Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

วิตามิน อาหารเสริม ... โทษมากกว่าคุณ ??? .... จาก นสพ.ไทยรัฐ




นสพ.ไทยรัฐ

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ.2553

//www.thairath.co.th/today/view/77445



โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคหลอดเลือดสมอง

นายแพทย์สงวนศักดิ์ ฤกษ์ศุภผล คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ บอกว่า สาเหตุหลักส่วนใหญ่ของโรคเรื้อรังเหล่านี้ มาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ความเครียด การขาดการออกกำลังกาย และ...ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระใน ร่างกายต่ำ

"ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่รู้ตนเองล่วงหน้าว่าป่วยเป็นโรค ร้ายต่างๆ เนื่องจากขาดอาการบ่งชี้ของโรค ขาดการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เราจึงมักพบผู้ป่วยจำนวนมาก ที่ตรวจพบเจอโรคร้ายในระยะสุดท้าย หรือเสียชีวิตก่อนทำการรักษาไปอย่างน่าเสียดาย..."


คุณหมอสงวนศักดิ์ บอกว่า ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายสามารถบ่งชี้สุขภาพของบุคคลได้ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระเป็นด่านแรกในการปกป้องเซลล์จากการจู่โจมของอนุมูล อิสระที่เป็นตัวการทำร้ายร่างกายอันเกิดจากมลภาวะ ควันบุหรี่ แสงแดด การดำรงชีวิตประจำวันของคนไทยปัจจุบัน

ปกติแล้วในร่างกายของเราจะมี ระบบต่อต้านอนุมูลอิสระด้วยเอนไซม์ที่ร่างกายสร้างขึ้น ซึ่งร่างกายจะต้องได้รับสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่หลากหลายอย่างเพียงพอ

เพื่อให้ระบบต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายสามารถทำงานได้ เต็มประสิทธิภาพ และกำจัดเอาของเสียเหล่านี้ออกไปจากร่างกาย

คุณหมอ สงวนศักดิ์ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยและอุปกรณ์ เครื่องไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์ ที่เป็นลิขสิทธิ์ของ บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ตรวจวัดค่าเฉลี่ยสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อหาความสัมพันธ์ที่มีผลต่อสุขภาพ

ผลการเก็บข้อมูลจากอาสาสมัคร คนไทย 80 คน แบ่งเป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ 40 คน และคนสุขภาพแข็งแรงจำนวน 40 คน พบว่า...

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจมี ระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกายต่ำกว่าคนสุขภาพแข็งแรงเกือบ 2 เท่า

อีกทั้ง คนไทยทั่วไปยังมีค่าเฉลี่ยสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในระดับต่ำ ประมาณ 10,000-30,000 ซึ่งเป็นระดับที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและก่อให้เกิดโรคร้ายต่างๆได้


คนไทยควรจะมีค่าสารต้านอนุมูลอิสระในระดับ 50,000 ขึ้นไป ซึ่งเป็นค่าที่มีความสอดคล้องกับระดับแคโรทีนอยด์ในเลือด และเป็นระดับที่บ่งชี้ว่าบุคคลนั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังเหล่า นี้ น้อยกว่าคนที่มีค่าสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ

คุณหมอสงวนศักดิ์ บอกว่า สำหรับเครื่องไบโอโฟโตนิค สแกนเนอร์ (Biophotonic Scanner) เป็นนวัตกรรมใหม่ ค้นคว้าวิจัยโดย ดร.เวอร์เนอร์ เกลเลอร์แมน สถาบันเลเซอร์ แผนกฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ใช้พื้นฐานเทคโนโลยีรามาน สเปคโตรสโคปี โดยเซอร์ซีวี รามาน เจ้าของรางวัลโนเบล

วัดระดับแคโรทีนอยด์ที่ผิวหนังมนุษย์ด้วยแสงเลเซอร์พลังงานต่ำ โดยไม่ต้องเจาะเลือด แต่ได้ค่าที่แม่นยำเทียบเท่ากับการเจาะเลือด ทำให้ทราบถึงระดับสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้อย่างง่ายดาย และปลอดภัย ภายในเวลา 3 นาที

เหล่านี้คือความสำคัญของอนุมูลอิสระ คุณหมอสงวนศักดิ์แนะอีกว่า วิธีดูแลสุขภาพให้ห่างไกลโรคร้าย สิ่งสำคัญคือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่

"เน้น การรับประทานผักสด ผลไม้หลากสี...เพื่อเสริมสร้างปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายให้เพียงพอ"

ผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระปริมาณมาก ได้แก่ คะน้า มะเขือเทศ แครอท ฟักทอง และมะเขือม่วง อีกทั้งยังต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายให้เสียเหงื่ออย่างสม่ำเสมอ


หมั่นตรวจสุขภาพเป็น ประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อรู้เท่าทัน เตรียมพร้อมรับมือโรคร้ายได้อย่างทันท่วงที

สุดท้ายอย่าลืมข้อ เลี่ยงสำคัญคือ มลภาวะและความเครียด




ขอแทรกความเห็น ไว้ก่อนว่า ผมไม่เชื่อเครื่องแบบนี้ นะครับ ...





