time. Almost immediately, she started to feel dizzy and could not catch her breath. She tried to open the window and realized that the odor was on her hand; the same hand which accepted the card from the gentleman at the gas station.

She then noticed the men were immediately behind her and she felt she needed to do something at that moment. She drove into the first driveway and began to honk her horn to ask for help. The men drove away but the lady still felt pretty bad for several minutes after she could finally catch her breath. Apparently there was a substance on the card and could have seriously injured her. The drug is called 'BURUNDANGA' and it is used by people who wish to incapacitate a victim in order to steal or take advantage of them.

Four times greater than date rape drug and is transferable on simple cards. So take heed and make sure you don't accept cards at any given time alone or from someone on the streets. This applies to those making house calls and slipping you a card when they offer their services.



Variant #2:
Email example contributed by Irene, May 12, 2008:

Warning...Be Careful!!

This incident has been confirmed. Ladies please be careful and share w/everyone you know!

This can happen anywhere!

And Another Warning . . . Last Wednesday, Jaime Rodriguez's neighbor was at a gas station in Katy. A man came and offered his neighbor his services as a painter and gave her a card. She took the card and got in her car.

The man got into a car driven by another person. She left the station and noticed that the men were leaving the gas station at the same time. Almost immediately, she started to feel dizzy and could not catch her breath.

She tried to open the windows and in that moment she realized that there was a strong odor from the card. She also realized that the men were following her. The neighbor went to another neighbor's house and honked on her horn to ask for help. The men left, but the victim felt bad for several minutes.

Apparently there was a substance on the card, the substance was very strong and may have seriously injured her.

Jaime checked the Internet and there is a drug called "Burundanga" that is used by some people to incapacitate a victim in order to steal or take advantage of them. Please be careful and do not accept anything from unknown people on the street.

Comments: Is there a drug called burundanga used by criminals in South America to incapacitate their victims? Yes.

Do news sources confirm that burundanga has been used recently to commit crimes in the United States? No, there have been no such reports.

The story above is a fabrication. Two details betray it as such:

1. The victim allegedly received a dose of the drug by simply touching a business card. (All sources agree that burundanga must be inhaled or ingested, or the subject must have prolonged topical contact with it, in order for it to have an effect.)

2. The victim allegedly detected a "strong odor" coming from the drug-laced card. (All sources agree that burundanga is odorless and tasteless.)

What is burundanga?

Burundanga is the street version of a pharmaceutical drug called scopolamine. It is made from the extracts of plants in the nightshade family such as henbane and jimson weed. It's a deliriant, meaning it can induce symptoms of delirium such as disorientation, loss of memory, hallucinations, and stupor.

You can see why it would be popular with criminals.

In powdered form scopolamine can be easily mixed into food or drink, or blown directly into victims' faces, forcing them to inhale it.

The drug achieves its "zombifying" effects by inhibiting the transmission of nerve impulses in the brain and muscles. It has several legitimate medicinal uses, including the treatment of nausea, motion sickness, and gastrointestinal cramps. Historically, it has also been used as a "truth serum" by law enforcement agencies. And, like its street cousin burundanga, scopolamine has frequently been implicated as a stupefying agent or "knockout drug" in the commission of crimes such as robbery, kidnapping, and date rape.


ภาคภาษาไทย มั่ง ... ก็ออกมาทำนองเดียวกัน ... คราวนี้อ้างข้อมูลจากมหาวิทยาลัยเทคซัส ... แสดงว่า มันไปทั่วโลกจริง ๆ

//sites.google.com/site/thaihoax/Home/burundanga

BURUNDANGA ในนามบัตร: เมื่อรับนามบัตรที่มียาชื่อ BURUNDANGA อยู่ในเนื้อกระดาษ กลิ่นที่ติดมือทำให้ควบคุมตนเองไม่ได้ และอาจถึงหมดสติ; ใช้เพื่อปล้น หรือข่มขืนผู้หญิง.

คำสำคัญ: BURUNDANGA, หญิง, รับ, นามบัตร, อ่าน, อาการ, รถ,ชาย, ขับรถ, ตาม, หายใจไม่ค่อยออก, กลิ่น, มือ, หมดสติ, ควบคุมตนเองไม่ได้, ข่มขืน


คำวินิจฉัยจาก hoax-slayer.com และที่ web site ของ Texas State University, U.S.A.:

Burundanga เป็นชื่อยาจริง และเป็นยาช่วยในการก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะในโคลัมเบีย. รายงานจำนวนมากบอกว่าผู้ใช้ยาสามารถควบคุมเหยื่อได้. มีการกล่าวว่า เหยื่อเคราะห์ร้ายบางรายตื่นขึ้นหลายชั่วโมง หรือเป็นวันหลังโดนยา

Burundanga เป็นสารสกัดได้จากพืชดอกในจีนัส Brugmansia ซึ่งถิ่นต้นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้. ชื่ออื่นของยา burundanga คือ scopolamine ที่ใช้ในยาแผนปัจจุบัน เพื่อลดอาการคลื่นใส้ อาเจียน

ข้อมูลจาก drugs.com แจ้งว่าการได้รับยาเกินขนาดทำให้เกิดอาการ ง่วง, มึนงง, หงุดหงิด, ไข้, ชัก และลมบ้าหมู, จิตหลอน, หมดสติ, และตาย. แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ชี้ว่า เป็นสารที่ไม่มีกลิ่น สี และรส.

แม้เป็นยาจริง และมีผลทางสมองจริง แต่การกล่าวถึงยานี้เกินความจริง  เช่น

๑. รับยาจากการสัมผัสสิ่งของใด เช่น นามบัตร  ซึ่งปริมาณยา ที่จะดูดซึมผ่านผิวหนัง น้อยมาก ๆ  แต่ในขณะที่ จะต้องได้รับ ยาปริมาณ มาก จึงจะมีผลดังที่อ้างในเมล์   .. แค่ สัมผัส จึงเป็นไปไม่ได้

๒. BURUNDANGA ไม่มีสีไม่มีกลิ่น .. แต่ ในเมล์ บอกว่า ได้กลิ่น ?

๓. ไม่เคยมีรายงานทางการแพทย์ หรือ ข่าวในสื่อสิ่งพิมพ์ ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ทำนองนี้ มีแต่เฉพาะส่งต่อผ่าน email  ... ไม่รู้สึกว่า มันแปลก ๆ บ้างหรือ ?



