Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

ฟ้องร้องแพทย์ ความยุติธรรมแก่ใคร ฤๅ???

นำมาฝาก ...

//www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act02270152§ionid=0130&day=2009-01-27


วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11280 มติชนรายวัน


ฟ้องร้องแพทย์ ความยุติธรรมแก่ใคร ฤๅ???

โดย "ดุจเดือน"



กฎหมายได้เกิดขึ้นหรือถูกเขียนขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาในสังคมให้เกิดความยุติธรรม

ความยุติธรรมที่กล่าวถึงนี้เป็นความยุติธรรมตามกาละและเทศะ เพราะกฎหมายที่มีความยุติธรรมในยุคหนึ่ง อาจไม่เหมาะสมไม่ยุติธรรมในอีกยุคหนึ่ง เมื่อสถานการณ์ สภาพแวดล้อม เงื่อนไขทางสังคมเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ของสมาชิกในสังคมได้แปรเปลี่ยนไป

ในความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป คำว่ายุติธรรมตามกฎหมาย หมายถึงการให้ความยุติธรรมแก่คู่กรณีแต่กฎหมายบางเรื่องก็เป็นการจัดระเบียบสังคมหรืออำนวยความยุติธรรมแก่สมาชิกในสังคม เป็นการทั่วไปมิใช่เพื่อเพียงการให้ความยุติธรรมแก่คู่กรณีเท่านั้น

ลอร์ดเดนนิ่ง (Lord Denning) ผู้พิพากษาผู้จุดความคิดทางกฎหมายหลายเรื่องของอังกฤษได้กล่าวไว้ในหนังสือ What Next in the Law(1982) ว่า กฎหมายอังกฤษในเรื่องความเสียหายต่อร่างกาย (personal injuries) ล้าสมัย ไม่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะเป็นกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในยุคของการขนส่งโดยม้าและรถไฟ จึงไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นการขนส่งโดยทางรถยนต์ ซึ่งมีผลให้เกิดความตายและความพิการ ผู้บาดเจ็บไม่อาจพิสูจน์ถึงความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงควรนำหลักชดเชยความเสียหายผู้บาดเจ็บ ซึ่งแม้นไม่สามารถพิสูจน์ถึงความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่ได้ หลักนี้เรียกว่าหลักความรับผิดแม้ไม้ผิด (non-fault llability)

เมื่ออ่านความเห็นของลอร์ดเดนนิ่ง อดหวนคิดไม่ได้ว่า กฎหมายอาญาเรื่องความรับผิดต่อการกระทำที่ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยเจตนาหรือโดยประมาท เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับความรับผิดทางการแพทย์ในสถานการณ์ปัจจุบัจของไทยหรือไม่

หลักความรับผิดแม้ไม่ผิด (non-fault liability) ที่นำมาใช้เยียวยาความเสียหายทางแพ่งนั้น มิได้เป็นหลักประกันว่าแพทย์ไม่ต้องรับผิดทางอาญาหรือทางแพ่งแต่อย่างใด

ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยที่ได้รับการเยียวยาความเสียหายมาบ้างตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ยังสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายอื่นได้อยู่


การรักษาผู้ป่วยแล้วไม่ประสบผลสำเร็จตามที่แพทย์ ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยคาดหวังมีสาเหตุหลายประการ อาทิ การดำเนินของโรคเข้าสู่ภาวะวิกฤต ผู้ป่วยถึงแก่ความตายอาจเกิดจากธรรมชาติของโรค เหตุสุดวิสัยทางการแพทย์ ภาวะแทรกซ้อนอาการอันไม่พึงประสงค์ การแพ้ยาอย่างรุนแรงซึ่งแพทย์ไม่รู้มาก่อนหรือเกิดปฏิกิริยาต่อโรค/ต่อยาในลักษณะที่มีอัตราเกิดขึ้นน้อยมาก (rare case) ซึ่งไม่ปรากฏหรือปรากฏน้อยมากในตำราหรือวารสารทางการแพทย์ แพทย์ที่มีความรู้ปฏิกิริยาต่อโรค/ต่อยาในลักษณะ rare case จึงเป็นแพทย์ที่มีประสบการณ์การรักษาที่ได้สั่งสมความรู้จากประสบการณ์

การรักษาโรคในมนุษย์มีความแตกต่างเนื่องจากปัจจัยอื่นๆ มาก ในบางกรณีการแพทย์ก็อธิบายไม่ได้ โดยเฉพาะปัจจัยทางพันธุกรรมที่เป็นเหตุให้ผลการรักษา ไม่เป็นดังคาด

ผลการรักษาพยาบาลมิได้ขึ้นจากตัวบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น ยังต้องขึ้นกับตัวบุคคลผู้ป่วย พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ การบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับสภาวะของร่างกาย ความสม่ำเสมอในการรับประทานยา การออกกำลังกายหรือการทำกายภาพบำบัดและการปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆ ที่ผู้ป่วยหรือญาติผู้ดูแลปฏิบัติมีผลต่อความสำเร็จในการรักษาพยาบาล

พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ได้อธิบายไว้ในบทความหนึ่งว่า แม้ผู้ป่วยจะป่วยด้วยโรคเดียวกัน แต่ระดับความรุนแรงของโรคก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพื้นฐานสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยและความแตกต่างในโรคที่ซ่อนเร้นภายใน (underlying diseases) ในอวัยวะต่างๆ ของผู้ป่วย ที่แพทย์อาจจะตรวจไม่พบในตอนแรกที่พบผู้ป่วย แต่อาการของผู้ป่วยมาแสดงออกในภายหลังจนสามารถตรวจพบได้หลังจากโรคที่เป็นมีอาการรุนแรงขึ้น แม้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันและได้รับการรักษาเหมือนๆ กัน แต่ร่างกายและโรคของผู้ป่วยก็อาจตอบสนองต่อการรักษาไม่เหมือนกัน

ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา เคยกล่าวเปรียบเทียบว่า "รถยนต์เราเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ เหมือนกันได้ แต่คนเราทำไม่ได้ คนสิบคนเป็นโรคเดียวกัน ใช้ยาเหมือนกันขนาดเท่ากัน บางคนดีขึ้น บางคนไม่ดีขึ้น บางคนหายเร็ว บางคนหายช้า บางคนแพ้ยา สิ่งมีชีวิตเอาไปเทียบกับสิ่งไม่มีชีวิตไม่ได้" การใช้หลักเกณฑ์เดียวกันตามข้อแนะนำคู่มือแนวทางต่างๆ ในการรักษาโรคก็ใช้ไม่ได้ผลเดียวกันกับคนไข้ทุกคน

ผู้ป่วยที่มีอาการเหมือนกัน อาจมีสาเหตุมาจากโรคได้หลายโรค เช่นอาการไอเพียงอย่างเดียว ก็อาจมีสาเหตุมาจากโรคได้หลายโรค เช่น หลอดลมอักเสบ วัณโรค ถุงลมโป่งพอง แพ้อากาศ หอบหืดไอกรน มะเร็งปอด

การตรวจรักษาผู้ป่วยของแพทย์จึงเป็นกระบวนการแห่ง "การคาดคะแน" ถึงความจะเป็นไปได้โดยอาศัยหลักการทางการแพทย์และสถิติของโรค ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ในการวินิจฉัยแยกโรคว่า ผู้ป่วยน่าจะมีอาการเหมือนกับเป็นโรคอะไรมากที่สุด แล้วตรวจร่างกายผู้ป่วย

ถ้าผู้ป่วยอาการไม่มากก็จะต้อง "ลอง" รักษาตามความรู้ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ได้เล่าเรียนหรือมีประสบการณ์ในการรักษามาก่อน ต่อจากนั้นก็ติดตามผลและสังเกตอาการว่า การคาดคะเนในการวินิจฉัยและการรักษาโรคนั้นถูกต้องหรือไม่ หากถูกต้องผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น แต่ถ้าผู้ป่วยอาหารไม่ดีขึ้นก็อาจจะเกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่ตอบ สนองต่อยาที่ให้ไปแล้ว แพทย์ก็อาจจะต้องพิจารณาเปลี่ยนยาหรือเปลี่ยนวิธีการรักษาใหม่

ร่างกายมนุษย์ไม่เหมือนเครื่องจักรที่ถอดออกมาดูได้ ความรู้ทางการแพทย์ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลจากเป็นผลจากการศึกษาผู้ป่วยรุ่นก่อนเก็บเป็นข้อมูลและสถิติ การตรวจรักษาผู้ป่วยเป็นจึงการ "คาดคะเนล่วงหน้า" โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยแต่ละคนโดยการใช้ดุลพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษา ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ

แพทย์จึงไม่สามารถแน่ใจ 100% ว่าการวินิจฉัยโรคของตนจะถูกต้อง 100% การรักษาผู้ป่วยตั้งอยู่บนพื้นฐานการใช้ความรู้ ประสบการณ์และดุจพินิจที่ดีที่สุดของแพทย์ผู้รักษา

แพทย์เองก็ประสงค์รักษาผู้ป่วยให้ประสบผลสำเร็จอันเป็นความภาคภูมิใจในการทำงานวิชาชีพ แต่แพทย์ก็ไม่สามารถเลือกผู้ป่วยที่รักษาให้ประสบความสำเร็จสูงสุดได้ในหลายๆ กรณีหลาย โรคสิ่งที่แพทย์รักษาได้ คือ "การบรรเทาทุกข์" ให้กับผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา

ในบางกรณีแม้แต่ในโรงเรียนแพทย์ซึ่งมีแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์ที่ครบครัน ยังพบว่าเมื่อรักษาจนวาระสุดท้ายของผู้ป่วย คณะแพทย์ผู้รักษาซึ่งประกอบด้วยอาจารย์แพทย์ แพทย์ที่ศึกษาเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา (resident) ซึ่งได้มีการปรึกษาร่วมกันรักษา (consult) ระหว่างสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับโรคหลายสาขา ผ่าศพพิสูจน์แล้วยังไม่รู้สาเหตุการตายว่าเกิดจากสาเหตุใด ดังที่นักเรียนแพทย์ได้เรียนใน dead case conference

ในกรณีที่การรักษาผู้ป่วยไม่ประสบผลสำเร็จและนำไปสู่การสูญเสียชีวิตหรือพิการ การสูญเสียชีวิตของผู้ป่วยย่อมนำความเสียใจมาสู่ทุกคน

แพทย์ผู้รักษาเองก็มีความเสียใจที่การรักษาพยาบาลซึ่งเป็นงานวิชาชีพของตนต่อผู้ป่วยรายดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จ


แต่ภาวะที่แพทย์พบผู้ป่วยที่เสียชีวิตเป็นประจำในระหว่างการรักษามาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนแพทย์ได้กลายเป็นสิ่งที่พบเห็นเป็นปกติสามัญในการประกอบวิชาชีพ ทั้งยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่รอการรักษาอยู่ แพทย์อยู่ในภาวะที่ต้องรีบเร่งจึงไม่ได้แสดงการมีส่วนร่วมเห็นอกเห็นใจญาติผู้ป่วยที่เสียชีวิต หรือใช้เวลาสื่อสารกับญาติผู้ป่วยที่เสียชีวิตเท่าที่ควร

ส่วนของญาติผู้ป่วยที่เสียชีวิตก็อาจเข้าใจผิดว่าแพทย์ไม่นำพาต่อการตายของผู้ป่วย แพทย์ละเลยหรือประมาทเลินเล่อในการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วย และก่อให้เกิดการฟ้องร้องคดีขึ้น



แพทย์ผู้รักษาพยาบาลผู้ป่วย ตามความรู้ความสามารถทางการแพทย์ที่ได้ศึกษาร่ำเรียนมา ภายใต้บริบทและศักยภาพของสถานพยาบาลที่แพทย์อยู่ ด้วยข้อจำกัดของเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ในการรักษาพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

ข้อจำกัดของจำนวนแพทย์ที่มีเพียง 2-3 คนต่อหนึ่งโรงพยาบาลที่ต้องดูแลคนไข้นอกที่มารับการรักษา (OPD) ในรายวันประมาณ 200-300 คนต่อวัน

ยังต้องดูแลผู้ป่วยในที่นอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล (IPD) ซึ่งแพทย์ต้องไปตรวจเยี่ยมสังเกตอาการ (round) ทุกวันเพื่อเก็บข้อมูลการดำเนินโรคเพื่อนำไปประเมินและคาดคะเนว่า การรักษาด้วยวิธีใดจะเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อคนไข้มากที่สุด

และยังต้องอยู่เวรรักษาพยาบาลประจำห้องฉุกเฉิน (ER) ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุหรือมีการดำเนินโรคที่รุนแรงขึ้น เพื่อรีบรักษาหรือกู้ชีพ โดยแพทย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นแพทย์ใช้ทุน ซึ่งเป็นแพทย์ที่ประสบการณ์ในการรักษาพยาบาลต่ำกว่า 5 ปี ยังต้องเก็บเกี่ยวสั่งสมประสบการณ์ในการรักษาพยาบาล ในหลายกรณีที่เกิดเป็นข่าวเป็นกรณี rare case อาทิ กรณีแพ้ยาอย่างรุนแรง หรืออาการของโรคแสดงออกในภายหลังเมื่อมีอาการรุนแรง




นอ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ ได้ชี้ให้เห็นในบทความตอนหนึ่งว่า แพทย์ผู้ให้บริการในภาครัฐในโรงพยาบาลระดับอำเภอบางแห่งไม่มีแพทย์หรือมีแพทย์คนเดียว ที่ต้องดูแลผู้ป่วยทั้งใน และนอกในโรงพยาบาลระดับคนไข้ 30 เตียง แพทย์ต้องทำงาน 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน

โดยในโรงพยาบาลระดับอำเภอทั้ง 709 แห่ง (ระดับ 2.1-2.2)
มี 419 แห่ง ที่ขาดแคลนแพทย์ (58%) และ
มี 185 แห่ง ขาดแพทย์ระดับรุนแรง มีแพทย์ประจำการในอัตราที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราบรรจุ

ตัวเลขนี้ยังไม่นับรวมการขาดแคลนพยาบาลและวิชาชีพอื่น สภาพคนไข้ล้นโรงพยาบาลจึงเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในหลายๆ จังหวัด


การฟ้องทั้งทางอาญาและทางแพ่งที่เพิ่มขึ้นก่อให้แพทย์รักษาคนไข้แบบเชิงป้องกัน (defensive medicine) คือ การหาผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยร่วมหาโรคอย่างมากมาย เพื่อให้มีแพทย์ร่วมเป็นพยานและใช้กลไกการวินิจฉัยซับซ้อน หรือใช้ระบบส่งต่อให้โรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าไปรักษาต่อ เพราะแพทย์ไม่อาจแน่ใจในสุขภาพพื้นฐานของผู้ป่วยแต่ละคนที่มารับการรักษา หากมองอย่างผิวเผินดูจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยในการได้รับการรักษาพยาบาลที่ได้รับการตรวจรักษาที่ละเอียดถี่ถ้วนขึ้น


แต่เมื่อพิจารณาในมุมกลับ การรักษาแบบเชิงป้องกันและการส่งต่อ จะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยในภาพรวมของประเทศ ประชาชนจะเสียหายมากขึ้นจากการที่เสียช่วงเวลาดีที่สุดในการรักษา (golden period) จากการรอขั้นตอนมากขึ้นถูกตรวจมากขึ้นเพื่อป้องกันคดี แต่ผลการรักษาอาจกลับแย่ลง หรือแพทย์ต้นทางอันเป็นสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชน (โรงพยาบาลอำเภอขนาด 10-30-60-90 เตียง) เป็นแพทย์ทั่วไปยังไม่ได้ศึกษาต่อเป็นแพทย์เฉพาะทาง หรือเป็นโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทาง แต่มีเครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์และบุคลากรยังไม่พร้อม แพทย์ก็จะปฏิเสธที่จะรักษาผ่าตัดไส้ติ่งหรือทำคลอดด้วยเหตุที่ตนมิใช่ศัลยแพทย์หรือสูติแพทย์หรือมีบุคลากรหรือมีอุปกรณ์ไม่พร้อม ด้วยเกรงว่าตนจะถูกฟ้องร้อง หากการรักษาพยาบาลไม่ประสบผลสำเร็จ จึงส่งผู้ป่วยต่อไป สถานพยาบาลระดับทุติยภูมิ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทั่วไป (โรงพยาบาลอำเภอใหญ่ๆ หรือโรงพยาบาลจังหวัดขนาด 120-150-250 เตียง) หรือสถานพยาบาลระดับคติยภูมิซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ (โรงพยาบาลจังหวัดหรือโรงพยาบาลที่ต้องรับการส่งต่อขนาด 300-500-700 เตียง หรือระดับโรงเรียนแพทย์ขนาด 1,000 เตียงขึ้นไป) ที่มีความพร้อมกว่า