สำหรับ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่โฆษณาสรรพคุณว่า สามารถช่วยเพิ่มปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เสริมภูมิต้านทานโรคร้ายได้นั้น พญ.อภิญญ์เพ็ญ สาระยา ให้ทรรศนะร่วมกับ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เอาไว้ว่า

อาหาร เสริม...วิตามิน...สมุนไพรบางประเภทถึงจะไม่ผ่านการรับรอง แต่ก็เป็นที่ยอมรับของประชาชน ด้วยความเชื่อที่ว่า...อะไรที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีพิษมีภัย

และอะไรที่ขายในต่างประเทศ เช่น อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย ย่อมจะเป็นของดี



ในความเป็นจริงการขายอาหารเสริม อย่างเสรีในอเมริกาเกิดจากการล็อบบี้ต่อสภาคองเกรสของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีทุนหลายพันล้านดอลลาร์

โดยบริษัทอ้างว่าเป็นเสรีภาพของประชาชนที่จะตัดสินใจเลือกบริโภคด้วยตัวเอง


อาหาร เสริมสมุนไพรเหล่านี้ แม้ว่าจะผ่านตรา อย. ก็ไม่ได้หมายความว่า มีข้อพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพจริง

"อย.จะเข้าตรวจสอบก็ต่อเมื่อ เกิดผลอันตรายขึ้นมาแล้ว"



ประเทศไทยมีการโฆษณาอาหารเสริมอย่าง ถี่ยิบ ด้วยรูปแบบการตลาดขายตรง ทั้งยังโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงผ่านผู้แทนการขาย

อีกทั้งยังแฝงด้วย การใช้ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นนักวิชาการ แพทย์ เภสัชกร อธิบายสรรพคุณผ่านสื่อ โทรทัศน์ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต



สรรพคุณมุมมอง ดีๆผ่านสื่อเหล่านี้ นอกจากจะทำให้ประชาชนทั่วไปอยากสุขภาพดี ยังมีคนไข้เจ็บป่วยจริงๆเจียดเงินมาซื้อผลิตภัณฑ์ เหล่านี้ จนละเลยการรักษาที่ถูกต้อง

ในท้ายที่สุด ผู้ป่วยก็ประสบเคราะห์กรรม หรือไม่ ผลิตภัณฑ์ก็มีปฏิกิริยาต่อยาปัจจุบัน...เกิดผลร้ายแรงกับคนไข้



คุณ หมอธีระวัฒน์ ยกตัวอย่าง กรณีค่อนข้างใกล้ตัว...วิตามินอี

"วารสาร นิวอิงแลนด์และแลนเซ็ท ฉบับมกราคม 2543 และ 2544 จนถึงปัจจุบันยืนยันว่า...วิตามิน E ไม่ช่วยป้องกันเส้นเลือดตีบ"

แม้ ว่า วิตามินอี อาจจะชะลอโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ได้เล็กน้อย แต่ผลข้างเคียงรุนแรงกว่า หากใช้ในขนาดตั้งแต่ 400 หน่วยต่อวัน กลับทำให้ เสียชีวิตเพิ่มขึ้น



วิตามิน B6, B12 และ folic acid เดิมเชื่อกันว่า...ลดสาร homocysteine ซึ่งก่อให้เกิดเส้นเลือดตีบในหัวใจ สมอง และขา กลับพบว่าทำให้เป็นโรคเส้นเลือดตีบมากขึ้น และก่อให้เกิดอันตรายเพิ่มขึ้น

ไม่เว้นแต่...วิตามินเบตาแคโรทีน (Beta carotene) ที่เชื่อว่า... กันมะเร็ง เมื่อนำไปศึกษากลับพบว่าก่อมะเร็งในปอดมากขึ้น

ข้อมูลเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นข้อมูลทางวิชาการอ่านแล้วน่าเบื่อ... แต่ขอให้รู้เอาไว้ว่า อาหารเสริมใช่จะมีสรรพคุณเลิศเลอ แต่ยังแฝงไปด้วยโทษถึงชีวิต



วารสาร แลนเซ็ท มกราคม 2549 การศึกษาในประชากรมากกว่า 250,000 ราย พบว่า การทานผัก ผลไม้ช่วยลดการเกิดอัมพาต อัมพฤกษ์ ได้ถึง 30%...ทำให้อัตราการเกิดมะเร็งลดลง ซึ่งไม่มียาตัวใด มีสรรพคุณยอดเยี่ยมเช่นนี้

"ทานผัก ผลไม้ หลากหลายชนิด อย่างน้อยวันละ 3-5 ครั้ง เป็นวิธีธรรมชาติที่ดีที่สุด แถมไม่เสียสตางค์เพิ่มจากค่าอาหารที่ต้องใช้ทุกวัน"

คุณหมอธีระวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย.







Create Date : 19 เมษายน 2553
Last Update : 19 เมษายน 2553 15:59:40 น. 7 comments
Counter : 5850 Pageviews.  

 
กราบสวัสดีชาวโลกเพคะ ~ คุคุคุ .


โดย: yosita_yoyo วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:16:11:50 น.  

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:16:19:54 น.  

 
แถม ... บทความที่ผมเก็บเอาไว้ในบล็อก ...


เภสัช มช. ช่วยไขข้อข้องใจ 5 ประการ ว่าด้วย “น้ำหมักชีวภาพ” ....

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=08-02-2010&group=7&gblog=50


ยัง ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยัน.. การใช้ Growth Factor .. มารักษารอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้จริง ...

