สยามธุรกิจ : อุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด เพราะเป็นเหตุให้ผู้ประสบสูญเสียทรัพย์สิน ได้รับบาดเจ็บ ตลอดจนสูญเสียชีวิต และเมื่ออุบัติเหตุได้อุบัติขึ้น ญาติผู้ประสบเหตุ พลเมืองดี หรือเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิ (กู้ภัย) มักจะนำผู้บาดเจ็บไปยังสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้ผู้บาดเจ็บได้รับการรักษาเยียวยาให้เร็วที่สุด
เคยมีคดีที่โรงพยาบาลเอกชนปฏิเสธการรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เพราะหวั่นเกรงจะไม่มีใครรับผิดชอบค่ารักษา และเป็นเหตุทำให้ผู้บาดเจ็บได้เสียชีวิตในที่สุด บิดาผู้เสียชีวิตจึงฟ้องร้องเป็นคดี และได้มีคำพิพากษาของศาลไว้ในเรื่องนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11332/2555 "จำเลยเป็นผู้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล บุตรของโจทก์ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่นั่งซ้อนท้ายชนแผงเหล็กกั้นทางโค้งปากทางเข้าหมู่บ้านเมืองเอก และผู้ขับขี่ถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ บุตรของโจทก์มีอาการเจ็บปวด มีภาวะการบอบช้ำของสมองและโลหิตออกในสมอง จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แม้ไม่ปรากฏบาดแผลร้ายแรงที่มองเห็นจากภายนอก แต่พยาบาลเวรซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยกลับให้ผู้ช่วยพยาบาลตรวจค้นหลักฐานในตัวบุตรของโจทก์ว่ามีบัตรประกันสังคม บัตรประกันสุขภาพ 30 บาท หรือบัตรประกันชีวิตหรือไม่
เมื่อไม่พบหลักฐานใด จึงสอบถามเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิที่เป็นผู้นำส่งว่าใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เมื่อไม่มีคำตอบ จึงปฏิเสธที่จะรับบุตรของโจทก์ไว้รักษา โดยแนะนำให้ไปรักษายังโรงพยาบาลของรัฐ การที่พยาบาลเวรลูกจ้างของจำเลยปฏิเสธไม่รับบุตรของโจทก์เข้ารับการรักษาดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นผลโดยตรงที่ทำให้บุตรของโจทก์ถึงแก่ความตาย
จำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล มีหน้าที่ต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วย ซึ่งอยู่ในสภาพอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มาตรา 36 แต่กลับไม่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของลูกจ้างดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,600,000 บาท แก่โจทก์ทั้งสอง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง"
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานพยาบาลเอกชน เป็นการประกอบธุรกิจที่หวังผลกำไร และการรักษาพยาบาลนั้นมีค่าใช้จ่ายทั้งทางด้านบุคลากร เครื่องมือ เวชภัณฑ์ และค่าวิชาชีพแพทย์และพยาบาล หากรักษาไปแล้วค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บไม่มีผู้รับผิดชอบ สถานพยาบาลจะไปเรียกร้องค่าใช้จ่ายเหล่านี้จากใคร แม้แต่รัฐเองก็ให้คำตอบหรือแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้ สิ่งที่สถานพยาบาลทำได้ก็คือฟ้องร้องเรียกค่าใช้จ่ายกับผู้ป่วย หรือญาติผู้เสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธช่วยเหลือชีวิตคนนั้นก็เป็นเรื่องที่ขัดกับธรรมจรรยาของผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ หรือพยาบาล ซึ่ง "ธรรมจรรยา" นี้ควรจะฝังลึกไปในมโนสำนึกของผู้บริหารสถานพยาบาล เพื่อที่จะกำหนดนโยบายของสถานพยาบาลและปลูกฝังเจ้าหน้าที่ให้เห็นความสำคัญของ "ชีวิต" มากกว่า "กำไร" นะครับ
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 16 - 22 ม.ค. 2559 จากคอลัมน์ หมอบ้าน ทนายเมือง
...............................
สืบเนื้องจากข่าวนี้ .. มีผู้สอบถามว่า แล้วทำไม "แพทยสภา" ถึงบอกว่า หมอมีสิทธิปฏิเสธคนไข้ได้ ?