สรุปว่าเรื่องนี้ ... ไม่จริง ...


ข้อมูลเพิ่ม อ่านที่ //www.hoax-slayer.com/burundanga-warning.shtml

....................

ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง ..  ก็ลองพิจารณา กันเอาเองนะครับ ...


แถม เรื่องยาป้าย ในห้องหว้ากอ .. เรื่องนี้ ฮอตฮิต ข้ามภพข้ามชาติ แต่ว่า ไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเลย นอกจาก คำบอกเล่าของคนที่(อ้างว่า) ประสบเหตุ ?

ขอเขียนมั่ง ... ยาพ่น ยาป้าย อะไรมันจะง่ายปานนั้น ...วางยาคนอื่นอยู่ทุกวันยังทำไม่ได้เลย*

//topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2009/09/X8342569/X8342569.html

เพิ่งรู้วันนี้ว่ายาป้ายมีจริง

//topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2011/10/X11147226/X11147226.html


...................................

กรกฏาคม ๒๕๕๘  ..

"ป้ายยา" มีจริงหรือไม่ เรื่องเล่าจากประสบการณ์โดนป้ายยา  //pantip.com/topic/33879158

กระทู้ ยาป้าย ก็กลับมาอีกครั้ง แล้วก็ยังมีคนคิดคนเชื่อเหมือนกับที่ผ่านมา .. 

มีความเห็นที่น่าสนใจ.. คัดลอกมาบันทึกไว้เพิ่มเติม
อ้อ  .. ใครมีสูตรยาป้าย ถ้าพิสูจน์ว่าได้ผลจริง รับเงิน ๑ แสนบาท ทันที แล้วรับอีก ปีละ หนึ่งล้านบาท อีก ๒๐ ปี  จากคุณหมอแมวเหมียวพุงป่อง ...  คุณโจรป้ายยา ถ้ามีตัวตนจริง ก็ติดต่อได้เลย ไม่ต้องเสียเวลา ไปป้ายยา ข้างถนน ได้ครั้งละไม่กี่พัน คุณหมอเขาประกาศมา ๗ ปีแล้ว .. ^_^

ความคิดเห็นที่ 10

เหตุการณ์เกิดกับเพื่อน....
เหตุการณ์เกิดกับญาติ....
เขาเล่าว่า....
ผมได้ยินมา....ได้ฟังมา
จากปากของคนที่โดนป้าย....แต่ไม่ใช่คนเล่า
เหตุการณ์จริง....จากคนอื่น

มีใครจะเปิดการ์ดป้องกันเพิ่มไหม ผมจะได้ดักไว้ก่อน
1. ไม่โดนกับตัวไม่รู้
2. ขอให้โดนกับตัวบ้าง
3. ขอให้พ่อแม่พี่น้องสาวญาติโกโหติกามันโดนเดินหน้าถอยหลังเจ็ดชั่วโคตร
4. เรื่องบางเรื่องหมอหรือนักวิทยาศาสตร์เองก็อาจจะยังไม่รู้ ....แต่โจรกระจอกรู้?
5. ไม่เชื่ออย่าลบหลู่? (เอ่อ...)

ยาป้าย-ป้านยา ไม่มีจริง ชีวิตจริงไม่ใช่หนังกำลังภายในที่จะกินยาแก้กันเอาไว้ก่อนได้
วิสัญญีแพทย์ร่ำเรียนหัวแทบแตก เพื่อให้วางยาคนไข้ "โดยที่คนไข้ไม่ตาย" แต่ยาป้าย สารพัดนึก ขนาดหมอเองก็ไม่รู้ จะใช้โดสเท่าไหร่ก็ได้ กับเพศไหนก็ได้ อายุเท่าไหร่ก็ได้ น้ำหนักตัวเท่าไหร่ก็ได้ ให้ผลเหมือนกันหมด ไม่เคยมีใครตายเพราะยาป้ายเลย

หลายกรณีบอกโดนป้ายในรถแท๊กซี่ถามจริงคนขับมันหายใจทางเหงือกเหรอถึงไม่โดนยาไปด้วย อากาศที่หายใจก็ห้องเดียวกัน ระยะใกล้กันขนาดนั้น มันคงไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ ชีวิตจริงไม่ใช่ภาพยนตร์จีน กินยาแก้ไว้ก่อนได้ ปัญญาอ่อน

การออกฤทธิ์

ยาสลบหรือยากดประสาท มันออกฤทธิ์ที่สมองส่วนกลาง ไม่ใช่ผิวหนัง บ้าหรือเปล่าทาผิว ป้ายผิว ลูบผิวแล้วสลบ เวลาหมอวางยาผ่าตัดยาสลบเขาวางทางสายน้ำเกลือโอเค
ว่าอาจจะมีรมแก๊สเพื่อยืดระยะเวลาระงับประสาทบ้างแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ส่วนใหญ่เข้าทางน้ำเกลือเพราะมันเร็ว ถ้ารมอย่างเดียวคงเป็นชั่วโมงกว่าจะสลบ ดีไม่ดีคนไข้ตายก่อนเพราะขาดอากาศ

ผิวหนังเองก็เป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ปกป้องร่างกาย มีหลายชั้น ครึมทาหน้าทาตัวยังซึมได้ แค่ชั้นหนังกำพร้า ขนาดยาคลายกล้ามเนื้อหรือลดปวดกว่าจะซึมถึงชั้นกล้ามเนื้อยังต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง

ส่วนยาป้ายวิเศษนี่อะไร ป้ายปุ๊ยออกฤทธิ์ปั๊บ วิ่งจากผิวหนังซึ่งเป็นอวัยวะที่มีมีอัตราการดูดซึมต่ำมากไปที่สมองส่วนกลางอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วินาที ฉีดยาเข้าเส้นตรงๆ ยังไม่เร็วขนาดนี้

ประเด็นที่สำคัญคือการวางยาสลบนั้น วิสัญญีแพทย์จะต้องประชุมวางแผนกันก่อนว่าจะวางอย่างไรให้ผู้ป่วยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด หรือวางแล้วผู้ป่วยไม่ตายไปเสียก่อนเขาร่ำเรียนกันหลายปีกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้

//www.nkp-hospital.go.th/institute/unconsciousness/p6-2.php


การวางยาสลบในขั้นตอนการผ่าตัด ขนาดวิสัญญีแพทย์เขาคำนวณแล้วคำนวณอีกก็ยังผู้ป่วยบางรายอ้วกแตกอ้วกแตน คลื่นเหียนกินข้าวปลาอาหารไม่ได้ หรือหยุดหายใจไปเลยก็มีต้องปั๊มขึ้นมา

แต่ยาป้ายวิเศษนี้ จะใช้โดสเท่าไหร่ก็ได้ ใช้กับเพศไหนก็ได้ อายุเท่าไหร่ก็ได้ น้ำหนักตัวมากเท่าไหร่ก็ได้ สภาพร่างกายเป็นยังไงก็ได้ คนโดนก้สามารถกลับมาเป็นปกติได้โดย ไม่มีใครตายเพราะยาสลบเลย ไม่ได้รับผลข้างเคียงเลย หายเป็นปลิดทิ้ง

ถ้ามันมียาวิเศษขนาดนี้วงการแพทย์ปัจจุบันคงจะง่ายขึ้นมาก หมอก็ไม่ต้องไปนั่งหลังขดหลังแข็งร่ำเรียนกันแล้ว เพราะยาวิเศษนี่ใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยโดยไม่มีผลข้างเคียงแถมออกฤทธิ์รวดเร็วเพียงแค่ป้ายผิวหนัง ไม่ต้องเอาเข็มทิ่มเนื้อเพื่อวางยาให้มันเจ็บด้วยซ้ำ

คุณ จขกท บอกว่า "เชื่อว่ามันมีจริง" .... "หมออาจจะไม่รู้ก็ได้เป็นวิทยาการใหม่" หรือเป็นยาที่หาไม่ได้ตามทั่วไปหมอเองก็ไม่รู้จัก แล้วไอ้โจรนี่มันเทพมาจากไหน มียาวิเศษที่หมอก็ไม่รู้จัก แต่ที่เกิดส่วนใหญ่ไม่ใช่แท๊กซี่ก็เป็นโจรกระจอกฉกชิงวิ่งราวทั่วไป ถามจริงถ้าโจรจะเก่งขนาดนั้น ก็ไม่ต้องมีหมอแล้วเพราะโจรเองยังคิดค้นยาได้ดีกว่าหมออีก

โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ใช่การ์ตูนที่จะเอาสาร A ผสมสาร B แล้วได้ยาอะไรออกมาก็ได้ตามสารพัดนึก มันต้องมีแลป ต้องมีการวิจัย ต้องมีวิทยาการ มีองค์ความรู้ โจรนี่
เก่งมาก หาสารเคมีตามร้ายขายยาผสมยาสลบวิเศษใช้เองได้

ผมถามจริงจะเอาแบบนี้จริงๆ หรืออยู่กับความเชื่อเหตุผลไม่ฟังกันแล้ว โลกมันพัฒนากันไปถึงไหนแล้ว ลองคิดดูง่ายๆ นะ ถ้ายามีนมีฤทธิ์วิเศษวิโสมากมายขนาดนั้นจริงทำไม...

1. ไม่เอาไปป้ายเจ้าของร้านทองไม่ดีกว่าเหรอ
2. ป้ายนักธุรกิจใหญ่ๆ ให้ทำธุรกิจพลาด (กำจัดคู่แข่ง) หรือโอนเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
3. เอาไปป้ายพวกเศรษฐีรวยๆ มีเยอะแยะ

แต่โจรเลือกที่จะเอายาป้ายนี้มาป้ายหากินกับชาวบ้านร้านตลาดได้ของนิดๆ หน่อยๆ โค-ตรจะคุ้มเลย?

ไร้สาระ ยาอะไรพวกนี้มันไม่มีจริง มีแต่โลภ กลัวเสียหน้า กับพลาดท่าเสียทีเลยหาทางอธิบายไม่ได้ก็โทษว่าเป็นยาป้ายสะ

ถ้าจะสรุปว่า ยาป้าย = ยาแก้อาย ก็คงจะไม่ผิดนัก

@สมาชิกหมายเลข 1642144

........................

ความคิดเห็นที่ 14

เพ้อเจ้อ สติแตก

ผมด่าแบบนี้มาจะสิบปีแล้ว

แถมท้า แจกเงินอีกด้วย ยังไม่มีใครมาเอาเงินกับผมซักคน

ทู้นี้ ก็จะเป็นแบบทุ้อื่นๆ ที่ผมเอาลิงค์ผมส่งให้

ผมประกาศออกโต้งๆ ประกาศสู่สาธารณะมา 7 ปี ว่า ใครมียาพวกนี้จริง เอาหลักฐานมารับเงินจากผมเลย จ่ายทันที 10,000 บาท

และหลังจากนั้น จะจ่ายให้อีก 1,000,000 (อ่านว่า หนึ่งล้านบาท) ต่อปี อีกยี่สิบปี

ไม่เห็นโผล่มาซักหัว

@แมวเหมียวพุงป่อง

//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=roenthai&month=06-2008&date=22&group=7&gblog=9

แจกเงินทันที 10,000 บาท!

