กัญชาทางการแพทย์ (ฉบับ Evidence-based)
กัญชาทางการแพทย์ ฉบับ Evidence-based 20 เมษายน - วันกัญชาโลก (National Weed Day)
เนื่องจากช่วงนี้มีกระแสข่าวการปลูกกัญชาเสรีเป็นจำนวนมาก .. กัญชามีสรรพคุณอะไรกันบ้าง ? อันไหนลวง อันไหนจริง อันไหนมี study รับรอง หมออย่างเราลองมาดูกัน ..
กัญชา (Cannabis/Marijuana) เป็นพืชที่มีสารออกฤทธิ์หลายอย่าง แต่มักใช้นำมาเสพเพื่อหวังผลออกฤทธิ์ให้เกิดความสนุกสนาน (recreational use) ในขณะเดียวกัน ก็พบว่ามีประโยชน์ในการรักษาอาการบางชนิดทางการแพทย์ (medical use)
แม้ว่ากัญชาจะมีสารออกฤทธิ์มากกว่า 500 ชนิด แต่ชนิดที่มีการศึกษาว่ามีประโยชน์ทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย คือ 9-tetrahydrocannabinol (THC) และ Cannabidiol (CBD)
THC เป็นสารตัวหลักที่ออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท โดยความแรง (high) ของกัญชาจะขึ้นกับสัดส่วนของ THC โดยตรง
ในขณะที่ CBD นั้นออกฤทธิ์หลายอย่างตรงกับข้ามกับ THC ไม่มีฤทธิ์ให้เกิดอาการ high และพบว่ามีฤทธิ์ต้านโรคจิตเภท (antipsychotic) คลายกังวล (anxiolytic) กันชัก (anti-seizure) และ ต้านการอักเสบ (anti-inflammatory)
สำหรับกัญชาที่ใช้เสพนั้นมีสัดส่วนของ THC และ CBD ที่แตกต่างกันไป หรืออาจไม่มี CBD เลยก็ได้
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ร่างกายของเรานั้นก็มีการสร้างสารกัญชา (endogenous cannabinoid) ได้เองเช่นกัน โดยออกฤทธิ์ผ่าน cannabinoid receptors ซึ่งพบมากในสมอง
ประโยชน์ของกัญชาที่ถูกอ้างถึงกันมาก คือ สรรพคุณในด้านการรักษาอาการปวด ลดการอักเสบ รักษามะเร็ง แก้โรคลมชัก โรคทางจิตเวชและการบำบัดผู้ติดยา ฯลฯ
เรามาดูกันว่าสรรพคุณไหน ที่มี study มารองรับบ้าง
- มีการศึกษา (RCT) ว่ากัญชาใช้บรรเทาอาการปวดและช่วยทำให้นอนหลับดีในผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง (chronic pain) เช่น การปวดจากมะเร็ง (cancer pain) การปวดจากเส้นประสาท (neuropathic pain) ฯลฯ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการระงับอาการปวดฉับพลัน (acute pain) การปวดข้อ (rheumatoid pain) โดยมีฤทธิ์ทั้งรูปยากิน และยาสูด
- มีการศึกษา (RCT) ว่ากัญชาช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนภายหลังจากการฉายแสงได้ดีกว่ายาหลอก
- มีการศึกษาในจานเพาะเลี้ยงและในหนูว่า CBD สามารถยับยั้งการเจริญ และเพิ่มการตอบสนองต่อรังสีรักษา (radiosensitive) ของเซลล์มะเร็ง (glioma cell lines) แต่ไม่มีการทดลองใดทำในมนุษย์
- มีการศึกษา (RCT) ว่ากัญชาสามารถรักษาโรคลมชักที่ไม่ตอบสนองต่อยากันชัก (treatment-resistant epilepsy) บางชนิดได้ แต่ไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกในการรักษาโรคลมชัก
- มีการศึกษาในสัตว์ทดลองว่า CBD มีผลคลายกังวล แต่การศึกษาเชิงสังเกตในผู้เสพกัญชา (ซึ่งมี THC) พบว่าทำให้เกิดความกังวลมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ยังไม่มีการศึกษาในมนุษย์ที่แสดงถึงประสิทธิภาพของกัญชาในการรักษาโรคซึมเศร้า หรือ โรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar) การศึกษาพบว่า การใช้กัญชาในผู้ป่วย bipolar ทำให้อาการณ์กำเริบได้มากขึ้น (new manic episode)
สิ่งที่ละเลยไม่ได้เลยก็คือ ผลข้างเคียงจากการใช้กัญชา โดยเฉพาะในผู้ใช้เสพปริมาณมาก และไม่มีการกำกับดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- หลักฐานการศึกษา (meta-analysis,RCT) จำนวนมากพบว่า การใช้กัญชาในระยะยาวทำให้การทำงานของสมองแย่ลง โดยลดความสามารถในด้านความคิดความเข้าใจ (cognitive function) ทำให้เกิดอาการเลื่อนลอย (amotivation syndrome) และกระตุ้นให้เกิดโรคจิต (psychosis) โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงเดิม
- ในการทดลองทางการแพทย์โดยใช้กัญชาเทียบกับยาหลอก พบว่า กัญชาทำให้เกิดผลข้างเคียงมากกว่า (29 studies, CI2.4-3.8) ผลข้างเคียงที่ร้ายแรงมากกว่า (34 studies, CI 1.04-1.92) และการออกจากการศึกษาเนื่องจากผลข้างเคียงมากกว่า(23 studies, CI 2.2-4.0) อย่างมีนัยยะสำคัญ
- ผลข้างเคียงที่สำคัญจากการใช้กัญชาทางการแพทย์ เช่น สับสน(disorientation) อาการมึนหัว euphoria สับสน(confusion) ง่วงซึม(drowsiness) ปากแห้ง ง่วงนอน(somnolence) เสียการทรงตัว เห็นภาพหลอน(hallucination) คลื่นไส้ หงุดหงิด(asthenia) อ่อนเพลีย ฯลฯ ตามลำดับของ odd ratio จากมากไปน้อย
- บางการศึกษา (open label) ทางการแพทย์ เพื่อรักษาอาการปวด พบว่า ผลข้างเคียงไม่แตกต่างจากยาหลอก และไม่มีการชินต่อยา (analgesic tolerance) ที่เวลา 1 ปี
- บางการศึกษา (open label) พบว่ามีอาการขาดยา (withdrawal)
อย่างไรก็ตาม ยังขาดการศึกษาผลข้างเคียงต่อการใช้กัญชาในระยะยาวทางการแพทย์
ในปัจจุบัน มียาที่ได้รับการรับรองจาก US FDA และมีส่วนผสมของกัญชาอยู่ คือ
1) Dronabinol และ Nabilone ที่มีส่วนผสมของ THC โดยมีข้อบ่งชี้ใช้รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนภายหลังจากการทำคีโม และใช้เพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วย AIDS ที่มีน้ำหนักลดมาก
2) Epidiolex® ที่มีส่วนผสมของ CBD สำหรับใช้รักษาโรคลมชักในเด็ก เฉพาะในกลุ่ม Dravet syndrome และ Lennox-Gastaut syndrome
ซึ่งทั้ง 3 ตัว เข้าใจว่ายังไม่มีการนำมาขายในประเทศไทย
แม้ว่ากัญชาจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีสรรพคุณทางการแพทย์หลากหลาย การศึกษาส่วนมากอยู่ในระดับสัตว์ทดลอง หรือกลุ่มคนจำนวนน้อย แม้ในยุคหลังจะมีการศึกษาระดับ RCT มากขึ้นก็ตาม จึงเป็นที่มาว่าเหตุใดจึงยังไม่มีการนิยมใช้ในทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย รวมทั้งการที่ FDA ยังไม่ประกาศรับรองในหลายข้อบ่งชี้ (indication) ก็คงทำให้แพทย์ส่วนมากไม่กล้าจะแนะนำให้ใช้กัญชาเป็นแน่ ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะกฎหมาย ทำให้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับกัญชาทำได้ยาก
ความเป็นไปได้ ที่จะเกิดการใช้กัญชาทางการแพทย์ ในอนาคตอันใกล้ นอกเหนือจากที่ FDA รับรองแล้ว คือ การใช้เป็นยาระงับปวด โดยเฉพาะในอาการปวดจากโรคมะเร็ง (ไม่ใช่รักษามะเร็ง) โดยมีการรายงานว่า ภายหลังการประกาศให้กัญชาถูกกฎหมายในบางรัฐของอเมริกา ทำให้มีการสั่งกัญชาเป็นยาแก้ปวดมากขึ้น ช่วยลดอัตราการสั่งใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม opioid ซึ่งทำให้ติดได้ง่าย และมีผลข้างเคียงถึงชีวิต
สำหรับการใช้รักษาโรคอื่น ๆ คงยังต้องรอการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมต่อไป
บทความโดย Pornlada Likasitwatanakul
__________________________________________
Reference
1. Andrade, C., Cannabis and neuropsychiatry, 1: benefits and risks. J Clin Psychiatry, 2016. 77(5): p. e551-4.
2. Bradford, A.C., et al., Association Between US State Medical Cannabis Laws and Opioid Prescribing in the Medicare Part D Population. JAMA Intern Med, 2018. 178(5): p. 667-672.
3. O'Connell, B.K., D. Gloss, and O. Devinsky, Cannabinoids in treatment-resistant epilepsy: A review. Epilepsy Behav, 2017. 70(Pt B): p. 341-348.
4. Romero-Sandoval, E.A., A.L. Kolano, and P.A. Alvarado-Vazquez, Cannabis and Cannabinoids for Chronic Pain. Curr Rheumatol Rep, 2017. 19(11): p. 67.
5. Rong, C., et al., Cannabidiol in medical marijuana: Research vistas and potential opportunities. Pharmacol Res, 2017. 121: p. 213-218.
6. Scott, K.A., A.G. Dalgleish, and W.M. Liu, The combination of cannabidiol and Delta9-tetrahydrocannabinol enhances the anticancer effects of radiation in an orthotopic murine glioma model. Mol Cancer Ther, 2014. 13(12): p. 2955-67.
7. Services., N.I.o.D.A.N.I.o.H.U.S.D.o.H.a.H. Marijuana as Medicine. 2018 June 2018 [cited 2019 26 March 2019]; Available from: https://www.drugabuse.gov/publications/drugfacts/marijuana-medicine#references.
8. Turna, J., B. Patterson, and M. Van Ameringen, Is cannabis treatment for anxiety, mood, and related disorders ready for prime time? Depress Anxiety, 2017. 34(11): p. 1006-1017.**********************************************
การใช้ #สารสกัดจากกัญชา ทางการแพทย์
#กัญชาศาสตร์: เอกสารการอบรม รุ่น 1
First Do No Harm.
กัญชายังคงเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5: ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับอนุญาต…เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ [พรบ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562]
https://www.facebook.com/FreeMedicalBookThailand/posts/2087878574664206?hc_location=ufi
___________________________
คำแนะนำการใช้กัญชาทางการแพทย์ [Guidance on Cannabis for Medical Use]
https://drive.google.com/file/d/1q6m7orxwHuELtbxv_jQMbWh66usNUB-_/view?fbclid=IwAR1V5Uq1gwn4BT8AcqN8wI9h6GxFbfAnWos_hgRXuRJoSVRmzEv1lTD2x4k
________________________________
เอกสารการอบรม สำหรับบุคลากรทางการแพทย์รุ่น 1
https://drive.google.com/drive/folders/1sKLx0AS8J8jZ3zhfW8NSgSL8-PwGXHIe?fbclid=IwAR1HNCnAbLNZe8ZlxVztW4lu_Iqcap5oSC_Zj7UPkYVo9nhmeWwsKXYcvS4
**********************************************
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1558104072.jpg)
นพ.ธีระ วรธนารัตน์ : นโยบาย “กัญชา”...ระวังเรื่องโง่ จน และเจ็บ
Tue, 2018-10-23 11:08 -- hfocus
ธีระ วรธนารัตน์
ใครจะให้ข่าวเพื่อหวังงบไปทำศึกษาวิจัย ใครจะให้ข่าวเพื่อหวังประโยชน์เชิงพาณิชย์ หรือใครจะให้ข่าวเพื่อวัตถุประสงค์แอบแฝงหรือไม่ประการใด ผมคงไม่อาจล่วงรู้ได้ และไม่สนใจที่จะไปขุดคุ้ยค้นหา
แต่วันนี้จำเป็นต้องมาเล่าข้อเท็จจริงจากความรู้วิชาการเรื่องกัญชาที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับสากล เพราะที่ผมสนใจคือความเคลื่อนไหวของรัฐที่จะผลักดันนโยบายเกี่ยวกับกัญชา ซึ่งจะมีผลกระทบระยะยาวต่อประชาชนในสังคม รวมถึงลูกหลานของผม และของทุกคนในอนาคต
ข่าวประชาสัมพันธ์ที่แพร่มาจากหลายต่อหลายแหล่ง สื่อให้คนจำนวนไม่น้อยเข้าใจกันว่า กัญชานั้นมีสรรพคุณเลิศเลอนั้น จะเป็นจริงมากน้อยเพียงใด เชื่อได้หรือไม่ หรือดูแค่หน้าตา ตำแหน่งที่อ้าง ก็เชื่อกันไปหมดแล้ว โดยลืมนึกถึงสัจธรรมในโลกนี้ว่า ไม่มีอะไรหรอกที่ดีเว่อร์จนไม่มีผลเสีย หรือเราพูดง่ายๆ ว่า ไม่มีอะไรหรอกที่ดีไปหมด และไม่มีอะไรหรอกที่แย่ไปหมดจนหาจุดดีไม่ได้เลย
อ้างกันเยอะว่าประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะเรื่องการที่นำกัญชามาแก้ “ปวด” แก้ “อ้วก” และแก้ “เกร็ง”
วันนี้จะมาตีแผ่ให้ดูว่า แก้ปวด แก้อ้วก แก้เกร็งนั้น จริงไหม? ประการใด? ข้อควรระวังคืออะไร? และเหตุใดจึงนำมาจั่วหัวบทความว่า ให้ระวังโง่จนเจ็บ หากไม่ดูตาม้าตาเรือ
ขอเกริ่นไว้ก่อนว่า ผมไม่สนใจงานวิจัยที่ทำแค่ในห้องทดลอง ในหลอดทดลอง ในสัตว์ หรือในมนุษย์ โดยไม่เสร็จสิ้นกระบวนการตามมาตรฐานการวิจัยระดับสากล ดังนั้นคำกล่าวจากไหนหรือจากใครก็ตาม ที่มาเรียกร้องให้ผลักดันนโยบายสาธารณะโดยให้ลืมมาตรฐานสากล แล้วเอาเฉพาะงานวิจัยจากประเภทไม่เป็นไปตามมาตรฐานดังกล่าวมาใช้เลยนั้น ผมจะไม่นำมาพิจารณาเด็ดขาด และจะถือว่าเรียกร้องโดยไม่ถูกต้องเหมาะสม เพราะนโยบายสาธารณะนั้นส่งผลกระทบต่อประชาชนคนหมู่มาก ต้องยึดตามหลักฐานวิชาการที่ได้มาตรฐานสากล อันทำให้มั่นใจขึ้นในเรื่องความถูกต้อง และความปลอดภัย ซึ่งเกิดจากขั้นตอนการศึกษาวิจัยที่รัดกุม ขจัดอคติจากปัจจัยต่างๆ และมีการทำซ้ำเพื่อตรวจสอบได้ แม้จะไม่มีงานวิจัยใดเลยที่สมบูรณ์แบบ แต่สุดท้ายคนทั่วโลกก็ยังยอมรับมากกว่าการที่จะอ้างเอาสารเคมี หยูกยา หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการมาตรฐานดังกล่าวมาใช้กับคน ซึ่งมีชีวิตจิตใจ หรือแม้แต่กับสัตว์ซึ่งก็มีกระบวนการวิจัยมาตรฐานกำกับทั้งด้านวิทยาศาสตร์และจริยธรรมเช่นกัน
Allan GM และคณะ ตีพิมพ์ผลการวิจัยทบทวนงานวิชาการทั่วโลกอย่างเป็นระบบ ในวารสาร Canadian Family Physician เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เอง โดยทำการทบทวนงานวิจัย 1,085 ชิ้น พบว่ามี 31 ชิ้นที่เป็นรูปแบบการทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นระดับความน่าเชื่อถือสูงเมื่อเทียบกับงานวิจัยรูปแบบอื่นๆ ซึ่งแต่ละชิ้นงานนั้นคัดเลือกเฉพาะงานวิจัยที่ทำการทดสอบเปรียบเทียบผลของกัญชาในการแก้อาการต่างๆ ทั้งเรื่องปวด เกร็ง อ้วก และมีการประเมินเรื่องอาการไม่พึงประสงค์/ผลข้างเคียง โดยออกแบบงานวิจัยที่รัดกุม โดยมีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างและมีกลุ่มควบคุม ซึ่งรูปแบบดังกล่าวนั้นคือรูปแบบวิจัยมาตรฐานสากลที่เหมาะสำหรับการดูผลของสิ่งที่ทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นยา วัคซีน หรืออื่นๆ แตกต่างจากงานวิจัยประเภทอื่นที่เชื่อถือได้น้อยและไม่ควรฟังเสียงนกเสียงกานำมายึดถือเป็นสรณะ
ว่าด้วยเรื่องแก้ “ปวด”
มีงานวิจัย 23 ชิ้น ทำการศึกษาทั้งในเรื่องปวดเฉียบพลันจากโรคกระดูกและข้อและกล้ามเนื้อ ปวดเรื้อรัง ปวดจากพยาธิสภาพของประสาท และปวดจากโรคมะเร็ง
สรุปให้อ่านกันสั้นๆ ได้ว่า สารออกฤทธิ์จากกัญชานั้นไม่ได้ช่วยเรื่องอาการปวดแบบเฉียบพลัน ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดจากโรคกระดูกและข้อก็ตาม ส่วนผลในการลดอาการปวดในผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้นก็ไม่ชัดเจน
สำหรับอาการปวดแบบเรื้อรัง และปวดจากพยาธิสภาพของเส้นประสาทนั้น สารออกฤทธิ์จากกัญชาดูจะช่วยลดอาการปวดได้เฉลี่ย 0.4 ถึง 0.8 หน่วย (จากอาการปวดคะแนนเต็ม 10) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้กัญชา โดยมีการอภิปรายเปรียบเทียบให้กระจ่างชัดขึ้นด้วยว่า ผลของกัญชาในการลดอาการปวดนี้ เทียบเท่ากับการบริโภคแอลกอฮอล์ จนมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 0.08% ซึ่งในต่างประเทศนั้นถือว่าเป็นระดับที่ผิดกฎหมายหากไปขับรถ เพราะจะทำให้ความสามารถในการขับรถด้อยลง เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ ดังนั้นจึงมีนักวิชาการจำนวนไม่น้อยแซวว่า ถ้าลดปวดได้เท่าแอลกอฮอล์ ก็แทบจะไม่ค่อยมีที่ยืนให้กัญชามาใช้ในสรรพคุณแก้ปวดนี้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น พอไปวิเคราะห์เจาะลึก พบว่า สรรพคุณเรื่องแก้ปวดนั้นมักพบเฉพาะในงานวิจัยที่มีขนาดเล็ก และติดตามผลระยะสั้นกว่า 2 เดือน ในขณะที่งานวิจัยที่ติดตามผลไปนานกว่า 2 เดือนขึ้นไป พบว่ากลุ่มที่ได้สารออกฤทธิ์จากกัญชานั้นมีลักษณะอาการปวดไม่ต่างกับกลุ่มควบคุม ซึ่งอาจแปลความได้ว่า เลยสองเดือนไปก็จะไม่ได้ผลนั่นเอง จึงทำให้มีคำถามตามมาอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องประโยชน์ที่จะได้จริงเวลานำมาใช้ดูแลรักษา รวมถึงความคุ้มค่าในการลงทุนตั้งแต่การศึกษาวิจัยสรรพคุณทางการแพทย์ จนถึงการลงทุนระบบการผลิตเชิงธุรกิจอุตสาหกรรมสำหรับทางการแพทย์
ว่าด้วยเรื่องแก้ “คลื่นไส้อาเจียน”
มีงานวิจัยจำนวน 5 ชิ้น สรุปให้ฟังได้ว่า สารออกฤทธิ์จากกัญชานั้นได้ผลดีในการลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่างๆ ที่มีอาการหลังจากได้รับเคมีบำบัด ในขณะที่มีงานวิจัยทบทวนอย่างเป็นระบบเพียง 1 ชิ้นที่ทำให้กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคอง แล้วพบว่ากัญชาไม่ได้ช่วยลดคลื่นไส้อาเจียนเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
สำหรับการลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่างๆ หลังได้รับเคมีบำบัดนั้น ผลของกัญชาดูน่าสนใจทีเดียว แต่จากข้อมูลยังพบว่ามีการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งที่มีความหลากหลายมาก และการติดตามผลการลดอาการคลื่นไส้อาเจียนนั้นมีความแตกต่างกันหลายแนวทาง โดยส่วนใหญ่เป็นการประเมินการรับรู้อาการของผู้ป่วยด้วยตนเอง และมักประเมินระยะสั้น เช่น ในระยะเวลา 1 วัน ซึ่งหากจะนำข้อบ่งชี้สรรพคุณนี้ไปผลักดันต่อเพื่อหวังให้เป็นเวชภัณฑ์เพื่อจำหน่ายในอนาคตและให้แข่งขันกับยาตะวันตกที่อยู่ในตลาดได้ ก็จำเป็นต้องวางแผนศึกษาวิจัย ติดตามประเมินผลเรื่องอื่นๆ ที่สำคัญในการดูแลรักษาให้ครบถ้วน