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=28-01-2010&group=7&gblog=47


ยา กับ อาหารเสริม (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) ต่างกันอย่างไร ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2008&group=7&gblog=5


สุด ยอดการหลอกลวงด้านสุขภาพ ... จาก อเมริกา ดูแล้วก็ไม่ต่างอะไร กับเมืองไทย ...

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-12-2009&group=7&gblog=40


อย.ย้ำ ผู้บริโภค อย่าหลงเชื่อ เครื่องบำบัดด้วยกระแสไฟฟ้าสถิตย์ อวดอ้างสรรพคุณรักษาโรค

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-09-2008&group=7&gblog=7


อาหาร เสริม เลือดจระเข้ ดีจริงหรือ ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-12-2009&group=7&gblog=41


...สาว ฮ่องกง.... จำนวนมาก ถูกบริษัทลดน้ำหนัก หลอกโกงเงิน .... แล้วเมืองไทยละ ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=07-12-2009&group=7&gblog=42


ต่อ ไปนี้คือสิ่งที่คุณพึงระลึกอยู่เสมอเกี่ยวกับ การลดน้ำหนัก

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-04-2008&group=4&gblog=33


อย. ยัน...ไม่เคยรับรอง .... ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร .... ลดอ้วนได้จริง

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=24-11-2008&group=7&gblog=8


กลู ต้าไทโอน ทำให้ผิวขาวจริงหรือไม่.. โดย...สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-02-2009&group=7&gblog=16


ทำไม ต้อง " ขาว " .. ทำไม ต้อง " เอาชีวิต สุขภาพ ของเรา " เพื่อให้คนอื่นเขาดู ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=05-02-2010&group=7&gblog=49


บท ความเรื่อง : สาร Glutathione สำหรับทำให้ผิวขาวที่กำลังเป็นที่นิยม

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=05-01-2009&group=7&gblog=9


อาหาร เสริม ดีจริงหรือ ??? กินกูลต้าไธโอน ขาวจริงป่ะ ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=10-08-2008&group=7&gblog=4


FW mail ... รวมสินค้า (แหกตา) โดนแล้วจะตาแหก...

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=11-01-2010&group=7&gblog=46


FW Mail : รายชื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่ดีที่สุดในเมืองไทย ... ... จริงหรือ ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=29-08-2009&group=7&gblog=30


FW Mail สุขภาพที่หลายคนเข้าใจผิด (หมอแมว) แถมเรื่อง การช่วยชีวิตเบื้องต้น

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=13-10-2009&group=7&gblog=36


Fwd : FW : FW : ภัยจากนามบัตร ( ส่งต่อกันมาเพียบ รายชื่อยาวเหยียด )

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=02-02-2009&group=7&gblog=13


การ รักษาด้วย คีเลชั่น....ดีจริงหรือมั่วนิ่ม ???

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=17-02-2009&group=7&gblog=17


ขาย ตรงของจริง ( MLM ) กับ ขายตรงของปลอม (ระบบแชร์ลูกโซ่) ต่างกันอย่างไร? ... รู้ไว้จะได้ไม่เสียรู้

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=03-09-2009&group=7&gblog=32


ใคร ว่า องค์การอาหารและยา ( อย. ) ไม่มีผลงาน ... ผมค้านเต็มที่ ... มีผลงานของ อย.มาแสดงด้วย .

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=09-03-2010&group=7&gblog=53


จริง-เท็จ แผนเด็ดโฆษณา ฟิลเตอร์เทพ-แอร์ ฆ่าหวัด09 ..... นักวิชาการชี้ เป็นไป ไม่ได้

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-02-2010&group=7&gblog=51


รวบ รวมกระทู้เกี่ยวกับน้ำ MRET ... ใครเชื่อ ผมไม่เชื่อ ????

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-04-2009&group=7&gblog=25


โดย: หมอหมู วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:16:28:09 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ หมอหมู (ช้าปายนี๊ดด...!)

ป้าหู้หมดค่าอาหารเสริมไปหลายเลยจ่ะ...

ทีแรกก็ซื้อให้ป้าแมว แต่ตอนหลังป้าก็ทานด้วย

กลัวว่าเด๋วเราเองเดี้ยงไปจะไม่มีใครดูแลป้าแมว...(พี่สาวคนเดียวที่น่า...ร๊ากกก....)

ป้าก็ไม่แน่ใจนะคะว่าป้าแมวอาอารดีขึ้นไม่ เพราะดูๆแล้วป้าว่า

ป้าแมวก็มีอาการของคนเป็นอัลซัลเมอร์...เพิ่มขึ้น...ตามลำดับละค่ะ

อาการทางร่างกายก็ดูแลกันไปตามอาการ อย่างท้องเสียก็ทานทานยาฆ่าเชื้อไป...

แต่ก็ลำบากกับคนที่ต้องดูแลใกล้ชิด ทำความสะอาดกันไป

แต่ถ้าทางจิตนี่ซีคะลำบากจริงๆ...เพราะจะงอแงไม่ยอมทานอะไรเลย ต้องหลอกกัน ขอร้องแกมบังคับกัน

ตอนนี้แหละค่ะอาหารเสริมบางตัวที่ช่วยได้ อย่างน้ำข้าวที่เสริมสารอาหารอ่ะจ่ะ

นี่ตอนนี้เริ่มพูดคนเดียวคุยคนเดียวแล้ว พอถามว่าพี่แมวพูดอะไรน่ะ...