เจอประจำ เรื่องคนถูกมิจฉาชีพ เอายาสลบป้ายๆ แล้วหมดสติใน 3-5 นาที
หรือ ยาสลบที่ป้ายช่องแอร์แท็กซี่ แล้วผู้โดยสารหมดสติ โดยแท็กซี่ไม่เป็นอะไร

จึงขอแจ้ง ขอท้าพิสูจน์มาว่า

ถ้ายาป้ายผิวหนัง แล้วผู้ถูกป้ายหมดสติ ใน 3-5 นาที มีจริง ... โดยไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ หรือร่างกาย หรือชีวิต หลังจากที่ยาออกฤทธิ์ หรือ ยาหมดฤทธิ์

... บอกให้ผู้ที่มียานั้น มาติดต่อผมโดยตรง ...
เพื่อทดลองกับ กลุ่มคนที่ผมสุ่มมาให้ลอง 2 กลุ่มๆละ 4-5 คน
ในเงื่อนไขคร่าวๆ คือ .. คนป้าย และคนถูกป้าย ไม่รู้ว่า ขวดไหนเป็นยา ขวดไหนเป็นน้ำเปล่า

ถ้าได้ผลจริง ผมจ่ายทันที 10,000 บาท

ได้ผลจริงคือ ผู้ถูกป้ายด้วยยาป้ายนี้ หมดสติ ใน 3-5 นาทีหลังจากถูกป้าย
หรือ มีฤทธิไม่น้อยกว่ายากิน (rape cocktail) ที่ผมผสมให้
หรือ มีฤทธิเทียบเท่า ยากล่อมประสาทที่ฉีดเข้าทางเส้นเลือดดำ

และถ้าเปิดเผยสูตรให้ผมทราบ และผมสามารถนำไปผลิตเองได้ และทดลองใช้เองได้ผลจริง ... หากยินดีมอบสูตรให้ผม ผมยินดีจ่ายอีกทันที 1 ล้านบาท เป็นค่าสูตรยานั้น
หลังจากนั้น จะจ่ายอีก 1 ล้านบาท ทุกๆปี เป็นเวลานาน 20 ปี


ส่วนผู้ที่พามา .. ผมจ่ายให้หนึ่งแสนบาท ทุกๆปีเป็นเวลานาน 20 ปีเช่นกัน



update 3 กค 2557


แก้ไขเพื่อให้ทันสมัยต่อเหตุการณ์

1. ยาโง่เง่า นอกจากยาป้าย ยังรวมไปถึงยาโปรยไปในอากาศ ยาที่อยู่ในน้ำหอมหรือสบู่
2. ถ้าได้ผลจริง ผมจ่ายทันที 100,000 บาท



หมายเหตุ : กระทู้นี้ แมร่ม! เกิน 5 ปี ยังไม่มีใครเอาไปซักสตางค์ อย่าว่าแต่สองสลึงเลย


คน ไทย งี่ เง่า ยาว นาน



...............................................


https://www.facebook.com/utai.sukviwatsirikul/posts/1463028217061655

ขึ้น TAXI #เจอพ่นยาสลบ

1. #ยาพ่นให้สลบจากหน้ากากแอร์ ไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากกว่าที่คนเราจะสลบด้วยวิธีนี้ได้ ต้องใช้เวลา เพราะว่าการสูดยาสลบเข้าไป จะต้องมีการดูดซึมของยาจากปอดไปสู่เส้นเลือดปอดหมุนเวียนไปที่สมอง และยาสลบจึงออกฤทธิ์ที่สมองได้

ในทางปฏิบัติ ถ้าสูดดมยาสลบที่ความเข้มข้นสูงๆโดยตรงจากเครื่องดมยาสลบ ยังต้องใช้เวลาเป็นนาทีกว่าจะหลับหรือสลบ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่ยาที่บอกว่าพ่นมาจากช่องแอร์แท็กซี่จะทำให้หมดสติได้ โดยที่คนขับไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน #คิดซิๆๆๆๆๆๆๆ

รายละเอียด ตามไปดูได้ที่นี่ https://www.facebook.com/216848761792023/photos/pb.216848761792023.-2207520000.1465092428./819362188207341/?type=1&theater

2. ต่อให้มันมีจริง (ซึ่งใครคิดได้ แม่งรวยมหาศาลยิ่งกว่าเสี่ยเบียร์ช้างอีก แค่ขายสิทธิบัตรได้ ฺก้อรวยล้นฟ้าแล้ว ไม่ต้องมาเสียเวลาขับ TAXI ให้ผู้โดยสารโง่ๆมโนไปเอง)

ถึงแม้นคุณสงสัย จอดรถหน้า ตำรวจ เรียกจับกุมไปสอบสวน ตรวจสอบได้เลย ตามกฏหมาย #แต่คุณไม่มีสิทธิ์ไปแช์ประจานเค้า เพราะคุณกำลังทำลายชีวิตของคน โดยการมโนไปเอง

3. ไอ้ นสพ. หัวเขียว ที่แชร์ข่าวมั่วๆ กองบรรณาธิการควรเรียกนักข่าวคนนั้นมารู้จักเภสัชกร จะได้อธิบายให้ฉลาด ไม่กล่าวหาใครแบบสื่อมั่วๆอีก

#เภสัชกรอุทัย #utaisuk #urx

......................................

https://www.facebook.com/216848761792023/photos/a.289676801175885.1073741839.216848761792023/819362188207341/?type=3&theater

#ยาสลบบนรถแท็กซี่ #ป้ายยาสลบ
#ป้ายยาแก้งตกทอง #นามบัตรดมให้สลบ มีจริงไหม?

