|
|
|
|
|
หมอหมู |
|
|
|
Location :
กำแพงเพชร Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]
|
ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ
ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )
หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป ) นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ
ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ
นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )
ปล.
ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com
ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..
|
|
|
ขัดคอนิธิ เอียวศรีวงศ์ (๑): ผู้กล่าวว่า "กลุ่มผู้ต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นี้อย่างรุนแรงที่สุด จึงเป็นกลุ่มสหภาพแพทย์โรงพยาบาลเอกชน ที่เรียกตนเองว่า "แพทยสภา"..."
ผู้เขียน ไทสยาม
การกล่าวอ้างของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในบทความ "ใครเสีย ในร่างพ.ร.บ.คุ้มครองความเสียหายฯ" จากมติชนออนไลน์ เป็นความคิดเห็นที่น่าฟัง เนื่องจากอาจารย์นิธิมีคุณวุฒิและมีบทบาทชี้นำสังคมมานาน ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบของผู้เขียนมาโดยตลอด จนกระทั่งได้เห็นชื่ออาจารย์นิธิเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ผู้เขียนจึงไม่ได้ติดตามต่อไป เพราะไม่สะดวกใจที่จะศึกษากันในเงื่อนไขที่ไม่ปกติ
การเป็นผู้ชี้นำสังคมมายาวนานของอาจารย์นิธิ สังคมจึงมีมายาคติเป็นความโน้มเอียงที่จะเชื่อไว้ก่อน แม้ ผู้เขียนก็มีมายาคติเช่นเดียวกันกับสังคม แต่เมื่อได้อ่านบทความของอาจารย์นิธิแล้ว มายาคติที่โน้มเอียงจะเชื่อก็สลายไป เพราะสิ่งที่อาจารย์นิธิได้นำเสนอนั้น มาจากความเชื่อที่ผิดจากข้อเท็จจริง ซึ่งผู้เขียนได้คลุกคลีกับประชาชนมาโดยตลอด อีกทั้งได้ทราบกระบวนการเคลื่อนไหวและเจตนารมณ์ของผู้คัดค้านร่างพ.ร.บ.คุ้ม ครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. ... มาโดยตลอดเช่นกัน
ดังนั้น จึง นิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ ต้องออกมาขอใช้สิทธิขั้นพื้นฐาน เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานในระบบบริการสาธารณ สุขกว่า ๒๐ ปี ต้องนำเสนอข้อเท็จจริงเพื่อแก้ไขมายาคติที่ไม่ถูกต้องจากการชี้นำสังคมของ อาจารย์นิธิ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกยิ่งของท่านอาจารย์
การนำเสนอเพียงความดีของหลักการและเหตุผลที่อ้างปะหน้าร่างกฎหมายนั้น คนสติปัญญาสมประกอบคนใดก็ปฏิเสธไม่ได้ถ้าเพื่อประโยชน์ของประชาชน
แต่ ถ้าเป็นเพียงเพื่ออธิบายความชอบธรรมที่จะมีกองทุนขนาดใหญ่ และให้กลุ่มเอ็นจีโอผู้เสนอกฎหมาย เข้าไปบริหารกองทุน และมีระเบียบปฏิบัติที่เขียนเองโดยระเบียบกระทรวงการคลัง และการตรวจสอบจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเข้าไม่ถึง นั้นเป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย
การออกกฎหมายโดยคนกลุ่มหนึ่งซึ่งมักจะอ้างความเป็นธรรม ความเสมอภาคและความเท่าเทียม ตามแนวทางทฤษฎีเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ของราษฎรอาวุโส ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับทฤษฎีแก้วสามประการในการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ ตามลัทธิความเชื่อที่ว่า การล้มล้างอำนาจรัฐ เป็นแนวทางการเปลี่ยนแปลง ไปสู่ความเป็นรัฐในอุดมคติ ที่จะนำความเสมอภาค เท่าเทียม มาสู่มหาประชาชน ทำนองนั้น
ลัทธิหรือความเชื่อนั้น เป็นมายาคติอย่างหนึ่ง ซึ่งโน้มน้าวด้วยเหตุผลต่างๆ ให้คนเชื่อและคาดหวัง ถ้ามายาคติหรือความเชื่อเป็นจริงได้และเป็นธรรมย่อมเป็นสิ่งที่ดี และเป็นได้ถึงศาสนาวัฒนธรรมประเพณีที่ทุกผู้คนยึดเหนี่ยว แต่ถ้ามายาคติที่เกิดขึ้นจากความเชื่อที่เป็นเท็จ มายาคติย่อมสลายไป เมื่อความจริงปรากฏ ต่อไปนี้จะได้อธิบายถึงเหตุที่ทำให้มายาคติจากการชี้นำของอาจารย์นิธิได้ สลายไป ดังต่อไปนี้
๑.การกล่าวอ้างที่ว่า "...กลุ่มผู้ต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นี้อย่างรุนแรงที่สุด จึงเป็นกลุ่มสหภาพแพทย์โรงพยาบาลเอกชน ที่เรียกตนเองว่า "แพทยสภา"..." นั้นเป็นความเท็จสองประการ
-ความเท็จประการที่๑ กลุ่มผู้ต่อต้านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ คือ แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลของรัฐทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข
-ความเท็จประการที่๒.แพทยสภาไม่ใช่สหภาพแพทย์โรงพยาบาลเอกชน แต่มาจากแพทย์ผู้ได้รับเลือกตั้งจากแพทย์ผู้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบ วิชาชีพเวชกรรมในประเทศไทย ๒๖ ตำแหน่ง และเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ๒๖ ตำแหน่ง ได้แก่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข,อธิบดีกรมการแพทย์,อธิบดีกรมอนามัย,เจ้ากรมแพทย์ทหาร บก,เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ,เจ้ากรมแพทย์ทหารอากาศ,นายแพทย์ใหญ่สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ,คณบดีคณะแพทยศาสตร์๑๘สถาบัน และผู้อำนวยการสถาบันพระบรมราชชนก
ตรงไหนที่เรียกว่ากลุ่มสหภาพแพทย์โรงพยาบาลเอกชน ? อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์เป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคม จะชี้นำสังคมเช่นนี้หรือ?