คำตอบคือพูดไม่รู้เรื่องแล้ว!...ลำดับความไม่ถูก อ่อแอ้ไปเลย

...อ้าว!...จะมาทักทายหมอหมูซะหน่อย เลยกลายเป็นมาระบายให้หมอฟังซะเนียะ...

ขอให้คุณหมอมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง ทั้งกายและใจนะคะ...


โดย: ป้าหู้เองจ่ะ (fifty-four ) วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:16:42:40 น.  

 
สวัสดียามเย็นค่ะ แวะมาอ่านสาระน่ารู้ค่ะ


โดย: kobnon วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:16:50:42 น.  

 
วิตามินเม็ด กินทำไม ปลอดภัยจริงหรือ?

//www.doctor.or.th/article/detail/10965

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 373-010
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 373
เดือน/ปี: พฤษภาคม 2010
คอลัมน์: เรื่องน่ารู้
นักเขียนหมอชาวบ้าน: นพ.สมเกียรติ แสงวัฒนาโรจน์


ถ้าลองถามผู้ที่กินวิตามินเม็ดอยู่ทุกวันว่ากินทำไมกัน ก็ได้รับคำตอบว่า กินแล้ว "รู้สึก" สบายดีบ้าง กินได้นอนหลับดีบ้าง กินบำรุงให้แข็งแรงขึ้น ความจำดีขึ้นบ้าง คนโน้นบอกว่าดี คนนี้ก็บอกว่าดี เลยกินตามๆ กัน


ถามต่อว่า กินอยู่ทุกวัน ไม่กลัวอันตรายหรือ (ทีกินยาทุกวัน กลัวว่ายาจะสะสม ตับไตจะพัง) ก็มักจะได้คำตอบว่า วิตามินเม็ดทำมาจากธรรมชาติ จากอาหาร ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ กินอาหารได้สารอาหารไม่ครบ ต้องกินเสริมให้แข็งแรง ป้องกันโรค กิน ๑ เม็ดเท่ากับกินผักผลไม้เป็นกิโลๆ แน่ะ กินแล้วไม่เห็นเป็นไร ก็สบายดีนี่

มีการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพมากกว่า ๑ การศึกษาบอกว่า วิตามินหลายๆ ตัวที่กินกันอยู่ ไม่ได้ผลในการป้องกันมะเร็ง โรคหัวใจหลอดเลือด สมองเสื่อม ไม่ได้ทำให้อายุยืนยาวขึ้น หรืออื่นๆ เราจะยังกินหรือไม่?

มีการศึกษาหลายการศึกษาบอกว่า วิตามินบางตัวที่เราๆ ท่านๆ กินกันอยู่ เพิ่มโอกาสเสียชีวิต มากกว่าไม่ได้กิน หรือยาหลอก เราจะยังกินต่อหรือเปล่า?

เราใช้ ความ "รู้" หรือความ "รู้สึก" ในการบอกว่า จะกินหรือไม่กิน ดี?


วิตามินเอ วิตามินอี และบีตาแคโรทีน อาจเพิ่มโอกาสเสียชีวิต (Bjelakovic G. JAMA 2007;297:
842-57)

การรวบรวมการศึกษาไปข้างหน้าแบบสุ่ม (randomized trials) ๖๘ การศึกษา จากประชากร ๒ แสน ๓ หมื่นกว่าคน (ทั้งคนปกติและเป็นโรคแล้ว) เพื่อดูว่า ผลของการกินวิตามินเม็ด หรือสารต้านอนุมูลอิสระสกัด ต่อการเสียชีวิต เมื่อเทียบกับไม่ได้กิน หรือกินวิตามินหลอก (รูปลักษณ์เหมือนวิตามินเม็ดทุกอย่าง แต่ไม่มีวิตามินอยู่ เพื่อผู้ทำวิจัยเก็บข้อมูล และผู้ป่วยจะไม่ทราบ ป้องกันการลำเอียง หรืออุปาทาน ในการเลือกให้วิตามินเม็ด และการแปลผล) ถ้ารวมการศึกษาทั้งลำเอียงมากและน้อย (high and low-bias trials) ไม่พบความแตกต่างในโอกาสเสียชีวิตของผู้ที่กิน หรือไม่กินวิตามินเม็ด หรือสารต้านอนุมูลอิสระสกัด แต่ถ้าดูเฉพาะการศึกษาที่มีคุณภาพการศึกษาที่ดี (ความลำเอียงน้อย) ๔๗ การศึกษา ในประชากร ๑ แสน ๘ หมื่นกว่าคน พบว่า การกินบีตาแคโรทีนในการศึกษา ๖ การศึกษา เพิ่มโอกาสเสียชีวิตร้อยละ ๖ (95% CI 1.01-1.11) การกินวิตามินเอเดี่ยวๆ หรือร่วมกับอาหารเสริมอื่น ยกเว้นซีลีเนียม (๕ การศึกษา) เพิ่มโอกาสเสียชีวิตร้อยละ ๑๖ (95% CI 1.10-1.24) และการกินวิตามินอี (๒๖ การศึกษา) ก็เช่นเดียวกับวิตามินเอ คือ เพิ่มโอกาสเสียชีวิตร้อยละ ๔ (95% CI 1.01-1.07)