เรื่องเล่าประเภท “ โดนแท็กซี่มอมยา ” “ โดน ป้ายยาสลบ แล้วปลดทรัพย์จนหมดตัว ” “ รับนามบัตรจากคนแปลกหน้า แล้วโดนยาที่ป้ายบนแผ่นพับเล่นงานเอา”

รายล่าสุด รายงานว่าผู้ใช้งานสังคมออนไลน์ แห่แชร์ข้อความจากสมาชิกเฟซบุ๊กหญิงสาวรายหนึ่ง โดยอ้างว่า ครอบครัวของตนได้ไปห้างสรรพสินค้าย่านบางนา ระหว่างที่สามีเข้าไปติดต่อธุระที่ธนาคาร ตนและลูกอีก 2 คนได้รออยู่ข้างหน้า

แต่จังหวะดังกล่าวมีชายคนหนึ่งใส่หน้ากากอนามัยสีชมพู เสื้อสีฟ้า กางเกงขาสั้น ผิวคล้ำ ผมหยักศก จูงมือลูกชายคนโตไป โดยที่ตนพยายามวิ่งตามและกระชากลูกกลับมา ส่วนคนร้ายสามารถหลบหนีไปได

ผู้โพสต์เล่าต่อว่า หลังจากพาลูกชายที่พยายามถูกลักพาตัวไปล้างมือ ลูกชายของตนก็หลับสลบนานอยู่กว่าชั่วโมง โดยคาดว่าอาจโดนป้ายยา จึงอยากให้พ่อแม่ ดูแลลูกอย่าให้คลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว พร้อมทั้งฝากว่า อาจจะไม่โชคดีแบบนี้เสมอไป

อย่างไรก็ตาม สายตรวจโซเชียล ไทยรัฐออนไลน์ ได้ตรวจสอบเฟซบุ๊กที่โพสต์ต้นเรื่องนั้น ไม่มีข้อความดังกล่าวปรากฎอยู่แล้ว ขณะเดียวกันทีมข่าวพยายามติดต่อไปยังผู้โพสต์แต่ไม่สามารถติดต่อได้ จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือไม่

#ถามเภสัชกร_ว่า_ยาดมสลบเป็นไปได้หรือไม่ ???
เราไปค้นทุกคำตอบมาให้แล้ว

#ในความเห็นของวิสัญญีแพทย์หรือหมอดมยา
นั้นบอกว่า “ไม่มีหรอก ถ้ามียาแบบนี้ก็ดี หมอคงทำงานง่ายขึ้นอีกเยอะ” จะเป็นยาอื่นที่หมอดมยาไม่รู้จัก ก็ไม่ควรจะเป็นไปได้ และถึงจะมียาลับจริง แต่ก็ต้องใช้กลไกการนำยาเข้าสู่ร่างกายแบบเดียวกับยาอื่นๆ

1. ปรกติจะทำให้คนๆ หนึ่งหลับหรือสลบได้นั้น ทำอย่างไร

การออกฤทธิ์ของยานอนหลับหรือยาสลบนั้นออกฤทธิ์ที่สมอง ยาจำพวกยานอนหลับ เช่น diazepam, ฝิ่นและอนุพันธุ์ของมันนั้น มีโปรตีนตัวรับของยาอยู่ที่สมอง เมื่อยาไปจับกับโปรตีนตัวรับเหล่านี้จะออกฤทธิ์ระงับความรู้สึก เช่น เสริมฤทธิ์การทำงานของ GABA receptor ทำให้เพิ่มระดับของ GABA ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของสมอง หรือมีผลต่อ neurotransmitter ทำให้นำกระแสประสาทไม่ดี

การให้ยาสลบที่ได้ผลรวดเร็วและแน่นอน คือ สลบแน่ๆ คือการฉีดเข้าเส้นเลือด (intravenous anesthesia) ซึ่งตัวที่หลับเร็วที่สุดคือ thiopenthal เมื่อฉีดแล้วใช้เวลาเพียง 1 arm-brain circulation (ประมาณ 10-15 วินาที) คนไข้ก็สลบแล้ว เพราะยาในกระแสเลือดไปออกฤทธิ์ที่สมองโดยตรง แต่ถ้าใช้วิธีอื่น เช่น สูดยาดมสลบ (inhalation anesthesia) ฉีดเข้ากล้าม (intramuscular injection) จะใช้เวลานานกว่านี้มาก มักจะทำในกรณีเปิดเส้นน้ำเกลือไม่ได้ ดังนั้นในการดมยาสลบทั่วไปจึงนิยมฉีดเข้าเส้นให้สลบก่อน จึงใช้ยาดมสลบ maintenanceต่อ เพื่อความรวดเร็ว และใช้ยาร่วมกันหลายๆ ตัว ได้แก่ ยาหย่อนกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวดกลุ่มมอร์ฟีน เพื่อบาลานซ์ผลข้างเคียงซึ่งกันและกัน

2. การมอมยา โดยการรมผ่าน หน้ากากแอร์ นั้น เป็นไปได้หรือไม่

ยาสลบถ้าสูดผ่านจมูกเข้าไป จากนั้นต้องไปที่ปอด ถูกดูดซึมผ่านเส้นเลือดที่ปอด เส้นเลือดจากปอดไหลเวียนผ่านไปที่สมอง ดังนั้นต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว ยาจึงจะไปออกฤทธิ์ที่สมองได

การจะสลบช้า-เร็ว จึงขึ้นกับความเข้มข้นของยาสลบที่ใช้ การละลายได้ดีในไขมัน สมัยก่อนจึงมีการคิดค้นวิธีที่จะทำให้คนไข้หลับเร็วที่สุด ยาสลบตัวแรกๆ ได้แก่ Ether ซึ่งจะให้ยาสลบโดยหน้ากาก (mask) ซึ่งมีผ้ากอซ (gauze) หุ้มไว้ประมาณ 4-5 ชั้น และขวดยาอีเธอร์ สำหรับหยดลงบนหน้ากากให้ผู้ป่วย ซึ่งอีเธอร์นี้ใช้เวลาเป็นสิบนาทีกว่าผู้ป่วยจะหลับ และกลิ่นแย่มากๆ กระตุ้นทางเดินหายใจให้หดเกร็งและเสมหะเยอะ เวลาต่อมามีผู้คิดค้น chloroform ซึ่งกลิ่นดีกว่า ใช้ปริมาณน้อยและหลับเร็วกว่าแค่ 2-5 นาที แต่ต่อมาพบว่ามันกดหัวใจมากๆ ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้บ่อยๆเลยหยุดใช้ไป

