เจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียว นโยบายดี แต่การปฏิบัติล้มเหลว ? ...
1 เมษายน ฉุกเฉินรักษาฟรี คุณได้สิทธิ์นั้นทันทีแต่ต้องฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตเท่านั้น 1 เมษายน 2012 //thaipublica.org/2012/04/april-1-for-emergency-illness-free/ หลังจากที่รัฐบาลประกาศ ฉุกเฉินรักษาฟรี โดยนำร่องเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตไม่ถามสิทธิ์ รักษาทุกที่ ทั่วถึงทุกคนเริ่ม 1เม.ย.นี้ เน้นแก้ปัญหาผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินระดับวิกฤตหรือโคม่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2555 นายแพทย์วินัย สวัสดิวรเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)กล่าวว่านโยบายรัฐบาลต้องการสร้างความเสมอภาคให้คนไทยได้รับการบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียมกันทั้ง3 กองทุน คือสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ประกันสังคมและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมทั้ง พ.ร.บ.ผู้ประสบภัยจากรถโดยเริ่มบูรณาการร่วมกันในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 นี้เป็นต้นไปเมื่อประชาชนที่อยู่ภายใต้หลักประกันสุขภาพทั้ง 3 กองทุนเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถไปรับบริการที่ใดก็ได้ที่อยู่ใกล้ที่สุดภายใต้มาตรฐานเดียวกัน จะได้รับบริการตรวจรักษาทันที โดยไม่ต้องถูกถามสิทธิไม่ต้องสำรองเงินจ่ายล่วงหน้าและต้องได้รับการส่งต่อไปรับบริการที่มีศักยภาพสูงขึ้นหากจำเป็นหรือรักษาจนกว่าอาการจะหายหรือทุเลาเนื่องจากการได้รับอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน เป็นนาทีวิกฤติเร่งด่วนของชีวิตเป็นตายเท่ากัน การรักษาที่รวดเร็ว จะช่วยให้รอดชีวิตหรือลดความพิการได้ ขณะนื้ ทั้ง 3 กองทุน ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องการเบิกจ่ายโดยมีการปรับปรุงกฏระเบียบต่างๆ โดยกรมบัญชีกลางได้แก้ไขพระราชกฤษฎีกาผู้ป่วยสิทธิข้าราชการไม่ต้องสำรองจ่าย และสามารถชดเชยในอัตรา 10,500 บาท สำนักงานประกันสังคม ได้ปรับระบบการเบิกจ่ายกลางทางอิเลคทรอนิคและสปสช.ได้ปรับปรุงประกาศเพื่อให้ใช้อัตรากลาง โดยให้สปสช.เป็นหน่วยเบิกจ่ายกลาง(Clearing house ) ให้แก่โรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศที่ให้การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ทั้งนี้นิยามการเจ็บป่วยฉุกเฉินเป็นอย่างไร เพราะส่วนใหญ่อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินระหว่างแพทย์และผู้ป่วยไม่ตรงกันจุดนี้ให้ยึดตามนิยามผู้ป่วยฉุกเฉินตามประกาศของคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินซึ่งแบ่งเป็น 1.ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ คือบุคคลที่มีอาการป่วยหรือบาดเจ็บกะทันหันที่มีภาวะคุกคามต่อชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาทันทีเพื่อแก้ไขระบบหายใจ ไหลเวียนเลือดหรือระบบประสาทแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูงหรือมีอาการรุนแรงมากขึ้น เช่นภาวะหัวใจหยุดเต้น หายใจไม่ออกหอบรุนแรง หยุดหายใจ ภาวะช็อกชักตลอดเวลาหรือชักจนตัวเขียว เลือดออกมากอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา 2.ผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน คือ บุคคลที่มีอาการป่วยหรือบาดเจ็บเฉียบพลันหากไม่ได้รับการรักษาอย่างรีบด่วนมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจนพิการหรือเสียชีวิตได้เช่น ไม่รู้สึกตัว ชัก อัมพาตหรือตาบอดหูหนวกทันที ตกเลือดซีดมากจนเขียวเจ็บปวดมากหรือทุรนทุราย ถูกพิษหรือรับยาเกินขนาด ได้รับอุบัติเหตุโดยเฉพาะมีบาดแผลที่ใหญ่มากหลายแห่ง ทั้งนี้ผู้ป่วยฉุกเฉินที่เข้าเกณฑ์นี้ต้องเป็นระดับวิกฤติและเร่งด่วนนั่นหมายความว่าส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว ได้รับการส่งรักษาโดยบุคคลอื่นซึ่งต้องเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อให้การรักษาทันท่วงทีลดการสูญเสียชีวิตและความพิการรุนแรงจากเหตุไม่จำเป็น ขณะที่พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญประธานสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปแห่งประเทศไทย (สพศท.)