วิตามินอีไม่ช่วยในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด (Vivekananthan DP, Lancet 2003;361:2017)

ตำราโรคหัวใจเล่มล่าสุด (Braunwald's Heart Disease) ได้ตีพิมพ์ข้อสรุปจากการศึกษาแบบสุ่ม ๗ การศึกษา ในประชากร ๘ หมื่นกว่าคน พบว่าการกินวิตามินอีไม่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (กลุ่มที่กินเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ ๑๑.๓ กลุ่มควบคุม (ไม่ได้กิน) เกิดร้อยละ ๑๑.๑)


ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนกินวิตามินรวม ไม่ช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือการเสียชีวิต (Neuhouser ML. Arch Intern Med 2009;169:294-304)การศึกษา Women's Health Initiative เป็นการศึกษาในหญิงอเมริกัน ๑ แสน ๖ หมื่นกว่าคน ทั้งในการวิจัยทางคลินิกและการติดตามระยะยาวประมาณ ๘ ปี พบว่าหญิงวัยหมดประจำเดือนที่กินวิตามินรวม ไม่ว่าจะกินวิตามินรวมเดี่ยว วิตามินรวมร่วมกับเกลือแร่ (เช่น แคลเซียม) หรือวิตามินรวมในขนาดสูง (สูงกว่าร้อยละ ๒๐๐ ของระดับที่แนะนำ) ไม่ช่วยลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง (ที่พบบ่อย) โรคหัวใจและหลอดเลือด และไม่มีผลต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ


คำแนะนำของสมาคมหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ปี พ.ศ.๒๕๔๙ (Circulation 2006;114:82-96)

แม้ว่าวิตามินเม็ด หรือสารต้านอนุมูลอิสระสกัด เช่น วิตามินอี บีตาแคโรทีน ซีลีเนียม ไม่แนะนำให้กิน แต่แนะนำให้กินอาหารจากพืชแทน (เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดขาว น้ำมันพืช ที่มีวิตามินดังกล่าว)


หญิงวัยหมดประจำเดือน กินวิตามินดีและแคลเซียมเป็นประจำ ไม่ลดโอกาสกระดูกหัก แต่อาจเพิ่มนิ่วในไต (Jackson RD.N Engl J Med 2006;354:669-83)

การศึกษาหญิงวัยหมดประจำเดือนมากกว่า ๓๖,๐๐๐ คน สุ่มแบ่งให้กินวิตามินดี ๔๐๐ หน่วยมาตรฐาน และแคลเซียม ๑ กรัม หรือกินยาหลอกทุกวัน เป็นเวลา ๗ ปี พบว่าการกินวิตามินดีและแคลเซียม เพิ่มความหนาแน่นของกระดูกสะโพก แต่ไม่ลดโอกาสกระดูกสะโพกหัก และเพิ่มโอกาสเกิดนิ่วในไตประมาณร้อยละ ๑๗ นอกจากนี้ การกินวิตามินดีและแคลเซียมไม่ช่วยลดโอกาสเสียชีวิต หรือไม่ลดโอกาสเกิดโรคหัวใจ และโรคมะเร็งที่พบบ่อย


ดังนั้น หญิงวัยหมดประจำเดือน ไม่ควรกินแคลเซียม และวิตามินดีเสริมกระดูก ควรจะตรวจมวลกระดูกก่อนว่า กระดูกบางหรือยัง แล้วขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการเพิ่มมวลกระดูก เช่น งดกาแฟ (ทุกๆ ๑ แก้วที่ดื่มกาแฟ ดึงแคลเซียมออกจากร่างกายประมาณ ๔๐ มิลลิกรัม) งดน้ำอัดลม เปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือชาชง (ใบชาชงด้วยน้ำร้อน ไม่ใช่ชาขวด ชากระป๋อง อย่างที่ขายกันอยู่) หยุดยาไทรอยด์บางชนิด และให้กินกะปิ ปลาตัวเล็ก กุ้งแห้งที่มีแคลเซียมเพิ่มในอาหาร ออกกำลังกาย เดิน ยกน้ำหนัก เพิ่มแรงกดบนกระดูกที่บาง เพื่อกระตุ้นให้แคลเซียมไปสะสมอยู่ที่กระดูกที่ใช้งาน (ยิ่งใช้ยิ่งแข็งแรง ยิ่งไม่ใช้ยิ่งเสื่อมโทรม) ตากแดดอ่อนๆ ตอนเช้า เย็น ๑๕ นาทีต่อวัน เพื่อให้ผิวหนังสร้างวิตามินดี วิตามินดีจะเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมจากอาหารที่กิน ร้อยละ ๘๐ ของวิตามินในร่างกายเราสร้างจากผิวหนังที่สัมผัสแสงแดด ที่เหลือได้จากอาหาร เช่น ไขมันปลา นม ธัญพืช ส่วนการกินแคลเซียม และวิตามินดีเสริม ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ เพื่อป้องกันผลเสียในระยะยาวดังกล่าวข้างต้น



สรุป
"วิตามิน" เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ ในขณะเดียวกันก็เกิดโทษได้เหมือนกัน
การกินตาม "ธรรมชาติ" จะได้ประโยชน์มากกว่า และ/หรือโทษน้อยกว่าการกินแบบ "ปรุงแต่ง" โดยสกัดเป็นเม็ดหรืออาหารเสริม

วิตามินเม็ดที่มีวิตามินเอ อี และบีตาแคโรทีนเป็นส่วนประกอบ ควรจะหลีกเลี่ยง ไม่ควรกินในระยะยาว ส่วนการกินวิตามินดี และแคลเซียม ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งให้กินในระยะยาว



โดย: หมอหมู วันที่: 11 สิงหาคม 2555 เวลา:15:23:57 น.  