ว่าด้วยเรื่องแก้ “เกร็ง”
มีงานวิจัยแบบทบทบวนอย่างเป็นระบบอยู่ 3 ชิ้น ที่วิเคราะห์ผลเปรียบเทียบตัวต่อตัวระหว่างยาหลอกกับสารออกฤทธิ์จากกัญชา พบว่า 2 ใน 3 ชิ้นนั้น สรุปว่ากัญชาช่วยลดเกร็งได้มากกว่ายาหลอก 0.31 ถึง 0.76 คะแนน (จากคะแนนเกร็งเต็ม 10) โดยแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แถมมีการวิเคราะห์เพิ่มเติมให้เห็นชัดมากขึ้นได้ว่า หากเทียบกันแล้วกลุ่มที่ได้กัญชานั้น มีอยู่ร้อยละ 35 ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด และกลุ่มที่ได้ยาหลอก จะมีอยู่ร้อยละ 25 ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดที่สามารถลดคะแนนเกร็งลงได้อย่างน้อยร้อยละ 30 แม้จะต่างกันทางสถิติ แต่ในทางปฏิบัติจริง หากนำมากัญชามาใช้แก้เกร็ง ก็จะต้องใช้ราว 10 คน จึงจะเห็นผลลดการเกร็งเพิ่มได้ 1 รายเมื่อเทียบกับยาหลอก ทั้งนี้งานวิจัยส่วนใหญ่ทำในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรค Multiple sclerosis โดยมีงานวิจัยชิ้นเดียวที่ทำในผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ไขสันหลัง อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราควรรู้เพิ่มเติม ก่อนจะเชียร์หรือไม่เชียร์นโยบายกัญชาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือคือ เคยมีงานวิจัยคาดประมาณว่าโรค Multiple sclerosis นี้แม้จะพบได้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก แต่เชื้อชาตินั้นมีผล โดยสหราชอาณาจักรคาดว่ามีราว 164 คนต่อประชากร 100,000 คน ส่วนแถบเอเชียแปซิฟิกนั้น เจอเพียง 0 ถึง 20 ต่อประชากร 100,000 คน ต่างกันถึงอย่างน้อย 8 เท่า ซึ่งข้อมูลนี้คงจะพอประกอบให้เห็นเรื่องขนาดของปัญหา ควบคู่ไปกับขนาดของผลหรือสรรพคุณที่กล่าวไว้ตอนต้น สำหรับรัฐที่จะต้องพิจารณาเรื่องการลงทุนทรัพยากรของประเทศว่าคุ้มค่าหรือไม่เพียงใด
ว่าด้วยเรื่องการทำให้เกิด “ผลข้างเคียง/อาการไม่พึงประสงค์”
หากสังเกตดูในข่าวที่เผยแพร่กันทุกวี่วัน มีน้อยนักที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้ แต่ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง อยากจะตีแผ่ให้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร อย่างรอบด้าน ไม่ใช้อารมณ์ดราม่าหรือภาษาปลุกเร้าแบบที่เห็นกันบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
มีงานวิจัยทบทวนอย่างเป็นระบบถึง 12 ชิ้นที่รายงานเรื่องนี้อย่างละเอียด โดยสรุปแล้วพบว่า จากการสังเกตการนำกัญชาไปใช้ทางการแพทย์จะเกิดผลข้างเคียง/อาการไม่พึงประสงค์ค่อนข้างบ่อย ทั้งนี้ผลข้างเคียงนั้นมีตั้งแต่รุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงมาก ยกตัวอย่างเช่น การทำให้เกิดความผิดปกติของการรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ในรูปแบบที่เว่อร์เกินจริง อาการง่วง อาการอยากยา ความผิดปกติของสายตา อาการสับสน ปัญหาด้านความจำ อาการซึมเศร้า ความดันโลหิตต่ำ หรือแม้แต่อาการผิดปกติทางจิต เป็นต้น
ทั้งนี้จากรายงานวิชาการที่มีอยู่ พบว่า หลายอาการอาจพบได้บ่อย เช่น ทุกๆ 2 ถึง 4 คนที่ใช้กัญชา จะเจออาการดังกล่าว 1 คน เป็นต้น แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยชี้ให้เห็นว่า รายงานสถิติที่มีนั้นน่าจะเป็นสถิติที่ต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะกลุ่มผู้ป่วยในรายวิจัยต่างๆ นั้นมักเป็นผู้ที่ใช้กัญชามานาน ทำให้มีความทนต่ออาการต่างๆ ได้มาก หรือเคยชินไปแล้วจึงไม่รายงาน ในขณะที่บางอาการอาจทำให้คนที่มีอาการนั้นเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่รับรู้หลังการเสพ ทำให้ไม่รายงาน เป็นต้น
นอกจากนั้น มีงานวิจัยและรายงานวิชาการจากต่างประเทศออกมาในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับผลกระทบต่อสังคมที่เกิดขึ้นจากการนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ และการเปิดเสรีให้ใช้กัญชาทั่วไป เช่น สถิติอุบัติเหตุจราจรที่เพิ่มขึ้น อัตราการเสพกัญชาในเด็กและเยาวชนที่สูงขึ้น ตลอดจนอาชญากรรมที่เพิ่มขึ้นและเชื่อมโยงกับการลัดเลาะนำกัญชาไปใช้นอกเหนือจากที่อนุญาตในวงการแพทย์ ทั้งนี้เริ่มเห็นมากขึ้นในบางประเทศ ที่มีการอนุญาตให้ใช้กัญชาทางการแพทย์ว่า มีการหลอกว่ามีอาการตามข้อบ่งชี้ เช่น อาการเจ็บปวด เพื่อให้ได้กัญชานำไปเสพ ทั้งที่มิได้มีอาการจริง
ปัจฉิมบท...สำหรับผู้กำหนดนโยบายในประเทศไทย
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น หวังอยากให้ท่านเกี่ยวข้องได้อ่าน ใคร่ครวญ และพิจารณาให้จงหนัก ก่อนตัดสินใจสร้างนโยบาย กฎหมาย หรือระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกัญชาในประเทศเรา
ดูให้ดีว่า คนในสังคมเรานั้นมีระเบียบวินัย และความตรงไปตรงมามากน้อยเพียงใด ที่จะปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตัวเรา และลูกหลานในอนาคต
สารออกฤทธิ์ในกัญชานั้น ค่อนข้างชัดเจนว่าแก้เรื่องคลื่นไส้อาเจียนในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งหลังรับเคมีบำบัดได้ แต่มีอีกหลายประเด็นที่จำเป็นต้องพิจารณาว่า จะเข็นไปสู่การวิจัย และวางแผนการผลิตเชิงพาณิชย์ เพื่อหวังลดค่าใช้จ่ายและหาเงินเข้าประเทศได้จริงหรือ คุ้มเพียงใด โดยควรพิจารณาศักยภาพและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศตามความเป็นจริง หลีกเลี่ยงการสร้างภาพฝันที่แกล้งหลับตามองบางเรื่องจนอาจทำให้ฝันดังกล่าวเป็นไปไม่ได้จริง โดยเฉลี่ยแล้วยาหรือวัคซีนแต่ละตัว กว่าจะคิด และผ่านขั้นตอนการวิจัยตามมาตรฐานสากล จนคลอดออกมาจดทะเบียนเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกแก่สาธารณะนั้น สากลโลกเค้าลงทุนราวตัวละ 800-1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และใช้เวลาราว 12-15 ปี ยังไม่นับว่า ยาหรือวัคซีนตัวนั้นมีสรรพคุณแข่งกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดอยู่แล้วได้มากน้อยเพียงใด และสามารถผลักดันเข้าสู่มาตรฐานการดูแลรักษาที่เค้าเชื่อถือในระดับสากลสำหรับโรคหรืออาการนั้นๆ ได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่ต้องทราบ และนำเข้าสู่การพิจารณาสำหรับการทำนโยบายสาธารณะของประเทศ
สรรพคุณอื่นๆ นั้น สำหรับความเห็นผมแล้ว ผมไม่คล้อยตาม และไม่คิดว่าสมควรแก่การนำไปผลักดันระดับนโยบายสาธารณะ
บทเรียนในอดีตจนถึงปัจจุบันนั้น ทั่วโลกมีให้เราเรียนรู้ ตั้งแต่ประชาสัมพันธ์ให้มีการใช้มอร์ฟีน หรือสารใกล้เคียงสำหรับคนที่มีอาการปวดเรื้อรังในอเมริกา จนส่งผลกระทบต่อสังคมวงกว้าง และมีปัญหามาถึงปัจจุบัน เรื่องกัญชาก็เช่นกันที่หลายประเทศที่ได้ทำกระบวนการเรียกร้องก่อนหน้าเรามานาน แบบที่เรากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน แต่เขากำลังประสบปัญหา เพราะเพิ่งเริ่มมีรายงานต่างๆ มาให้เห็นหลังผลักดันไปแล้ว
สำคัญที่สุดคือ การเตรียมรับมือกับผลกระทบต่างๆ ที่กล่าวมา เช่น การลักลอบผลิต ลักลอบใช้ การอ้างเรื่องอาการเจ็บป่วย เช่น เรื่องอาการปวดที่ตรวจประเมินได้ลำบากว่าจริงหรือไม่ ตลอดจนการใช้ทั้งโดยมีข้อบ่งชี้และไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ และส่งผลต่อเรื่องวงกว้าง อาทิ อุบัติเหตุจราจร หรือการนำไปใช้เพื่อก่ออาชญากรรมและประทุษร้ายทางเพศ เป็นต้น
ห่วงใยลูกหลานจริง ต้องระวังให้ดี ตราบใดที่ยังไม่แน่ใจในระบบรักษาความปลอดภัยแก่ประชาชน ก็โปรดอย่าเสี่ยงครับ มิฉะนั้นที่เราหลงทำไป ก็จะแสดงถึงความไม่รู้เท่าทัน เสียเงินทองทรัพยากร และจะเจอปัญหาประชาชนบาดเจ็บล้มตายจากผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ได้ครับ
ผู้เขียน : ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ้างอิง
1.Allan GM et al. Systematic review of systematic reviews for medical cannabinoids. Canadian Family Physician. February 2018;64:e78-e94.