ในขณะที่แต่เดิมแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาแพทย์ทุกคนสามารถผ่าตัดไส้ติ่งหรือทำคลอดได้ แต่ด้วยความเกรงกลัวว่าในกรณีที่การรักษาไม่ประสบความสำเร็จในการรักษา ตนอาจถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้จึงลดความเสี่ยงลงเพราะมิใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

การส่งต่อผู้เชี่ยวชาญจะเกิดขึ้นแบบไม่จำเป็น เพราะแพทย์คุณวุฒิน้อยและประสบการณ์น้อยหรืออยู่ในสถานพยาบาลที่มีศักยภาพไม่เพียงพอจะไม่กล้ารับความเสี่ยง ระบบการส่งต่อจะก่อให้เกิดการรักษาที่ล่าช้ากว่าเดิมจากกลไกการเดินทาง การส่งต่อ ความคับคั่งในระบบผู้เชี่ยวชาญที่ผู้ป่วยต้องรอคิวในการรักษายาวขึ้น

ผู้ป่วยอาจจะเกิดความเสียหายและเสียช่วงเวลาดีที่สุดในการรักษามากขึ้น



ในขณะที่ยังไม่มีกฎหมายเรื่องความรับผิดทางการแพทย์ใช้บังคับเป็นการเฉพาะ กฎหมายที่จะนำมาใช้บังคับการพิจารณาว่าแพทย์จะต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่ คือ ประมวลกฎหมายอาญา โดยพิจารณาว่าการรักษาพยาบาลของแพทย์นั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาหรือประมาทหรือไม่

การพิจารณาความรับผิดทางอาญาจึงควรจะพิจารณาจากสภาพแวดล้อมของสถานพยาบาลภายในบริบทที่รัฐเป็นผู้กำหนด มาตรฐานขั้นต่ำในการรักษา (ซึ่งไม่อาจจะนำมาตรฐานของโรงเรียนแพทย์เป็นมาตรฐานของการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลทั่วไป เพราะมีความแตกต่างในเรื่องสาขาความเชี่ยวชาญของแพทย์และเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ) ระยะเวลา ความจำเป็นเร่งด่วนในการรักษาชีวิตผู้ป่วยในช่วงเวลาได้ที่สุดในการรักษา (golden period) ตามหลักวิชาการ ประสบการณ์และระยะเวลาในการปฏิบัติวิชาชีพของแพทย์

หากการฟ้องร้องแพทย์อันเนื่องมาจากการรักษาพยาบาลผู้ป่วยแล้วไม่ประสบผลสำเร็จในการรักษาพยาบาล โดยแพทย์ผู้รักษาไม่ได้ปฏิบัติภายในกรอบและเงื่อนไขที่วิชาชีพกำหนดไว้ ละเลยหรือประมาทในการรักษาพยาบาล เมื่อพิจารณาประกอบกับเงื่อนไขและปัจจัยต่างๆ ดังที่ข้างต้นแล้ว หากแพทย์ผิด แพทย์ก็สมควรถูกลงโทษตามกฎหมาย

หากแพทย์ได้รักษาโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานการประกอบวิชาชีพแล้วตามหลักวิชาการโดยสุจริตแล้ว ภายใต้และสภาวะเงื่อนที่รัฐเป็นผู้กำหนด การรักษาเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยแล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จตามความคาดหวังของญาติ และมีการฟ้องร้องที่เพิ่มขึ้นอยู่ต่อไป โดยไม่ได้พิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ตามสภาวะและเงื่อนไขของโรงพยาบาล และสภาวะการดำเนินโรคหรือความเร่งด่วนในการรักษาพยาบาล แพทย์ก็เป็นปุถุชนในสังคมที่ต้องการความเป็นอยู่ที่สบายใจทั้งตนเองและครอบครัว แพทย์ย่อมต้องแสวงหาที่อยู่ที่ทำงานที่มีความพร้อมทั้งในเรื่อง ยา อุปกรณ์การรักษา บุคลากรทางการแพทย์ ความมั่นคงปลอดภัยในการทำงาน ความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้องที่ต่ำกว่าเป็นธรรมดา

เมื่อถึงเวลานั้นการขาดแคลนแพทย์ที่ชนบทห่างไกลยิ่งมากขึ้น ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ก็คือ ประชาชนในชนบท ด้วยปัจจัยสถานพยาบาลขนาดเล็กที่ไม่มีความพร้อมดังเช่นสถานพยาบาลในเมืองใหญ่ ระยะทางที่ห่างไกลในการนำผู้ป่วยส่งเข้ามายังเมืองใหญ่ หากผู้ป่วยเกิดเจ็บป่วยในเวลาดึกดื่นค่ำคืนที่ไม่อาจหารถนำส่งผู้ป่วยมายังโรงพยาบาลได้ หรือเมื่อส่งต่อมาถึงโรงพยาบาลขนาดใหญ่แล้วแต่ไม่มีห้องหรือไม่มีแพทย์เพียงพอ เพราะผู้ป่วยที่ถูกส่งต่อมีจำนวนล้นหลามเกินกำลังของแพทย์ที่จะรักษาได้ทันการ

การกำหนดความรับผิดชอบทางอาญาในทางการแพทย์จึงต้องสร้างสมดุลระหว่างการให้ความยุติธรรมแก่คู่กรณี และการให้ความยุติธรรมแก่บุคคลในสังคม



หมายเหตุ ข้อมูลบางส่วนที่เรียบเรียง บทความนี้มาจาก

"บทวิเคราะห์ ผลกระทบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดี ผู้บริโภค พ.ศ.2551 กับวิชาชีพสุขภาพ" โดย นอ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ และ

"ประเทศชาติและประชาชนเสียอะไรถ้าใช้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคกับการบริการทางการแพทย์" โดย พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา








เอามาแบ่งกันอ่าน ...

เป็นข้อมูล ความเป็นจริง อีกด้าน ... ที่ บางท่าน อาจยังไม่ทราบ ...

" การตรวจรักษาผู้ป่วยเป็นจึงการ "คาดคะเนล่วงหน้า" โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ มาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วยแต่ละคนโดย การใช้ดุลพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษา ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ

แพทย์จึงไม่สามารถแน่ใจ 100% ว่าการวินิจฉัยโรคของตนจะถูกต้อง 100% การรักษาผู้ป่วยตั้งอยู่บนพื้นฐานการใช้ความรู้ ประสบการณ์และดุจพินิจที่ดีที่สุดของแพทย์ผู้รักษา

แพทย์เองก็ ประสงค์รักษาผู้ป่วยให้ประสบผลสำเร็จ อันเป็นความภาคภูมิใจในการทำงานวิชาชีพ แต่แพทย์ก็ไม่สามารถเลือกผู้ป่วยที่รักษาให้ประสบความสำเร็จสูงสุดได้ ใน หลายๆ กรณีหลาย โรคสิ่งที่แพทย์รักษาได้ คือ "การบรรเทาทุกข์" ให้กับผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา "


ประโยคนี้ คือ ความเป็นจริง ของ การทำงาน ของแพทย์ ... ที่ต้อง พบเจอ อยู่ทุกวัน ... ถึงมีคำกล่าวที่ว่า " ไม่อะไร ๑๐๐ % ใน เมดิซีน "




 

Create Date : 28 มกราคม 2552   
Last Update : 28 มกราคม 2552 19:22:30 น.   
Counter : 3064 Pageviews.  

นศ.แพทย์ เจอดี! ประชาชนฟ้อง ฉีดยาชุ่ย! ฆ่าทารก !

เป็นความเห็น ที่ได้มาจากกระทู้ ในห้องสวนลุม ... มีมุมมอง ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจ หลายอย่าง เลยขอเอามาเก็บไว้ซะหน่อย ...

นศ.แพทย์ เจอดี! ประชาชนฟ้อง ฉีดยาชุ่ย! ฆ่าทารก !

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7451190/L7451190.html#22




สามีแจ้งความนศ.แพทย์ฉีดยาให้ภรรยาสาวจนแท้งลูก [23 ม.ค. 52 - 17:20]

วันนี้ (23 ม.ค.) นายรังสรรค์ สีนิ่ม อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34 ม.4 ต.เข้าค้อ อ.เข้าค้อ จ.เพชรบูรณ์ เข้าแจ้งความ กับ พ.ต.ท.ภูธเนษฐ์ กระจ่าง สารวัตรสอบสวน สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ จ.ปทุมธานี ว่านางสาวรินทร์นรา พลางวัน อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 ม.10 ต.ตาดทอง อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ภรรยาได้ตั้งครรภ์มา 5 เดือน โดยฝากครรภ์กับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งย่านรังสิต โดยวันที่ 25 ธ.ค. 2551 และหมอได้นัดตรวจครรภ์ ในวันที่ 15 ม.ค. 2552 ได้มาตรวจตามนัด โดยหมอได้สั่งใบสั่งยาให้ไปฉีดยากันบาดทะยัก ซึ่งมีนักศึกษาแพทย์เป็นคนฉีดยาให้ หลังฉีดเสร็จได้กลับบ้านพัก แต่อาการของนางสาวรินทร์นรา ได้เกิดอาการอ่อนเพลีย เด็กในครรภ์ไม่ดิ้น และไม่มีอาการตอบสนองเวลากดท้อง และอ่อนเพลียตลอดเวลา



นาย รังสรรค์ กล่าวต่อว่า จึงได้พาภรรยาไปหาแพทย์ที่ รพ.ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ในวันที่ 21 ม.ค. ทางแพทย์ได้ทำการตรวจและได้อัลตราซาวด์ตรวจสอบดู พบว่าทารกในครรภ์เสียชีวิต ต้องนำทารกออจากครรภ์มารดา จะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนเงิน 7,000 บาท แต่ไม่มีเงินพอค่ารักษาพยาบาล และภรรยาหลังตั้งท้องได้ลาออกจากงานมาพักอยู่ที่บ้านเช่า แต่ยังมีประกันสังคมของโรงพยาบาลปทุมเวชอยู่จึงได้ขอย้ายมารักษาตัวและเอา เด็กออกที่ รพ.ปทุมเวช เมื่อเวลา 21.00 น.คืนวันที่ 22 ม.ค. โดยแพทย์ได้เหน็บยามารดานำทารกออกจากครรภ์ ทราบว่าเป็นเพศชาย ทำให้ตนและภรรยาติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของทารก



ด้านพ.ต.ท. ภูธเนษฐ์ ได้ให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู นำทารกส่งนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตของทารกว่า เกิดจากผลการฉีดยาเกินขนาดเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมาหรือไม่ และอย่างใด จนกว่าผลการชันสูตรออกมาก่อนจึงจะดำเนินการได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรแน่ และพ่อแม่เด็กได้ร้องทุกข์รับแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว

จากคุณ : vierzig - [ 23 ม.ค. 52 18:07:17 ]


ความคิดเห็นที่ 1
คนพาดหัวข่าว ก็ตั้งกันไป

จากคุณ : 1 - [ 23 ม.ค. 52 18:28:10 A:203.155.206.110 X: TicketID:070680 ]



ความคิดเห็นที่ 2
ใครอ่านกระทู้นี้แล้วแท้งบุตร ก็อย่าลืมโยงว่ากระทู้นี้เป็นเหตุแห่งการแท้งบ้างนะครับ

เอ้า ตาสว่างกันหน่อยชาวบ้าน

1. จงค้นหาข้อมูล เทคนิคการฉีดยาบาดทะยักให้แท้งบุตร ตามตำราหรืออินเตอร์เน็ตเล่นๆ

2. วันที่ 15 ม.ค. 51 มาตรวจ ฉีดยา ตกเย็นลูกไม่ดิ้น (ลองหาข้อมูลตามเนตดูบ้างว่า ลูกไม่ดิ้นเกิดจากอะไรได้มั่ง และควรปฎิบัติอย่างไร หรือใครอ่านกระทู้นี้เป็น แต่ค้นเนตไม่เป็น ลองเดินไปรพ.ใกล้บ้าน ขออ่านสมุดฝากครรภ์ ดูคำแนะนำดูได้ทุกรพ. รับรองมีคำแนะนำเรื่องนี้แน่)

วันที่ 21 ม.ค. 51 หรือ 6วันถัดมา... จึงมาตรวจ

หมอฉีดยาชุ่ย ????
หรือปฏิบัติตัวในระหว่างตั้งครรภ์แบบชุ่ยๆ???? ให้ลูกตนเองตาย

ใครมีสติก็คิดเอา

จากคุณ : natefang - [ 23 ม.ค. 52 18:51:18 ]





ความคิดเห็นที่ 3

เห็นหัวข้อแล้ว ...


คงมีคน มาร่วมประนาม ด้วยอีกแหงม ๆ ...

แล้วก็จะมีคนมาบอกว่า " หมอก็ต้องเข้าข้างพวกเดียวกันเอง " ... หมอทำอะไรไม่เคยผิด ฯลฯ


แต่ ที่ห้องนี้ ก็ยังดี ที่มีคนมาช่วยเตือน ให้สติ .... คิดก่อนที่จะเชื่อ ....


ค่อย ๆ คิด ก่อนที่จะเชื่อ ....


นอกจาก ดูแลเอาใจใส่ กับ ผู้ป่วย และ ญาติ แล้ว

ก็ได้แต่หวังว่า คงมีคนดูแลน้อง นศพ. คนนั้น .... ป่านนี้ ก็คงแย่ เหมือนกัน ...

จากคุณ : หมอหมู - [ 23 ม.ค. 52 19:03:53 ]





ความคิดเห็นที่ 4

แต่คนที่เป็นชาวบ้านๆ บางครั้งเค้าก็อาจจะไม่เข้าใจนะครับ ตอนนี้เรื่องถูกแจ้งความก็คงต้องเป็นหน้าที่ของหมอที่ออกมาชี้แจงให้เข้าใจ

....แต่ความซวยก็คงไม่พ้นหมอที่โดนตราหน้าไปซะเรียบร้อยแล้ว...

จากคุณ : Dr. Doggy - [ 23 ม.ค. 52 19:14:15 ]





ความคิดเห็นที่ 5

คุณหมอหมูนี่ดุจังครับ ผมแอบเห็นหลายกระทู้แล้ว


แต่ถึงยังไง

ขอบอกครับว่าแอบปลื้มอยู่ 555+

ดูเก่งดี

จากคุณ : โน้ตตัวที่สี่ - [ 23 ม.ค. 52 19:32:50 ]



ความคิดเห็นที่ 6

สื่อมวลชนมันก็งี้ อะไรขายได้ มันก็ออกโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ
ชาวบ้านเข้าใจผิด ก็น่าจะให้อภัย เพราะเห็นว่าการศึกษาน้อย ไม่ค่อยมีความรู้
แต่ ไอ้พวกเขียวข่าวเนี่ย การวิเคราะห์ จรรยาบรรณ ไม่ยอมเอาออกมาใช้ ต้องการแต่เงินๆๆ อย่างเดียว แถมประเทศเราก็แปลก มักจะอุดหนุนสื่อจำพวกที่เขียนข่าวหวือหวา แต่ใจความนั่งเทียนมาเขียนอยู่เรื่อย

จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 23 ม.ค. 52 19:54:32 ]




ความคิดเห็นที่ 7

คห.4
ออกมาชี้แจง เอาหลักฐาน การวิจัยมาดู ก็คงบอกว่าหมอเข้าข้างกันแหงๆ อีกตามเคย
ผมเคยพูดไว้ว่า ถ้าหมอมันชั่ว มันไม่มีจรรยาบรรณ แล้วจะมาให้หมอรักษาทำไมกันล่ะครับ..

จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 23 ม.ค. 52 19:55:49 ]





ความคิดเห็นที่ 8

ไม่เคยโพสต์ห้องนี้เลย
ขอหน่อยค่ะ เห็นด้วยกับคุณหมอก้อนหิน
ที่ว่า มาว่าหมอชั่ว หมอเลว มาให้หมอรักษาทำไม
เราว่าบางทีตัวเองปฏิบัติตัวไม่ถูกเองต่างหาก แล้วชอบโทษหมอ
สรุปคือ เป็นหมอ นี่ต้องผิดตลอดเลยเหรอคะ เห็นใจคุณหมอทุกท่านค่ะ

ปล. หนูไม่ใช่หมอนะคะ หนูก็แค่มนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง

จากคุณ : Assasin Lady - [ 23 ม.ค. 52 20:11:23 ]





ความคิดเห็นที่ 9
...

แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 52 21:25:37

จากคุณ : vierzig - [ 23 ม.ค. 52 20:39:39 ]





ความคิดเห็นที่ 10

รอผลการตรวจพิสูจน์ก่อน อย่าเพิ่งแห่ตาม


หนังสือพิมพ์ไม่พาดขา เอ๊ย.พาดหัวแบบนั้น ก็ไม่ได้ยอดขายสิ


ดูแต่ บิ๊กแอ๊ด ดิ ถึงวันนี้มีกี่คนที่รู้ว่า ไม่ใช่


ถูกรุมประนามไปทั่วประเทศฟรีๆ

จากคุณ : samr - [ 23 ม.ค. 52 21:35:46 ]





ความคิดเห็นที่ 11

หมอเรียนมาเหนื่อยแทบตาย

6 ปี แห่งความทรมาน

อยู่เวรข้ามวันข้ามคืน

การปฏิบัติดูเเลคนไข้ก็ต้องทำเต็มที่ ตามมาตรฐาน

ให้ดีที่สุด

ผลประโยชน์เพื่อใครกันล่ะ

ก็เพื่อคนไข้ ให้หายจากโรค หายจากความทุกข์ทรมาน

หมอห่วงคนไข้เสมอเเหละ

เเต่พอจะฟ้องทีนี่ไม่ห่วงหมอเลย

หลายคนคิดว่าหมอเงินเยอะ

ฟ้องไปก็ไม่เสียหายอะไรมาก

เเต่คุณคะ เเค่ชื่อหมอออกมาเเผ่หลาตามข่าว

ว่าหมอเเย่ หมอชุ่ย

เเค่นั้นหมอก็หมดอนาคตเเล้วค่ะ

ที่เหนื่อยมาทั้งหมดเพื่ออะไรกัน


เป็นอาชีพที่จะย่ำเเย่ลงทุกวันเเล้วนะคะ

ถ้าไม่ได้มาเรียนหมอกัน ก็คงไม่เข้าใจค่ะ

หมอก็เป็นคนค่ะ

คนมีทั้งคนดีเเละไม่ดี

คนที่ผิดก็คือผิด คนไม่ผิดก็ไม่ผิดค่ะ

การที่ว่าหมอเข้าข้างกันเองเนี่ย เป็นคำฮิตติดปากคนทั่วไปมาก

เเล้วใครจะเข้าใจหมอกัน ถ้าไม่ได้เรียนมาเหมือนกัน

หลายครั้งที่หมอทำถูกต้องดีเเล้ว

หมอด้วยกันเองมาตรวจสอบเค้าก็ทำถูกต้องค่ะ

ตามมาตรฐานทั้งหมด มาตรฐานระดับโลกที่ทำเหมือนกันทุกที่

เเล้วคนทั่วไปทราบวิธีการ ทราบมาตรฐานนี้มั้ย ก็ไม่


หมอมีสิทธิ์ที่จะโดนฟ้องอยู่ตลอดเวลา

เมื่อก่อนคนไข้เห็นหมอเป็นเทวดา

เเต่เดี๋ยวนี้ก็คงไม่ต่างกับผู้ขายบริการ

จนไม่กล้าจะกระดิกตัวอะไรกันเเล้วค่ะ


อยากให้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนจัง

อยู่บนพื้นฐานเเห่งความเชื่อใจ เเละศรัทธาในวิชาชีพนี้


เข้ามาบ่นให้ฟังเฉยๆค่ะ

จากคุณ : redcarpetkorn - [ 23 ม.ค. 52 22:40:20 ]




ความคิดเห็นที่ 12

เอางี้แล้วกันครับ
ต่อไป ถ้ามีใครเสียชีวิตในประเทศไทย
ให้ไปดูว่าในช่วงสามปีก่อนตาย ไปหาหมอ เห็นหน้าหมอ หรือคุยกับหมอมาก่อนไหม

ถ้าเคย
ถือว่าหมอเป็นฆาตกรจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช่
ทั้งนี้ความเห็ฯทางการแพทย์ทุกชนิดให้ถือว่าแพทย์เข้าข้างกันเอง ยกเว้นความเห็นที่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ ให้ถือว่าถูกต้อง

จากคุณ : หมอแมว - [ 23 ม.ค. 52 22:41:15 ]




ความคิดเห็นที่ 13

ก่อนจะบ่น ขอบรรยายก่อน

ผมสงสารทั้งพ่อและแม่เด็กเหมือนกันนะ จะให้มาทำใจยอมรับว่า อยู่ๆ ลูกของตนก็เสียชีวิต ก็คงเศร้าเหมือนกัน
คุณแม่อายุ 19 เองนี่ อาจจะยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการตั้งครรถ์มาก่อน ก็พยายามดูแลกันไป
อยู่ๆ ลูกในครรถ์ก็มาเสียชีวิต คงทำใจไม่ได้ ก็พยายามฟาดงวงฟาดงาหาสาเหตุแหละครับ
จะให้มาโทษตัวเองเลยก็ยังไงๆ อยู่ ก็คงโทษรอบข้างกันไปก่อน
เพิ่งไปตรวจมาด้วย ไอ้นี่แน่เลย ต้องไอ้นี่แน่ๆ ความจริงจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ต้องโทษมันก่อนเลย

เด็กไม่ดิ้นวันที่ 15 แล้วก็ไม่กล้าทำอะไร อาจจะไม่รู้ว่ามันฟังดูอันตราย ก็เลยช่วยเหลือช้าไป
กว่าจะไปตรวจอีกทีก็เกือบสัปดาห์นึงแล้ว เฮ้อ ผมสงสารเหมือนกันนะ

แต่ไอ้จะมาโทษว่าเป็นจากการฉีดยากันบาดทะยัก ปริมาณประมาณ 1 cc เนี่ย เฮ้อ
มันทำร้ายจิตใจคนกันเกินไปหรือเปล่า
ใจคอไม่คิดบ้างเลยหรือว่าเขาทำไปเพราะเขาอยากให้คุณแม่และคุณลูกปลอดภัยจากโรคร้าย
การฝึกฝนและการสั่งสอนในโรงเรียนแพทย์ที่ผ่านมา 6 ปี ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกว่าเขาพยายามทำทุกอย่างอย่างดีที่สุดเลยใช่มั๊ย
คุณถึงคิดว่า การฉีดยาเข็มเล็กๆ ที่ผิวหนัง 1 ครั้ง จะทำให้ลูกคุณตาย

บ่นไม่ถูก พอแล้ว เซ็ง

จากคุณ : มาม่าไข่มะตูม - [ 23 ม.ค. 52 23:29:06 ]





ความคิดเห็นที่ 14

อยากให้ฟ้องกลับครับ

จากคุณ : kkcontrol - [ 24 ม.ค. 52 00:18:04 ]





ความคิดเห็นที่ 15

อยากประนามหนังสือพิมพ์มากกว่าครับ

จากคุณ : ปีกแดง - [ 24 ม.ค. 52 00:26:14 ]





ความคิดเห็นที่ 16

พาดหัวข่าวไปนั่น...

แม่เด็กเป็นโรคอะไรอยู่รึเปล่า...
ช่วงนั้นไปทำอะไรหนักๆที่มีผลกระทบกับครรภ์รึเปล่า...
...
...
...

แม่เด็กอ่านหนังสือพิมพ์แล้วสะเทือนใจกับการพาดหัวข่าวเกินไปรึเปล่า...

ปลง...

จากคุณ : Wizard. - [ 24 ม.ค. 52 00:33:59 ]





ความคิดเห็นที่ 17

ขอฟ้องสื่อกลับได้มั้ย

พาดหัวข่าวได้ "เกรียน" มากๆ

//www.google.co.th/search?q=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%81+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3&ie=utf-8&oe=utf-8&aq=t&rls=org.mozilla:en-US:official&client=firefox-a

หาให้เลย การ Search Google เกี่ยวกับ วัคซีนบาดทะยักและการแท้งบุตร

แถมให้อีก 1 อัน เป็นภาษาอังกฤษ Tetanus Toxoid + Abortin

//www.google.co.th/search?hl=th&client=firefox-a&rls=org.mozilla%3Aen-US%3Aofficial&hs=XHl&q=Tetanus+Toxoid%2BAbortion&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2&meta=

แล้วแถมให้อีก 1 อัน การฉีดวัคซีนบาดทะยักในหญิงมีครรภ์
//www.google.co.th/search?hl=th&q=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%89%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A0%E0%B9%8C&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2+Google&meta=&aq=0&oq=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%89%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%84%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%81

ช่วยกรุณาเอาไปส่งให้บรรณาธิการสื่อแห่งนั้นทีเถอะครับ

จะได้ตาสว่างบ้าง

แล้วอีกอย่าง Tetanus Toxoid เป็นการฉีดเข้างทางกล้ามเนื้อนะครับ ซึ่งส่วนมากจะฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อตรงหัวไหล่

นศ.พ.ชั้นคลินิก ทุกคน

ฉีดเป็นแน่นอนครับ

จากคุณ : Umiki - [ 24 ม.ค. 52 01:07:21 ]





ความคิดเห็นที่ 18

ไม่อยากอ่านข่าวแบบนี้อีกแล้ว จะร้องไห้ บั่นทอนจิตใจจัง

เรา เลือกเรียนผิดสายหรือเปล่าเนี่ย ที่คิดจะทำงานด้านสายสุขภาพ ปีนี้ก็อาจจะขอจบได้แล้วแท้ๆ ไม่อยากทิ้งไปเริ่มสายอื่นใหม่เลย เคยคิดตอนเรียนว่า เรียนจบ สอบได้ใบประกอบโรค จะมาทำงานด้านจิตบำบัด แต่ตอนนี้ชักไม่อยากทำแล้วซิ งานที่ต้องพบปะคนอื่น เห็นคนโดนร้องเรียนกันเยอะจัง ทั้งพยาบาล เจ้าหน้าที่ แพทย์

แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 52 01:28:55

จากคุณ : ขี้เหงา...เอาแต่ใจ - [ 24 ม.ค. 52 01:25:04 ]





ความคิดเห็นที่ 19

อันนี้ไม่เกี่ยวกับกระทู้ แต่อยากแจกแจงเรื่องสื่อกับข่าวหน่อยนะครับ

หลังจากดูคุณหมอสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์คุณสรยุทธเรื่องขลิบเมื่อเย็นแล้ว
ฟังแล้วขนาดผมเป็นหมอเองยังรู้สึกว่าอาจารย์ตอบได้ไม่ดีเลยครับ
ตอบไม่ตรงคำถามและพาเข้ารกเข้าพงอีกต่างหาก
แถมทำให้คนดูทางบ้านยิ่งมองภาพพจน์หมอตกลงไปอีก
จริง ๆ เรื่องนี้มันเหตุสุดวิสัยตามที่ทุกคนรู้เหมือนอาจารย์รู้
แต่แค่คำขอโทษคำเดียว อาจารย์กลับไม่พูดแต่ตอบไปเกือบสิบนาทีโดยไม่หลุดคำนี้มาเลย ทั้งที่หมอเจ้าของคลีนิคเค้าก็พร้อมรับผิดชอบ
เลยทำให้หลาย ๆ คนดูแล้วยิ่งเครียดนะครับ

รู้ว่าโพสเสร็จ ต้องโดนถล่มแน่ ๆ แต่ก็ยอมครับ
แต่อยากให้หลาย ๆ คนใจเย็น ๆ ก่อน เพราะต้องแยกเป็นเรื่อง ๆ นะครับ


1. ในรายนี้ ปัญหาเกิดที่การสื่อสารจริง ๆ คือหมอเขียนอย่าง พยาบาลอ่านไปอีกอย่าง สุดท้ายน้องก็เลยเจ็บตัวไปและไม่หายปากเจ็บ ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่สามารถฟ้องร้องคนทำได้นะครับ ถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายแม้จะไม่เจตนาก็ถือว่าเป็นคดีอาญาครับ แต่ถ้ามีเวชระเบียนที่ยืนยันว่าหมอเขียน excision จริง ๆ งานนี้คนที่โดนคือพยาบาลครับ เพราะหมอตามหลักการก็ถือว่าสั่งการรักษาถูกต้อง แต่คนรับคำสั่งแปลความหมายผิด (จากที่คุณหมอเองก็บอกตั้งแต่วันแรกแล้วว่าง่วงนอน แต่คุณแม่เด็กอยากให้รักษา คุณหมอเลยเขียนคำสั่งการรักษาไปให้เจ้าหน้าที่ทำให้ แต่คนอ่านดันเข้าใจไปอีกทาง)

2. หลายคนบอกว่าหมอก็ผิดที่ปล่อยให้พยาบาลทำ พยาบาลจะมาผ่าตัดได้อย่างไร อันนี้ต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่าพยาบาลที่ผ่านการอบรมมาแล้วอีกขั้นนึงหรือที่เรียกว่าพยาบาลเวชปฏิบัติ สามารถทำการผ่าตัดได้นะครับ เย็บแผล ฉีดยาได้หมด ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะตามปกติโรงพยาบาลที่ตองเปิดตลอด 24 ชั่วโมง และมีหมอไม่พอที่จะอยุ่เวรทั้งวันทั้งคืนได้ ก็อาศัยพี่ ๆ พวกนี้แหละครับ ช่วยทำการรักษาในคนไข้ที่ดูแล้วว่าไม่รุนแรง

3. หลายคนก็คงถามอีก ว่าแล้วการขลิบนี่นะ เป้นการผ่าตัดเล็กที่พยาบาลทำได้ อันนี้ต้องไปดูตามต่างจังหวัดเลยนะครับ ว่าเวลาที่มีการทำสุหนัดหมู่ของอิสลามตามมัสยิดนี่ ก็อาศัยพี่ ๆ พยาบาลที่ได้รับการฝึกนี่แหละครับ เป็นคนทำให้ โดยถือว่าเป็นเรื่องปกติเลยครับเวลาได้รับการติดต่อจากพวกกรรมการอิสลาม เพราะเด็ก 70 กว่าคน หมอมี 3 คน ยังไงก็ทำไม่ทันในหนึ่งวัน ก็ต้องอาศัยพี่ ๆ พวกนี้แหละครับ และบางคนยังทำเก่งกว่าหมอด้วยซ้ำ เพราะหมอบางท่านเพิ่งจบใหม่ นาน ๆ เย็บแผลที กับพี่พยาบาลที่เย็บแผลคนไข้มา 10 กว่าปี ประสบการณ์เชี่ยวชาญกว่าเยอะครับ อีกอย่างในรายนี้พอพยาบาลอ่านปุ๊บ ก็ทำให้ปั๊บ ก้แสดงว่าต้องเคยทำการผ่าตัดแบบนี้มาก่อน ถึงกล้าทำ เหมือนคนทั่วไปถ้าขับรถไม่เป็น แล้วมีคนโยนกุญแจให้ คุณจะกล้าขับหรือครับ

4. หลายคนออกมาบอกว่า คำว่า excision ที่แปลว่าตัด กับ circumcision ที่แปลว่าขลิบ ต่างกันตั้งเยอะ จะทำผิดได้อย่างไร คำตั้ง 3 กับ 4 พยางค์แต่ต้องอย่าลืมนะครับว่าเวลาเขียนด้วยลายมือหวัด ๆ นี่คล้ายมากนะครับ ยิ่งถ้าใครเคยเห็นใบสั่งยาหมอนี่จะรู้เลยว่าลายมือหวัดแค่ไหน ซึ่งพบได้มากตามโรงพยาบาลต่างจังหวัดที่คนไข้เยอะ ๆ หมอก็รีบ ๆ ตรวจ ก็เลยติดเขียนหวัดเป็นนิสัย บางทียิ่งย่อยิ่งสั้น ยิ่งในคนไข้รายนี้ผมว่าหลังจากพยาบาลเห็น order แล้ว พออ่านเป็น circumcision ที่แปลว่าขลิบ และพอให้เด็กถอดกางเกงก็คงพบว่ามีหนังหุ้มอยู่ ก็เข้ากันได้กับคำสั่งการรักษา ก็เลยขลิบให้เด็กซะ เลยเป้นปัญหาอย่างคดีนี้ครับ