 

วิตามินเสริม...ดีจริงหรือ?

//www.doctor.or.th/article/detail/7835

ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 363-009
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 363
เดือน/ปี: กรกฎาคม 2009
คอลัมน์: เรื่องเด่นจากปก
นักเขียนหมอชาวบ้าน: ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด


ถือเป็นเรื่องร้อนที่สังคมให้ความสนใจ คาดว่าคงโดนใจผู้อ่านที่รักสุขภาพกันทุกคน ประมาณว่าปีหนึ่งๆ มีพลโลกจัดซื้อจัดหายาเม็ดวิตามิน มากินกันมากมายทั่วโลกเป็นมูลค่ามหาศาลด้วยความคาดหวังบนพื้นฐานของความรู้ ความเข้าใจและความเชื่อว่า วิตามินจะช่วยส่งเสริมสุขภาพสร้างความสมบูรณ์ แข็งแรง และ/หรือช่วยป้องกันและรักษาโรคต่างๆ ของมนุษย์ได้ซึ่งบทความนี้จะให้ความกระจ่างเรื่องวิตามินเป็นลำดับ



วิตามินคือสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

ตั้งแต่เล็กแต่น้อยเราได้เรียนรู้มากันว่าวิตามินเป็นหนึ่งในอาหาร 5 หมู่ที่สำคัญต่อร่างกายของเรา มีหน้า
ที่หลักช่วยให้การทำงานต่างๆ ของร่างกายเป็นปกติ และอาจรวมกับเกลือแร่ แล้วเรียกว่า "วิตามินและเกลือแร่ "ซึ่งเราทุกคนได้รับจากอาหารมื้อต่างๆ ที่กินเข้าไปในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อให้เพียงพอต่อการนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ช่วยให้การทำงานของร่างกายเป็นปกติ

นอกจากนี้ ยังจำได้ว่าถ้าร่างกายได้รับวิตามินไม่เพียงพอ ก็จะเกิดโรคต่างๆ ขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น โรคลักปิดลักเปิดที่มีอาการเลือดออกตามไรฟันซึ่งเกิดจากการขาดวิตามินซี หรือโรคเหน็บชา ซึ่งเกิดจากการขาดวิตามินบี 1 หรือโรคตาฝ้ามัว ตาฟาง ซึ่งเกิดจากการขาดวิตามินเอ เป็นต้น

มักจะรวมเรียกโรคเหล่านี้ว่า " โรคที่ขาดวิตามิน " ซึ่งถ้าผู้ใดไม่ได้รับวิตามินดังกล่าวเป็นระยะเวลานานก็จะทำให้เกิดความผิดปกติ หรือเกิดโรคต่างๆ ได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเป็นโรคขาดวิตามินแล้ว ได้รับการรักษาด้วยการได้รับวิตามินชนิดนั้น โดยทั่วไปเมื่อร่างกายได้รับวิตามินปกติ โรคเหล่านี้ก็หายไป


วิตามินได้จากอาหารตามธรรมชาติดีที่สุด

ปัจจุบันแหล่งของวิตามินสำหรับมนุษย์มี 2 แหล่งใหญ่ๆ คือ แหล่งวิตามินที่ได้จากอาหารตามธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว เมล็ดพืช น้ำมัน นม ตับ เนื้อสัตว์ เนื้อปลา เป็นต้น อาหารเหล่านี้จะมีองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งในจำนวนนั้นจะมีวิตามินสะสมอยู่ด้วย เมื่อเรากินเข้าไป ร่างกายก็จะย่อย ดูดซึม และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับอวัยวะต่างๆช่วยให้การทำงานของร่างกายเป็นปกติ

การเลือกกินอาหารที่ดี มีหลักสำคัญง่ายๆ คือกิน " หลากหลายและครบ 5 หมู่ " ได้แก่ การกินอาหารที่มีสารอาหารสำคัญทั้ง 5 หมู่ อันได้แก่ โปรตีน (ได้จากเนื้อสัตว์ ปลา ไข่นม ถั่ว ฯลฯ) แป้ง (ได้จาก ข้าว แป้ง น้ำตาล ฯลฯ) ไขมัน (ได้จากน้ำมัน ไขมัน ฯลฯ) วิตามิน และเกลือแร่ (ซึ่งได้จากผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่) ซึ่งปริมาณอาหารแต่ละหมู่จะต้องเหมาะสมเป็นสัดส่วนกับความต้องการของร่างกาย ไม่มากหรือน้อยเกินไป และควรสลับสับเปลี่ยนชนิดของอาหารให้หลากหลาย ต่างๆ นานา ไม่ซ้ำซากจำเจ เพื่อให้ได้สารอาหารครอบคลุมหลากหลายชนิดตามความต้องการที่หลากหลายของร่างกายของมนุษย์ นอกจากนี้ ควรเน้นผักและผลไม้สดให้มากขึ้น ซึ่งจะอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา

แหล่งของวิตามินประเภทที่สอง ได้แก่ วิตามินที่มีการผลิตในรูปแบบของยาสำเร็จรูป ขอเรียกว่า "ยาเม็ดวิตามิน " ซึ่งส่วนใหญ่จะผลิตจากสารเคมีในห้องปฏิบัติการ และผลิตเป็นยาสำเร็จรูปในโรงงานอุตสาหกรรมในท้องตลาดมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งขนาดปกติที่พอดีกับความต้องการแต่ละวัน และขนาดสูงกว่าปกติ ตลอดจนมีทั้งสูตรที่มีวิตามินชนิดเดี่ยวๆ และสูตรที่มีวิตามินหลายชนิดผสมกันหลากหลายชนิดที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก

เมื่อเปรียบเทียบการนำไปใช้งานของร่างกาย คุณประโยชน์ที่ได้รับ และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น พบว่าวิตามินที่ได้จากอาหารตามธรรมชาติ โดยเฉพาะลักษณะอาหารของประเทศไทย จะมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยสารอาหารต่างๆ ทั้ง 5 หมู่ รวมถึงวิตามินและเกลือแร่ ทั้งด้านชนิดและปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายคนทั่วๆ ไปได้เป็นอย่างดี วิตามินที่ได้จากธรรมชาตินี้ก็จะถูกนำไปใช้งานได้โดยง่าย ทั้งยังมีประโยชน์โดยตรงต่อร่างกายของเรา ซึ่งคุ้มค่าและดีกว่ายาเม็ดวิตามินที่สังเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเคมีและผลิตในรูปของยาสำเร็จรูปที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดทั่วๆ ไป




วิตามินเป็นยาบำรุงจริงหรือ?

คุณเป็นคนหนึ่งใช่ไหม? ที่มีความรู้ ความเข้าใจ และความเชื่อว่า " วิตามินเป็นยาบำรุง...ช่วยป้องกันและรักษาโรคบางอย่างได้ " ซึ่งเรื่องนี้เป็นทั้งความเชื่อ ความรู้ ความเข้าใจ ตลอดจนเป็นความคาดหวังของมนุษย์ทุกคนที่ต้องการ " สุขภาวะ " ต้องการให้สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและสมบูรณ์ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้

ปัจจุบันมีรายงานการศึกษาและข้อพิสูจน์เกี่ยวกับวิตามินกับโรคต่างๆ มากขึ้น มีทั้งได้ผลดี และไม่ได้ผลในการป้องกันหรือรักษาโรค จึงควรเข้าใจวิตามินแต่ละชนิดและสภาวะโรคแต่ละอย่าง ว่าวิตามินชนิดใดที่ได้ผลดี (และอาจเลือกใช้) และวิตามินชนิดใดไม่ได้ผล (ซึ่งไม่ควรใช้ให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ) ดังนี้




โรคที่ใช้วิตามินแล้ว... ไม่ได้ผล

1. วิตามินรวมกับโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคสมองขาดเลือด
จากการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ในผู้หญิงวัยทอง จำนวนกว่าแสนคนในสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่ใช้วิตามิน รวมมีโอกาสการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคสมองขาดเลือดไม่แตกต่างจากผู้ที่ไม่ใช้วิตามินรวม
ฟังดูอาจจะยังงงอยู่นะครับ เพราะเป็นภาษาทางการวิจัยแต่สามารถแปลให้ฟังง่ายๆ ได้ว่าผู้ที่ใช้วิตามินรวมจะมีโอกาสเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคสมองขาดเลือดใกล้เคียงกันกับผู้ที่ไม่ใช้วิตามินรวม หรือ " การใช้วิตามินรวมไม่ได้ช่วยลดการเกิดเป็นโรคทั้งสามในหญิงวัยทองเลย "

2. วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และโฟเลตกับโรคหัวใจขาดเลือด และโรคสมองขาดเลือด
อดีตมีรายงานทางการแพทย์ระบุว่า ระดับสารโฮโมซีสเทอีนในเลือดสูงจะมีความสัมพันธ์ทำให้การเกิด โรคหัวใจขาดเลือดและโรคสมองขาดเลือด และมีการค้นพบว่า การใช้วิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และ โฟเลต จะช่วยลดระดับสารโฮโมซีสเทอีนในเลือดให้ต่ำลงได้

มีผู้ตั้งสมมุติฐานและคาดคิดว่า ถ้าให้ผู้ป่วยได้รับวิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และโฟเลต จะส่งผลลดระดับสารโฮโมซีสเทอีนในเลือดให้ต่ำลงได้ และจะส่งผลลดโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือด และโรคสมองขาดเลือดลงได้

แต่เมื่อเร็วๆ นี้มีรายงานทางการแพทย์พบว่าผู้ป่วย ที่ได้รับวิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และโฟเลตมีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคสมองขาดเลือดได้ใกล้เคียงกับผู้ที่ไม่ได้ใช้วิตามิน จึงสรุปได้ว่าวิตามินบี 1 วิตามินบี 6 และโฟเลต ไม่ได้ช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคสมองขาดเลือดลงได้ตามการศึกษาบวกกับความเชื่อทางการแพทย์ข้างต้น