คำตอบ ยาวหน่อย แต่ อยากจะทำความเข้าใจให้ตรงกัน ค่อย ๆ อ่าน ไม่ต้องรีบ ^_^
ประเด็นที่ ๑ ประกาศแพทยสภา เรื่อง ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ ต้องอ่านเพิ่มเติมให้ละเอียด ไม่ใช่จำแค่ หมอปฏิเสธผู้ป่วยได้ แล้วก็ตีความต่อ ตามใจตนเอง ..
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=20-08-2009&group=7&gblog=29
ข้อ 5 เพื่อประโยชน์ต่อตัวผู้ป่วยเอง ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอาจปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยที่ไม่อยู่ในสภาวะฉุกเฉิน อันจำเป็นเร่งด่วนและเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยต้องให้คำแนะนำหรือส่งต่อผู้ป่วย ตามความเหมาะสม
กรณีนี้ เคยมีการโต้เถียงกันมากมาย ทั้ง ๆ ที่ ปกติ แล้วก็มีการปฏิบัติกันทั่วไป ... เพียงแต่ ติดที่คำว่า " ปฎิเสธ การรักษา " เท่านั้นเอง ...
ในเมื่อ หมอเห็นว่า รักษาไม่ได้ ( คนไม่พอ เครื่องมือไม่พร้อม เลือดไม่มี ฯลฯ ) หมอก็ส่งต่อ ผู้ป่วยไปรักษา รพ.อื่น ที่มีความพร้อมมากกว่า ซึ่งทุกท่าน ก็คงได้ยินว่า " หมอ ส่งต่อ ไปรักษาที่อื่น "
ข้อนี้ จะมีประเด็นสำคัญ ๓ ประเด็นคือ
๑. เพื่อประโยชน์ ของ ผู้ป่วย
๒. ไม่เร่งด่วน ฉุกเฉิน หรือ อันตรายถึงชีวิต ... หรือพูดกันง่าย ๆ ถ้าไม่รักษา ตอนนี้ ก็ไม่ตาย ไม่เจ็บป่วยหนักมากขึ้น
๓. ต้องให้คำแนะนำ และ ส่งต่อ อย่างเหมาะสม ...
จะเห็นได้ว่า กว่าแพทย์ จะปฎิเสธ การรักษานั้น มีเงื่อนไข เยอะแยะ ไม่ใช่ว่า อยู่ดี ๆ ก็มาอ้างข้อนี้ ปฏิเสธ คนไข้ ..
ประเด็นที่สอง ถึงแม้ว่า หมอ จะปฏิเสธ ผู้ป่วย แต่ ก็ต้องรับผิดชอบ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอยู่ดี ไม่ใช่ว่า ปฏิเสธ แล้วถือว่า ไม่เคยพบเจอกัน ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น
เรื่องนี้ ถ้าคิดแบบทั่วไป ก็คือ " ความรับผิดชอบ ต่อ คำพูด ของตนเอง " เพียงแต่ "แพทย์ " จะมีเรื่องกฏหมายระเบียบต่าง ๆ เช่น จริยธรรมทางการแพทย์ พรบ.วิชาชีพเวชกรรม รวมไปถึง แพทยสภา ที่เป็นองค์กรดูแลแพทย์เพิ่มขึ้น
และ ในฐานะที่ แพทย์ ก็ถือว่าเป็นประชาชนคนไทย จึงต้องอยู่ภายไต้กฏหมายทั้ง แพ่ง และ อาญา เหมือนกันคนไทยทุกคน
ประเด็นที่สาม ในกรณีที่เป็นข่าว ผมเห็นด้วยกับคำตัดสินของศาล ถ้าเห็นว่า ฉุกเฉิน อันตรายถึงชีวิต ก็ต้องช่วย ถ้าไม่ช่วย (นิ่งเฉย) ก็ถือว่า ผิด ต้องรับผิดชอบ ( แพ่ง อาญา ) ประเด็นนี้ รวมถึง บุคคล ทั่วไป ด้วยนะครับ .. ถ้าเห็นผู้อื่น ตกอยู่ในอันตราย แล้วนิ่งเฉย ไม่ช่วยเหลือ มีหลักฐานชัดเจน ก็ต้องรับผิดชอบ เหมือนกัน
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๔ (ไม่ช่วยผู้อื่นซึ่งเผชิญภยันตรายทั้งที่ช่วยได้หรือควรช่วย) ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต ซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่น แต่ไม่ช่วยตามความจำเป็นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ดังนั้น ในประเด็นที่เป็นข่าว จึงเป็นคนละกรณีกับ ประกาศของแพทยสภา การตีความ จึงต้องพิจารณาถึงรายละเอียดอื่น ๆ ประกอบด้วยเสมอ
แนะนำอ่านเพิ่มเติม ในเวบสยามธุรกิจ "ช่วยได้ แต่ไม่ช่วย"
//www.siamturakij.com/main/news_content.php?nt=4&nid=1588
แถม ..