ให้ความเห็นว่า ฉุกเฉินรักษาฟรีทุกคนเห็นพ้องว่าหลักการดี และดูเหมือนจะลดความยุ่งยากแต่จริงๆมันยุ่งยาก เพราะคำจำกัดความคำว่า ฉุกเฉิน แล้วยุ่งยากทันที เนื่องจากไม่ใช่ฉุกเฉินธรรมดา แต่เป็นฉุกเฉินวิกฤตที่คนไข้จะเป็นจะตาย คือไม่รักษาเดี๋ยวนั้นต้องตายเท่านั้น ประชาชนต้องเข้าใจว่าต้องฉุกเฉินวิกฤตเท่านั้นนอกนั้นไม่ใช่นะ แต่ในภาษาของเรา ถูกรถชนตูม หัวแตก แขนหัก ขาหัก ถามว่าฉุกเฉินไหมฉุกเฉิน แต่ตายไหม ไม่ตาย อย่างนี้ไม่เข้าไครทีเรียของเขานะรัฐบาลโปรโมทว่าฉุกเฉินไม่ต้องจ่าย คำเดียวเลยแต่คุณไม่พูดให้ชัดว่าฉุกเฉินวิกฤตเท่านั้น และประชาชนเข้าใจในรายละเอียดหรือยังเพราะ 1 เมษายนนี้ต้องเริ่มแล้ว พญ.ประชุมพรกล่าวต่อว่าความจริงนิยามนี้ใช้กับคนไข้วิกฤตไม่รักษาเดี๋ยวนั้นต้องตาย มีเกณฑ์ว่า เช่น คนไข้ช็อค จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามต้องแก้ช็อค คนไข้บาดเจ็บที่สมอง ไม่ใช่แค่หัวแตก คนไข้หัวใจขาดเลือดคนไข้ท้องเสียจนความดันตกไปแล้ว หรือตกเลือดมากจนเลือดจะหมดตัว หายใจรวยรินเป็นต้น ส่วนที่ฉุกเฉิน อาทิ เด็กแขนหักกระดูกโผล่ ถามว่าฉุกเฉินไหม ฉุกเฉินแต่ไม่เข้าคำจำกัดความนี้ คนไข้จะใช้สิทธินี้ไม่ได้คำถามคือประชาชนรู้เรื่องและเข้าใจหรือยัง ส่วนประเด็นที่สปสช.จะเป็นผู้จัดเก็บข้อมูลและเป็นเคลียริ่งเฮ้าส์หรือน่วยเบิกจ่ายกลางนั้นเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลรัฐกังวลคือกลัวว่าสปสช.จะจ่ายไม่ครบซึ่งต่างจากกรมบัญชีกลางและกองทุนประกันสังคมที่จ่ายตามที่เรียกเก็บดังนั้นสิ่งที่ต้องการเสนอคือรัฐบาลควรแต่งตั้งเคลียริ่งเฮ้าส์ที่ไม่ใช่ 3 กองทุนนี้ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย โดยแยกเคลียริ่งเฮ้าส์ออกไปต่างหากซึ่งอาจจะให้กระทรวงสาธารณสุขดูแลเรื่องนี้โดยตรงเพราะที่ผ่านมาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโรงพยาบาลรัฐมีปัญหาการเบิกจ่ายกับสปสช.มาโดยตลอดจนโรงพยาบาลรัฐส่วนใหญ่ขาดทุนมากมาย นอกจากนี้ยังมีประเด็นพ.ร.บ.บุคคลที่ 3 ทางสปสช.จะรับผิดชอบแทนบริษัทประกันหรือไม่อย่างไร เพราะระบบเดิมจะใช้สิทธิพ.ร.บ.บุคคลที่3 จนหมดก่อน ซึ่งมีวงเงิน 15,000 บาทก่อน แล้วจึงใช้สิทธิอื่นๆประเด็นนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะให้ใช้สิทธิอันไหนก่อนหลังหรือจะใช้ซ้ำซ้อนกันแต่ถ้าใช้สิทธิของรัฐบาลก่อน บริษัทประกันก็ไม่ต้องรับภาระค่าใช้้จ่ายหรือไม่ โรงพยาบาล ในฐานะผู้ปฏิบัติคนไข้เข้ามาต้องช่วยชีวิตอยู่แล้ว ทุกคนได้รับการรักษาเหมือนกันอยู่แล้วไม่ว่าจะใช้สิทธิอะไรเราต้องการช่วยคนไข้ที่ขอความชัดเจนเพราะเราไม่ต้องการมีปัญหากับคนไข้ ต้องการวินวินทั้งสองฝ่ายซึ่งสปสช.ต้องทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนกับผู้ปฏิบัติ รวมทั้งประเด็นที่ให้โรงพยาบาลเอกชนรับคนไข้ฉุกเฉินวิกฤตหากพ้นวิกฤตเขาจะส่งคนไข้ไปไหน จุดสิ้นสุดอยู่ที่ไหนสำหรับโรงพยาบาเอกชนและหากไม่มีจุดสิ้นสุด ใครจะรับผิดชอบเรื่องเงินหลังจากวิฤตผ่านไปแล้วซึ่งคนไข้อาจจะจำเป็นต้องรักษาต่อเนื่อง รัฐบาลประกาศว่าเอกชนต้องรับหากไม่รับจะมีความผิด เอกชนเขาคงอยากช่วยแต่ต้องมีจุดสิ้นสุดหากหาจุดสิ้นสุดไม่เจอ ก็จะเป็นประเด็นปัญหาตามมาอีกและประเด็นสำคัญที่สุดคือเงินค่ารักษาฉุกเฉินรักษาฟรีนี้ อยู่ในเงินเหมาจ่ายรายหัว2,756 บาทหรือไม่ ถ้าอยู่ในส่วนนี้ เท่ากับมากินส่วนเดิมอีกขนาดไม่มีก้อนนี้มาแย่ง โรงพยาบาลรัฐก็แย่อยู่แล้ว หรือเป็นเงินกองใหม่แยกต่างหากพญ.ประชุมพรกล่าว  ปชช.ร้อง เจ็บป่วยฉุกเฉิน พ่นพิษ เก็บเงินผู้ป่วย โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 สิงหาคม 2556 17:04 น. //www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000106726 กลุ่มคนรักหลักประกันฯ ร้อง เจ็บป่วยฉุกเฉินทำพิษ เรียกเก็บเงินผู้ป่วยทั้งที่รัฐบาลบอกไม่ต้องจ่าย แนะนำพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยรถยนต์มาใช้ร่วมด้วย จี้ รบ.เดินหน้า กม.คุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข วันนี้ (26 ส.ค.)ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์ราชการฯ น.ส.