ปัจจุบันเราใช้เครื่องดมยาสลบ ซึ่งสามารถควบคุมจำนวนออกซิเจนไอระเหย (vapor) ของยาดมสลบได้ในระดับที่จะทำให้ผู้ป่วยหลับตามที่ต้องการ มีท่อยางต่อออกจากเครื่องดมยาสลบนำออกซิเจนและยาดมสลบที่เป็นก๊าซหรือไอระเหยไปสู่คนไข้

ยาดมสลบที่มีในปัจจุบัน ถึงใช้ตัวที่ทำให้หลับเร็วที่สุด เปิดด้วยความเข้มข้นสูงที่สุดจากเครื่อง ยังใช้เวลาเป็นนาทีกว่าคนไข้จะสลบ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่ยาที่บอกว่าพ่นมาจากช่องแอร์แท็กซี่จะทำให้หมดสติได้ (โดยที่คนขับไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน)

บางคนเคยดมยาสลบแล้วคิดว่าดม gas ไม่กี่วินาทีก็หลับ จริงๆ แล้วที่หลับนั้นหลับจากยานำสลบที่ฉีดทางสายน้ำเกลือ gasที่ให้ดมผ่านหน้ากากมักเป็นออกซิเจน ถ้าให้ผู้ใหญ่ดม gas เพียวๆ เพื่อให้หลับจะกินเวลานานกว่าเด็กเล็กๆ

3. การมอมยา ด้วยยาป้าย ป้ายยาสลบ มีจริงไหม?

ถ้ามียาป้ายให้สลบได้จริง วิสัญญีแพทย์คงทำงานง่ายขึ้นอีกเยอะโดยเฉพาะในกรณีที่พบว่ามีปัญหาในการแทงเส้นเพื่อที่จะให้ยาสลบ เช่น ในคนไข้เด็ก หรือคนไข้ที่อ้วนมากๆ และถ้ายาแปะให้หลับหรือสลบมีจริง มันต้องออกฤทธิ์ซึมผ่านผิวหนังเข้ากระแสเลือด ไปออกฤทธิ์ที่สมอง ทุกวันนี้มีการคิดค้นยาที่จะออกฤทธิ์ผ่านทางผิวหนัง ที่เรียกว่า “Transdermal drug delivery system” แต่ทำไม่ได้ง่ายๆ มียาที่ใช้ได้ไม่กี่ตัว (สารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทผ่านทางผิวหนังเท่าที่มีใช้มีแต่ Fentanyl กับ Clonidine เท่านั้น) ความยากของมันมีตั้งแต่การซึมผ่านของยาผ่านทางผิวหนัง และการควบคุมยาให้มันออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ

ผิวหนังของเราประกอบด้วยชั้นต่างๆ ที่สำคัญ 3 ชั้นได้แก่ epidermis, dermis และ subcutaneous ชั้น epidermis เป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับการนำส่งยาไปยังชั้น dermis ซึ่งมีหลอดเลือดและท่อน้ำเหลืองที่สำคัญต่อการลำเลียงยาหรือสารเข้าสู่หลอดเลือด ดังนั้นยาที่สามารถใช้ได้ด้วยวิธีออกฤทธิ์ผ่านทางผิวหนังนี้จะต้องเป็นยาที่ค่อนข้างแรงและสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ดี นอกจากนี้ยาต้องใช้เวลาค่อนข้างนานจึงจะออกฤทธิ์

ยกตัวอย่าง เช่น ยาชา Xylocain หรือ lidocaine แบบแปะ ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการออกฤทธิ์ซึมผ่านผิวหนังให้ชาเฉพาะที่ ยาแผ่นแปะซึ่งภายนอกมองดูเหมือนทำง่ายๆนั้น ข้างในมันซับซ้อนมาก ถ้ายาป้ายแล้วหลับมีจริง คงเป็นที่ต้องการอย่างมากของวงการแพทย์และสร้างรายได้มหาศาล

ยา Fentanyl ซึ่งอยู่ในกลุ่ม nacrotics คืออนุพันธ์ของฝิ่นตัวเดียวที่มีใช้ในรูปแบบนี้ ละลายในไขมันได้ดีและแรงกว่ามอร์ฟีนร้อยเท่า ยังใช้เวลากว่าจะออกฤทธิ์เต็มที่ 12-24 ชั่วโมง ดังนั้นการป้ายยาให้คนสลบจึงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากกว่าต้องใช้ยาปริมาณมากกว่ายาจะซึมผ่านผิวหนังไปได้ ต้องรอเป็นเวลานานกว่าจะออกฤทธิ์ อีกทั้งยังควบคุมไม่ได้ด้วยว่ายาจะออกฤทธิ์แค่ไหนอย่างไร ส่วนยา Dormicum หรือ Midazolam ซึ่งมีการนำมาใช้ก่ออาชญากรรมจริง แต่ไม่มีการใช้ในรูปการป้ายยาหรือซึมผ่านผิวหนัง ใช้พ่นก็ไม่ได้ ในทางปฏิบัติใช้กินหรือฉีด มีบ้างที่ apply ใช้หยอดทางจมูกให้ยาซึมผ่านผิวที่เป็นเยื่อบุ (nasal mucosa) เข้าไป ซึ่งต้องใช้ปริมาณมากและรอระยะเวลานาน ใช้ป้ายผิวหนังจะป้ายเพียวๆ หรือผสมโลชันยังไงก็ไม่ออกฤทธิ์