หมอ ...มีสิทธิ... ที่จะปฏิเสธ .... คนไข้ที่ไม่ฉุกเฉิน..... หรือเปล่า ???
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=20-08-2009&group=7&gblog=29
เจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียวนโยบายดี แต่การปฏิบัติล้มเหลว ? ...
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=14-10-2014&group=7&gblog=185
แพทย์ต้องมีจรรยาแพทย์ (จรรยาบรรณ) แล้วคนอื่น อาชีพอื่น ไม่ต้องมีหรือ ???
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=30-08-2009&group=7&gblog=31
กฏหมายแพทย์ต้องรู้ ( ผู้ป่วยและญาติ ก็ควรรู้ )
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=07-10-2014&group=7&gblog=184
การระมัดระวังการใช้SocialMedia สำหรับแพทย์และผู้ประกอบวิชาชีพทางด้านสาธารณสุข... โดย หมอแมว
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=28-06-2014&group=7&gblog=179
แพทยสภา เตือนแพทย์ ระมัดระวังก่อนโพสต์รูปตนเอง/คนไข้หรือความเห็นส่วนตัวลง socialmedia
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=28-06-2014&group=7&gblog=178
Facebook, Line, Tweeter
.จริยธรรมบนโลกออนไลน์.... โดย doctorlawyer"
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=29-06-2014&group=7&gblog=181
สิทธิผู้ป่วย... คำประกาศ"สิทธิ"และ"ข้อพึงปฏิบัติ" ของผู้ป่วย .... วันที่ประกาศ ๑๒สค. ๒๕๕๘
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=23-12-2007&group=4&gblog=1
""""""
นำไปตั้งกระทู้ ในห้องสวนลุม พันทิบ ด้วย เชิญแวะแจมได้เลย ^_^
//pantip.com/topic/34698782
หน้าแรก > วิเคราะห์-บทความ [ฉบับที่ 1399 ประจำวันที่ 2013-05-04 ถึง 2013-05-07]
//www.siamturakij.com/main/news_content.php?nt=4&nid=1588
"ช่วยได้ แต่ไม่ช่วย"
การเห็นคนตกน้ำ คนจะโดนรถชน หรือตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต ซึ่งอาจช่วยได้แต่ไม่ช่วยมีความผิดหรือไม่
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 374 บัญญัติว่า ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิตซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่น แต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แม้ผู้นั้นจะไม่มีหน้าที่โดยเฉพาะในการป้องกันหรือดูแลผู้ที่ตกอยู่ในภยันตรายก็ตาม เรียกได้ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นหน้าที่ของพลเมืองดี ไม่ใช่เห็นคนตกอยู่ในอันตราย ตนเองสามารถช่วยได้ โดยการช่วยนั้นก็ไม่ได้เสี่ยงอันตรายเกินควร แต่กลับไม่ช่วย ปล่อยให้ผู้นั้นตกอยู่ในอันตรายจนถึงแก่ชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บ จึงมีโทษจำคุกหรือปรับ เหตุเพราะเป็นคนใจดำ หรือภาษากฎหมายเรียกการกระทำเช่นนี้ว่าเป็นการ "ละเว้น" ในการที่จะช่วยเหลือ ซึ่งเป็นหน้าที่โดยทั่วไปของพลเมือง หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "General Duty"