สุรีรัตน์ ตรีมรรคาผู้ประสานงานกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1/2556 เรื่อง การรักษาพยาบาลไม่ใช่ธุรกิจเราต้องการระบบสุขภาพมาตรฐานเดียว โดยกล่าวว่าขณะนี้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำลังถูกคุกคาม เนื่องจากนโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต ไม่ถูกถามสิทธิ์ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น ซึ่งโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนจะต้องให้บริการผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินทั้งสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ โดย สปสช.จะเป็นเคลียริงเฮาส์คือจ่ายเงินสำรองไปก่อน และค่อยเรียกเก็บกับอีกสองกองทุนโดยประชาชนไม่ต้องจ่ายแม้แต่บาทเดียว เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2555 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 1 ปี แต่กลับพบปัญหามาก ทั้งที่เป็นนโยบายที่ดี สร้างชื่อให้รัฐบาลที่พบมากคือ ผู้ป่วยที่มาด้วยภาวะฉุกเฉินถูกเรียกเก็บเงินโดยเฉพาะในโรงพยาบาลเอกชน ประชาชนต้องจ่ายเอง และไม่รู้ว่าจะไปเบิกได้อีกหรือไม่ทั้งที่รัฐบาลบอกว่าไม่ต้องจ่าย น.ส.สุรีรัตน์ กล่าวอีกว่า สาเหตุเพราะโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งไม่ยอมรับว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะฉุกเฉิน บ้างก็อ้างว่าเพราะเงินค่าดีอาร์จี (DRG)หรือเงินที่สปสช.ต้องสำรองจ่ายโดยคิดค่าระดับความรุนแรงของภาวะฉุกเฉินที่ระดับละ 10,500 บาท ซึ่งเอกชนมองว่าไม่สอดคล้องกับต้นทุน เรื่องนี้ รัฐบาลโดยสปสช.ที่ถูกมอบหน้าที่ให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการจะต้องหาทางแก้ไขให้ได้ ที่สำคัญหลังจากมีนโยบายนี้ สปสช.จ่ายเงินสำรองไปแล้ว 240 ล้านบาท โดยที่ยังไม่ได้รับเงินคืนจากอีก 2 กองทุนคือ ประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการข้าราชการซึ่งกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินมากที่สุด คือ ข้าราชการเพราะเข้ารับบริการได้มากกว่าสิทธิอื่นถึง 14 เท่า น.ส.กชนุช แสงแถลง โฆษกกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลนำ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยรถยนต์ พ.ศ. 2535เข้าเป็นหนึ่งในนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินฯ เนื่องจากเกี่ยวพันกันเพราะผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน ส่วนใหญ่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่กลับไม่นำพ.ร.บ.นี้มาใช้ร่วมกัน กลายเป็นภาระของ สปสช.ในการสำรองจ่ายเนื่องจากการจะใช้สิทธิ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยรถยนต์ฯ นั้น จะมีขั้นตอนยุ่งยากโดยเงินก้อนแรกที่ได้จาก พ.ร.บ.นี้ คือ 15,000 บาทซึ่งจะได้รับญาติผู้ป่วยหรือผู้ประสบภัยต้องยื่นเอกสารต่างๆหากนำมาอยู่ในนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินฯ ก็จะลดขั้นตอนยุ่งยากได้ โดยสปสช.เป็นผู้ดำเนินการเอง ในเดือน ก.ย.กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพจะขอเข้าพบรัฐมนตรรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขถึงปัญหาจากนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินฯโดยเฉพาะการเก็บเงินผู้ป่วย และจะขอแนวทางแก้ปัญหานี้ ซึ่งหากยังไม่มีความคืบหน้าพวกเราคงต้องหารือถึงแนวทางการเคลื่อนไหวที่จะไปร้องขอนายกรัฐมนตรีเอง น.ส.กชนุช กล่าวและว่า นอกจากนี้ อยากให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เดินหน้าเรื่องร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. ...เพราะค้างในสภาฯมานานแล้ว แต่กลับไม่เดินหน้าซึ่งพวกตนจะเข้าพบคณะกรรมาธิการสาธารณสุขเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย  นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินพ่นพิษ ล่าสุดรพ.วิภาวดีกั๊กข้อมูลเบิกเงิน สปสช.ได้ไม่ครบ เจอจ่ายเองหลายแสน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 เมษายน 2557 12:27 น. //www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000037547 โวยนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินพ่นพิษเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์เผย รพ.