2.Cheong WL et al. Multiple sclerosis in Asia Pacific region: A systematic review of a neglected neurological disease. Front Neurol. 2018;9:432.
https://www.hfocus.org/content/2018/10/16462
***************************************
Wed, 2019-06-12 14:46 -- hfocus
หลายเดือนก่อน ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองท่านหนึ่งได้เมสเสจคุยกับผม ถามว่าผมประเมินสถานการณ์เรื่องกัญชาในสังคมไทยอย่างไร
ผมบอกกับท่านตรงๆ ว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวเพื่อปลดล็อคกัญชาในเมืองไทยในช่วงที่ผ่านมาหลายปีนี้
เหตุผลหลักของผมคือ ผมไม่เชื่อว่ารัฐ และกลไกต่างๆ ในสังคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ จะสามารถที่จะดูแลปกป้องประชาชนจากผลร้ายที่จะเกิดขึ้นจากการปลดล็อคกัญชาได้
สิทธิและเสรีภาพของประชาชนในฐานะพลเมืองของประเทศนั้นย่อมต้องมีทุกคน โดยเป็นบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐที่จะต้องดูแลให้เกิดความเป็นธรรม และคนทุกคนในสังคมต้องอยู่ได้โดยมีความสงบสุข ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
หากเกิดปัญหาหรือสิ่งคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศทั้งโดยตรงโดยอ้อม หรือส่งผลต่อสวัสดิภาพความปลอดภัย รัฐก็จำเป็นต้องตัดสินใจควบคุม ป้องกัน และแก้ไข โดยยืนพื้นฐานบนหลักการดังกล่าว
จริงๆ ผมตอบผู้ใหญ่ท่านนั้นไปเพียงประโยคแรก และต่อด้วยความเห็นส่วนตัวของผมว่า ณ จุดนี้ สังคมไทยคงยากที่จะต้านทานกระแสการเคลื่อนไหวเพื่อปลดล็อคกัญชาแล้ว เพราะได้ประกาศเป็นกฎหมายเพื่ออนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์ โดยแท้จริงแล้วเป็นการปลดล็อคโดยที่หารู้ไม่ว่าจะเกิดผลกระทบทางลบตามมาอย่างมากมายและยากที่จะจัดการ เช่น การเข้าใจผิดของประชาชนและนำไปใช้ต่างๆ นานาโดยยากที่จะควบคุม จนเกิดผลกระทบต่อทั้งตัวผู้ป่วย ครอบครัว และกระบวนการดูแลรักษาทางการแพทย์มาตรฐานที่มีอยู่
ยังไม่นับเรื่องการค้าขายกัญชาและผลิตภัณฑ์อย่างผิดกฎหมายที่คาดว่าจะมีมากมาย รวมถึงปัญหาด้านสุขภาพและสังคมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจราจร ปัญหาจิตเวช อาชญากรรม และการนำไปสู่การเสพติดอื่นๆ ควบคู่กันไป และที่แน่ๆ คือจะมีการเคลื่อนไหวไปสู่เรียกร้องให้เกิดกัญชาเสรีตามมา
ที่กล่าวมาข้างต้นมิได้เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอย หากแต่เป็นสิ่งที่ถูกระบุเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ทั้งจากงานวิจัยติดตามผลจากการประกาศนโยบายปลดล็อคกัญชาของประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแคนาดา สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป ฯลฯ รวมถึงรายงานขององค์กรต่างประเทศที่ดูแลทั้งด้านวิชาการและนโยบาย อย่าง International Narcotics Control Board (INCB) ซึ่งเป็นกลไกทำงานของสหประชาชาติเรื่องยาเสพติดด้วย
ผมบอกท่านไปว่า "ตอนนี้คงไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว นอกจากหาทางช่วยกันเตือนประชาชนในสังคมไทยให้เตรียมรับมือกับปัญหาสังคมที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายกัญชา"
"ครอบครัวเป็นหน่วยเล็กที่สุดในสังคม ที่จะต้องเลี้ยงดูลูกหลานของตนเองให้ดี ดูแลใกล้ชิด สอนให้รู้เท่าทันภัยคุกคามที่มีในสังคม รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ"...ผมบอกท่านไปประมาณนี้ และจบการสนทนากันในวันนั้น
นั่นเป็นการสนทนาประมาณต้นๆ ปีที่ผ่านมา
ผ่านมาครึ่งปีหลังจากประกาศปลดล็อคกัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทย เราเห็นอะไรกันบ้าง?
1. ปรากฏการณ์ "ความเชื่อและงมงายว่ากัญชารักษาได้ทุกโรค" จากอิสระเสรีเหนืออื่นใด ในการป่าวประกาศ ประชาสัมพันธ์ ความ "รู้" แบบลวงๆ โดยที่กลไกอำนวยความยุติธรรมของรัฐไม่สามารถทำอะไรได้ หรืออาจไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
2. ปรากฏการณ์ "การเติบโตของธุรกิจซื้อขายกัญชาและผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างผิดกฎหมายผ่านสื่อออนไลน์" ทั้งในไลน์กรุ๊ป เฟซบุ๊ค และอื่นๆ ราคาค่างวดขวดนึงหลายร้อยไปจนถึงพันบาท คิดค่าใช้จ่ายที่คนเต็มใจควักเงินจากกระเป๋า คาดว่าเยอะกว่าค่าใช้จ่ายรายหัวด้านสุขภาพของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และระบบประกันสังคมเสียด้วยซ้ำ
3. ปรากฏการณ์ "การสร้างระบบการตลาดด้านกัญชา" ทั้งการประยุกต์ใช้แนวคิด Multi-level marketing และระบบขายตรงผ่านตัวแทนในหลากหลายลักษณะ โดยอาศัยการต่อยอดจากการเล่นกับความกลัวโรคร้ายต่างๆ ของคน ควบคู่กับการเล่นกับกิเลสด้านรายได้จากการเป็นตัวแทนขาย ทำให้สมประโยชน์ทั้งคนผลิต คนขาย ตัวแทน และคนซื้อ อย่างครบวงจร
4. ปรากฏการณ์ "ดีครับนาย ได้ครับผม เหมาะสมครับท่าน" นโยบายถูกดันจากเบื้องบน ขาดเหลืออะไร กลไกมดงานในระบบรัฐก็สนองได้หมด ขาดความเชี่ยวชาญด้านกัญชา แต่สามารถเนรมิตให้เกิดขึ้นได้ผ่านการอบรมระยะสั้นตีตราให้พร้อมอย่างไม่น่าเชื่อ
5. ปรากฏการณ์ "โยนบาปให้เหยื่อ" เห็นได้จากจำนวนเหยื่อ ในรูปแบบของผู้ป่วย และผู้ที่ไม่ป่วยแต่หลงเชื่องมงาย ตัดสินใจหาผลิตภัณฑ์มาใช้เอง หรือมีตัวแทนมาเสนอให้ลอง หรืออื่นๆ ใช้แล้วเกิดปัญหาตามมาตามพาดหัวข่าว เช่น ใช้กัญชาแล้วน็อคต้องหามส่ง รพ.ด้วยอาการต่างๆ มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็โดนโยนบาปจากกลุ่มคลั่งกัญชาว่า ใช้ไม่เป็นเลยเกิดปัญหา แต่ไม่เคยยอมรับผิดว่า ที่มันเกิดปัญหาเช่นนี้ เพราะอะไรกันแน่ เพราะการสื่อสารสาธารณะที่ไม่เหมาะสม? เพราะการเร่งผลักดันโดยที่ไม่คิดหน้าคิดหลังและไม่เตรียมกลไกที่จำเป็นให้พร้อม รวมถึงไม่เตรียมคนในสังคมให้พร้อมก่อนจะผลักดัน?
6. ปรากฏการณ์ "คนทำงานในระบบสุขภาพน้ำตาตก" หลายคนน้ำตาตกเพราะคิดไม่ถึงเลยว่า เฮ้ย...มาตรฐานการแพทย์และการวิจัยที่เราร่ำเรียนตลอดมานั้นมีขั้นตอนต่างๆ มากมายกว่าจะเข็นยาแต่ละตัวออกมาใช้ในระบบการแพทย์ได้ แต่ละตัวใช้เวลาเฉลี่ย 12-15 ปี ลงทุนมากกว่า 800 ล้านเหรียญ มีทั้งขั้นตอนในหลอดทดลองก่อนจะไปถึงสัตว์ทดลอง และค่อยเข้ามาสู่ระยะการทดลองวิจัยในคน ซึ่งมีอีก 4 ระยะ ที่ต้องใช้เวลาและทรัพยากรเยอะมากมาย ก็เพื่อให้แน่ใจใน 2 เรื่องหลักคือ สิ่งที่คิดว่าจะเป็นยานั้นจะต้องมีสรรพคุณรักษาโรคนั้นๆ ได้จริง และสิ่งที่คิดว่าจะเป็นยานั้นต้องมีความปลอดภัยจริง
แต่ปรากฏว่า ที่ผ่านมากัญชากลับถูกนำมาตีรวนให้สับสน และหาทางลัดเลาะให้นำมาใช้ทันทีในระบบการดูแลรักษาโดยกล่าวอ้างข้อมูลวิจัยที่จับแพะมาชนแกะ
งานวิจัยทั้งหลายของสากลที่ทำกันนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นการวิจัยทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ต้องทำการสกัดสารเคมีจากวัตถุดิบให้ได้ สามารถวัดปริมาณได้ ทำให้คงตัวได้ ทำให้บริสุทธิ์ไม่มีสิ่งเจือปน และค่อยนำมาทดสอบในสัตว์และในคนตามที่กล่าวมา จนทราบได้แน่ชัดว่าปริมาณแค่ไหนปลอดภัย ให้ทางการกินการฉีดการหยดจะให้อย่างไร และจะมีสรรพคุณรักษาโรคใดได้จริงบ้าง และเมื่อเทียบกับยามาตรฐานต่างๆ ที่มีอยู่นั้น มันดีกว่า เท่ากัน หรือด้อยกว่า
ในขณะที่การวิจัยการแพทย์แบบพื้นบ้านหรือการแพทย์ทางเลือกนั้น จะใช้ระบบการศึกษาวิจัยที่เป็นคนละแบบกัน และมีความยากลำบากพอสมควรในการพิสูจน์ทั้งเรื่องความปลอดภัยและสรรพคุณ เนื่องจากหากศึกษาพืช สมุนไพร หรือตำรับยาต่างๆ ว่าจะรักษาโรคได้หรือไม่นั้น พืช สมุนไพร หรือตำรับยาต่างๆ นั้นมักประกอบด้วยสารมากมายหลายอย่าง บางครั้งก็ยากมากที่จะกำหนดปริมาณตายตัว กำนึงของพืชชนิดเดียวกัน ใบนึงของพืชชนิดเดียวกัน ก็มีปริมาณสารต่างๆ แตกต่างกันไปด้วย เราจึงเห็นได้ว่าจากอดีตจนถึงปัจจุบัน การแพทย์พื้นบ้านหรือการแพทย์ทางเลือกนั้นมักจะมีงานวิจัยที่สามารถพิสูจน์สรรพคุณและความปลอดภัยได้ค่อนข้างจำกัด และยากที่จะฟันธงถึงความเป็นเหตุและผลได้อย่างแม่นยำ
ช่วงที่ผ่านมา กระแสกัญชาในเมืองไทยนั้นจึงสร้างความสับสนให้กับคนในสังคม และส่งผลให้เกิดปัญหาดังกล่าวตามมา
บุคลากรทางการแพทย์จึงได้แต่น้ำตาตกที่เห็นการสื่อสารสาธารณะที่มุ่งแต่ผลักดัน แต่ไม่สนใจว่าคนรับนั้นจะเข้าใจอย่างไร
ทั้งๆ ที่การสื่อสารที่ดีนั้น ควรเป็นดังคำที่เราเคยได้ยินว่า "Words that work: It's not what you say, it's what people hear"
นอกจากนี้อีกเหตุผลหลักที่บุคลากรทางการแพทย์ในระบบสุขภาพน้ำตาตกคือ ความสงสารต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากข่าวสารกัญชาเหล่านั้น นอกจากเสียตังค์โดยไม่จำเป็น ตกเป็นเหยื่อเหล่าเสือหิวแล้ว ยังต้องเจ็บป่วยไม่สบายจากผลข้างเคียงต่างๆ จากกัญชา และการเสียโอกาสจากการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาทางการแพทย์ จนทำให้โรคกำเริบหรือเป็นรุนแรงยิ่งขึ้น
จำนวนเหยื่อมีมากขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลต่อเนื่องไปถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ประเทศจะต้องจ่ายไปจากปรากฏการณ์นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เอาล่ะ...แล้วจะทำอย่างไรดี?