แต่ถ้าเป็นกรณีที่ผู้นั้นมีหน้าที่ที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันผลที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะ แต่ไม่กระทำตามหน้าที่นั้น เช่นบิดามารดาต้องดูแลบุตร พี่เลี้ยงต้องดูแลเด็ก พยาบาลต้องดูแลคนไข้ ครูต้องดูแลนักเรียน หรือคนดูแลความปลอดภัยของผู้มาว่ายน้ำ มีหน้าที่ที่ต้องดูแลและป้องกันไม่ให้ผู้ที่อยู่ในความดูแลของตนเกิดอันตราย แต่ไม่ได้กระทำหรือนิ่งเฉย ถ้าหากผู้ที่อยู่ในความดูแลได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บผู้นั้นจะมีความผิดฐาน เจตนา หรือประมาทแล้วแต่ กรณี อย่างนี้ถือว่าเป็นการ "งดเว้น" ไม่กระทำการตามหน้าที่ของตน หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า "Specific Duty"
ทั้งนี้ การกระทำโดยงดเว้น เพราะตนมีหน้าที่นั้นอาจไม่ใช่หน้าที่ตามกฎหมายหรือตามสัญญา ตามหน้าที่ที่ได้รับค่าจ้าง แต่อาจจะเป็นการอาสาสมัคร หรือการกระทำก่อนๆ ของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น กำลังยืนรอรถเมล์เห็นคนตาบอดจะข้ามถนน จึงช่วยจูงคนตาบอดข้ามถนน ในระหว่างนั้นเห็นรถเมล์สายที่ตนรอกำลังมา จึงปล่อยคนตาบอดทิ้งไว้กลางถนนบอกให้ข้ามต่อไปเอง แล้วรีบวิ่งกลับมาขึ้นรถเมล์ หากคนตาบอดถูกรถชนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ ผู้นั้นมีความผิดฐานประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือได้รับบาดเจ็บโดยการงดเว้นตามกฎหมาย เรียกได้ว่าช่วยแล้วแต่ไม่ช่วยให้ตลอด จึงทำให้เขาเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ จากการกระทำของตนที่ไม่ทำหน้าที่ที่ตนเข้าไปอาสาให้เสร็จสิ้น
อย่างนี้ก็ไม่น่าจะเข้าไปช่วยตั้งแต่แรกหน่ะสิ....ถ้าช่วยต้องช่วยให้ถึงที่สุดครับ เพราะช่วยแค่ครึ่งๆ กลางๆ แล้วปล่อยให้เค้าประสบอันตรายนั้นถือว่าสาเหตุเกิดเพราะตัวท่านด้วยครับ
จะเห็นได้ว่ากรณีแรก คือการ "ละเว้น" เป็นหน้าที่ของพลเมืองดีที่จะต้องช่วยหากพบเห็นผู้ตกอยู่ในอันตรายอาจถึงแก่ชีวิตแต่ไม่ช่วย จะมีโทษทางกฎหมายแต่เป็นเพียงแค่ลหุโทษ
แต่หากเป็นการที่ผู้นั้นมีหน้าที่ตามกฎหมาย ตามหน้าที่เพราะงาน หรือเพราะการอาสาเข้าไปช่วยเหลือ แล้วได้ทำการ "งดเว้น" หรือไม่กระทำการใดเพื่อป้องไม่ให้เกิดอันตรายกับผู้ที่อยู่ในความดูแลของตนนั้น จะต้องรับโทษอาญาฐานกระทำโดยเจตนา หรือกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือได้รับบาดเจ็บแล้วแต่กรณี
อีกกรณีหนึ่งของหน้าที่พลเมืองดีคือ เมื่อเกิดเพลิงไหม้หรือสาธารณภัยอื่น และเจ้าหน้าที่เรียกให้ช่วยระงับ ถ้าผู้นั้นสามารถช่วยได้แต่ไม่ช่วย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เห็นไหมครับว่า การที่เป็นพลเมืองอยู่ภายใต้กฎหมายบ้านเมือง นอกจากมีสิทธิต่างๆ จะต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายด้วย และที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงหน้าที่บางส่วนของการเป็นพลเมืองดี
ถ้าเห็นคนตกอยู่ในอันตรายและสามารถช่วยได้ ก็ช่วยกันเถอะครับ ไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย แต่เป็นหน้าที่ตามศีลธรรมด้วยนะครับ