วิภาวดีกั๊กข้อมูลเบิกจ่ายไม่บอกผู้ป่วยว่าเบิกเงิน สปสช.ได้ไม่ครบ จนต้องจ่ายเองอีกหลายแสนบาท ด้านสปสช.ชี้จ่ายได้บางส่วน ชงปรับแก้กฎกระทรวง นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินพ่นพิษ ล่าสุดรพ.วิภาวดีกั๊กข้อมูลเบิกเงิน สปสช.ได้ไม่ครบ เจอจ่ายเองหลายแสน นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนาประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ กล่าวว่านโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินรักษาได้ทุกที่ ไม่ต้องสำรองจ่าย มีปัญหามากขึ้นเรื่อยๆล่าสุดกรณีโรงพยาบาลวิภาวดี มีผู้ป่วยรายหนึ่งอายุ 75 ปี มาจาก จ.สุราษฎร์ธานี เดินทางมาร่วมงานแต่งงาน และเกิดอุบัติเหตุล้มลงจนลิ้นจุกปากต้องนำส่งโรงพยาบาลใกล้ที่สุด คือ รพ.วิภาวดี ปัญหาคือโรงพยาบาลแจ้งว่ามีค่าใช้จ่ายสูง ทางคนไข้จึงต้องการย้ายแต่โรงพยาบาลไม่อนุญาตบอกว่าอันตราย จึงต้องทำการรักษาโดยมีหนังสือมาให้ญาติเซ็นยินยอม รพ.วิภาวดีบอกกับญาติว่า ค่าใช้จ่ายการผ่าตัดอยู่ที่ประมาณ 7-8 แสนบาท สามารถเบิกจ่ายจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ได้กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน แต่ไม่บอกว่าเบิกได้ไม่ครบ ซึ่งญาติต้องสำรองจ่ายสุดท้ายหลังผ่าตัดมีการเรียกเก็บเงินอีก และพอติดต่อไปทาง สปสช.กลับจ่ายให้เพียง 250,000 บาท ถามว่ากรณีที่เกิดขึ้นประชาชนจะต้องมารับเคราะห์จากนโยบายที่ไม่เป็นความจริงหรือไม่ จึงอยากให้สปสช.ออกมาให้ความชัดเจน เพราะสุดท้ายเกรงว่าจะต้องถึงขั้นการฟ้องร้องอีก นางปรียนันท์ กล่าว ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษก สปสช.กล่าวว่า สปสช.ได้ติดต่อกับทาง รพ.วิภาวดี เพื่อขอความเห็นใจกับกรณีดังกล่าวแต่ต้องยอมรับว่า สปสช.ไม่สามารถจ่ายได้ทั้งหมดเพราะตามนโยบายสามารถจ่ายได้ตามกลุ่มและระดับความรุนแรงของโรคซึ่งโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งจะมีราคาข้อกำหนดที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามสปสช.ตั้งใจจะพัฒนาระบบการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน 3 กองทุน ให้มีประสิทธิภาพเพื่อแก้ไขปัญหาการเข้ารับบริการเมื่อประชาชนประสบกับภาวะฉุกเฉินซึ่งยอมรับว่านโยบายนี้เป็นนโยบายที่ดีแต่อาจมีปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะรพ.เอกชนที่ยังตกลงอัตราการรับค่าใช้จ่ายไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดสปสช.อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์ที่สุด แหล่งข่าวกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าปัญหาทั้งหมด คือรพ.เอกชนหลายแห่งไม่ได้บอกค่ารักษาพยาบาลอย่างชัดเจนแก่ผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยว่ากรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินจะเบิกเงินกับ สปสช.ได้ในวงเงินเท่าใด และต้องออกเองเท่าใดจึงเป็นปัญหา ซึ่ง สปสช.ก็ไม่มีกฎหมายมาควบคุม มีเพียงกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ที่มีกฎหมายดูแลเรื่องนี้ คือ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541มาตรา 36 ระบุว่าผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการของสถานพยาบาลต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วยซึ่งอยู่ในสภาพอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพและตามประเภทของสถานพยาบาลนั้นๆเมื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วยตามวรรคหนึ่งแล้วถ้ามีความจำเป็นต้องส่งต่อหรือผู้ป่วยมีความประสงค์จะไปรับการรักษาพยาบาลที่สถานพยาบาลอื่นผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการต้องจัดการให้มีการจัดส่งต่อไปยังสถานพยาบาลอื่นตามความเหมาะสมซึ่งมาตรานี้สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ โดยเพิ่มเติมว่ารพ.เอกชนต้องรับรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินทุกกรณีขณะเดียวกันห้ามเรียกเก็บเงินกับผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยเด็ดขาดแต่ให้มาเรียกเก็บเฉพาะ สปสช.เท่านั้น ซึ่งจะควบคุมไม่ให้เกิดปัญหาได้ 
ลิงค์บทความ ..
ลิงค์บทความทั้งหมด ..