สารภาพตรงๆ ว่า ผมเริ่มเห็นทางตันครับ เท่าที่คิดได้คงมีเพียง...
1.รัฐต้องยึดหลักการดูแลประชาชนในสังคม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยมั่นคงของประเทศ สวัสดิภาพและคุณภาพชีวิต ไม่ตัดสินใจโดยอิงแต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่อาจถูกปั่นให้เกิดกิเลสแบบได้ไม่คุ้มเสีย
2.นายกรัฐมนตรีโปรดพิจารณาคัดเลือกเสนาบดีที่จะมาคุมกระทรวงต่างๆ ให้ดี อย่าให้ใช้เป็นสะพานในการดำเนินการที่ส่งผลเสียต่อประเทศโดยรวม
3.นายกรัฐมนตรีโปรดทบทวนโครงสร้างหน่วยงาน และคณะกรรมการต่างๆ ทั้งด้านการปฏิรูปประเทศ ด้านสาธารณสุข ด้านพาณิชย์ และอื่นๆ โดยตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และพฤติกรรมที่ผ่านมาว่าสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอคติในการดำเนินงานหรือปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
4.หน่วยงานด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะ อย. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค โปรดยึดมั่นในหลักเกณฑ์มาตรฐาน อย่าหวั่นไหวกับการปั่นสังคมใช้กฎหมู่มาเหนือกฎหมาย
5.ราชวิทยาลัยแพทย์สาขาต่างๆ สมาคมวิชาชีพแพทย์และบุคลากรสาขาสุขภาพต่างๆ ตลอดจนโรงเรียนแพทย์ชั้นนำของประเทศควรพิจารณาประกาศจุดยืนทางวิชาชีพของท่าน ในการนำกัญชาหรือผลิตภัณฑ์จากกัญชามาใช้ดูแลรักษา โดยขอให้ยึดมั่นหลักฐานทางวิชาการที่หนักแน่น จนกว่าจะพิสูจน์เรื่องความปลอดภัยและสรรพคุณได้ตามมาตรฐานสากล ย่างก้าวนี้สำคัญยิ่งที่จะช่วยเป็นประทีปส่องทางให้ประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์มีหลักยึด
6.โรงพยาบาลต่างๆ โปรดพิจารณาออกประกาศนโยบายของโรงพยาบาล (Hospital policy) ในการใช้กัญชาหรือผลิตภัณฑ์จากกัญชาในการดูแลรักษา โดยยึดมั่นในหลักวิชาการ เพื่อช่วยปกป้องทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ของท่าน และช่วยป้องกันปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้น ทั้งจากระบบประกันสุขภาพ และปัญหาทางกฎหมาย
7.เรื่องนี้ยากสุดสำหรับทั้งสังคมไทยและสังคมโลก คือ รัฐควรพัฒนากลไกตรวจ ติดตาม กำกับ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพที่เป็นเท็จ ทั้งนี้ยังไม่มี best practice ใดๆ ที่จะมาต้านทานกระแส Fake information อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำครับ
ด้วยรักต่อทุกคน
ผศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
https://www.hfocus.org/content/2019/06/17257****************************************
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1558593971.jpg)
สังคมไทย...ทางไปของกัญชา
ผศ.นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ จากคณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี และราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานแถลงข่าว ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เรื่อง “สังคมไทย : ทางไปของกัญชา” ว่าในปี 2560 ตลาดกัญชากรุงวอชิงตันมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รัฐโคโลราโด สะพัดกว่า 1,508 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามแม้กัญชาจะสร้างรายได้แต่ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่ต้องนึกถึง ทั้งความปลอดภัยบนท้องถนน ความปลอดภัยของผู้ไม่เสพ และการตรวจคัดกรองคนทำงาน
จากข้อมูลของรัฐโคโลราโดหลังการประกาศใช้กัญชาทางการแพทย์และเสรีกัญชา พบว่าผู้ที่เสพติดกัญชาเพิ่มขึ้น ผู้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่ตรวจพบสารกลุ่มแคนนาบินอยด์มากขึ้น ผู้ที่ทำร้ายตนเองที่ตรวจพบสารกลุ่มแคนนาบินอยด์มากขึ้น และพบว่ามีอัตราการนอนโรงพยาบาลจากภาวะที่เกี่ยวข้องกับกัญชามากขึ้น ในรัฐอื่นๆ ในสหรัฐอเมริการที่อนุญาตใช้แคนนาบินอยด์ทางการแพทย์ บางรัฐมีการจำกัดปริมาณ THC ให้ต่ำและ CBD ให้สูง ขณะที่รัฐที่เปิดเสรีกัญชามีการควบคุมระดับ THC ในผลิตภัณฑ์และมีการติดตามและจำกัดปริมาณการซื้อผลิตภัณฑ์ต่อคน
ผศ.นพ.สหภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลายคนได้ยินว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) เสนอสหประชาชาติ (UN) เรื่องกัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ความจริงต้องมาดูรายละเอียดแยกเป็นข้อๆ คือให้กัญชาเป็นยาเสพติดกลุ่มที่ 1 (ระดับเดียวกับมอร์ฟีน), ให้สาร THC เป็นยาเสพติดกลุ่มที่ 1 (ระดับเดียวกับมอร์ฟีน), หากผลิตภัณฑ์ CBD ที่แทบไม่เหลือ THC (<0.2%) ให้พ้นการควบคุมแบบยาเสพติด และสำหรับผลิตภัณฑ์หรือสารสกัดแบบอื่นๆ ที่มีสารอื่นนอกเหนือจาก CBD แต่ไม่มี THC (<0.2%) ควรให้เป็นสารเสพติดกลุ่มที่ 3 ดังนั้นผลิตภัณฑ์จะถูกควบคุมระดับใดต้องดูตามสารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ หากเป็นสกัดกัญชาแล้วได้ THC ก็ยังเป็นยาเสพติด
สำหรับ Tetrahydrocannabinol (THC) หากใช้ในขนาดที่เหมาะสมจะมีผลในการลดปวด ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดอาการคลื่นไส้ แต่หากได้รับในขนาดสูงจะทำให้มีอาการเมาเคลิ้ม ใจสั่น หน้ามืด เห็นภาพหลอน รบกวนการรับรู้การตัดสินใจและความจำ นอกจากนี้การใช้สาร THC ขนาดสูงสม่ำเสมอทำให้เกิดภาวะดื้อต่อสาร (tolerance) นำมาสู่การติดยาได้
ด้าน Cannabidiol (CBD) เป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอาการเมาเคลิ้มและอาการทางจิตของ THC มีการศึกษาใช้สาร CBD เพื่อควบคุมอาการชักและอาการปวด สาร CBD ยังไม่พบว่าทำให้เกิดการดื้อหรือติด ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกได้จัดสาร THC เป็นสารเสพติดประเภทที่ 1 คือ มีโอกาสเสพติดได้ มีโอกาสนำไปใช้ในทางที่ผิด แต่มีประโยชน์ทางการแพทย์ ขณะที่จัดให้สาร CBD ไม่เป็นสารเสพติด สำหรับพืชกัญชายังนับว่าเป็นสารเสพติดประเภทที่ 1
ทั้งนี้การใช้ทางการแพทย์ที่มีหลักฐานสนับสนุนพอสมควร คือ สามารถลดอาการคลื่นไส้อาเจียนในผู้รับยาเคมีบำบัด ลดอาการปวดในผู้ที่ปวดเรื้อรัง รักษาอาการเกร็งในโรคเอ็มเอส และโรคลมชัก ขณะที่การใช้ที่ปัจจุบันที่มีหลักฐานว่าไม่ได้ผลในการรักษาโรค ได้แก่ ภาวะสมองเสื่อม และต้อหิน ซึ่งสมาคมจักษุแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาไม่แนะนำให้ใช้แคนนาบินอยด์ เนื่องจากการจะลดความดันตา 3–5 มม.ปรอท จะต้องบริโภค THC ปริมาณสูงถึง 18–20 มก./ครั้ง ซ้ำทุก 3-4 ชั่วโมง ขณะที่สาร CBD มีฤทธิ์เพิ่มความดันตา และสารละลายไขมันทำให้ตาระคายเคืองและเปลือกตาไหม้ได้
จากการศึกษาผลของกัญชาที่เกี่ยวข้องในมนุษย์ พบผลข้างเคียงทำให้เกิดโรคทางจิตเพิ่มขึ้น 3.9 เท่า การลงมือฆ่าตัวตาย 2.5 เท่า การติดกัญชาในวัยเรียน 17% เกิดปัญหาการเรียนรู้ สมาธิ และความจำ สมองฝ่อ เนื่องจากเนื้อสมองเล็กลงเมื่อใช้กัญชาในเวลานาน เส้นเลือดในสมองตีบ ถุงลมโป่งพอง หัวใจเต้นผิดจังหวะ สัมพันธ์กับมะเร็งอัณฑะ และเพิ่มความเสี่ยงหัวใจขาดเลือดทั้งฉับพลันและเรื้อรัง
ทั้งนี้ในกลุ่มที่ใช้ปริมาณมากทำให้เกิดภาวะคลื่นไส้อาเจียนรุนแรงจนเกิดภาวะแทรกซ้อน หลอดอาหารฉีกขาด ไตวาย ขาดน้ำรุนแรง เกลือแร่ผิดปกติรุนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และเสียชีวิตได้
ผศ.นพ.สหภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตเป็นยาจึงต่างจากการผลิตเพื่อเสพ ต้องมีมาตรฐานทุกลอตเท่ากัน ต้องมีการตรวจตัวยาและวัตถุดิบไม่ให้มีเจือปน ทั้งสารปราบศัตรูพืช สารละลายอื่นๆ โลหะหนัก เชื้อโรค รา แบคทีเรีย และพิษที่สร้างจากเชื้อโรค รวมถึงวัตถุเจอปน เช่น ผม ขน เล็บ แมลง อุจจาระ และปฏิกูลอื่นๆ
ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีการใช้กัญชาทางการแพทย์ก็ยังมีข้อบ่งชี้ 5 ข้อ โดยจะใช้ได้เมื่อการรักษาไม่ได้ผลเท่านั้น ได้แก่ 1.การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายของชีวิต 2.อาการคลื่นไส้อาเจียน จากการรับยาเคมีบำบัด 3.อาการปวดเรื้อรัง 4. โรคเอ็มเอส และ 5.โรคลมชัก ขณะที่ทั่วโลกบอกว่า “แคนนาบินอยด์เป็นยาแก้ปวด แก้คลื่นไส้ รักษาลมชัก ไม่ใช่ยารักษามะเร็ง”
สำหรับในประเทศไทยข้อบ่งชี้ตามกรมการแพทย์ในการใช้กัญชารักษาโรค มีทั้งหมด 4 ข้อ คือ จะใช้ได้เมื่อการรักษาไม่ได้ผลเท่านั้น ไม่ใช่ยาเริ่มต้น ได้แก่ 1.อาการคลื่นไส้อาเจียนจากการรับยาเคมีบำบัด 2.อาการปวดประสาท 3.กล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยโรคเอ็มเอส และ 4.โรคลมชักดื้อยา ในส่วนของโรคที่ข้อมูลสนับสนุนจำกัดต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ โดยมีเป้าหมายคือบรรเทาอาการเท่านั้น ได้แก่ การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง มะเร็งระยะสุดท้าย พาร์กินสัน อัลไซเมอร์ โรควิตกกังวล และโรคปลอกประสาทอักเสบ
นอกจากนี้กรมการแพทย์ยังระบุข้อห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ THC ในกลุ่มที่มีประวัติแพ้สาร โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคปอด หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เคยเป็นโรคจิตมาก่อน หรือมีอาการทางโรคอารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล รวมถึงหญิงมีครรภ์ ให้นมบุตร สตรีผู้ไม่ได้คุมกำเนิด หรือวางแผนจะมีบุตร ดังนั้น สารแคนนาบินอยด์มีทั้งประโยชน์และโทษ ควรเลือกศึกษาสารและขนาดให้ถูกต้อง และควรแยกคำว่า “การใช้ยาแคนนาบินอยด์ทางการแพทย์ จากการเสพกัญชา” ผศ.นพ.สหภูมิ กล่าวทิ้งท้าย