5.หรือเป็นการโยนความผิดให้พยาบาลหรือ ไม่ อันนี้ถ้าตามดูข่าวตั้งแต่วันแรก(ลองค้นดูนะครับ) ไม่มีใครบอกว่าหมอเจ้าของคลีนิคเป้นคนขลิบนะครับ เพราะแม่เด็กก็บอกว่าพอให้เด็กตรวจเสร็จ หมอก็สั่งการรักษา แม่ก็มารอด้านนอก จากนั้นเด็กก็ร้อง แม่ก็มาเจอ ก็ไปแจ้งความ หมอเจ้าของคลีนิคทราบเรื่องก็รีบไปพบตำรวจเพื่อขอรบผิดชอบ โดยบอกชื่อจริง นามสกุลจริงเรียบร้อย แต่ไม่ได้แจ้งชื่อผู้ที่ทำการผ่าตัด พร้อมยินยอมชดใช้ค่าเสียหายทุกอย่าง ดังนั้นคนที่ทำการผ่าตัดไม่ใช่หมอแน่ครับ

6.แล้วงานนี้แพทยสภาออก มาปกป้องหมอกันเองหรือไม่ ก็ถ้าพูดตามสิ่งที่เกิดจริง ๆ จะให้ลงโทษหมอตามข้อไหนครับ วินิจฉัยผิดก้ไม่ใช่เพราะก็บอกว่าเป็นฝีที่ปาก สั่งการรักษาผิดก็ไม่ใช่เพราะถ้าสั่งให้ excision ฝีที่ปากมันก็ถูกตามตำราการรักษา ใช้คนผิดก็ไม่ใช่เพราะพยาบาลก็ทำการผ่าตัดได้ แล้วถ้าพยาบาลอ่านผิดนี่หมอต้องติดคุกหรือครับ ซึ่งก้ไม่ make sense นะครับ แต่ถามว่าหมอต้องรับผิดชอบไหม อันนี้สิครับถึงจะถูก หมอต้องรับผิดชอบแน่นอนครับเพราะเหตุเกิดในคลีนิค หมอต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว และตามข่าวหมอก็เข้าคุยกับคุณแม่ของน้องตั้งแต่วันแรกด้วยซ้ำ ก็ขอโทษและพร้อมรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นในคลีนิคทุกอย่าง แต่พอมาบอกสังคมกลับกลายเป็นแพทยสภาปกป้องกันเอง ก็อย่างที่เล่าครับว่าความผิดพลาดในการสื่อสาร คนส่งกับคนรับเข้าใจไม่ตรงกัน จะต้องให้แพทยสภาทำอย่างไรครับ บอกว่าผิดมหันต์ จำคุกตลอดชีวิตให้สะใจหรือ ถึงจะว่าแพทยสภาเข้าข้างประชาชน

7. สื่อสารมวลชนบ้านเราหรือเปล่าครับที่เป็นปัญหา เช่นไทยรัฐพาดหัวหมอชุ่ย ทั้งที่ไม่รู้ว่าหมอทำหรือเปล่า อีกฉบับบอกขริบชุ่ย ทั้งที่เนื้อข่าวก็ไม่ได้บอกว่าแผลมีปัญหาเพียงแต่ทำผิดวัตถุประสงค์ หรือบอกว่ากลัวเด็กมีปมด้อย แต่ทั้งพวกเล่าข่าวนี่คุยกันเป็นเรื่องตลก ช่องสามก็คุณสรยุทธถามย้ำอยู่สามรอบ ช่องเก้าคุณกนกก็เฮฮาในคนเล่าข่าวทั้งสีหน้าและน้ำเสียง แถมย้ำแล้วย้ำอีก เด็กเค้าจะได้เกิดเข้าวงการก็เพราะคุณ ๆ พวกนี้ไม่ใช่หรือครับ นี่หรือคือการเสนอแบบสร้างสรรและปกป้องเด็ก


ผมบอกเสมอว่าถ้า ความผิดที่เกิด ถ้าเกิดจากประมาทจริง เช่น ลืมเครื่องมือไว้ในท้อง หรือถ้าจะผ่าแขนซ้ายกลายมาผ่าแขนขวา ผมยินดีที่ต้องฟ้องหมอครับ และจะเป็นพยานให้ด้วยว่าหมอชุ่ยจริงให้เอาหนัก ๆ ไม่เข้าข้างกันเองแน่นอนครับ
จรรยาบรรณหมอและพยาบาลต้องมีครับ หมอแย่ ๆ ก็เยอะ อันนี้ต้องเล่นให้หนักครับ พวกรับทำแท้ง หรือเลี้ยงไข้ อันนี้ต้องช่วยกันตรวจสอบครับ

แต่ที่ผมพูด เพียงแค่อยากอธิบายว่าหลาย ๆ ครั้ง
เราตัดสินหมอจากสื่อมากเกินไป
จากประสบการณ์ตรง (ตอนนี้ผมเป็นหมออยู่รพ.อำเภอ)
และเรียบเรียงใหม่เป็นเหตุการณืในประเทศสารขัณท์
บางคนแพทย์ถามแพ้ยาไหม คนไข้ตอบจำไม่ได้ หมอ...เอ่อ..
แล้วเคยกินยาแล้วคันไหม คนไข้ตอบเคย แต่นานแล้ว ไม่ได้จำ หมอ..เอ่อ..
แล้วคุณป้ามีโรคประจำตัวไหมครับ ป้าตอบ...ไม่รู้สิ ป้าไม่เคยตรวจ คงไม่มีมั๊ง หมอ...เอ่อ...
แล้ว ตอนนี้ป้ามีอาการอย่างไรบ้างครับ ป้าตอบ..มันเจ็บตรงนี้ ตรงนี้ก็เจ็บ มันแปร๊บ ๆ นะ เอ๊ะไม่สิบางทีก็ชา ไม่รู้อะหมอ ลองดูเองละกัน หมอ...เอ่อ...
แล้วป้าจะเอายาอะไรมั่งครับ ป้าตอบ...ยาอะไรก็ได้แล้วแต่หมอ เอามาเยอะ ๆ ละกัน ป้าอยู่ไกล ขี้เกียจมา

จากข้อมูลที่ได้รับ เราก็ต้องมาประมวล แล้วนึกถึงโรคที่ควรจะเป็นมากที่สุด พบถึงบ่อยที่สุด แล้วก็ให้ยาไป
ข้อมูลที่ได้ก็ไม่พอ ถ้าหายขึ้นมาก็ถือเป็นหน้าที่หมอ แต่ถ้าพลาดหละ
...หมอชุ่ย จ่ายยายังไงให้ยาที่คนไข้แพ้มา หมอจะรับผิดชอบอย่างไร บลา ๆๆๆ...
วันรุ่งขึ้น หนังสือพิมพ์หัวเขียวก็ช่วยลงข่าวสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
"หมอสะเพร่า จ่ายยาคนไข้แพ้ทั้งตัว ญาติฟ้อง 5 ล้าน กระทรวงดูดาย"
ส่วนสังคมส่วนใหญ่ก็พร้อมจะเห็นใจคุณป้าอย่างเต็มที่ และพูดเหมือนสคริปว่าหมอก็ชั่วแบบนี้แหละ ตรวจแบบชุ่ย ๆ
อ้าว ซะงั้น
หลัง จากนั้นมีการตั้งกรรมการสอบ โดยผู้รู้ แพทย์ผู้เกี่ยวข้อง องค์การเภสัช ตัวแทนจากผู้ป่วย ผลออกมาสรุปผู้ป่วยแพ้ยา และจากข้อมูลทางการแพทย์ทั่วโลกการแพ้ยาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและเป็น เรื่องสุดวิสัย
ยกเว้นในเมืองไทยครับ ห้ามเกิด


หันกลับมามองสื่อหัวเขียวหลังจากผลสอบสวนออกมาแล้วว่าไม่ผิด ด้วยคิดว่าจะลงแก้ข่าวให้ ผลปรากฎว่า
หันมาเล่นข่าวดาราคลิปหลุดซะแล้ว

อ้าว แล้วข่าวที่พาดหัวว่าหมอชุ่ยคราวก่อนหละ หายไปแล้ว สรุปคือหมอเน่าไปฟรี ๆ ในสังคม พร้อมกับสิ่งที่ค้างในความรู้สึกประชาชนว่าเรื่องเงียบไปแล้ว สงสัยหมอใช้เงินยัดคนไข้...เป็นซะงั้น

เพียงแต่อยากให้ใจเย็น ๆ และมองหมอแบบคนธรรมดาครับ
อย่ามีอคติ แล้วฟันธงไปก่อนเพียงเพราะข่าวลง
หาข้อมูลก่อนครับ

มาเจอกระทู้หมอชุ่ย หมอสะเพร่า
แล้วก็ช่วยกันออกความเห็นใส่กันอย่างสุดฤทธ์ทั้งที่ไม่เห็นเหตุการณ์

พูดไม่ออกครับ

ปล. อยากบอกอาจารย์สมศักดิ์หลายครั้งแล้ว ว่าอาจารย์อย่าให้สัมภาษณ์มาก หลายอย่างที่อาจารย์พูดมันถูก แต่ทั้งน้ำเสียง ทั้งลีลา มันทำให้หลาย ๆ อย่างแย่ลง อีกทั้งอาจารย์มักโดนพวกเทพ ๆ อย่างสรยุทธต้อนซ้าย ยั่วขวา จนอาจารย์คุมอารมณ์ไม่อยู่ สุดท้ายพาเอาภาพพจน์วงการหมอกลายเป็นผู้ร้ายโดยปริยายนะครับ

ส่วน เรื่องฉีดยาแล้วแท้งนี่ ได้แต่เห็นใจพ่อแม่ครับที่สูยเสียลูกครับ แต่การฉีดยาบาดทะยักแล้วแท้งนี่ ก็ไม่มีนะครับ ไม่รุ้ว่าสื่อบ้านเราจะออกมาทำร้ายหมอแบบไหนกันอีก

จากคุณ : สาลิกาโบยบิน - [ 24 ม.ค. 52 02:35:39 ]





ความคิดเห็นที่ 20

คห.17
ผมว่าเปล่าประโยชน์
พวกสื่อเค้ารู้ครับ แต่แกล้งโง่มากกว่า

จากคุณ : หมอก้อนหิน - [ 24 ม.ค. 52 07:22:16 ]





ความคิดเห็นที่ 21

เหอๆ คิดเหมือนคห. 2 ค่ะ

ถ้าเย็นนี้เราแท้งลูก เราจะโทษกระทู้นี้ค่ะ...ว่าเป็นสาเหตุให้เสียลูก
จขกท. ระวังเน้อ อิอิ

สื่อก็พาดหัวข่าวได้มั่วจริงๆ ยังไม่ทันสรุปเลย
นี่แหละน้า สื่อคุณภาพเมืองไทย

จากคุณ : elin - [ 24 ม.ค. 52 07:23:00 ]





เอาเก็บไว้ เป็นข้อคิด นะครับ เพราะคงมีเรื่องแบบนี้ ออกมาอีกแน่นอน ...




 

Create Date : 24 มกราคม 2552   
Last Update : 24 มกราคม 2552 12:02:55 น.   
Counter : 4716 Pageviews.  

(เก็บมาฝาก) สำหรับผู้ที่ต้องการบริจาค ร่างกาย อวัยวะ ดวงตา





ขอบคุณ แหล่งข้อมูล อ้างอิง และ ขออนุญาต นำมาเก็บไว้ ในบล๊อก ด้วย ... ^_^
๑. กระทู้ ของคุณ RLD ในห้องสวนลุม ..
https://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2009/01/L7438480/L7438480.html

๒. เวบ DonationThailand.com บริจาคร่างกาย และบริจาคอวัยวะเพื่อการศึกษา
https://goo.gl/3qoWkl

๓. บริจาค ร่างกาย ดวงตา และอวัยวะ สำหรับคนบ้านไกล
https://pantip.com/topic/34516757

.................................
 
" ฉันเป็นครู ตายแล้วก็ขอเป็นครูต่อไป "
เรื่องราวประทับใจ ของ หมอที่เป็นครูของหมอ ..

อาจารย์ใหญ่ ครูผู้ให้ The Everlasting Teacher
เผยแพร่เมื่อ 13 ม.ค. 20157-Eleven ร่วมเชิดชูพระคุณครูกับภาพยนตร์โฆษณาส่งเสริมสังคม "อาจารย์ใหญ่ ครูผู้ให้ The Everlasting Teacher" กับเรื่องราวที่สร้างจากโครงเรื่องจริงของ­อาจารย์หมอผู้เป็นครูผู้ให้อย่างแท้จริง นอกจากตอนมีลมหายใจจะสร้างหมอมารักษาและช่­วยชีวิตคนนับแสนแล้ว แม้ไร้ซึ่งลมหายใจ ก็ยังขอเป็นครูผู้ให้ตลอดกาล

https://youtu.be/Fc8CaO0LgXA
 
....................................


 คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล

วัตถุประสงค์ของการบริจาคร่างกาย

เพื่อให้นักศึกษาแพทย์นำไปศึกษาหรือที่เรียกว่า “เป็นอาจารย์ใหญ่” แยกการบริจาคร่างกาย ออกเป็น 2 แบบ

1. บริจาคเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษา ระยะเวลาที่ใช้ในการเรียน 3 ปี ดูภาพจากเวปข้างบน ตรงลิ้งก์ > ผู้บริจาค > การบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาทางการแพทย์

ข้อจำกัด

- ขณะเสียชีวิตอายุต้องไม่เกิน 80 ปี น้ำหนักโดยประมาณไม่ต่ำกว่า 40 กก.
- ไม่เป็นศพเกี่ยวกับคดี
- ไม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง โรคไต โรคเบาหวาน และอุบัติเหตุ
- ไม่เป็นศพที่มีสภาพไม่เหมาะสม เช่น ศพเน่าเปื่อย อวัยวะขาดหายไปไม่ครบสมบูรณ์ ยกเว้นกรณี บริจาคดวงตา
- ที่เก็บศพของภาควิชาเต็ม

2. บริจาคให้แผนกเก็บกระดูกเพื่อการศึกษา ระยะเวลาที่ใช้ในการเรียน 10 ปี ดูภาพจากเวปข้างบน ตรงลิ้งก์ > ผู้บริจาค > การบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาทางการแพทย์

ข้อจำกัด

- ขณะเสียชีวิตอายุต้องไม่เกิน 55 ปี
- ญาติสามารถนำอวัยวะบางส่วนของศพดองไปทำพิธีทางศาสนาได้
- ไม่ฉีดยารักษาศพ เพราะจะไม่สามารถเก็บเป็นโครงกระดูกได้
- พื้นที่ที่รับบริจาคร่างกายเฉพาะเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ปทุมธานี นครปฐม สุพรรณบุรี ยกเว้น อ.ด่านช้าง อ.หนองหญ้าไซ อ.เดิมบางนางบวช อ.สามชุก กาญจนบุรี รับเฉพาะ อ.เมือง อ.ท่าม่วง อ.พนมทวน อ.ท่ามะกา พระนครศรีอยุธยา ยกเว้น อ.ท่าเรือ ราชบุรี ยกเว้น อ.สวนผึ้ง อ.จอมบึง

...................................................................
เอกสารที่ใช้ - รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ เขียนชื่อ – นามสกุลให้ชัดเจน


ขั้นตอนการบริจาคร่างกาย

กรอก แบบฟอร์ม ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน ระบุผู้แจ้งการถึงแก่กรรม (ผู้แจ้งการถึงแก่กรรมหมายถึงผู้ที่เต็มใจจะรับเป็นธุระในการแจ้งให้ภาค วิชาฯ ไปรับศพ ของผู้บริจาคร่างกาย มิได้เกี่ยวข้องกับมรดกอื่นใดของผู้บริจาคร่างกาย)
แบบฟอร์มที่กรอกแล้ว แต่ขาดรูปถ่าย กรุณาส่งให้ทางไปรษณีย์มาที่ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์
โรงพยาบาลศิริราช บางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 เขียนที่มุมซองว่า “บริจาคร่างกาย”
ผู้บริจาคร่างกายจะได้รับบัตรประจำตัวผู้บริจาคทางไปรษณีย์ภายใน 1 เดือน

หากผู้บริจาคร่างกาย ต้องการรับบัตรเอง ติดต่อขอรับได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0 2419 7036, 0 2411 2007 ต่อ 21
หากทำบัตรหายกรุณาโทรแจ้งภาควิชาฯ ที่เบอร์โทรศัพท์ 0 2419 7036

หากผู้บริจาคเปลี่ยนแปลงที่อยู่กรุณาแจ้งภาควิชาฯ ทราบด้วย
ท่านที่ต้องการยกเลิกพินัยกรรมฉบับนี้ ไม่ต้องแจ้งให้ภาควิชาทราบ จะไม่ถือว่าเป็นความผิดแต่ประการใด