1 เมษายน ฉุกเฉินรักษาฟรี คุณได้สิทธิ์นั้นทันที แต่ต้องฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตเท่านั้น //thaipublica.org/2012/04/april-1-for-emergency-illness-free/
ปชช.ร้อง เจ็บป่วยฉุกเฉิน พ่นพิษ เก็บเงินผู้ป่วย โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 สิงหาคม 2556 17:04 น. //www.manager.co.th/Qol/ViewNews.aspx?NewsID=9560000106726
นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินพ่นพิษ ล่าสุด รพ.วิภาวดีกั๊กข้อมูลเบิกเงิน สปสช.ได้ไม่ครบ เจอจ่ายเองหลายแสน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 เมษายน 2557 12:27 น. //www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000037547
เจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียว นโยบายดี แต่การปฏิบัติล้มเหลว ? Fri, 2014-04-18 17:53 hfocus //www.hfocus.org/content/2014/04/6964
"3กองทุนสุขภาพ"เตรียมชง"คสช." ออกกฎห้ามรพ.เก็บเงินป่วยฉุกเฉิน Wednesday, 25 June, 2014 - 00:00 //www.thaipost.net/news/250614/92194 //www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9570000071002
...........................
แถม เรื่องที่เกี่ยวข้อง .. infographic9 ข้อควรรู้เรื่องเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่ //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=06-06-2017&group=7&gblog=216 นพ.ธีระ วรธนารัตน์ : เจ็บป่วยฉุกเฉินเมื่อนโยบายยังไม่ชัด ต้องคิดก่อนเข้า //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=21-02-2017&group=7&gblog=212 เจ็บป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียว นโยบายดีแต่การปฏิบัติล้มเหลว ?... //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=14-10-2014&group=7&gblog=185 สพฉ. จับมือ สธ.พัฒนาการให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินตามนโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ดีทุกสิทธิ์ //www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=02-04-2015&group=7&gblog=186 คำแนะนำเพื่อหลีกเลี่ยงค่ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแสนแพง... ( นำมาฝาก ) //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=28-05-2015&group=7&gblog=189 โรงพยาบาลเอกชน "แพง" ..ข้อมูลที่ยังไม่รู้ หรือว่า แกล้งไม่รู้ ? ( ฟังความอีกข้าง ^_^ ) //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=08-06-2015&group=7&gblog=190 ตรวจสอบค่ารักษาพยาบาล Online ได้ที่//www.hospitalprice.org หรือ สายด่วนสุขภาพ 02 193 7999
Create Date : 14 ตุลาคม 2557 |
Last Update : 6 มิถุนายน 2560 22:12:06 น. |
|
10 comments
|
Counter : 7714 Pageviews. |
|
 |
|
Fri, 2014-04-18 17:53 hfocus
//www.hfocus.org/content/2014/04/6964
ปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ระหว่างนี้อยากบอกว่าฉุกเฉินอย่าเข้ารพ.เอกชน จนกว่ารัฐบาลหรือสปสช.จะประกาศออกมาว่าได้รับความร่วมมือจากรพ.เอกชนทุกแห่งแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นคุณมีสิทธิหมดตัว และเป็นหนี้ไปตลอดชีวิต อาจจะหายจากโรคแต่ช็อคเพราะค่ารักษาพยาบาล
นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธํารงสวัสดิ์ โดยเจตนารมณ์ของนโยบายเป็นสิ่งที่ดี แต่มีปัญหาเชิงปฏิบัติ มันต้องการมาตรการที่มากกว่า 1 ถึงจะทำได้ สปสช.ไม่มีอำนาจไปบังคับรพ.เอกชน ที่พยายามแก้คือให้กองประกอบโรคศิลป์ออกประกาศแนบท้ายไปบังคับไม่ให้เรียกเก็บเงิน
ตามที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต ไม่ถามสิทธิ ใกล้ที่ไหน ไปที่นั่น เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2555 ซึ่งเป็นการร่วมกันดูแลของกองทุนสวัสดิการข้าราชการ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม โดยมีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำหน้าที่เป็นเคลียร์ริ่งเฮ้าส์ ทั้งนี้ก็หวังว่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการรักษาพยาบาลของคนไทยในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน หลังดำเนินการมากว่า 3 ปี กลับพบว่าทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระหนี้สินจำนวนมาก ที่บางรายอาจจะต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อชดใช้เงินก้อนนี้ ส่วนผลประโยชน์งามๆ ก็ตกอยู่กับรพ.เอกชน สำนักข่าวHfocus ได้ทำการสัมภาษณ์นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ ในฐานะตัวแทนของผู้ป่วย และนพ.สัมฤทธิ์ ศรีธํารงสวัสดิ์ รองเลขาธิการ สปสช. หน่วยงานที่กลายเป็นจำเลยในงานนี้
นางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ประธานเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์
ระหว่างนี้อยากบอกว่าฉุกเฉินอย่าเข้ารพ.เอกชน จนกว่ารัฐบาลหรือสปสช.จะประกาศออกมาว่าได้รับความร่วมมือจากรพ.เอกชนทุกแห่งแล้ว เพราไม่อย่างนั้นคุณมีสิทธิหมดตัว และเป็นหนี้ไปตลอดชีวิต อาจจะหายจากโรคแต่ช็อคเพราะค่ารักษาพยาบาล
เริ่มต้นที่นางปรียนันท์ กล่าวว่า รัฐบาลประกาศนโยบายดำเนินโครงการเม.ย. 2555 ผ่านมา 2 ปี แล้ว ตอนช่วงแรกมีปัญหาเข้ามา มีการร้องเรียนเข้าไปที่สำนักนายกรัฐมนตรีประมาณ 1,142 ราย ตรวจสอบแล้ว พบว่าเป็นกรณีฉุกเฉินจริง 882 ราย ซึ่งนพ.ทศพร เสรีรักษ์ เป็นคนให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเอง ส่วนตนเป็นคนพาคนไข้ที่เสียหายจาก รพ.เอกชนแห่งหนึ่งซึ่งหมดค่ารักษาพยาบาลไป 5 แสนกว่าบาท แต่เบิกคืนได้ประมาณ ประมาณ 70,000 บาท และอีกรายจ่ายไป 4 แสนกว่าบาทเบิกคืนได้ประมาณ 80,000 บาท อีกรายจ่ายไป 1.3 ล้านบาท รายนี้เบิกคืนได้เพียง 5.3 หมื่นบาทเท่านั้น อย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมาที่รพ.แห่งหนึ่งที่ผู้ป่วยถูกเรียกเก็บไป 7.8 แสนบาท
วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสียของโครงการนี้ ?