เครดิตข้อมูลสรุปจาก..คมชัดลึก
************************************************
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1558622525.jpg)
ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย แถลงจุดยืน"การใช้กัญชาทางการแพทย์" ชี้อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางจิตเวชได้
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ จุดยืนของราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทยเรื่อง "การใช้กัญชาทางการแพทย์ มีเนื้อหาดังนี้
อาศัยอำนาจตามความในหมวด 3 ข้อ 8 (7) แห่งข้อบังคับแพทยสภา ว่าด้วยราชวิทยาลัยจิตแพทย์ แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2538 และมติคณะผู้บริหารราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย มีความคิดเห็นและข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ ดังนี้
1. คุณสมบัติของกัญชา
กัญชา (marijuana) มีฤทธิ์เสพติด เป็นพืชที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า cannabis ซึ่ง cannabis มีหลายสายพันธุ์ ไม่ใช่เฉพาะแต่เพียงกัญชาเท่านั้น เช่น กัญชง ซึ่งเป็นพืชที่มีการน าล าต้นมาใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ปริมาณของสาร cannabinoids ที่มีอยู่ในพืชเหล่านี้มีระดับที่แตกต่างกันตามสายพันธุ์และการเพาะปลูก สาร cannabinoids ที่มีอยู่ในกัญชามีอยู่หลายชนิด เช่น delta9-tetrahydrocannabinol (delta9-THC) และcannabidiol (CBD) เป็นต้น บางชนิดสามารถสกัดเฉพาะสารออกมาได้ หรือสังเคราะห์เองได้โดยไม่ต้องสกัดจากพืช โดยกัญชาในรูปแบบต่างๆ สามารถน ามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในบางสาขาได้
กัญชาที่มีผู้นำมาใช้เพื่อความรื่นเริงจนบางครั้งเกิดการเสพติดนั้น มักเป็นชนิดที่มีปริมาณของสารdelta9-THC ที่สูง โดยผู้เสพดังกล่าวอาจนำส่วนต่างๆของกัญชามาทำให้แห้งเพื่อสูบ หรืออาจใช้ในรูปแบบน้ำมันซึ่งจะมีปริมาณ delta9-THC สูงกว่าปกติ โดยพบมากในต่างประเทศ
จากการศึกษาพบว่าการใช้กัญชาจะมีฤทธิ์รบกวนการทำงานของสมอง และเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางจิตเวชได้ เช่น หลงผิด หูแว่ว ประสาทหลอน อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า วิตกกังวล เป็นต้น โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ตั้งแต่วัยเด็กและวัยรุ่น ปัจจุบันยังไม่มีวิธีบอกว่าใครจะมีความเสี่ยงดังกล่าวบ้าง
2. ความคิดเห็นเกี่ยวกับกัญชาต่อผลทางจิตเวช
กัญชามีฤทธิ์ทำให้เสพติดได้ ซึ่งเกิดจากฤทธิ์ของสาร delta9-THC กัญชาไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามยังไม่มีที่ใช้ทางการรักษาโรคทางจิตเวช การใช้กัญชามีฤทธิ์รบกวนการทำงานของสมอง และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางจิตเวชได้
3. คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้กัญชา
3.1 บุคคลควรใช้กัญชาหรือสารสกัดตามข้อบ่งชี้ที่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานรองรับเท่านั้น
3.2 การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลของกัญชาทั้งประโยชน์และโทษ ควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็นผลของการใช้กัญชาหรือสารสกัด เช่น delta9-THC หรือ เป็นผลจากสารสังเคราะห์
3.3 บุคคลทั่วไปที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ไม่ควรใช้กัญชา โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนและผู้ที่มีโรคทางจิตเวช
************************************************
มติราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ไม่สมควรนำกัญชาและสารสกัดจากกัญชาใดๆ มารักษาโรคในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่น เผยตรงกับข้อสรุปของสถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา ชี้กัญชามีส่วนประกอบที่ส่งผลเสียต่อระบบประสาทที่กำลังเจริญเติบโตในเด็กและวัยรุ่นหากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน และมีฤทธิ์เสพติด
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2562 ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศฉบับที่ 134/2562 แถลงการณ์จุดยืนของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย เรื่องการใช้กัญชาทางการแพทย์ ซึ่งลงนามโดย ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า
อาศัยอำนาจตามความในหมวด 3 ข้อ 8(7) แห่งข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2538 และมติคณะกรรมการบริหารราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย มีความคิดเห็นและข้อแนะนำเกี่ยวกับการใช้กัญชาทางการแพทย์ในเด็กและวัยรุ่น ดังนี้
1.คุณสมบัติของกัญชา
กัญชา (Marijuana) มีฤทธิ์เสพติด เป็นพืชที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis มีหลายสายพันธุ์ ไม่ใช่มีเฉพาะเพียงกัญชาเท่านั้น เช่น กัญชง ซึ่งเป็นพืชที่มีการนำลำต้นมาใช้ประโยชน์ ทั้งนี้ ปริมาณของสาร Cannabinoids ที่มีอยู่ในพืชเหล่านี้ มีระดับที่แตกต่างกันตามสายพันธุ์และการเพาะปลูก สาร Cannabinoids ที่อยู่ในกัญชามีอยู่หลายชนิ เช่น delta9-tetrahydrocannabinol (delta9-THC) และ cannabidiol (CBD) เป็นต้น บางชนิดสามารถสกัดเฉพาะสารออกมาได้ หรือสังเคราะห์เองได้โดยไม่ต้องสกัดจาพืช โดยกัญชาในรูปแบบต่างๆ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ในบางสาขาได้ กัญชาที่มีผู้นำมาใช้เพื่อความรื่นเริงบางครั้งเกิดการเสพติดนั้น มักเป็นชนิดที่มีปริมาณของสาร delta9-THC ที่สูง โดยผู้เสพดังกล่าวอาจนำส่วนต่างๆ ของกัญชามาทำให้แห้งเพื่อสูบ หรืออาจใช้ในรูปแบบน้ำมันสกัดซึ่งมีปริมาณ delta9-THC สูงกว่าปกติ
2.ความคิดเห็นและคำแนะนำเกี่ยวกับกัญชาในกลุ่มเด็กและวัยรุ่น
กัญชามีส่วนประกอบที่ส่งผลเสียต่อระบบประสาทที่กำลังเจริญเติบโตในเด็กและวัยรุ่น หากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานและมีฤทธิ์เสพติดจากผลของสาร delta9-THC
ดังนั้น ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยจึงมีมติว่า ไม่สมควรนำกัญชาและสารสกัดจากกัญชาใดๆ มารักษาโรคในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่น ซึ่งตรงกับข้อสรุปของ American Academy of Pediatrics (สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา) ที่ตีพิมพ์ในเดือนมีนาคม ค.ศ.2015
Sun, 2019-06-30 09:20 -- hfocus
https://www.hfocus.org/content/2019/06/17314
************************************************
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1562399620.jpg)
Worapong Tearneukit
ท่านเป็นอดีต Neurologist ที่สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา และได้ไปเป็น Researcher อยู่ที่อเมริกากว่า 30 ปี มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำกว่า 100 ชิ้น
ปัจจุบันท่านเป็น Director ของ Comprehensive Epilepsy Program, Kaiser Permanente School of Medicine
และท่านมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากการใชักัญชามาหลายปีในรัฐแคลิฟอร์เนีย
สรุปเบื้องต้นได้ว่า
1. จากการศึกษาที่มีในปัจจุบัน กัญชา ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคสารพัดโรคตามที่กล่าวอ้าง เป็นเพียงการรักษาอาการให้ดีขึ้นในระยะหนึ่งเท่านั้น
2. กัญชา กับ #มะเร็ง มีแต่เพียงการทดลองในเซลล์มะเร็งที่อยุ่ในจานทดลอง กับในหนูเท่านั้นที่ได้ผล ส่วนในคนยังไม่มีการศึกษาใดๆ ที่ชี้ให้เห็นว่า กัญชารักษามะเร็งได้ และถ้าเอาขนาดของกัญชาที่ใช้ทดลองในหนูมาปรับตามน้ำหนักให้เป็นขนาดในคน จะทำให้คนเจอพิษข้างเคียงของกัญชาจนเสียชีวิตไปซะก่อน
3. ในอเมริกามีเพียง 10 รัฐที่กัญชาถูกกฏหมาย และส่วนใหญ่เป็นรัฐริมทะเลที่มีคนเชื้อสายอื่นเป็นจำนวนมาก และผ่านกฏหมายเพราะการเปิด Public vote แต่ในรัฐที่มีคนอเมริกาแท้ๆอยู่เป็นส่วนใหญ่ มีองค์กรแพทย์ ที่เข้มแข็ง ต่อต้านการทำกัญชาให้ถูกกฏหมาย เพราะผลเสียมากกว่าผลดีอย่างมากๆ
4. มีการตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำ STROKE พบว่าการใช้กัญชาต่อเนื่องนานๆ เพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคหลอดเลือดสมองอย่างชัดเจน ทำให้เป็นอัมพาตได้
5.การใช้กัญชา ทำให้เนื้อสมองฝ่อ โดยเฉพาะในเด็ก และวัยรุ่น IQ ต่ำลง เฉื่อยชา
โดยสรุป ผลเสียมากกว่าผลดี
************************************************
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1566802359.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1566802397.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1566802440.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1566802466.jpg)