๒.การกล่าวถึง "...สิทธิพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งเพื่อปกป้องตนเอง และถ้าคิดให้กว้าง ย่อมปกป้องสังคมโดยรวมจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ขายหรือให้ บริการด้วย..."นั้น
การแพทย์ไทยตั้งแต่สมเด็จพระราชชนกพระราชทานแก่ประชาชนไทยนั้น มิใช่การขายหรือการให้บริการ แต่เป็นการดูแลรักษาประชาชนด้วยพรหมวิหาร๔ (เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา) ไม่มีแพทย์ผู้ดูแลรักษาประชาชนคนไหนในประเทศไทยอยากจะบอกตนเองว่าตนเป็นผู้ให้บริการ เพราะการช่วยชีวิตคนนั้นสูงกว่าการเป็นงานบริการ
หากอาจารย์นิธิยังซาบซึ้งกับการบริการด้วยหัวใจมนุษย์นั้น ขอเรียนให้ทราบว่า แพทย์ต่างประเทศนั้น เขาคิดกันแบบงานบริการ คือ เป็นธุรกิจกันนานมาแล้ว หัวใจคนมันหายไป แต่เมืองไทยมิใช่เช่นนั้น แพทย์ไทยถูกสอนให้ดูแลประชาชนด้วยพรหมวิหารธรรม มิได้เลือกยากดีมีจน ความทุกข์ของประชาชนคือทุกข์ของแพทย์และพยาบาล
ส่วนคนที่ไม่ได้ดูแลคนไข้ แต่มักไป "ศึกษาดูงาน" บ่อยๆ ด้วยภาษีประชาชน ณ ประเทศแถบสแกนดิเนเวียนั้น ติดอกติดใจใจภาษาหรูเลยเอามาใช้ ไม่ได้ดูแลคนไข้มานานจึงไม่รู้ว่า บ้านเรานั้นหมอกับประชาชนผูกพันกันตามธรรมเนียมไทยที่สูงด้วยคุณธรรมอยู่ แล้ว เว้นแต่ ใครที่เลวมาแต่เดิม พัฒนาไม่ได้ จึงมีทุรเวชอยู่บ้างที่หาความรวยจากคนที่รู้ไม่ทัน
อีกทั้งการประทับใจกับกิจการแถบสแกนดิเนเวียนั้น ผู้เขียนอดนึกถึง "ปฏิญญาฟินแลนด์" อันโด่งดังมิได้ จึงอยากทราบว่า ระบบการดูแลแบบสแกนดิเนเวียนั้นเป็นส่วนหนึ่งในปฏิญญาฟินแลนด์หรือไม่???
และเมื่อกล่าวถึง สิทธิพื้นฐานของมนุษย์ แพทย์และผู้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาประชาชนผู้มีความ เจ็บป่วย ก็ย่อมมีสิทธิพื้นฐานของมนุษย์เช่นเดียวกันกับมนุษย์ผู้อื่น และแพทย์ก็ต้องการได้รับการปฏิบัติด้วยหัวใจมนุษย์เช่นเดียวกัน
ดังนั้น การ เคลื่อนไหวเพื่อขัดแย้งสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในร่าง พ.ร.บ.นั้น จึงเป็นการใช้สิทธิพื้นฐานของมนุษย์ หากมนุษย์ที่มีสติปัญญาและมีสำนึกดีต่อวิชาชีพที่ดูแลรักษาชีวิตคน เห็นว่า มีสิ่งที่ไม่สมควรในกฎหมายที่จะออกบังคับใช้กับคนทั้งหมดย่อมทนไม่ได้ที่จะ ให้อธรรมเกิดแก่ประชาชนและประเทศชาติ การเคลื่อนไหวจึงเป็นการสมควร การไม่ปล่อยให้เกิดกฎหมายอธรรมออกใช้จึงชอบแล้ว
การคัดค้านร่างกฎหมายอธรรม จึงไม่เป็นการลิดรอนสิทธิ และผู้เจริญย่อมไม่ควรมองเป็นการลิดรอนสิทธิผู้อื่น หลักประชาธิปไตยย่อมมีการถกเหตุผลที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยได้ มีแต่ลัทธิเผด็จการเท่านั้นที่จะไม่พอใจที่มีผู้มีความเห็นแย้ง
โปรดปฏิบัติต่อแพทย์และผู้ปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วย ด้วยหัวใจมนุษย์