มองว่านโยบายนี้ผิดตั้งแต่แรก สปสช.ทำไมไม่ทักท้วงว่าเค้าไม่อาจจ่ายได้ในอัตราที่รพ.เอกชนเรียกเก็บได้แน่นอน คิดว่าหลายๆ ฝ่าย ผู้ใหญ่ต้องรู้ว่าเกิดปัญหานี้แน่นอน ส่วนตัวเองก็มองออกแต่คิดว่า สปสช. เอชน และรัฐบาลต้องคุยกันแล้ว และถ้านโยบายนี้เกิดขึ้นจริงประชาชนต้องได้รับประโยชน์แน่นอน ประชาชนจะได้ไม่ถูกปฏิเสธการรักษาอีก แต่พอดำเนินนโยบายไปสักพัก เกิดปัญหา เกิดเคสมากๆ แต่ไม่มีใครลงมาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนแม้แต่รายเดียว ทุกรายจะถูกรพ.เอกชนบีบให้สำรองจ่ายเพราะไปเซ็นยินยอมให้รักษาตั้งแต่แรก
มีหลายกรณี ที่บางรพ.บอกว่า เข้าโครงการของรัฐบาล แต่ผู้ป่วยต้องสำรองจ่าย ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้คนไข้ต้องไปเผชิญปัญหาเฉพาะหน้าด้วยตัวเอง เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่า สปสช.หรือรัฐบาลจะลงมารับรู้เลย บางรพ.บอกว่าถ้าไม่เข้าโครงการ แต่ผู้ป่วยต้องผ่าที่นี่เพราะอันตรายถึงกับชีวิต เหมือนกับเอาคนไข้เป็นตัวประกัน อย่างรพ.เอกชนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเคสล่าสุดบอกแต่แรกแล้วว่าถ้ารักษาแต่แรกจะมีค่าใช้จ่ายในการนอนรพ.คืนละ 3 หมื่น และหมอบอกกับญาติว่าเป็นเรื่องอันตรายทำให้ญาติต้องเซ็นยินยอมวันรุ่งขึ้นก็จะย้าย แต่ในวันนั้นตอนเย็นบอกว่าต้องผ่าตัดด่วนเพราะว่าเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจฉีกขาด แต่เขาบอกล่วงหน้าว่าค่าใช้จ่ายประมาณ 6-7 แสน หากไม่ไหวก็สามารถไปผ่าที่รพ.อื่นได้ แต่ถ้าผ่าที่นี่เบิกกับ สปสช.ได้ตามสิทธิฉุกเฉินซึ่งหมอจะทำให้เป็นสิทธิฉุกเฉิน แต่ไม่ได้บอกกับญาติคนว่าสิทธิที่ว่านี้ไม่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายได้ทั้งหมด ที่สำคัญญาติต้องสำรองจ่ายไปก่อน ตรงนี้ญาติไม่รู้ข้อเท็จจริง เลยเกิดปัญหา
เห็นพี่เรียกนโยบายนี้ค่อนข้างแรงว่านโยบายลวงโลก ?
เรียกว่านโยบายลวงโลกเพราะว่ามันไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่ตอนที่เริ่มมีปัญหาตนได้เข้าไปพบรัฐบาลเมื่อปี 55 ไปทั้งที่ทำเนียบ กรรมาธิการสาธารณสุข และสปสช. แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ขยับแก้ปัญหานี้เลย และไม่มีการแจ้งความคืบหน้าให้กับคนไข้เลย พอไปแจ้งก็เงียบ คนไข้บางคนทั้งชีวิตยังไม่เคยเห็นเงินแสนเลยแต่กลับต้องกู้หนี้ยืมสินมาจ่าย แล้วทุกคนหลังได้รับผลกระทบทำให้ครอบครัวเขาระส่ำระสายมาก แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่สปสช.หรือรัฐบาลให้ความสนใจเลย กลายเป็นว่าปัญหามากองอยู่กับใคร คนไข้ไม่มีที่พึ่งก็มาหาตน ก็พยายามผลักดันให้นโยบายเป็นจริงให้ได้ ให้ผู้ใหญ่มาดูแล ไปออกสื่อ เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหา แต่กลับไปปลดหมอที่เป็นคนรับเรื่องร้องเรียน อย่างหมอทศพร
แต่นโยบายนี้ก็ช่วยเหลือคนได้มากเหมือนกัน มากกว่าข้อเสียที่เห็น ?