ข้อปฏิบัติเมื่อผู้บริจาคร่างกายเสียชีวิต

• ห้ามฉีดยากันศพเน่า
• โทร. แจ้งเจ้าหน้าที่ภาควิชาฯ ไปตรวจสภาพศพ และฉีดยาหลังจากเสียชีวิต ภายใน 24 ชม.
• ที่เบอร์โทรศัพท์ 0 2419 7028, 0 2419 7030, 0 2411 2007
• ญาติต้องดำเนินการเรื่องใบมรณบัตรและจัดหาหีบศพเอง

ข้อปฏิบัติเมื่อได้รับศพของผู้บริจาคร่างกาย

• บริการฉีดยาและรับศพหลังจากเสร็จพิธีหลังจากเสร็จพิธี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
• ให้ญาติสวดตามประเพณีนิยมได้ไม่เกิน 5 วัน
• ศพของผู้บริจาคร่างกายจะจัดเก็บที่อาคาร
กายวิทยาทาน ต.ศาลายา จ.นครปฐม
• ออกหนังสือรับรองการรับรองศพของผู้บริจาคร่างกายภายใน 2 วัน
• จัดส่งใบอนุโมทนาบัตร หลังจากการรับศพของผู้บริจาคร่างกายภายใน 1 เดือน

ข้อแนะนำในการร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพ

จัดพิธีทำบุญทุก ๆ ปี ประมาณเดือนเมษายน
ญาติเข้าร่วมพิธีได้ไม่เกิน 4 คน
ภาควิชาฯ มีรถบริการให้ญาติที่เข้าร่วมพิธีจากโรงพยาบาลศิริราช ไปที่อาคารกายวิทยาทาน ต.ศาลายา จ.นครปฐม
ญาติสามารถนำศพของผู้บริจาคร่างกายที่ศึกษาเสร็จแล้วไปประกอบพิธีทางศาสนาเองได้
จัดเก็บอัฐิของผู้บริจาคร่างกายไม่เกิน 5 ปี เอกสารที่ใช้ประกอบการทำหนังสือที่ระลึกใน พิธีพระราชทานเพลิงศพ
รูปถ่ายของผู้บริจาคร่างกาย ขนาด 1 หรือ 2 นิ้ว จำนวน 1 ใบ
ประวัติส่วนตัวของผู้บริจาคร่างกาย
คำไว้อาลัยของญาติ





สภากาชาด คณะแพทย์จุฬาฯ


บริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาแพทย์

การบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาสร้างกุศลทานอันยิ่งใหญ่ ด้วยการอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาการให้ หรือ การบริจาคย่อมทำให้เกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้มีความสุข มีความภาคภูมิใจในความเป็นผู้เสียสละ ผู้รับมีความสุข ที่ได้รับสิ่งจำเป็นที่สุดที่ตนเองยังขาดแคลน

การบริจาคร่างกายเพื่อ การศึกษา ผู้บริจาคเป็นผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่ ยอมสละร่างกายของตนเอง ให้ผู้ที่ไม่เคยได้รู้จักมาก่อนได้ศึกษาโดยเพียงแต่มุ่งหวังว่า ผู้ที่ศึกษาร่างของตนจะนำความรู้ที่ได้รับนั้นไปช่วยมวลมนุษย์ชาติต่อไป

ผู้ อุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาได้สร้างกุศลทานครั้งสุดท้ายของชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ที่สุด โดยได้แต่หวังว่า ผู้อยู่เบื้องหลังจะไม่ต้องทนทุกข์จากอาการเจ็บป่วย ตนเองมิได้หวังสิ่งตอบแทนใดใด นอกจากได้เป็นผู้"ให้"เท่านั้น

คุณประโยชน์

การอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา เป็นการสร้างประโยชน์ทั้งด้านวิชาการ ด้านสาธารณสุข ด้านจริยธรรมและการเสริมสร้างสังคมอันจะนำไปสู่พัฒนาการที่ดีต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะในการศึกษาทางการแพทย์บุคลากรทางการแพทย์จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่ง ต่างๆ จากร่างกายของมนุษย์เพื่อเป็นแนวทางสำคัญในการรักษาผู้ป่วยต่อไปในอนาคต

การศึกษาจากร่างกายผู้อุทิศร่างกาย ใช้ประโยชน์หลายกรณี อาทิเช่น

1. เพื่อใช้ในการศึกษาของนิสิตแพทย์
2. เพื่อใช้ในการศึกษาของแพทย์เฉพาะทาง
3. เพื่อใช้ในการศึกษาของนักศึกษาพยาบาล
4. เพื่อใช้ในการศึกษาของนิสิตเทคนิคการแพทย์
5. เพื่อใช้ในการศึกษาของนักศึกษารังสีเทคนิค
6. เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยทางการแพทย์
7. เพื่อใช้ในการจัดทำพิพิธภัณฑ์กายวิภาคศาสตร์

วิธีการ
ผู้มีความประสงค์อุทิศร่างกายสามารถยื่นความจำนงได้ 2 แบบ คือ

1. ยื่นความจำนงโดยตรงที่ ศาลาทินฑัต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยกรอกข้อความลงใน แบบฟอร์ม ของโรงพยาลบาล 1 ฉบับ เจ้าหน้าที่จะออกบัตรประจำตัวผู้อุทิศร่างกายให้ไว้เป็นหลักฐาน

2. ยื่นความจำนงทางไปรษณีย์ โดยกรอกข้อความลงใน แบบฟอร์ม ทางไปรษณีย์ 1 ฉบับ เจ้าหน้าที่จะส่ง บัตรประจำตัวผู้อุทิศร่างกายให้ภายหลัง

เมื่อ ผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรม ทายาท มีสิทธิ์คัดค้านไม่มอบศพให้กับโรงพยาบาลได้โดยต้องแจ้งการคัดค้านไม่มอบศพ กับโรงพยาบาลฯภายใน 24 ชั่วโมง

เมื่อผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรม และทายาทผู้รับมรดกยินยอมพร้อมใจกันจะมอบศพให้โรงพยาบาลฯ ขอให้ติดต่อโรงพยาบาลฯเพื่อจัดเจ้าหน้าที่ไปรับศพ โดยเจ้าหน้าที่จะให้กรอกใบสำคัญยินยอมมอบศพให้โรงพยาบาลเพื่อการศึกษาไว้ เป็นหลักฐาน

โดยติดต่อแจ้งการรับศพได้ที่

1. ในเวลาราชการติดต่อที่ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ หมายเลขโทรศัพท์ 02-256-4281 หรือ 02-2527-028 หรือ 02-256-4000 ต่อ 3247

2. นอกเวลาราชการติดต่อที่ ตึกห้องพักศพ ซึ่งเป็นศูนย์กลางการรับศพ หมายเลขโทรศัพท์
2564317

โรงพยาบาลจะสามารถรับร่างของผู้อุทิศร่างกายได้ก็ต่อเมื่อ มีใบมรณบัตรซึ่งออกโดย นายทะเบียนท้องถิ่นที่ผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรมแล้วเท่านั้น

โรงพยาบาลจะจัดเจ้าหน้าที่ไปรับร่างผู้อุทิศร่างกายเฉพาะที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล

เมื่อ โรงพยาบาลรับร่างผู้อุทิศร่างกายมาแล้ว ไม่สามารถอนุญาตให้ญาตินำกลับไปบำเพ็ญกุศลก่อน เพราะจะทำให้ไม่อยู่ในสภาพที่เหมาะสมสำหรับการศึกษา

เมื่อเจ้า หน้าที่ไปรับร่างผู้อุทิศร่างกาย ทายาทควรให้ที่อยู่ที่ติดต่อได้สะดวกที่สุดไว้กับเจ้าหน้าที่เพื่อให้สามารถ ติดต่อได้เมื่อนิสิตศึกษาร่างผู้อุทิศร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้วและหากมีการ เปลี่ยนแปลงที่อยู่ต้องแจ้งให้ทราบ

ฝ่ายกายวิภาคศาสตร์ จะจัดให้มีการศึกษาร่างของผู้อุทิศร่างกายในกรณีต่างๆต่อไปนี้ ตามความเหมาะสม

1. เพื่อการศึกษาของนิสิตแพทย์ และแพทย์ประจำบ้าน
2. เพื่อการฝึกอบรมหัตถการต่างๆ และงานวิจัยทางการแพทย์

เมื่อ ฝ่ายกายวิภาคศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ศึกษาร่างผู้อุทิศฯศึกษาเรียบร้อยแล้วจะมีคณะกรรมการดำเนินการจัดงานฌาปนกิจ และขอพระราชทานเพลิงศพ (เป็นกรณีพิเศษ)

คุณสมบัติของผู้บริจาค
ผู้ มีความประสงค์อุทิศร่างกายต้องมีอายุตั้งแต่ 17 ปีขึ้นไป กรณีที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองเป็นลายลักษณ์อักษร

โรงพยาบาลจะไม่รับศพผู้อุทิศร่างกายในกรณีดังนี้
- ถึงแก่กรรมเกิน 24 ชั่วโมง ยกเว้นได้เก็บไว้ในห้องเย็นของโรงพยาบาล
- ผู้อุทิศร่างกายที่ได้รับการผ่าตัด หรือมีรอยเสียหายจากอุบัติเหตุ บริเวณศีรษะและสมอง
- ผู้อุทิศร่างกายที่ถึงแก่กรรมจากสาเหตุจากโรคมะเร็งบริเวณศีรษะและ สมอง หรือติดเชื้อ โรคร้ายแรงเช่น เอดส์ ไวรัสลงตับ และวัณโร
- ผู้อุทิศร่างกายที่มีคดี เกี่ยวข้องกับคดี หรือมีการผ่าพิสูจน์ ยกเว้นการผ่าพิสูจน์บริเวณช่องท้องที่แพทย์นำไปใช้ในทางการศึกษาทางการแพทย์ เท่านั้น
- ผู้อุทิศฯที่ผ่านกระบวนการเก็บรักษาด้วยน้ำยาแล้ว

ใน กรณีที่รับร่างผู้อุทิศฯมาแล้ว มีการตรวจพบว่าอยู่ในกรณีดังกล่าวข้างต้น โรงพยาบาลจะติดต่อญาติให้นำกลับไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป

สถานที่ติดต่อ
ศาลาทินฑัต โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 ในวัน เวลาราชการ


หลักฐานที่ต้องเตรียมมามีดังนี้
1. รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป
2. สำเนาบัตรประชาชน หรือ สำเนาบัตรข้าราชการ 1 ฉบับ






มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่

เอกสารการบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยสงขลานรินทร์

คำแนะนำการบริจาคร่างกาย

1. การบริจาคร่างกายตนเองเมื่อถึงแก่กรรมเพื่อใช้ในการศึกษาไม่มีผลให้ได้รับ สิทธิพิเศษจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หรือในการรักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลต่าง ๆ แต่ประการใด หากแต่เป็นการให้และกระทำด้วยจิตศรัทธาเท่านั้น

2.ผู้ประสงค์จะ บริจาคร่างกายติดต่อขอรับแบบพินัยกรรมบริจาคร่างกาย ได้ที่ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โทร. 0-7428-8151,0-7428-8131

3. กรอกแบบพินัยกรรมดังกล่าวให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แล้วส่งคืนภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ด้วยตนเองหรือทางไปรษณีย์ เพื่อดำเนินการต่อไป อนึ่ง ในการบริจาคร่างกายนั้น ท่านควรแจ้งและชี้แจงให้ญาติผู้เกี่ยวข้องหรือผู้ที่ดำเนินการเมื่อท่านเสีย ชีวิต ทราบรายละเอียดด้วย

4.เมื่อผู้บริจาคร่างกายเสียชีวิต ญาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการเรื่องศพของผู้บริจาคร่างกาย ต้องแจ้งให้ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ทราบโดยตรง ด้วยตนเองหรือทางโทรศัพท์ภายใน 12 ชั่วโมง หากช้ากว่านี้จะฉีดยาและดองศพได้ไม่ดี ศพจะเสียและไม่สามารถใช้เรียนได้ กรุณาอย่าฉีดยาศพเป็นอันขาด เพราะจะทำให้ไม่สามารถนำศพไปใช้ในการศึกษาได้ เจ้าหน้าที่ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์เท่านั้น ที่เป็นผู้ฉีดยาศพ

5. เมื่อภาควิชาฯ ได้รับแจ้ง จะส่งเจ้าหน้าที่มารับศพ หากญาติประสงค์จะทำพิธีทางศาสนาก่อนให้ใช้โลงแอร์ระหว่างทำพิธี (หรือเจ้าหน้าที่จะฉีดยารักษาศพไว้ชั่วคราว) เมื่อเสร็จพิธีจะมารับศพเพื่อดำเนินการต่อไป

6.เมื่อศพได้ใช้ในการ ศึกษาเรียบร้อยแล้ว ทางภาควิชาฯ ร่วมกับนักศึกษาที่ได้เรียนในปีการศึกษานั้นๆ เป็นเจ้าภาพทำพิธีทางศาสนาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้บริจาคร่างกาย เป็นประจำทุกปี โดยจะมีหนังสือแจ้งให้ทางญาติทราบ ในกรณีที่ญาติต้องการรับศพ (ส่วนที่เหลือจากการศึกษา)กลับไปทำพิธีทางศาสนา โปรดแจ้งความประสงค์ในพินัยกรรมให้ชัดเจน

7.ภาควิชา ฯ ขอสงวนสิทธิที่จะ ไม่รับศพ กรณีดังต่อไปนี้
- อยู่ไกล ระยะทางมากกว่า 200 กิโลเมตร จากมหาวิทยาลัยฯ
- ศพเกี่ยวกับคดี หรือ อุบัติเหตุ ที่ศพไม่อยู่ในสภาพที่ใช้เรียนได้
- ศพที่มีสภาพไม่เหมาะแก่การนำมาศึกษา เช่น ศพเน่าเปื่อย อวัยวะขาดหาย
- ที่ดองศพของภาควิชาฯ เต็ม

8.หากมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ กรุณาแจ้งให้ภาควิชาฯ ทราบด้วย เพื่อความสะดวกในการติดต่อกับท่านในโอกาสต่อไป

หาก ประสงค์จะอุทิศดวงตาหรือบริจาคอวัยวะ (ไต หัวใจ ตับ ปอด ฯลฯ) ติดต่อได้ที่ ประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

การบริจาคร่างกายของท่านถือเป็นการเสียสละอันยิ่งใหญ่ เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตของอนุชนรุ่นหลัง และเพื่อความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ นักศึกษาที่เรียนผ่าศพทุกคนจะให้ความเคารพศพดุจอาจารย์ และเรียกศพที่ตนเองเรียนว่า อาจารย์ใหญ่ เพราะนักศึกษาทุกคนได้ทราบซึ้งในจิตใจดีแล้ว ถึงเจตนารมณ์ของท่าน ที่เสียสละร่างให้พวกเขาได้เรียนรู้ เพื่อที่จะเป็นหมอที่รู้จักเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป


ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่
อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 90112
โทร. 0-7428-8151, 8131และ 0-7444-6448





คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

บริจาคอวัยวะ
https://www.kkh.go.th/donate/donate-organ/
https://www.kkh.go.th/center-clinics/ศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ/

บริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลียขอนแก่น

ระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ที่จะอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา

เพื่อ ให้การอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาเป็นไปดังเจตนารมณ์ของท่านและเกิดประโยชน์ สูงสุด ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีระเบียบในการรับบริจาคร่างกายดังนี้คือ

ภาควิชาฯ จะรับบริจาคร่างกาย เฉพาะผู้ที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดต่อไปนี้เท่านั้น คือ ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี หนองคาย กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู บุรีรัมย์ ศรีษะเกษ สุรินทร์ อำนาจเจริญ มหาสารคาม ชัยภูมิ เลย ยโสธร นครพนม สกลนคร มุกดาหาร

จะต้องไม่เป็นโรคดังต่อไปนี้ คือ โรคมะเร็ง โรคไต โรคเบาหวาน โรควัณโรค โรคตับอับเสบบี และโรคเอดส์

ต้องมีอายุระหว่าง 20-80 ปี
การบริจาคแบ่งตามวัตถุประสงค์ได้ 2 แบบ คือ

แบบ ที่ 1 เพื่อให้นักศึกษาชำแหละ (หลังจากศึกษาแล้ว ญาติสามารถนำกระดูกไปทำ พิธีเองได้ หรือจะให้ทางภาควิชาฯ จัดพิธีพระราช ทานเพลิงศพให้ก็ได้)