3. วิตามินอี และบีตาแคโรทีนกับโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็ง
มีรายงานการศึกษาการใช้วิตามินอี และบีตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันว่าจะช่วยลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็งได้หรือไม่? ตามแนวคิดและทฤษฎีของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอความเสื่อมถอยและความสึกหรอของเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งก็ให้ผลในทำนองเดียวกันว่า "วิตามินอีและบีตาแคโรทีน ไม่มีผลลดการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็งได้ "

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรายงานเพิ่มเติมว่าวิตามินอีและ สารซีลีเนียมในขนาดสูงก็ไม่ได้ช่วยลดการเกิดมะเร็งของต่อมลูกหมากได้อีกด้วย

เหล่านี้ล้วนเป็นผลการวิจัยที่ช่วยเสริมบทบาทความเข้าใจอย่างถูกต้องเหมาะสมของชาวเราต่อการใช้วิตามิน ถึงแม้ว่าจะส่งผลให้ลบเลือนความคาดหวังที่มีวิตามินในการช่วยป้องกันการเกิดโรคร้ายของมนุษย์

นี่คืออีกหนึ่งความจริงที่จะต้องยอมรับพร้อมทั้งนำมาประยุกต์กับการดำรงชีวิตของพวกเราทุกคนถ้ามองในแง่ดีก็จะได้ช่วยประหยัดทั้งค่าใช้จ่ายในการใช้วิตามินและลดความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงของวิตามินขนาดสูง ที่ได้รับในปริมาณมากกว่าความต้องการ เป็นระยะเวลานานๆ ติดต่อกัน ก็จะทำให้เกิดพิษต่อร่างกายของคนเราได้ อย่าไปคิดว่า " วิตามินเป็นของปลอดภัย จะใช้มากเท่าใดก็ไม่เป็นปัญหา ซึ่งไม่เป็นความจริง " เพราะมีวิตามินหลายชนิดที่สะสมและทำให้เป็นพิษได้




โรคที่ใช้วิตามินแล้ว...ได้ผลดี

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายโรคที่มีรายงานว่าการใช้วิตามินมีประโยชน์คุ้มค่า ช่วยป้องกันโรค ช่วยให้ร่างกายเป็นปกติได้ ตัวอย่างเช่น

1. โฟเลตกับหญิงตั้งครรภ์
ในหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่วางแผนจะมีบุตรควรได้รับสารโฟเลต (folate) หรือกรดโฟลิก (folic acid) ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง เพื่อช่วยป้องกันการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้

2. แคลเซียมและวิตามินดีกับผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุทั้งผู้หญิงและผู้ชายควรได้รับแคลเซียมและวิตามินดี เสริมให้กับร่างกายเป็นประจำทุกวัน จะเป็นรูปของนม ผลิตภัณฑ์นม หรือยาเม็ดสำเร็จรูปของวิตามินดี และแคลเซียมก็ได้ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน ที่พบได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้น และเป็นสาเหตุสำคัญของกระดูกหักในผู้สูงอายุได้

3. วิตามินซี วิตามินอี บีตาแคโรทีน สังกะสี และทองแดงกับโรคจอประสาทตาเสื่อม
นอกจากนี้ผู้สูงอายุที่ได้รับวิตามินซี วิตามินอี บีตาแคโรทีน สังกะสี และทองแดงจะช่วยชะลอการเสื่อมของจอประสาทตาได้

ยิ่งกว่านั้น คนบางกลุ่มก็ควรได้รับวิตามินรวมเสริมเพิ่มเติม เช่น ผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก ผู้ที่กินอาหาร ชนิดมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากๆ และเป็นประจำ หรือผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน ซึ่งอาจให้ วิตามินรวม เพื่อลดความบกพร่องจากการขาดวิตามินต่างๆ ได้



การใช้ยาเม็ดวิตามิน อย่างพอเพียง

ถึงตอนนี้คงได้รับความกระจ่างในเรื่องประโยชน์ ความคุ้มค่า และโทษของวิตามิน
" การใช้ยาเม็ดวิตามิน...อย่างพอเพียง " ควรใช้เมื่อจำเป็น ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ เพราะอาจทำให้เกิดโทษ ได้ ตัวอย่างเช่น วิตามินซี ซึ่งปัจจุบันผู้ปกครองส่วนใหญ่ มีความเชื่อว่าเป็นวิตามิน เป็นยาบำรุง ซื้อและป้อน ให้บุตรหลานเหมือนกับลูกกวาด ลูกอม หรือขนมหวาน ซึ่งก็เกิดโทษได้ ถ้ามีการใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ไม่เหมาะสม ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือทำให้เด็กฟันผุได้ง่าย

ขอย้ำอีกครั้งว่ายามีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์ จึงควรใช้อย่างพอเพียง เท่าที่จำเป็น และใช้อย่างถูกต้องแม่นยำ จะช่วยให้ได้ผลในการรักษา หายโรคภัยไข้เจ็บโดยเร็ว ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย สุขภาพกาย และสุขภาพใจ ให้กับทุกท่าน




โดย: หมอหมู วันที่: 11 สิงหาคม 2555 เวลา:15:25:48 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]