นโยบายนี้เป็นการเปิดโอกาสและมองว่าเป็นการวางยาในการทำลายระบบสาธารณสุข เพราะว่านโยบายที่ดี รัฐบาลที่ดี แม้คนไข้ที่ได้รับผลกระทบร้องเรียนไปเพียงคนเดียวเขาก็ต้องลงมาดูแลแก้ไขปัญหา นี่นอกจากจะไม่ดูแลแล้วยังเพิกเฉย แถมสมาคมรพ.เอกชนซึ่งทราบว่ามีการประชุมกับ สปสช.แทนที่จะประกาศออกมาเลยว่าไม่เข้าโครงการ แสดงว่าคุณอาศัยความไม่รู้ของเหยื่อมาหากินอยู่ใช่ไหม อาศัยความเหนือกว่าในการซ่อนคำพูดที่เหนือกว่าไว้ในหนังสือเซ็นยินยอม แล้วจะมีคนไข้สักกี่คนที่รู้ว่านโยบายนี้เป็นอย่างไรและสามารถปฏิเสธได้ แล้วรู้สถานะของตัวเองเองว่าคุณไม่ได้เป็นลูกหนี้ของรพ. แต่รัฐบาลกับสปสช.ต่างหากที่เป็นลูกหนี้ของรพ. จะมีคนสักกี่คนที่รู้เรื่องนี้ พี่อุ้ยเข้าไปเหมือนเป็นก้างขวางคอ ทุกเคสพี่ต้องวิ่งไปตามรพ.เหล่านี้หรือไม่
สปสช.ได้กำหนดเพดานการจ่ายเงินตรงนี้หรือไม่ว่ารับผิดชอบให้ไม่เกินกี่บาท ?
ตามหลักเกณฑ์เพดานการจ่ายเป็นล้าน แต่ที่ผ่านมาจ่ายไม่ถึง 1 แสนบาทสักรายแต่กรณีนี้คุยกับรพ.อย่างไรถึงมีการจ่ายเงิน 2.5 แสน ทั้งที่ฝ่ายการเงินของรพ.ยืนยันเสียงแข็งกับพี่ว่าทางรพ.ไม่ได้เข้า แต่ปรากฏว่าหมอบอกคนไข้อีกอย่างหนึ่งว่าเดี๋ยวทำเบิกฉุกเฉินจาก สปสช.ให้ เบิกได้หากผ่าที่นี่ เป็นการลักลั่น ถ้าคนไข้ยอมหยวนวันนั้นคุณก็ได้ไปเกือบล้านแล้ว ว่าไม่สามารถเข้ารักษา
จะแนะนำคนไข้อย่างไร ?
ระหว่างนี้อยากบอกว่าฉุกเฉินอย่าเข้ารพ.เอกชน จนกว่ารัฐบาลหรือสปสช.จะประกาศออกมาว่าได้รับความร่วมมือจากรพ.เอกชนทุกแห่งแล้ว เพราไม่อย่างนั้นคุณมีสิทธิหมดตัว และเป็นหนี้ไปตลอดชีวิต อาจจะหายจากโรคแต่ช็อคเพราะค่ารักษาพยาบาล
แต่เราเลือกไม่ได้ เพราะตอนนั้นกำลังจะตาย ?
ถ้าหลงเข้าไปรพ.ต้องบอกความจริง กับคนไข้ว่าได้เข้าโครงการหรือไม่ สามารถเบิกได้กี่เปอร์เซ็นต์ คนไข้ควรรู้ว่าฉุกเฉินอยู่รพ.ได้ไม่เกิด 72 ชั่วโมง หลังจากนั้นคนไข้ต้องรับผิดชอบเอง การที่รพ.ให้คนไข้สำรองจ่ายเพราะรู้ว่าไม่สามารถเบิกจากสปสช.ได้ทุกบาท สปสช.ถ้าตกลงกันทำนโยบายอย่างนี้แล้วก็ควรตกลงจ่ายในเรต(rate)ที่รพ.เอกชนรับได้ด้วยถ้าจะดำเนินนโยบายนี้ต่อ ไม่ควรผลักภาระมาให้คนไข้ไปทะเลาะกับรพ. ถ้าคนไข้ไม่มีปัญญาจ่ายก็ต้องไปสู้คดี จ้างทนาย ใครรับผิดชอบความเสียหายเรื่องนี้ได้
ถ้าเขาให้เซ็นก่อนไม่อย่างนั้นจะไม่รักษา ?