สุดท้ายที่มักจะอ้างถึงกัน คือ แอลเอสดี (LSD : Lysergic acid diethylamide) แอลเอสดีเป็นยาเสพติดร้ายแรงประเภทที่ 1 อาจพบเป็นเม็ดยา แคปซูล หรือผสมในทอฟฟี่ รวมทั้งแผ่นกระดาษชุบสารแอลเอสดี มีความรุนแรงในการออกฤทธิ์ต่อสมองสูงคือ ใช้ในปริมาณแค่ 25 microgram (25/1 ล้านส่วนของกรัม การเสพทำได้ทั้งแบบฉีดหรือการนำกระดาษที่เคลือบแอลเอสดีอยู่มาเคี้ยวหรืออมหรือวางไว้บนลิ้น เพราะ LSD จะถูกดูดซึมผ่านเยื่อบุภายในจมูก (nasal mucosa) ระบบทางเดินอาหารและเยื่อบุอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ผิวหนังของคนซึ่งมีการป้องกันเยอะกว่านั้นเยอะ จึงต้องใช้ปริมาณมากและรอนานเช่นกัน โดยพบว่าเมื่อให้ LSD ทางปากขนาด 2 ไมโครกรัม/กก. จะให้ระดับความเข้มข้นของยาในกระแสเลือดสูงสุด (Tmax) ที่เวลาถึง 30-60 นาที

4. Chloroform Spray มีจริงหรือไม่
จาก Forward mail ที่ว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพมาแกล้งทำทีมาขายสเปรย์ปรับอากาศในรถยนต์ แต่จริงๆแล้วสารในสเปรย์กระป๋องนั้นคือ คลอโรฟอร์ม ที่จะแอบฉีดใส่ทำให้สลบได้ ความจริงแล้ว chloroform ไม่ได้เป็นยาสลบที่ทำให้คนสลบง่ายขนาดนั้น ขนาดนำมาทำการสลบหนู ยังต้องเอา chloroform ใส่ปิดฝาตั้งหลายนาทีกว่าหนูจะสลบ

ยาสลบที่เป็นแบบไอระเหย (vaporizer) นั้น ก็ไม่สามารถเอามาใส่กระป๋องทำเป็นสเปรย์กันได้ง่ายๆ vaporizer ทุกตัวต้องมี chamber พิเศษสำหรับมันทั้งนั้น

5. ยาป้ายที่ทำให้คนไม่รู้สึกตัว มาจากยาสลบที่ใช้ในสัตว์ได้ไหม

มียาตัวหนึ่งเป็นที่ต้องสงสัย คือ M99 หรือ Etorphine ซึ่งเป็นกลุ่มอนุพันธุ์ของฝิ่น การออกฤทธิ์เช่นเดียวกันกับ morphine แต่มีความแรงกว่าเป็นพันๆ เท่า ใช้ดมยาสลบในช้าง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาใช้ในคน เพราะแค่โดนนิดหน่อยก็คงตายแล้ว (คนป้าย ตายก่อน ) และจะควบคุมการใช้ได้อย่างไ

ยา Etorphine นี้มีราคาสูงมาก เป็นยาควบคุมตั้งแต่แหล่งผลิต ผู้จะซื้อต้องมีใบอนุญาตจากรัฐบาลประเทศที่จะใช้ ถึงจะขายได้และรัฐบาลที่จะซื้อนั้นจะต้องมีการล็อคยาไว้ในเซฟและให้ใช้โดยสัตวแพทย์ (ยุโรป และอเมริกา) หรือผู้ชำนาญการวางยาสลบสัตว์ป่า (อัฟริกาใต้) เท่านั้น และมีการรายงานการใช้ทุกๆ มิลลิกรัม ต่อหน่วยงานควบคุม ที่ทางผู้ผลิตเอง sensitive มากๆ ก็เพราะถ้ามีคนใช้ประกอบอาชญากรรม บริษัทที่ผลิตก็จะแย่ไปด้วย ตอนนี้บริษัทที่ผลิตจำหน่ายอยู่ในอเมริกา ความจริงแล้วยา Etorphine นี้ ยังไม่มีการนำเข้ามาใช้ทั่วไปแม้แต่จากหน่วยงานทางราชการเองที่นำมาใช้วางยาสลบสัตว์ป่าอย่างถูกต้องและเป็นวิชาการ ก็ยังไม่มีการนำเข้ามาใช้ทั่วไป อีกทั้งยังเป็นยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ใช้มากถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าเกิดอุบัติเหตุ ผู้ใช้ยานี้ก็เคยมีเสียชีวิตมาแล้ว

6. มียา Burundanga เคลือบนามบัตร จริงหรือ
จาก FW mail เตือนไม่ให้รับนามบัตรจากคนแปลกหน้า เพราะอาจจะมียา Burundanga ป้ายบนนามบัตร ให้หมดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ อาจถูกขโมยของหรือข่มขืนได้เนื่องจากยานี้มีประสิทธิภาพแรงกว่ายาที่ใช้ข่มขืนสาวๆ ถึง 4 เท่า

ยา Burundanga เป็นชื่อยาที่ถูกนำมาใช้ก่ออาชญากรรมจริง มีรายงานว่าผู้ใช้ยาสามารถควบคุมเหยื่อได้.เหยื่อบางรายตื่นขึ้นหลายชั่วโมงหรือเป็นวันหลังโดนยา. Burundanga เป็นสารสกัดได้จากพืชดอกในสกุล Brugmansia ซึ่งถิ่นต้นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ชื่ออื่นของยา burundanga คือ scopolamine โดยที่ยา scopolamine นี้มีแบบแปะด้วย ใช้แปะตรงกกหูแก้เมารถเมาเรือ

แต่อย่างไรก็ตาม การสัมผัสนามบัตรที่อ้างว่าเคลือบยา burundanga ไว้นั้นไม่ได้ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้หรอก จะต้องใช้การผสมน้ำหรืออาหารกิน ขณะที่ยานี้ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จึงไม่อาจจะได้กลิ่นจากนามบัตรได้ตามใน

สรุปสั้นๆ ได้ว่า
1. ยาพ่นให้สลบจากหน้ากากแอร์ ไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากกว่าที่คนเราจะสลบด้วยวิธีนี้ได้ ต้องใช้เวลา เพราะว่าการสูดยาสลบเข้าไป จะต้องมีการดูดซึมของยาจากปอดไปสู่เส้นเลือดปอดหมุนเวียนไปที่สมอง และยาสลบจึงออกฤทธิ์ที่สมองได้ ในทางปฏิบัติทุกวัน ถ้าสูดดมยาสลบที่ความเข้มข้นสูงๆโดยตรงจากเครื่องดมยาสลบ ยังต้องใช้เวลาเป็นนาทีกว่าจะหลับหรือสลบ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่ยาที่บอกว่าพ่นมาจากช่องแอร์แท็กซี่จะทำให้หมดสติได้ โดยที่คนขับไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน

2. ยาป้าย ถ้าออกฤทธิ์ผ่านผิวหนังทำให้สลบก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากผิวหนังมีชั้นของผิวหนังที่ทำหน้าที่เป็นปราการกั้นยาตามธรรมชาติ ยาที่จะซึมผ่านไปได้นั้นต้องมีความแรงมาก ใช้เวลานาน ในทางปฏิบัติต้องใช้แผ่นแปะยาแบบพิเศษ กว่ายาจะออกฤทธิ์ก็เป็นชั่วโมง การป้ายยาให้คนสลบจึงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากกว่าจะซึมผ่านผิวหนังไปได้ต้องใช้ยาปริมาณมาก รอระยะเวลานาน อีกทั้งยังควบคุมไม่ได้ด้วย ว่ายาจะออกฤทธิ์แค่ไหน อย่างไร

#เภสัชกรอุทัย #utaisuk #urx

แหล่งข่าว: แชร์ว่อน! ด.ช.โดนป้ายยา กลางห้างฯ ย่านบางนา สลบเหมือดนานกว่าชั่วโมง
โดย ไทยรัฐออนไลน์ 4 มิ.ย. 2559 15:08, //www.thairath.co.th/content/631919

แหล่งข้อมูล:

* ยาป้ายแล้วทำให้สลบ หลับ ง่วง มึน ทันที แล้วปลดทรัพย์ไปนั้น มีจริงไหม??? , https://www.facebook.com/216848761792023/photos/a.288208991322666.1073741831.216848761792023/467199376756959/?type=3&theater

* ผู้ช่วยศาสตราจารย์นพมาศ ว่องวิทย์เดชา, ยาสลบ,
//www.healthcarethai.com/ยาสลบ/

* พาณิน อนิลบล, นศพ.ปี 6 ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามาธิบดี,
//www.errama.com/system/spaw2/uploads/files/GHB.pdf

* ยานอนหลับ มีตัวไหนบ้าง ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล ,
//utaisuk.blogspot.com/2013/01/blog-post_4.html

*ยาป้ายสลบ, //www.nightsiam.com/forum/index.php?topic=74.0%3Bwap2

* การระงับความรู้สึกระหว่างการผ่าตัด, //m.dailynews.co.th/Article.do?contentId=232875

* ยาสลบบนรถแท็กซี่ ป้ายยาสลบ มีจริงไหม มาอ่านความคิดเห็นจาก หมอดมยา, เรียบเรียงโดย Health.mthai.com มาบทความจากกระทู้ //pantip.com/topic/30208405 และ //topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2008/12/X7328809/X7328809.htm

* ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวขอเอาเสื้อกาวน์เป็นเดิมพัน!!, //drama-addict.com/2013/11/24/ความจริงมีเพียงหนึ่งเด/

* แท็กซี่อภินิหาร!!, //drama-addict.com/2013/03/31/แท็กซี่อภินิหาร/

................................

https://www.facebook.com/216848761792023/photos/a.288208991322666.1073741831.216848761792023/467199376756959/?type=3&theater

ยาป้ายแล้วทำให้สลบ หลับ ง่วง มึน ทันที แล้วปลดทรัพย์ไปนั้น มีจริงไหม???
#ยาสลบ #ยาป้ายสลบ #ยานอนหลับ #ยาทาให้หลับ #zolam #alprazolam #dormicum #diazepam #sleeping_pill #utaisuk

ถ้ามี ป่านนี้ เภสัชกรไปป้ายสาวๆแล้วอุ้มกลับบ้านไปนานแย้ว

เหตุที่ไม่มีก้อเพราะว่า

1. ยาถ้าจะออกฤทธิ์ผ่านผิวหนังทำให้สลบก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากผิวหนังมีชั้นของผิวหนังที่ทำหน้าที่เป็นปราการกั้นยาตามธรรมชาติ ยาที่จะซึมผ่านไปได้นั้น ต้องมีความแรงมาก ใช้เวลานาน

2. ทำได้ไหม ใช้ยาป้าย ทำได้ครับ แต่ต้องใช้แผ่นแปะยาแบบพิเศษ แบบเอามาแปะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้วก้อรอจนกว่ายาจะออกฤทธิ์ อย่างเร็วก้อเป็นชั่วโมง

การป้ายยาให้คนสลบจึงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากกว่าจะซึมผ่านผิวหนังไปได้ต้องใช้ยาปริมาณมาก รอระยะเวลานาน อีกทั้งยังควบคุมไม่ได้ด้วย ว่ายาจะออกฤทธิ์แค่ไหน อย่างไร พวกแก้งส์เหล่านี้ มันเอามีดจี้ ไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องรอด้วย

credit: ภาพประกอบ จาก เพจ drama addict เจ๋งเป้งๆๆๆ
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10151800424523291&set=a.411063588290.186101.141108613290&type=1&theater

แหล่งข้อมูล

ผู้ช่วยศาสตราจารย์นพมาศ ว่องวิทย์เดชา, ยาสลบ,
//www.healthcarethai.com/ยาสลบ/

พาณิน อนิลบล, นศพ.ปี 6 ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลรามาธิบดี,
//www.errama.com/system/spaw2/uploads/files/GHB.pdf

ยานอนหลับ มีตัวไหนบ้าง ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย โดย เภสัชกร อุทัย สุขวิวัฒน์ศิริกุล ,
//utaisuk.blogspot.com/2013/01/blog-post_4.html

ยาป้ายสลบ
//www.nightsiam.com/forum/index.php?topic=74.0%3Bwap2





 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2552   
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2560 14:33:04 น.   
Counter : 5126 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]