การใช้กัญชาทางการแพทย์ มีประโยชน์หลายประการต่อผู้ป่วยที่จำเป็นต้องใช้ ตามข้อบ่งชี้ แต่เนื่องจากกัญชาในทางการแพทย์นั้น ถือเป็นยา จึงต้องใช้ให้มีขนาดที่ถูกต้อง และมีการระมัดระวัง มิให้เกินขนาดจนเกิดพิษได้ เช่นเดียวกับยาอื่น โดยมีคำแนะนำของ ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี ดังเอกสาร 20 สิงหาคม 2562 ขอให้คุณหมอโปรดศึกษาครับ
https://bit.ly/2L5DUK6
เครดิต FB@แพทยสภา
https://www.facebook.com/thaimedcouncil/posts/2332583467006545
************************************************
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1567147564.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1567147582.jpg)
FB@Palliative Medicine ยากนิดเดียว
Admin รู้สึกว่า ชาว palliative อาจจะหนักใจเมื่อต้องมาทำ “clinic กัญชา”
เอาเป็นว่า ผมในฐานะคนทำงาน palliative ขอ ประกาศตัวว่า cons มากกว่า pros นะครับ เพียงแต่ก็ไม่ได้หลับหูหลับตาค้าน แค่ประโยชน์ไม่ชัดโทษเยอะ ก็ควร “ระวัง” มากกว่า “กระโจน” ไปใช้
ควรจะพิจารณาตัวเราว่าเป็น “หมอ” หรือ “นักวิจัย” ส่วนตัวนะ....admin page นี้ทุกคนเป็น “clinician “ ครับ กัญชายังอยู่ในวิจัย ยายังไม่ได้ขึ้นทะเบียนบัญชียา
ผมไม่ค่อยห่วงแพทย์ครับ แต่ห่วงประชาชน
การใช้กัญชา มีข้อควรระวัง (THC) และข้อห้ามนะจ๊ะ คนไข้ทุกคน กัญชามีสารสำคัญ 2 ตัว คือ THC ซึ่งเป็นตัวที่มีผลขอางเคียงมากมาย และ CBD ที่มีประโยชน์ (บ้าง) และยังมีสารอื่นอีกเป็น สิบ (เติม S) +สาร terpine
ประโยชน์ไม่ชัด โทษจากสาร THC เป็นส่วนใหญ่ จะใช้แต่ละที คิดดีๆ อย่างมีวิจารณญาณ
1. หากอายุ <25 ปี มีผลต่อต่อพัฒนาการสมอง ในส่วน prefrontal cortex ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้เรื่องเหตุผล
2. หากมีประวัติจิตเวชในครอบครัว อาจกระตุ้นให้เกิดอาการทางจิต และ กลายเป็นจิตเวชถาวร (จิตเภท/อารมณ์สองขั้ว)
3. ท่านที่มีโรคหัวใจ กัญชากระตุ้นอัตราการเต้นหัวใจ เป็น 2 เท่าในเวลา 1 ชั่วโมง ท่านอาจหัวใจวายได้ และหัวใจเต้นผิดจังหวะ
4. มีงานวิจัยในต่างประเทศ ว่า เพิ่มอุบัติเหตุทางท้องถนน อย่างชัดเจน ในผู้ใช้
5. ในกรณีที่ใช้ต่อเนื่อง นานจะเกิดความเสี่ยงโรคปวดหัว (ปวดรุนแรงมาเป็นพักๆ) และ อัมพฤกษ์/อัมพาต จากเส้นเลือดสมองหดตัว
6. เกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน รุนแรง/ยาวนาน เนื่องจาก กัญชา กระตุ้น TRPV1 ต่อเนื่องจนเกิดการลดจำนวนของตัวรับสัญญาณตัวนี้ ( receptor down regulation) อาเจียนรุนแรงจนเสียแร่ธาตุในเลือด อาจเสียชีวิตได้ กว่าจะกลับมาปกติ ก็เป็นสัปดาห์
7. กัญชาจะตีกับยาตัวอื่นได้บ่อย เนื่องจากการไปยับยั้ง เอนไซม์ ไซโตโครม P450 (3A4) จะทำให้ระดับของยาที่ใช้เอนไซม์นี้กำจัดยา เพิ่มระดับขึ้น โดยเฉพาะ ยา warfarin จะมีผลข้างเคียงจากยาหลักที่ท่านกินอยู่ได้ (ตามในรูป)
หลักฐานทางการแพทย์ พบว่า จำกัดการใช้ในกรณีที่ยาหลักๆ ไม่ได้ผลแล้ว
1. อาการชักในเด็ก บางชนิดที่ดื้อยาทุกตัว (ที่มีในโลก) (CBD)
2. อาเจียนรุนแรงจากเคมีบำบัดในมะเร็ง (THC) ซึ่งผ่านกลไก เดียวกับ ondansetron และตัว setron ที่ใหม่กว่า (5-HT3 receptor antagonists ) แปลว่ามียาดีกว่าอยู่แล้ว
3. อาการปวดเส้นประสาท และเกร็งในโรค multiple sclerosis (ปลอกประสาทแข็ง) ระยะสุดท้าย (ระยะแรกใช้ยาอื่นก่อน)
4. อาการปวดในมะเร็งระยะสุดท้าย โดยกระตุ้น ผ่านกลไก presynaptic receptor CB1 ลดการหลั่ง glutamates ซึ่ง “ morphine “ ก็กระตุ้นผ่าน mu receptor ได้ผลเดียวกัน แต่แรงกว่า และ ไม่ค่อยตีกับยาอื่นด้วย
ส่วนข้อบ่งชี้อื่น อยู่ในระดับงานวิจัยในหลอดทดลอง/ทดลองในมนุษย์
อยากรู้ละเอียดเชิญอ่าน เอกสาร กรมการแพทย์
www.dms.moph.go.th/dms2559/download/Final_Guidance.pdf?fbclid=IwAR2jK0Gp3XSKZJk0boq2g1fCfMiczSGo7nRYUPN1tyi1JnbOqgnxV8n0EZU
Cr. รูป อ สายพิณ หัตถีรัตน์
#healer_no1
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1396804663804105&id=637484473069465&__tn__=H-R
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1576835656.jpg)
กรมการแพทย์ :
รอบรู้เรื่องกัญชาทางการแพทย์ คลิก www.medcannabis.go.th************************************************อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว
2 พฤศจิกายน 2563
กัญชาเพื่อการรักษาทางการแพทย์ สิ่งที่ประชาชนน่ารู้ : จากการบรรยายของ อ.สหภูมิ ศรีสุมะ, อ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์, อ.เมธา อภิวัฒนากุล เมื่อครั้งที่แล้วได้สรุปเรื่องนี้จากการบรรยายของ อ.สหภูมิ เมื่อเวลาผ่านไป ยาได้รับการพัฒนาและประกาศใช้แล้ว มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง
1. ข้อเท็จจริงที่ต้องรู้คือ กัญชาที่นำมาใช้ทางการแพทย์จะเป็นสารจากกัญชาสกัดเท่านั้น ไม่ใช่ใบหรือต้นกัญชาปลูก แล้วนำมาใช้ตรง ๆ เพราะจากการคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อการค้าในปัจจุบัน สายพันธุ์กัญชาจึงมีสาร THC สูงกว่าในอดีต เพราะการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการมีมากกว่าทางการแพทย์
2. ข้อบ่งใช้ทั่วโลกสำหรับสารสกัดจากกัญชา นั่นคือต้องมีสัดส่วนและสารเคมีของ THC และ CBD ในสัดส่วนเฉพาะเท่านั้น
ข้อบ่งชี้นั่นคือ การรักษาลมชักที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาปรกติ การรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนจากยาเคมีบำบัด การรักษาอาการปวดจากโรคมะเร็ง การรักษาอาการกล้ามเนื้อเกร็งในโรคระบบประสาทบางชนิด
**ข้อสำคัญคือ การสกัดกัญชาจะช่วยรักษาอาการเท่านั้น และไม่สามารถใช้เป็นยาหลักในการรักษาได้**
3. ในประเทศไทยมีการรับรองสารสกัดกัญชามาใช้เพียงในรูปน้ำมันกัญชา ที่มีสัดส่วน THC/CBD ที่คงที่หรือ THC เดี่ยวและ CBD เดี่ยว ในกี่ข้อบ่งชี้และไม่กี่คลินิกกัญชาและผู้สั่งใช้ ที่จะต้องได้รับการรับรองจากกรมการแพทย์ การสกัดเองหรือใช้ในรูปแบบอื่น ยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้โดยทั่วไปครับ
4. ขนาดของสารสกัดกัญชาที่ใช้ทุกประเภท จะใช้ในหน่วยเป็น หยด เท่านั้นนะครับ หยดจากหลอดหยดที่ให้มากับตัวยาเท่านั้นด้วย และจะต้องรอเวลาในการออกฤทธิ์และปรับยาพอสมควร เพราะกัญชาในรูปสารละลายน้ำมันและบริหารทางการกิน จะออกฤทธิ์ช้า หากใช้ซ้ำก่อนกำหนดเวลา สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ยาเกินขนาด และนี่คือสาเหตุของพิษจากยาที่พบมากสุด
5. ผลของกัญชาจากการรักษาไม่ว่าจากโรคใด ประสิทธิภาพไม่ได้สูงไปกว่าการรักษามาตรฐานมากนัก ส่งผลข้างเคียงจะพบน้อยหากใช้ในขนาดรักษา แต่จะพบมากหากใช้เกิน
ประเด็นสำคัญคือ ผู้ป่วยไม่บอก หรือคิดว่าสิ่งที่เกิดนี้ไม่ได้เกิดจากกัญชา ทำให้คุณหมอก็ไม่ทราบ เพราะอาการพิษจากกัญชาไม่มีความเฉพาะเจาะจง เช่น ใจสั่น พฤติกรรมเปลี่ยน ซึม จำเป็นต้องอาศัยประวัติการใช้สารสกัดกัญชาที่ชัดเจน
6. ข้อห้ามสำคัญคือ แพ้ยา มีประวัติโรคทางจิตเวช หญิงที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ดังนั้นหญิงในวัยเจริญพันธุ์ก็ไม่ควรใช้เช่นกัน ผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดไม่ควรใช้ และแน่นอนว่านอกจากสารสกัดกัญชาทางการแพทย์แล้ว กัญชาที่ใช้เพื่อสันทนาการก็จะเกิดอันตรายที่รุนแรงได้เช่นกัน
7. ในโรคลมชัก นั้น จะใช้เมื่อไม่ตอบสนองต่อการรักษามาตรฐาน และใช้เพื่อควบคุมอาการเท่านั้น ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงสภาพโรคเดิมได้ ข้อบ่งใช้ที่ชัดเจนมีในโรคลมชักที่พบน้อย คือ Dravet syndrome และ Lennox-Gestaut syndrome และมีการใช้เพื่อรักษาอาการกล้ามเนื้อเกร็งและอาการปวดเส้นประสาทในโรค multiple sclerosis (ข้อมูลจากการศึกษาเป็นโรคในช่วงลุกลาม แต่โรคที่พบส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เป็น ๆ หาย ๆ)
8. สำหรับเรื่องลดการปวดจากมะเร็งและอาการคลื่นไส้อาเจียนจากยาเคมีบำบัด ข้อมูลของสารสกัดกัญชา ไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงมากนัก จึงมีคำแนะนำให้ใช้เป็นเพียงยาเสริมการรักษามาตรฐานเท่านั้น เพราะเมื่อเกิดผลข้างเคียงจะแยกยากมากว่าเกิดจากยาหรือเกิดจากโรค
สรุปว่า ใช้ทางการแพทย์ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด และไม่แนะนำให้ใช้นอกเหนือข้อบ่งชี้นะครับ โดยเฉพาะการนำน้ำมันสกัดไปใช้รูปแบบอื่น เคยมีปัญหาปอดอักเสบเฉียบพลันรุนแรงจากการใส่สารสกัดกัญชาในน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้ามาแล้วนะครับ
https://www.facebook.com/medicine4layman/posts/2728951274087555
************************************************
กัญชายาครอบจักรวาล ไม่จริง ? กัญชาเพื่อความเพลิดเพลิน อันตรายรึเปล่า ? และ บทเรียนจากอเมริกา
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=26-03-2019&group=28&gblog=15
กัญชาทางการแพทย์ ... ข้อมูลวิชาการ ( คัดลอกมาฝาก ไม่ได้เขียนเอง )
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-04-2019&group=28&gblog=17การใช้สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ (คำแนะนำสำหรับแพทย์) 10 ต.ค.2562https://www.facebook.com/pg/thaimedcouncil/photos/?tab=album&album_id=2367600230171535
.................................................