เราเซ็นให้รักษาก่อนได้เพื่อรักษาชีวิต แต่หลังจากนั้นเมื่อคนไข้อาการดีขึ้นให้ย้ายไปที่รพ.ของรัฐ ถ้ามีเงินจ่ายก็ให้เซ็นรับสภาพหนี้ก็ให้รพ.ฟ้อง ก็ให้ สปสช.และรัฐบาลไปเป็นจำเลยร่วมเพราะว่าหนี้นี้ไม่ใช่หนี้ของเรา และถ้าเขาไม่ยอมให้ย้ายรพ.ถ้าเราไม่สำรองจ่ายก็ให้ไปแจ้งความฐานกักขังหน่วงเหนี่ยวได้เลย แต่เวลาจะเซ็นอะไรให้อ่านให้รอบคอบ ต้องรู้ว่าฉุกเฉินสปสช.รับผิดชอบเพียง 72 ชั่วโมงแรก ถ้ามีปัญหาให้ร้องเรียนแพทยสภา กองประกอบโรคศิลป์ หนี้ก้อนนี้เป็นของรัฐบาลและสปสช.ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่หนี้ของคนไข้และญาติดังนั้นถ้าเรายังไม่มีจ่ายให้เซ็นรับสภาพหนี้ ตอนนี้ประชาชนเริ่มรู้สิทธิของตัวเองมากขึ้นแล้ว
รัฐบาลชุดเดียวกันที่ออกนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคเพื่อป้องกันไม่ให้คนไข้ล้มละลายจาการรักษาราคาแพง แต่ฉุกเฉินกับทำคนไข้ล้มละลาย ?
ออกนโยบายมาแล้วปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจอย่างที่ควรจะเป็น พี่ติดตามเรื่องนี้ไม่ได้ติดตามด้วยอคติ คนประกาศนโยบาย นายกรัฐมนตรีไม่เคยมานั่งเป็นประธานในการประชุมเลยเท่าที่ทราบ และอย่ามาอ้างเรื่องปัญหาทางการเมืองเพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนมีการชุมนุมทางการเมือง สปสช.ในฐานะเป็นเคลียร์ริ่งเฮาส์ ควรแอ่นอกออกมาเคลียร์ปัญหา ไม่ใช่หนีปัญหาแบบนี้คำพูด รัฐบาล รพ.เอกชน และสปสช.มีความไม่ชอบมาพากล
ต่อกรณีประชาชนควรรู้ว่าอะไรบ้างที่เป็นสิทธิของตัวเอง ?
ประชาชนต้องรู้สิทธิ รพ.ไหนไม่เข้าร่วมโครงการควรเขียนป้ายตัวโตๆ ติดเลยว่าไม่เข้าโครงการ เบิกไม่ได้ ถ้ารพ.ไหนเข้าร่วมก็บอกด้วยว่าเบิกได้ประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ ให้คนไข้รู้ความจริง อยู่ได้กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นคนไข้ต้องรับผิดชอบเอง รัฐบาลอย่าไปหวังอะไรด้วย แต่สปสช.ต้องออกประกาศให้ชัดเจนว่าจะดำเนินโครงการนี้ต่อไปหรือไม่ ถ้าดำเนินการต่อก็ต้องมีแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา หรือถ้าเห็นว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้วก็ให้ประกาศยกเลิกโครงการให้ชาวบ้านรู้ สปสช.ต้องทำ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ครอบครัวหนึ่งพังพินาศหมด ที่ผ่านมาคุณไม่แก้ไขอะไรเลย คนที่เจอปัญหานี้ต้องรับกรรมอย่างนั้นหรือซึ่งมีไม่น้อยเลย
แล้วจะแก้ไขอย่างไร ?
เรียกร้องให้ สปสช.ประกาศยกเลิกนโยบายชั่วคราว เพื่อให้ประชาชนทราบและไม่หลงเข้าไปรักษาที่รพ.เอกชน เพราะว่าสปสช.จ่ายได้ไม่ครบควรบอกความจริงกับสังคม ไม่ใช่บอกแค่ครึ่งเดียว คุยรองเลขาอ.ประทีป (นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ) ผอ.ศิริพร (นางศิริพร สินธนัง ผอ.สำนักบริการประชาชนและคุ้มครองสิทธิ์ สปสช.) ซึ่งบอกว่าญาติคนไข้ไปเซนต์ยินยอม คือไปอ้างลายลักษณ์อักษรที่ทำกันตอนฉุกละหุก ญาติคนไข้แทบไม่ได้อ่านอะไรด้วยซ้ำ เขาบอกว่าขณะนี้ สปสช.ตกเป็นจำเลยของสังคมแน่ๆ อยู่แล้วเพราะนโยบายนี้สร้างความลำบากใจให้กับสปสช.เพราะมีเรื่องร้องเรียนจากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนี้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่เปิดเผยตัวเลข ตอนนี้มีการตั้งกรรมการ เรียกเอกชนมาคุย แต่ไม่มีการเปิดเผยผลการคุยกัน อยากให้แถลงข่าวยกเลิก แต่บอกเกรงใจรัฐบาล แต่นี่เหมือนกับการขุดหลุมล่อ จุดไฟล่อแมลงเม่า ความฉ้อฉลของรพ. เรื่องนี้จะมาโทษคนไข้ก็ไม่ถูก เพราะนโยบายที่ดีประกาศออกมาแล้วต้องเชื่อถือได้ ต้องปฏิบัติได้จริง
สรุปคือ 1. หากสปสช.จะเดินหน้านโยบายนี้ต่อไป ต้องมีมาตรการรองรับ ไม่ผลักภาระให้คนไข้ต้องมีคดีความฟ้องร้องกับรพ. 2.หากสปสช.เห็นว่ามีปัญหามาก ก็ควรแถลงข่าวยกเลิกนโยบายนี้อย่างเป็นทางการ 3.สปสช.ต้องคืนเงินให้กับคนไข้ที่ได้ไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายให้รพ.เอกชน แล้วเบิกจ่ายคืนได้เพียงหลักหมื่นจากนโยบายนี้ทุกกรณี
( มีต่อ)