แบบ ที่ 2 เพื่อทำโครงกระดูกไว้ศึกษา (ญาติจะไม่ได้รับกระดูกคืน) ในกรณีนี้จะรับเฉพาะผู้ที่ อายุน้อยกว่า 55 ปี ในวันที่ถึงแก่กรรมแล้วเท่านั้น

หากผู้อุทิศร่างกาย และ ญาติมีความประสงค์จะยกเลิกการอุทิศร่างกาย กรุณาทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร แจ้งไปยังภาควิชาให้ทราบ

* โทรศัพท์ในเวลาราชการติดต่อ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ หมายเลข (043) 348381, (043) 363173, (043) 363212, (043) 242342-6, (043) 348360-8, (043) 347518-26 ต่อ 3173 หรือ 3212


ขั้นตอนการรับบริจาคร่างกาย
ขอ แบบฟอร์มหนังสืออุทิศร่างกายจากเจ้าหน้าที่ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ หรือ สามารถสั่งพิมพ์ได้จากเวปไซด์ข้างบน ของทางภาควิชาฯ เพื่อนำไปกรอกรายละเอียด และวัตถุประสงค์ ของผู้อุทิศร่างกาย ให้เรียบร้อย

แนบรูปถ่ายขนาด 1 X 1 นิ้ว หรือขนาดใกล้เคียง หน้าตรงไม่สวมหมวก จำนวน 2 รูป

ยื่นแบบฟอร์มอุทิศร่างกาย พร้อมรูปถ่าย ตามข้อ 1 และข้อ 2 แก่เจ้าหน้าที่เพื่อออกบัตรประจำตัวให้

สำหรับ ท่านที่ต้องการจะติดต่ออุทิศร่างกายทางไปรษณีย์ กรุณาส่งหลักฐานดังกล่าวทางจดหมาย โดยจ่าหน้าซองพร้อมติดแสตมป์ ส่งแบบฟอร์มพร้อมรูปถ่ายไปที่

หัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40002

เมื่อ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ได้รับพร้อมรูปถ่ายของท่านแล้ว จะดำเนินการออกบัตรประจำตัว ผู้อุทิศร่างกายและส่งกลับไปตามที่อยู่ที่ท่านได้ระบุเอาไว้ ในหนังสืออุทิศร่างกาย และขอให้ท่านพกบัตรประจำ ตัวผู้อุทิศร่างกายนั้นติดตัวไว้เสมอ

หากมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ ขอความกรุณาแจ้งให้ทางภาควิชาฯ ทราบด้วย

การปฏิบัติสำหรับญาติเมื่อผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรม

ให้ญาติหรือผู้ที่เกี่ยวข้องแจ้งไปที่ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ตามวัน เวลา และหมายเลขโทรศัพท์ต่อไปนี้
วัน จันทร์ - วันศุกร์ เวลา 8.30 - 16.30 น. หมายเลข (043) 348381, (043) 363212, (043) 363173, (043) 242342-6, (043) 348360-8, (043) 347518-26 ต่อ 3173 หรือ 3212

วันเสาร์ - วันอาทิตย์ หรือวันหยุดราชการอื่นๆ เวลา 8.30 -16.30น. หมายเลข(043) 363386,
(043)242342-6, (043) 348360-8, (043) 347518-26 ต่อ 3386

หมาย เหตุ ให้ผู้แจ้งโทรไปในช่วงเวลา 8.30-16.30 น. ไม่ว่าจะเสียชีวิตในช่วงเวลาใดก็ตาม เนื่องจากพนักงานขับรถ และพนักงานรักษาศพ จะปฏิบัติหน้าที่ ในช่วงเวลานี้เท่านั้น

กรณี อุทิศแบบที่ 1 (เพื่อชำแหละศึกษา) เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปฉีดยาศพแล้ว ญาติสามา รถขอตั้งศพ ไว้ทำบุญได้ 3 วัน เมื่อครบกำหนดแล้ว เจ้าหน้าที่จะกลับมารับศพ ไปดองไว้เพื่อ ให้นักศึกษา ชำแหละศึกษาต่อไป

กรณี อุทิศแบบที่ 2 (ทำโครงกระดูก) เจ้าหน้าที่จะนำศพไปเก็บที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ทันทีและไม่มีการ ฉีดยาศพแต่อย่างใด โดยพิจารณาจากคุณภาพของศพ แม้ว่าผู้บริจาคมีความประสงค ์อุทิศเพื่อ ใช้ชำแหละ ศึกษาก็ตาม

หากญาติหรือผู้อุทิศร่างกายต้อง การยกเลิกการอุทิศร่างกาย ขอความกรุณาแจ้งให้ทางภาควิชาฯทราบ เพื่อทางภาควิชาฯจะได้ทำการยกเลิกหนังสืออุทิศร่างกายต่อไป

หมายเหตุ
เมื่อ ทำการศึกษาจนเสร็จสิ้นแล้ว ภาควิชาฯ จะทำหนังสือแจ้งให้ทราบ และเชิญญาติไปร่วม ในพิธี พระราชทานเพลิง ศพครูใหญ่ ซึ่งคณาจารย์และนักศึกษา ในศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพจะร่วมกันประกอบพิธี โดยทางญาติไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายใดๆ ในพิธีนี้

ภาควิชาฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการไม่รับศพดังต่อไปนี้
- ศพที่เสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ เช่น ศพเกี่ยวกับคดี หรืออุบัติเหตุ
- ศพที่เสียชีวิตด้วยโรคตามระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ที่จะอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ข้อ 2
- ศพที่อายุเกิน 80 ปี
- ศพที่มีสภาพไม่เหมาะสมแก่การนำมาศึกษา เช่น ศพเน่าเปื่อย อวัยวะขาดหาย อ้วน หรือ ผอมมากเกินไป

(ยกเว้น บริจาคดวงตา) ฯลฯ

- ศพของผู้อุทิศร่างกายที่เสียชีวิตนอกเขตจังหวัดที่ระบุไว้ตามระเบียบปฏิบัติฯ ข้อ 1

สถานที่เก็บศพของภาควิชาเต็ม
ศพที่อยู่ในภาวะจำเป็นของภาควิชา โดยการพิจารณาของอาจารย์ผู้รับผิดชอบ

* ภาควิชาฯขออภัยล่วงหน้าสำหรับศพ ที่ไม่สามารถรับได้ตามกรณีดังกล่าวข้างต้น
แบบฟอร์มนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคม 2543 เป็นต้นไปและไม่มีผลย้อนหลังต่อผู้บริจาคไปแล้ว





คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เอกสารการบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาและเป็นวิทยาทานของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ที่จะอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา

เพื่อ ให้การอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษาเป็นไปดังเจตนารมณ์ของท่าน และเกิดประโยชน์สูงสุด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีระเบียบในการรับบริจาคร่างกาย ดังนี้คือ

1.ต้องมีอายุระหว่าง 20 – 80 ปี
2.ต้องไม่เป็นผู้พิการทางร่างกาย จนไม่เหมาะสมแก่การศึกษา เช่น ขา แขนขาด หรือพิการแต่กำเนิดทำให้ร่างกายผิดรูป
3.ไม่รับศพอุทิศร่างกายที่เสียชีวิตเมื่ออายุเกิน 80 ปี หรือเป็นโรคหรือเสียชีวิตจากสาเหตุต่อไปนี้
3.1 โรคมะเร็ง
3.2 โรคเอดส์
3.3 โรคไวรัสตับอักเสบบี
3.4 โรคพิษสุนัขบ้า
3.5 โรคบาดทะยัก
3.6 โรควัณโรคระยะรุนแรง
3.7 ถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย
3.8 เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ
3.9 ศพที่ได้รับการผ่าตัดชันสูตรมาแล้ว

4. การบริจาคแบ่งตามวัตถุประสงค์ได้ 2 แบบ คือ
แบบที่ 1 เพื่อให้นักศึกษาชำแหละ
แบบที่ 2 เพื่อทำโครงกระดูกไว้ศึกษา (ในกรณีนี้ ต้องมีอายุ น้อยกว่า 55 ปี ในวันที่ถึงแก่กรรม หรือขึ้นกับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่)

ขั้นตอนการรับบริจาคร่างกาย

1. ขอแบบฟอร์มหนังสืออุทิศร่างกายจากเจ้าหน้าที่ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ (1 ชุด มีจำนวน 3 แผ่น) เพื่อนำไปกรอกรายละเอียดและวัตถุประสงค์ของผู้อุทิศร่างกาย ทั้ง 3 แผ่น

2. แนบรูปถ่ายขนาด 1x1 นิ้ว หรือขนาดใกล้เคียง หน้าตรง ไม่สวมหมวก จำนวน 2 รูป (เขียน ชื่อ – สกุล ไว้ด้านหลังรูปทุกใบ)

3. แนบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาทะเบียนบ้านอย่างใดอย่างหนึ่งของผู้อุทิศร่างกาย

4. ยื่นแบบฟอร์มอุทิศร่างกาย พร้อมรูปถ่าย ตามข้อ 1 และข้อ 2 แก่เจ้าหน้าที่เพื่อออกบัตรประจำตัวให้

5. สำหรับท่านที่ต้องการจะติดต่ออุทิศร่างกายทางไปรษณีย์ กรุณาส่งหลักฐานดังกล่าวทางจดหมาย โดยจ่าหน้าซองพร้อมติดแสตมป์ ส่งแบบฟอร์มพร้อมรูปถ่ายไปที่

6.เมื่อภาควิชาฯ ได้รับหนังสืออุทิศร่างกายและรูปถ่ายของท่านแล้ว จะดำเนินการออกบัตรประจำตัวผู้อุทิศร่างกาย และส่งกลับไปตามที่อยู่ที่ระบุเอาไว้ในหนังสืออุทิศร่างกาย และขอให้ท่านพกบัตรประจำตัวผู้อุทิศร่างกายนั้นติดตัวไว้เสมอ

7. หากมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ ขอความกรุณาแจ้งให้ทางภาควิชาฯ ทราบด้วย


การปฏิบัติสำหรับญาติ เมื่อผู้อุทิศร่างกายถึงแก่กรรม

เมื่อผู้อุทิศร่างกายได้เสียชีวิตลง ให้ทายาทหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้

1.ติดต่อขอทราบรายละเอียดในการดำเนินการที่ห้องอุทิศร่างกาย ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทรศัพท์ 053 – 945318
วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ เวลา 08.30 – 20.00 น.
วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ เวลา 08.30 – 16.30 น.

2. ห้ามฉีดยารักษาสภาพศพก่อนที่จะติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องอุทิศร่างกาย ซึ่งจะเป็นผู้แนะนำวิธีรักษาศพ และหากญาติต้องการตั้งศพไว้ทำบุญ สามารถตั้งได้ไม่เกิน 3 วัน เมื่อครบกำหนดแล้วเจ้าหน้าที่จะมารับศพเพื่อไปดำเนินการต่อไป

3. ให้ญาติดำเนินการแจ้งต่อนายทะเบียนท้องที่ และนำสำเนาใบมรณะบัตร 1 ฉบับ มอบให้แก่เจ้าหน้าที่ของภาควิชากายวิภาคศาสตร์ เพื่อเป็นหลักฐานในการเคลื่อนย้ายศพออกจากพื้นที่ (ในกรณีตรงกับวันหยุดราชการ ไม่สามารถทำใบมรณะบัตรได้ ให้นำสำเนาใบรับรองการตายมามอบแทน และให้นำสำเนาใบมรณะบัตรส่งมอบให้ภาควิชาฯ ในวันทำการถัดจากวันหยุดราชการ)

4. ถ้าผู้อุทิศร่างกายแจ้งความจำนงอุทิศดวงตาร่วมด้วย ญาติต้องแจ้งที่ศูนย์ดวงตาภาค 10 หมายเลขโทรศัพท์ 053-945512-3, 053-945112 (นอกเวลาราชการ) ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงนับตั้งแต่เสียชีวิต

5. หากผู้อุทิศร่างกายต้องการยกเลิกการอุทิศร่างกาย ขอความกรุณาแจ้งให้ภาควิชาฯ ทราบ เพื่อทางภาควิชาฯ จะได้ทำการยกเลิกหนังสืออุทิศร่างกายต่อไป

ภาควิชาฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการไม่รับศพ ดังต่อไปนี้

1. ศพที่เสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ เช่น ศพเกี่ยวกับคดี หรืออุบัติเหตุ
2. ศพที่เสียชีวิตด้วยโรคตามระเบียบปฏิบัติสำหรับผู้ที่จะอุทิศร่างกายเพื่อการศึกษา ข้อ 3
3. ศพที่อายุเกิน 80 ปี
4. ศพที่สภาพไม่เหมาะสมแก่การนำมาศึกษา เช่น ศพเน่าเปื่อย อวัยวะขาดหาย อ้วน หรือผอมมากเกินไป ฯลฯ
5. ศพของผู้อุทิศร่างกายที่เสียชีวิตนอกระยะทาง 200 กิโลเมตร จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยกเว้น ผู้ที่แสดงความจำนงอุทิศร่างกายไว้ก่อนวันที่ 2 พฤศจิกายน 2533 หรือญาติ (หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย)จะดำเนินการนำส่งเอง
6. สถานที่เก็บศพของภาควิชาฯ เต็ม

.................................................

มหาวิทยาลัยนเรศวร

คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
Faculty of Medical Science Naresuan University

การรับบริจาคร่างกาย
https://www.medsci.nu.ac.th/?page_id=2462

ด้วยหน่วยรับบริจาคร่างกาย ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นหน่วยงานที่รับบริจาคร่างกายหลังจากเสียชีวิตแล้ว สำหรับให้นิสิตสาขาแพทยศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพได้เรียนรู้ ซึ่งร่างอาจารย์ใหญ่ทุกร่างที่ใช้ในกระบวนการเรียนการสอนนั้น ต้องได้มาจากผู้ที่ได้แสดงความจำนงบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาในขณะที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์เท่านั้น

ในการนี้  เพื่อให้การบริหารจัดกระบวนการรับบริจาคร่างกายเป็นไปด้วยความเรียบร้อย   ลดปัญหาการกรอกข้อมูลไม่ถูกต้อง การส่งเอกสารไม่ครบถ้วน ป้องกันมิจฉาชีพนำหนังสือพินัยกรรมการบริจาคร่างกายเมื่อถึงแก่กรรมแล้วไปจำหน่ายหรือเรียกเก็บเงินจากผู้ที่ประสงค์บริจาคร่างกาย หน่วยรับบริจาคร่างกาย จึงขอยกเลิกและงดการรับหนังสือพินัยกรรมฯ ที่ส่งมาทางไปรษณีย์ โดยให้ผู้ที่มีความประสงค์จะบริจาคร่างกายมาแสดงความจำนงบริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา ณ หน่วยรับบริจาคร่างกาย ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ด้วยตนเองเท่านั้น ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป

    ขั้นตอนการจัดทำหนังสือพินัยกรรมบริจาคร่างกาย ณ คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
https://www.medsci.nu.ac.th/wp-content/uploads/2019/10/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%88.pdf

    คำแนะนำเกี่ยวกับผู้บริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาทางการแพทย์
https://www.medsci.nu.ac.th/wp-content/uploads/2019/10/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2.pdf

    ประกาศคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรื่อง การให้บริการรับทำหนังสือพินัยกรรมการบริจาคร่างกาย
https://www.medsci.nu.ac.th/wp-content/uploads/2021/11/%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-22-%E0%B8%9E.%E0%B8%A2.-64-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9B.jpg


    ประกาศ คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรื่อง เรื่อง เปิดให้บริการรับร่างผู้เสียชีวิตของผู้บริจาคร่างกายเพื่อการศึกษา
https://www.medsci.nu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-1-%E0%B8%A1%E0%B8%B5.%E0%B8%84.-65-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%84.jpg


ติดต่อเรา

คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์
มหาวิทยาลัยนเรศวร 99 หมู่ 9
ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมืองพิษณุโลก
จังหวัดพิษณุโลก
รหัสไปรษณีย์ 65000
โทรศัพท์ : 055 964705
โทรสาร : 055 964770

https://www.medsci.nu.ac.th/

 




 
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
 


บริจาคอวัยวะ


คุณประโยชน์

ปัจจุบันมีผู้ป่วยในระยะสุดท้ายอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ทุกข์ทรมานจากการที่อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ, ตับ, ไต, ปอด ฯลฯ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ วิธีรักษาทางการแพทย์ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยเหล่านี้ คือ การปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ ด้วยอวัยวะของผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งได้แสดงเจตนารมณ์ในการบริจาคอวัยวะ หรือได้จากญาติที่มีความประสงค์จะบริจาคอวัยวะของบุคคลนั้น เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นมาปลูกถ่าย จึงจะช่วยให้ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายมีชีวิตอยู่เป็นประโยชน์ต่อครอบครัวและ สังคมต่อไปได้