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1680098298.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1680098321.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1680098339.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1680098371.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1680098387.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1680098401.jpg)
มาแล้ว !!! หัวข้อที่พลาดไม่ได้จาก MIMS Doctor Magazine เล่มใหม่ล่าสุด
เรื่อง การจัดการภาวะพิษเฉียบพลันจากกัญชาในภาวะฉุกเฉิน “อ่านง่าย เข้าใจ พร้อมใช้งาน” ในรูปแบบ flowchart จาก อ.นพ.ฤทธิรักษ์ โอทอง คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล
https://www.facebook.com/MIMSDoctorThailand/posts/pfbid033MkA83PY3rpDkvNJZDaeNkVENatE8TwW9MJRroSjMyQUCNXWbbjPU5byz9CEEFBtl.............................................................
#หมอชวนรู้โดยแพทยสภา ( 26มิย67)
ตอนที่ 231 “กัญชากับปัญหาทางสุขภาพ”
------------------------
#กัญชา โดยเฉพาะ delta-9 tetrahydrocannabinol (THC) เป็นยาเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ทำให้ผู้เสพรู้สึกผ่อนคลายและเคลิบเคลิ้ม กัญชาจึงถูกนำไปใช้เพื่อนันทนาการจนทำให้เกิดการเสพติดได้ คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษสากลขององค์การสหประชาชาติจึงกำหนดให้กัญชาและสารสกัดกัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือ “เป็นสารที่มีฤทธิ์เสพติดสูงและมีแนวโน้มสูงที่จะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด…”
.
ในขณะที่กัญชาทางการแพทย์มักอยู่ในรูปของสารสกัดกัญชาที่ใช้สูบส่วนใหญ่มักเป็นกัญชาเพื่อนันทนาการ ใน พ.ศ. 2562 พบว่า ร้อยละ 2.2 ของคนไทยวัยผู้ใหญ่ มีการใช้กัญชาอย่างน้อย 1 ครั้งในช่วง 1 ปีก่อนการสำรวจ และความชุกนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.2 ใน พ.ศ. 2564 #การใช้กัญชาที่เพิ่มขึ้นมากนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของคนไทยเพิ่มมากขึ้น
.
#ผลกระทบของการใช้กัญชาต่อสุขภาพจิต
#การติดกัญชา
ผู้ที่ใช้กัญชาบ่อย ๆ จะเกิดการทนต่อยา ทำให้ต้องใช้กัญชาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อให้ได้ฤทธิ์เท่าเดิม ในผู้ที่ใช้กัญชาบ่อยและมากมักมีอาการถอนกัญชาเกิดขึ้นเมื่อหยุดใช้ เช่น
• วิตกกังวล (76.3%),
• หงุดหงิด (71.9%),
• นอนไม่หลับ (68.2%)
• และอารมณ์ซึมเศร้า (58.9%)
ผู้ที่ติดกัญชามักไม่สามารถหยุดใช้กัญชาได้แม้การใช้กัญชานั้นจะทำให้เกิดผลเสียต่อการทำงาน การเข้าสังคม การดูแลตัวเอง หรือสุขภาพแล้ว บางการศึกษาพบว่า ทุก ๆ 3 ใน 10 คนที่ใช้กัญชาจะติดกัญชา
.
#ความบกพร่องทางสติปัญญา
การใช้กัญชาอาจทำให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญา เช่น
• ความจำ
• ความสนใจ
• การตัดสินใจ
• และการประมวลผลข้อมูลลดลง
ผลกระทบเหล่านี้จะเด่นชัดที่สุดเมื่อเกิดอาการเมากัญชาแบบเฉียบพลัน
ในผู้ที่ใช้กัญชาบ่อยและมาก ความบกพร่องนี้อาจคงอยู่ได้ถึง 28 วันหลังหยุดใช้กัญชา และในบางราย อาจคงอยู่นานกว่านี้หรือคงอยู่แบบถาวรหากมีการเริ่มใช้กัญชาตั้งแต่วัยรุ่น ใช้มาก และใช้เป็นเวลานาน ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาระยะยาวที่พบว่า ผู้ที่ไม่ใช้กัญชาจะมี IQ เพิ่มขึ้นราว 0.7 คะแนน แต่ผู้ที่ใช้กัญชาจะมี IQ ลดลงราว 5.5 คะแนน
.
#โรคจิตและโรคจิตเภท
โรคจิต คือ กลุ่มโรคที่มีอาการหลงผิด (เช่น หวาดระแวง) และประสาทหลอน (เช่น หูแว่ว) เป็นอาการสำคัญ โดยมีโรคจิตเภทเป็นโรคสำคัญ เนื่องจากเป็นโรคจิตเรื้อรังที่มักทำให้ป่วยตลอดชีวิต
#การใช้กัญชาเป็นประจำเพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคจิต ประมาณ 2 เท่า และการใช้ที่มากขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยง มากขึ้น (ดูรูปที่ 1) ในหน้า 2
เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า ผู้ที่ใช้กัญชามากจะเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคจิตเภทเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน บางการศึกษาพบว่า ทุก ๆ 1 ใน 3 คนที่ป่วยเป็นโรคจิตระยะสั้นจากกัญชาจะป่วยเป็นโรคจิตเภทในอนาคต ซึ่งความเสี่ยงนี้สูงกว่าคนที่เป็นโรคจิตระยะสั้นจากแอมเฟตามีน (ซึ่งมีโอกาสเกิดประมาณ 1 ใน 5)
.
#พฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรง
การเสพกัญชาอาจทำให้มีพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงเพิ่มมากขึ้นได้ โดยเฉพาะในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่อายุน้อย บางการศึกษาพบว่า ผู้ที่เสพกัญชา
มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมรุนแรงมากกว่าผู้ไม่เสพกัญชาราว 2 เท่า และพฤติกรรมรุนแรงเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีการเสพกัญชาบ่อย มาก และนานขึ้น
.
#โรคทางจิตเวชอื่นๆ
นอกจากปัญหาทางจิตดังกล่าวมาแล้ว กัญชายังอาจทำให้คลุ้มคลั่ง ซึมเศร้า วิตกกังวล และคิดฆ่าตัวตายได้ สำหรับผู้ป่วยทางจิตเวชที่ใช้กัญชาก็มักมีอาการทางจิตแย่ลง
.
#ผลกระทบของการใช้กัญชาต่อสุขภาพกาย
#ระบบหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากกัญชาจะทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำในขณะเปลี่ยนท่าแล้ว ยังมีฤทธิ์ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติราวร้อยละ 20-100 ภายในเวลาไม่กี่นาที
หลังการเสพและฤทธิ์นี้อาจคงอยู่นานหลายชั่วโมง อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองได้
.
#ระบบทางเดินหายใจ
ในระยะสั้น การสูบกัญชาส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจเช่นเดียวกับการสูบบุหรี่ ควันกัญชาจะระคายเคืองทางเดินหายใจและปอด ทำให้เกิดอาการไอเรื้อรัง หลอดลมอักเสบ และการติดเชื้อในปอด การสูบกัญชาในระยะยาวทำให้เสี่ยงต่อโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และมีการสะสมทาร์และสารก่อมะเร็งในปอดมากกว่าการสูบบุหรี่ ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยเป็นมะเร็งปอดไม่น้อยกว่าการสูบบุหรี่
.
#การตั้งครรภ์และการให้นมบุตร
มารดาที่เสพกัญชาสามารถส่งผ่านสาร THC ผ่านรกและน้ำนมได้ ทารกที่ได้รับสาร THC จากมารดาขณะตั้งครรภ์และให้นมบุตรจะมีน้ำหนักแรกคลอดน้อย เจริญเติบโตช้า และพัฒนาการของสมองช้า มารดาจึงต้องไม่ใช้กัญชาอย่างเด็ดขาดในระหว่างตั้งครรภ์ และให้นมบุตร นอกจากนี้ หญิงวัยเจริญพันธุ์ควรทราบด้วยว่าการหยุดเสพกัญชาหลังทราบว่าตนเองตั้งครรภ์เป็นการ
หยุดเสพที่ช้าเกินไป เพราะทารกได้เกิดขึ้นและได้รับสาร THC ไปหลายสัปดาห์แล้วก่อนที่มารดาจะหยุดเสพกัญชา
.
#สรุป
การเสพกัญชาเพื่อนันทนาการก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายอย่างยิ่ง นอกจากผู้เสพแล้ว ผู้ที่ได้รับควันกัญชามือสองก็อาจมีปัญหาดังกล่าวมาแล้วได้ด้วยเช่นกัน ผู้ป่วยที่ได้รับกัญชาทางการแพทย์ควรได้รับการตรวจประเมินโดยละเอียดก่อนได้รับการรักษา และได้รับการติดตามปัญหาสุขภาพอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยได้รับประโยชน์มากกว่าโทษของการรักษาด้วยกัญชาหรือสารสกัดกัญชา
.
...................................
บทความโดย ศ.นพ. มานิต ศรีสุรภานนท์
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
......................
#หมอชวนรู้ #แพทยสภา #ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
#กัญชากับปัญหาทางสุขภาพ
...................
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ Canva
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1719036931.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1719036947.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1719036961.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1719036977.jpg)
![](https://www.bloggang.com/data/c/cmu2807/picture/1719036991.jpg)
ที่มา
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=988154656434554&id=100057200869686&rdid=WL103B7myW9G7RkY....................................................