อวัยวะใหม่ที่สามารถนำมาปลูกถ่าย ได้แก่ หัวใจ, ตับ, ไต, ปอด, ตับอ่อน, กระดูก ฯลฯ ซึ่งได้มาจากการนำอวัยวะใหม่เปลี่ยนแทนอวัยวะเดิมที่เสื่อมสภาพ จนไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ และการผ่าตัดนั้นจะเป็นการช่วยชีวิตผู้ป่วยในระยะสุดท้าย เพื่อให้อวัยวะใหม่นั้นทำงานแทนอวัยวะเดิม

ขั้นตอนการบริจาค

1. กรอกรายละเอียดในใบแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะให้ชัดเจน ที่อยู่ควรจะตรงกับทะเบียนบ้าน (หากต้องการให้ส่งบัตรประจำตัวไปยังสถานที่อื่น กรุณาระบุ)

2. พิมพ์ใบแสดงความจำนงบริจาค ส่งเอกสารมายังศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ตามที่อยู่ด้านล่าง และเมื่อศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ ได้รับใบแสดงความจำนงบริจาคอวัยวะของท่านแล้ว ศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ จะส่งบัตรประจำตัวผู้มีความจำนงบริจาคอวัยวะให้ตามที่อยู่ที่ได้ระบุไว้

3. หลังจากที่ท่านได้รับบัตรประจำตัวผู้มีความจำนงบริจาคอวัยวะจากศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ แล้ว อย่าลืมกรอกชื่อ และรายละเอียดการบริจาคลงในบัตร

4. กรุณาเก็บบัตรประจำตัวผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะไว้กับตัวท่าน หากสูญหายกรุณาติดต่อกับศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย

คุณสมบัติของผู้บริจาคอวัยวะ

1. ผู้บริจาคอวัยวะต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปี
2. เสียชีวิตจากสภาวะสมองตายด้วยสาเหตุต่าง ๆ
3. ปราศจากโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง
4. ไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา
5. อวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายต้องทำงานได้ดี
6. ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ไวรัสเอดส์ ฯลฯ
7. กรุณาแจ้งเรื่องการบริจาคอวัยวะแก่บุคคลในครอบครัวหรือญาติให้รับทราบด้วย

สถานที่ติดต่อ

ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย
อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน) ชั้น 5
ถ.อังรีดูนังต์ ปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330
 
โทร. 02-256-4045-6  หรือ  1666
 

สำหรับผุ้สนใจบริจาคอวัยวะ หากไม่สะดวกมาด้วยตนเอง สามารถโทรมาที่ 1666 เพื่อขอรับแบบฟอร์ม ทางไปรษณีย์ได้




......................................

 

บริจาคดวงตา

1)ใบแสดงความจำนงอุทิศดวงตา ( ผู้บริจาค กรอกรายละเอียด ผ่านเวบ)
https://www.redcross.or.th/donation/eye_donate_form.php4

2)ใบแสดงความจำนงอุทิศดวงตา ( ผู้บริจาค ดาวน์โหลดเอกสาร PDF กรอกรายละเอียดส่งทางจดหมาย )
https://www.redcross.or.th/donation/eye_donation_form.pdf

3) แบบฟอร์มใบสำคัญแสดงการยินยอมมอบดวงตาให้สภากาชาดไทย ( เมื่อผู้บริจาคเสียชีวิต ญาติ กรอกรายละเอียด มอบให้เจ้าหน้าที่ )
https://www.redcross.or.th/donation/eye_donate_agreement_form.pdf


คุณประโยชน์

ช่วยผู้ป่วยกระจกตาพิการ ซึ่งอาจแบ่งเป็น
- กระจกตาขุ่นเป็นฝ้าขาว เช่น เป็นแผลเป็น หรือกระจกตาบวมจากอุบัติเหตุสารเคมี การติดเชื้อ โรคกระจกตาที่เป็นแต่กำเนิด เป็นต้น
- กระจกตามีความโค้งนูนผิดปกติ
- กรณีฉุกเฉิน เช่น เป็นโรคติดเชื้อรุนแรง ไม่สามารถควบคุมด้วยการใช้ยารักษาได้ หรือรายที่กระจกตากำลังทะลุ หรือทะลุแล้ว สาเหตุใดก็ตาม ต้องรีบตัดกระจกตาส่วนที่ติดเชื้อ แล้วใส่กระจกตาบริจาคแทนที่เพื่อรักษาดวงตาไว้ก่อน
- ทำเพื่อความสวยงามเป็นการทำให้ฝ้าขาวที่ตาดำหายไปโดยไม่คำนึงว่ามองเห็นหรือ ไม่ วิธีนี้ไม่นิยมทำในเมืองไทย เพราะดวงตาบริจาคมีน้อย จำเป็นต้องเก็บไว้ทำการผ่าตัดให้ผู้ที่ทำแล้วจะทำให้เห็นดีขึ้นเท่านั้น


วิธีการ

ภาย หลังถึงแก่กรรม ดวงตาจะเริ่มเสื่อมคุณภาพและเน่าเปื่อยเหมือนอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย ดังนั้นจำเป็นต้องรีบเก็บดวงตาให้เร็วที่สุด อย่างช้าไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมง ถ้าช้าเกินไปดวงตาจะใช้ไม่ได้ และไม่ควรอนุญาตให้ฉีดน้ำยากันเน่าเปื่อยของศพ ก่อนที่จะผ่าตัดเก็บดวงตา

ขั้นตอนการแสดงความจำนงอุทิศดวงตา

1. กรอกรายละเอียดในใบแสดงความจำนงอุทิศดวงตาให้ชัดเจน
2. เมื่อศูนย์ดวงตา สภากาชาดไทย ได้รับใบแสดงความจำนงอุทิศดวงตาจากท่านแล้ว ศูนย์ฯจะส่งบัตรประจำตัวให้ตามที่อยู่ที่ระบุไว้
3. หากย้ายที่อยู่หรือเปลี่ยนสถานภาพใดๆ กรุณาแจ้งศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย

ข้อควรปฏิบัติภายหลังการอุทิศดวงตา

1. แจ้งสมาชิกในครอบครัวหรือญาติใกล้ชิดให้รับทราบ
2. เก็บบัตรอุทิศดวงตาไว้กับตัวหรือในที่หาง่าย
3. ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์

สถานที่ติดต่อ

ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย
อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฒโน)
ชั้น 7 ถนนอังรีดูนังต์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ 0-2252-8131-9 , 0-2258-8181-9, 0-2256-4039
และ 0-2256-4040 ต่อศูนย์ดวงตา ตลอด 24 ชั่งโมง
 
https://eyebankthai.redcross.or.th/?page_id=744

E-mail: eyebank@redcross.or.th

เฟสบุ๊ค ศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย https://www.facebook.com/%E0%B8%A8%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-702870006405109/



ขอขอบคุณ คุณ RLD และ ผุ้มีจิตใจงดงาม ที่ร่วมกันทำบุญ บริจาคร่างกายและอวัยวะ ทุกท่าน ...

ขอให้กรรมดี ที่ท่านได้ทำไว้ ส่งผลให้ ทุกท่านและครอบครัว มีความสุข ความเจริญ คิดสิ่งใดที่เป็นสิ่งดี ก็ให้ได้สิ่งนั้น สุขกาย สุขใจ ตราบนานเท่านาน ...






ปล.
ผมบริจาคทั้งร่างกายและดวงตาให้กับสภากาชาด เรียบร้อยแล้ว.. เผื่อถึงเวลาจะได้มีประโยชน์กับผู้ที่จำเป็นต้องใช้ ดีกว่าปล่อยให้เน่าเสีย หรือ เผาทิ้งไปเปล่า ๆ


แถม ...

L6806180 ภาวะสมองตาย : ระยะสุดท้ายของชีวิตที่จะต่อชีวิตผู้อื่นได้ [คลินิกหมออาสา] หมอหมู (57 - 17 ก.ค. 51 12:27)l

https://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2008/07/L6806180/L6806180.html


L7356533 --จะ บริจาคร่างกายเป็นอาจารย์ใหญ่ หรือบริจาคอวัยวะดีคะ ..สับสนมานานมากแล้ว อย่างไหนขาดแคลนมากกว่ากันคะ ขอความคิดเห็นค่ะ-- [สุขภาพกาย] jibjib (36 - 24 ธ.ค. 51 23:56)

https://topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2008/12/L7356533/L7356533.html


 


...............................


 
มีคำถามบ่อย ๆ ว่า จะบริจาคอวัยวะ หรือ บริจาคร่างกาย ดี ???

คำตอบ " บริจาคได้ทั้งสองอย่างเลยครับ "

มีแนวทางดำเนินการ ง่าย ๆ คือ เมื่อถึงเวลานั้น ให้ญาติ แจ้งไปที่สภากาชาด เรื่องการบริจาค อวัยวะ ก่อน ... เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประเมินว่า สามารถนำ "อวัยวะ" นั้นไปใช้ได้หรือไม่ ... ( ไม่ใช่ทุกคน ที่บริจาคแล้ว ถึงเวลาจะนำไปใช้ได้ )

ถ้า อวัยวะใช้ไม่ได้ .. ก็ค่อยแจ้งไปยังหน่วยงานที่บริจาคร่างกาย

ถ้า อวัยวะใช้ได้ ... ก็ไม่ต้องแจ้งหน่วยงานที่บริจาคร่างกาย .. เพราะ อวัยวะจะไม่ครบ ไม่สามารถนำร่างกายไปเป็นอาจารย์ใหญ่ ให้นักศึกษาแพทย์ ได้ นะครับ (ยกเว้น บริจาคดวงตา (กระจกตา) สามารถบริจาคร่างกายต่อไปได้)

ข้อมูลเพิ่มเติม ..
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการอุทิศร่างกาย - โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
www.chulalongkornhospital.go.th/anatomy1/images/rules/quit.pdf

ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย
https://www.facebook.com/organdonationthailand/posts/630891767094109

ศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย
https://www.facebook.com/organdonationthailand/
https://www.organdonate.in.th/
https://www.organdonate.in.th/Download/download.html

[CR]การบริจาคดวงตา อวัยวะ และร่างกายให้สภากาชาดไทย
https://pantip.com/topic/33443933
















 

Create Date : 23 มกราคม 2552   
Last Update : 4 ตุลาคม 2565 22:33:41 น.   
Counter : 37131 Pageviews.  

บทความเรื่อง : สาร Glutathione สำหรับทำให้ผิวขาวที่กำลังเป็นที่นิยม

มีสมาชิกแพทย์ในเวบไทยคลินิก นำมาลง ผมก็นำมาเผยแผ่ต่ออีกที .. ..ต่อเนื่องจากบทความที่เคยเขียนไว้ ..

อาหารเสริม ดีจริงหรือ ??? กินกูลต้าไธโอน ขาวจริงป่ะ ???

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2008&group=7&gblog=4

ลองอ่านดู เป็นวิชาการหน่อย นะครับ ...



บทความเรื่อง : สาร Glutathione สำหรับทำให้ผิวขาวที่กำลังเป็นที่นิยม

//www.ladyissue.com/index.php?mo=3&art=83067

นพ. สมนึก อมรสิริพาณิชย์ อเมริกันบอร์ดทางผิวหนัง

สารตัวนี้มีลักษณะ เป็นอณูของโปรตีนที่เกิดจาก กรด อะมิโน 3 ชนิด มาประกอบกันคือ Cysteine Glutamate และ Glycine โดยปกติเซลล์ในร่างกายสามารถสร้างเองได้ จากกระบวนปฏิกิริยา ชีวเคมีในเซลล์ทั่วไป แต่ที่ทำงานสร้าง สารนี้มากที่สุดก็คือ ที่ตับของเรา

การสร้างสารนี้ต้องอาศัย เอนไซม์ อย่างน้อย 2 ชนิด ดังนั้น หากมียีนผิดปกติเกี่ยวกับเอนไซม์ ทั้ง2 ชนิดนี้ก็จะไม่สามารถสร้างสารตัวนี้ได้

สารชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมสารอณุมูลอิสระในร่างกาย การสร้างสารซ่อมแซม เซลล์ และ ทำปฏิกิริยาขจัดสารพิษที่เกิดในร่างกาย หากการสร้างสารนี้ผิดปกติหรือไม่สร้าง จะทำให้เสียชีวิตใน1-2 เดือนหลังคลอดได้

สารชนิดนี้เมื่อถูกสร้างก็จะถูกใช้ไปเป็นลำดับ หาก การใช้มีมากก็ต้องทดแทนมากขึ้นโดยการสร้าง ถ้ามีการวัดสาร Glutathione ว่าถูกใช้ไปเท่าไรก็จะสามารถบ่งบอกสภาวะความเครียดของร่างกายได้

การให้สาร Glutathione ทดแทนและเสริมนั้นสามารถทำได้โดยการรับประทาน สารที่เป็นวัตถุดิบคือ N-acetyl cysteine หรือรับประทานอาหาร ที่มีสารวัตถุดิบหลักนี้ตามธรรมชาติ เช่น รับประทาน yogurt, granola, duck, oatmeal flakes, toasted wheat germ, cottage cheese

แต่การกินสาร Glutathione โดยตรงจะไม่สามารถดูดซึมได้ดีเท่าที่ควร

ความนิยมทีใช้สาร Glutathione เพื่อให้ผิวขาวขึ้นนั้น อาจจะมาจาก ความพยายามที่จะให้สาร Glutathione ไปยับยั้งการสร้าง เม็ดสี เพราะสาร Glutathione สามารถกดการทำงานของของเอนไซม์ที่ผลิตเม็ดสีได้ชั่วคราว


แต่ทำไมถึงต้องนำมาฉีดกัน ???

คำตอบง่ายๆ ก็คือ พยายามทำให้ซับซ้อนขึ้นจะได้ต้องมาพบแพทย์ เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจเท่านั้นเอง เพราะ เราสามารถรับประทานอาหารที่เสริมสร้าง Glutathione ได้โดยตรงหรือ สามารถรับประทาน N-acetyl cysteine เสริมก็ได้ มีราคาประหยัดว่า และ ปลอดภัยกว่า



โทษของการฉีดสาร Glutathione มีหรือ ไม่ ???

น่าจะต้องมี เพราะ ปฏิกิริยาในการสร้าง สารนี้ถูกจำกัดด้วยเอนไซม์โดยตรงที่ต้องหยุดสร้างเพื่อรักษาสมดุล ดังนั้นสารนี้จึงห้ามมีมากเกินไปในธรรมชาติ หากจะอ้างเรื่องการฉีดเพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วย คงต้องมีการเจาะวัดระดับ สารตัวนี้ว่าอยู่ในระดับที่สมดุลหรือไม่เป็นการควบคุมโดยตรงในทุกครั้งที่มี การฉีดจึงจะมีเหตุผล


การฉีดสารนี้มีการทำกันเฉพาะกรณี ฉุกเฉินและเป็นกังวลต่อชีวิต เช่น การฉีดเพื่อรักษากล้ามเนื้อ หัวใจขาดเลือดเพราะมีเส้นเลือดอุดตัน หรือ ฉีดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ระหว่างการผ่าตัดทำ cardiopulmonary bypass ทั้งนี้เพราะสาร Glutathione สามารถกระตุ้นการสร้าง Nitric oxide ซึ่งมีฤทธิ์ขยายหลอดเลือดได้ แต่การขยายตัวของเลือดจะทำให้เกิดความดันต่ำและทำให้หัวใจเกิดปัญหาได้ เหมือนกัน นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกร็ดเลือดไม่จับตัวกันทำให้เลือดหยุดช้ากว่าปกติ


มีผู้รู้หลายท่าน มีความกังวลว่าหากมีสาร Glutathione ในร่างกายมากเกินไปจะสามารถทำให้มะเร็งลุกลามได้เร็วกว่าปกติ เพราะเลือดสามารถไปเลี้ยงมะเร็งได้มากขึ้น และกระบวนการทำลายมะเร็งก็จะลดประสิทธิภาพลง


บทความนี้จึงมีไว้เตือนผู้บริโภคที่กำลังสับสนกับการบริการของแพทย์ที่ ด่วนสรุปและเห็นแต่ผลดี แต่ยังไม่รอบคอบที่จะมองอะไรอะไร ในระยะยาว ตามหน้าที่ของตนเอง

วันที่ 30/12/2007
เวลา 21:00:48

ส่งโดย: yui



กลูต้าไทโอน ทำให้ผิวขาวจริงหรือไม่.. โดย...สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=17-02-2009&group=7&gblog=16//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=17-02-2009&group=7&gblog=16



แถมลิงค์จากห้องเครื่องแป้ง ที่สมาชิกห้องสวนลุม คุณ bombik โพสไว้ในกระทู้นี้

... กูต้าไธโอน ที่ทำให้ผิวขาว มีผลข้างเคียงไหมครับ ..

//www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L7386603/L7386603.html

//topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2008/06/Q6680688/Q6680688.html

//www.pantip.com/cafe/woman/topic/Q7334084/Q7334084.html

//www.pantip.com/cafe/woman/topic/Q7337916/Q7337916.html

//topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2008/05/Q6635608/Q6635608.html

//topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2008/09/Q7001249/Q7001249.html

//topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2008/05/Q6612479/Q6612479.html

//topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2008/11/Q7220328/Q7220328.html

//topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2007/11/Q6034507/Q6034507.html



ว่าง ๆ ก็ลองแวะไปอ่านดูนะครับ ..




 

Create Date : 05 มกราคม 2552   
Last Update : 4 กรกฎาคม 2552 19:43:38 น.   
Counter : 6782 Pageviews.  

อย. ยัน "ไม่เคยรับรอง" ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ลดอ้วนได้จริง ..วิธีตรวจสอบ แอบอ้างเลข อย. (ปลอมทุกอย่าง)













ค้นเนตไปเจอบทความเรื่องนี้ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๐ ... แต่ดูแล้ว ก็คงเป็นบทความที่คงไม่ค่อยมีใครได้อ่าน ปัญหาเรื่อง ยาลดความอ้วน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร(อาหารเสริม) ก็ยังมีเกลื่อนกลาด คนก็ยังเชื่อโฆษณาทั้งหลาย ... โดยเฉพาะชอบอ้างกันเหลือเกินว่า "ผ่าน อย. แล้ว " " อย. รับรอง " ทำให้คนเข้าใจผิด

แต่ พูดกันตรง ๆ จะว่าเขา(เธอ) โกหก ก็ไม่ได้ เพราะผ่าน อย. จริง ๆ ( แต่ เป็นการพูดครึ่งเดียว .. เอ.. เแบบนี้ ก็แสดงว่า คนซื้อ คนใช้ " โง่ " เองงั้นหรือ ???

เลยนำมาลงอีกรอบ ให้อ่านกันชัด ๆ อีกที .. เผื่อจะได้ ไม่ตกเป็นเหยื่อให้เขาหลอก เสียทั้งเงิน เสียทั้งสุขภาพ ยังไม่เท่าไหร่ เสียรู้ โดนหลอก นี่สิ เจ็บใจ กว่า ...

....................................

อย. แฉ ? ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร? โกหก หลอกลวง ลักลอบโฆษณา โปรยใบปลิว อวดอ้างลดความอ้วนได้
ยัน ไม่เคยรับรองว่าลดอ้วนแค่รับรองว่ามีมาตรฐานการผลิตปลอดภัยต่อผู้บริโภค เท่านั้น


นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีการตรวจสอบโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และ ปัจจุบันยังพบการลักลอบโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่าสามารถลดความอ้วนได้ โดยใช้ใบปลิวแนะนำผลิตภัณฑ์อาหารซึ่งจะเป็นลักษณะรูปแบบขายตรง ทำให้เข้าใจว่าลดน้ำหนักได้ผลและไม่กลับมาอ้วนอีก ทั้งมีการอ้างบุคคลว่าใช้แล้วได้ผล พร้อมกับแสดงชื่อและหมายเลขโทรศัพท์มือถือสำหรับติดต่อ

นพ. นิพนธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีการกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นๆ เชื่อถือได้เพราะได้รับการรับรองจาก อย. โดยมีเลขสารบบอาหารในเครื่องหมาย อย.ติดอยู่ที่ฉลากผลิตภัณฑ์ จึงขอเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพราะอาจถูกหลอกหรือได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

ขอยืนยันว่า ไม่เคยรับรองผลิตภัณฑ์เสริมอาหารว่าสามารถลด ความอ้วนได้ สำหรับ เลขสารบบอาหารในเครื่องหมาย อย. ที่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับเป็นการประเมินเบื้องต้นว่า ผลิตภัณฑ์อาหารนั้น ผ่านการตรวจประเมินสถานที่ ว่าได้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต ผลิตภัณฑ์มีส่วนประกอบหรือวัตถุดิบที่พิจารณาแล้วว่าปลอดภัย และฉลากอาหารแสดงข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนด? นพ.นิพนธ์กล่าว

รอง เลขาธิการ อย.กล่าวอีกว่า การลดหรือควบคุมน้ำหนักที่ดีและได้ผล คือ ผู้บริโภคควรควบคุมการบริโภคอาหารร่วมกับการออกกำลังกาย โดยบริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที ซึ่งจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันโรคได้ด้วย โดยไม่ต้องรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ทั้งนี้ หากผู้บริโภคจะซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควรดูรายละเอียดบนฉลากอาหาร ว่าให้ส่วนประกอบหรือมีสารอาหารอะไรตรงตามที่ ต้องการหรือไม่

ไม่ควรหลงเชื่อการโฆษณาจูงใจต่างๆ จากการขายตรง เพราะโฆษณาดังกล่าวจะมุ่งเน้นขายผลิตภัณฑ์โดยอ้างสรรพคุณต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาตให้โฆษณา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอวดอ้างสรรพคุณว่ามีผลในการป้องกัน บำบัด บรรเทา หรือรักษาโรคได้

หากผู้บริโภคพบเห็นโฆษณาในลักษณะผิดกฎหมายดังกล่าว สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย.1556 เพื่อ อย.จะได้ดำเนินการต่อไป


โดย ผู้จัดการออนไลน์ 17 มีนาคม 2550 12:47 น.

"""""""""""""""""""""""""""""""

อย. ยัน...ไม่เคยรับรอง .... ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร .... ลดอ้วนได้จริง    //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=24-11-2008&group=7&gblog=8

อย.มีหน้าที่รับรองเฉพาะส่วนผสม สถานที่ผลิต และระบบการผลิต ไม่ได้รับรองสรรพคุณว่าสามารถรักษาโรคต่าง    //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=25-09-2011&group=7&gblog=148

หนังสือ เคล็ด(ไม่)ลับ การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย่างรู้เท่าทันโฆษณา ( หนังสือ pdf แจกฟรี)    //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2012&group=7&gblog=160

หนังสือ ทุกข์ล้นเหลือ เหยื่อโฆษณา ............ของดี ฟรีด้วย โหลดอ่านกันได้เลยครับ     //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=26-10-2012&group=7&gblog=163


................................








https://www.facebook.com/fanemouth/posts/1546437185431718

ระวัง ! ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอ้างว่า กินแล้วผอม ช่วยลดน้ำหนัก บอกว่าปลอดภัย มีเลข อย ด้วย
แต่เมื่อเช็คเลขที่ อย แล้ว ปรากฎว่า ไม่มีเลข อย. นี้ในระบบข้อมูลของ อย.

พฤติกรรมเยี่ยงนี้ เลวร้ายมาก
ทำมาหากิน บนชีวิตคน
พ่อค้า แม่ค้า คงคิดว่า คนซื้อของเค้า "โง่"
แค่บอกว่า "มีเลข อย". ก็คิดว่าปลอดภัยแล้ว
แค่บอกว่า "กินแล้วผอม" ก็ซื้อกินกัน ไม่กลัวผลกระทบ

....

ถึง ทุกท่าน ....
อย่าให้ใครมาหลอกเราได้อีก ....

เบื้องต้น สามารถตรวจสอบเลข อย ได้ที่เวป อย. ตามนี้
• เช็ค อย.อาหาร //fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/food/FSerch.asp…
• เช็ค เลขทะเบียนยา //fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/DSerch.asp
• เช็ค ข้อมูลผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง //164.115.28.102/FDA_SEARCH_CENT…/…/FRM_SEARCH_CMT.aspx

อีกประเด็นนึงค่ะ เรื่องการโฆษณาว่า คำโฆษณานั้น อย. อนุญาตจริงหรือไม่ จะต้องสังเกตว่า การโฆษณาที่เราเห็น แบบบรรยายสรรพคุณนั้น มีการขออนุญาตโฆษณาหรือไม่

- เลขอนุญาตโฆษณาอาหาร = ฆอ. ..../....
- เลขอนุญาตโฆษณายา = ฆท. .../....
- เลขอนุญาตโฆษณาเครื่องมือแพทย์ ฆพ. .../....
- เครื่องสำอาง ไม่มีเลขขออนุญาตโฆษณา เนื่องจาก กฎหมายกำหนดว่า เครื่องสำอางไม่ต้องขออนุญาตโฆษณา

เราจะสังเกตได้ว่า การโฆษณาใน social media ส่วนใหญ่ ไม่มีแสดงเลขอนุญาตโษฆณาจาก อย. - แสดงว่า เป็นโฆษณาเข้าข่ายผิดกฎหมายเกินจริง - แล้วเรายังจะซื้อมากิน มาใช้หรือ ???

และที่สำคัญ เราควร Double check - Triple Check ....
1.เช็คเลขที่ อย

2.เช็คการตรวจสารประกอบ
ได้ที่ หน้าต่างเตือนภัยสุขภาพ ของกรมวิทยาศาตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข www.tumdee.org/alert
แต่ในหน้าต่างเตือนภัย ก็ยังไม่ได้มีผลิตภัณฑ์ทุกตัวในประเทศไทยนะคะ อย่าเข้าใจไปว่า ในระบบหน้าต่างเตือนภัยไม่มีแจ้งเตือน ก็จะคิดว่าปลอดภัยแล้ว
และอีกอย่าง สารประกอบบางตัว มันไม่สามารถตัวเจอได้ด้วยกรรมวิธีการตรวจสอบของประเทศไทยนะคะ

3.ถ้าต้องการส่งผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตรวจสอบว่ามีสารอันตรายหรือไม่ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามช่องทางต่างๆ ดังนี้

• กทม. - กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ที่อยู่ : 88/7 บำราศนราดูร ถ.ติวานนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
โทรศัพท์ : 0-2951-0000,0-2589-9850-8

• กรณีต่างจังหวัด ส่งไปตรวจสอบได้ที่ ศูนย์วิทยาศาตร์การแพทย์จังหวัด //www.dmsc.moph.go.th/dmscnew/regional_agencies.php

.....
ถ้าเราไม่ปกป้องตัวเอง แล้วใครจะมาปกป้องเรา


::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::



หลายๆคนคงสงสัยว่า ทำไมเวลาพวกยาลดความอ้วนที่ขายดีๆ แล้วเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจเจอสารอันตราย เช่นไซบูทรามีนในนั้น พวกแม่ค้ามันถึงอ้างว่า เฮ้ย ของที่กรูขายมี อย นะเว้ย แล้วมันจะอันตรายได้ไง บลาๆ ไอ้ที่ตำรวจจับไปมันของปลอมทั้งนั้น บลาๆ แล้วพอเอาเลข อย แม่งไปตรวจก็พบว่ามันเสือกเป็นของจริงซะด้วย ทำไมเป็นงั้นรู้มะ

เพราะ เลข อย ของอาหารเสริมพวกนี้ ของ่ายครับ ขอผ่านเน็ทก็ได้ ขอตอนเช้า ตอนเย็นได้ก็มี แค่กรอกเอกสารให้ครบ ลงรายละเอียดองค์ประกอบในอาหารเสริมแค่ให้เจ้าหน้าที่อ่านแล้วเห็นว่า เออ กินแล้วไม่ตายห่าก็ผ่านได้เลข อย ละ

เลข อย มันของ่ายกันประมาณนั้นแหละ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าถ้าจะเจอพวกอาหารเสริมที่มีสารอันตรายถึงตาย มีเลข อย กันเต็มไปหมด

คำถามคือ อย ไม่ต้องเอาอาหารพวกนี้ส่งตรวจหาองค์ประกอบในอาหารเสริมเรอะ

ไม่ว่ะครับ อันนี้เคยคุยกับ จนท ระดับผู้บริหารของ อย มา เขาอธิบายคอนเซ็ปท์ว่า ระบบนี้เดิมทีมันยึดหลักว่า ผู้ผลิตสินค้า เขาก็อยากให้มีลูกค้าอุดหนุนสินค้าเขานานๆ ก็ต้องใส่วัตถุดิบตามส่วนผสมที่กรอกเอกสารส่ง อย เพราะถ้าไม่ทำงั้นเกิดใส่สารไรที่อันตรายลงไปแล้วจับได้ตอนหลัง ผู้ผลิตก็จะซวยเอง หากินกันไม่ได้

แต่คอนเซ็ปท์ทุกวันนี้แม่งเปลี่ยนไป ระบบเดิมมันตามโลกไม่ทัน เพราะผู้ผลิตแม่งไม่สนหรอกครับ ว่าจะโดนจับโดนปรับกี่บาท

เพราะโทษปรับแม่งเบาเหี้ยๆ


เบาแบบไม่ถึง 0.001% ของรายได้ที่มันจะมีหากขายอาหารเสริมที่ใส่สารอันตรายลงไป

หรือต่อให้ อย เอามาตรวจก่อนจด เลข อย ก็ใช่ว่าจะทำไรได้
เพราะมันมีผู้ผลิตนกรู้ ผลิตอาหารเสริมแบบธรรมดาๆไม่มีสารอันตรายห่าไร ส่งให้ อย ตรวจ พอตรวจเสร็จ รับรองผ่านได้เลข อย

กลับถึงโรงงานแม่งเทไซบูทรามีนและยาอันตรายสารพัดลงเครื่องปั๊มยาเลยครับ ไอ้ฉิบหาย

แล้วพอมีคนร้องเรียนมา อย ไปจับไอ้พวกนี้ส่งตรวจ แม่งก็จะแถด้วยข้ออ้างเดิมๆ ที่ อย จับคือของปลอม ของจริงที่ชั้นขายไม่มีสารอันตราย บลาๆ บางคนแม่งก็ห้าวถึงขั้นขู่ฟ้อง อย สสจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่เอาเรื่องมาเปิดโปงเลยก็มี บางรายโดนดำเนินคดี จ่ายค่าปรับไม่กี่บาท แล้วแม่งก็จ้างโรงงานเดิมผลิตแบรนด์ใหม่ ขอเลข อย กันใหม่ แล้วก็หลอกประชาชนกันอีกรอบวนไปวนมาอยู่แบบนี้

อันนี้ถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาลตรงๆเลยนะ
ทำไรก็ได้ ให้ อย ตำรวจ ที่ทำงานในด้านนี้ เขามีอำนาจในมือเด็ดขาดกว่านี้ และมี จนท มาดูแลปัญหานี้ให้เยอะกว่านี้หน่อยเหอะว่ะ เห็นที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้แล้วสงสารฉิบหาย ขายอาหารเสริมยาลดความอ้วนกันเต็มบ้านเต็มเมือง จนท แม่งมีกันกี่คนเชียว ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ไม่กวดขันแล้ว แต่มันเกิดเพราะโครงสร้างแม่งหละหลวม ระบบมันมีปัญหา จนไม่สามารถปกป้องประชาชนจากพวกยาลดความอ้วนได้

ส่วนประชาชนก็เหมือนกัน มึงต้องเลิกมองว่า เลข อย เป็นอะไรที่เชื่อถือได้ไม่ว่าคนขายมันจะอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงแค่ไหนก็ตามได้แล้ว มันก็แค่เป็นเลขที่การันตีว่า ตอนมันไปจดเลข อย มันไม่ได้กรอกเอกสารใส่สารอันตรายลงไปแค่นั้นเอง นอกนั้นมันไม่ได้บอกเชี่ยไรเล้ยยยย

ที่มา https://www.facebook.com/DramaAdd/photos/a.411063588290.186101.141108613290/10155862656683291/?type=3&theater

ต้นเรื่อง.. อ่านแล้วอืมมมมมมมมมม
๑๑ กันยายน ๒๕๖๐ สุโขทัย : จับแล้วผลิตภัณฑ์ มิซมี่ (Mizme) มิซยู ออร่า (Mizz U Aura) ... สสจ.แจงอัตรายถึงตาย
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=10207608735096531&id=1835498228&pnref=story
https://www.facebook.com/prsukhothai/posts/795364583969498·





 

Create Date : 24 พฤศจิกายน 2551   
Last Update : 13 กันยายน 2560 12:59:50 น.   
Counter : 21103 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]