มีนาคม 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
13 มีนาคม 2550

เรื่องเล่าบนดอยขุนตาล


นั่งคุยกับตัวเอง : เรื่องเล่าบนดอยขุนตาล
เขียนโดย : สิงห์โตหมอบ
5 มีนาคม 2550



ช่วงอายุ 16-17 ผมไปเที่ยวดอยขุนตาลถึงสองครั้ง
ในช่วงระยะเวลาที่ต่างกัน…
เหตุผลเดียวที่ไปคือ สวย และค่าใช้จ่ายไม่แพงนัก
นัดเพื่อน 7- 8 คน รวมพลได้ก็นั่งรถไฟชั้นสามจากเชียงใหม่ไปลงหน้าอุโมงค์ขุนตาล
แล้วก็เดินขึ้นดอย ไปนอนที่ ย.3 หรือยอดที่เขาลูกที่สามนั่นเอง


.........................................


ทุกครั้งที่ไป ผมเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ต้องเตรียมธูปไหว้พระไปด้วย
ไปถึงศาลเจ้าพ่อขุนตาลก็เรียกเพื่อนให้ไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนั้น
บอกกล่าวในใจว่า “พวกผมมาขอเที่ยวอาศัยคืนหนึ่งนะครับ”
ผมดูเป็นคนงมงายรึเปล่าในสายตาใคร ?.....
คนยุคเทคโนโลยีก้าวไกลและมีการศึกษาที่ดีกว่าคนในยุคก่อน ทำไมยังเชื่อถือเรื่องผีสางนางไม้อยู่เล่า....


...........................................


วันที่ไปมีนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นไปพร้อมกัน
จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเราเรียนสถาบันเดียวกัน แต่คนละคณะฯ
ตอนที่ผมเกณฑ์เพื่อนไปไหว้พระอยู่นั้น
คณะฯนี้ก็เดินขึ้นดอยไปก่อนแบบเฮฮาร่าเริงโดยไม่ได้หยุดแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบพวกผม
ต่างคน ต่างเดิน….
ใช้เวลาไม่น้อย แม้อากาศบนดอยจะหนาวเหน็บ
แต่การเดินขึ้นดอยทีละลูกๆ ก็เล่นเอาเหงื่อซึมแผ่นหลัง
ยิ่งเดินสูงขึ้นไป เสียงพูดคุยยิ่งเงียบลง
รอบกายมีแต่กลุ่มต้นไม้เขียวครึ้ม และเสียงสัตว์ป่าร้องก้องไปทั้งป่า

ถึง ย.3 ก็บ่ายสาม แต่อากาศมืดครึ้มเหมือนห้าโมงเย็น
ไปถึงลานสน มีบ้านเช่าอยู่สามสี่หลังตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร
พวกผมตั้งวงเล่นกีต้าร์ ร้องเพลง เฮฮากันไปตามประสา
ตอนเย็นนั่งเล่นรอบกองไฟ พูดคุยหยอกล้อกันไปเรื่อย
ก่อนกินข้าวเย็น เราทำกับข้าวง่ายๆกินกัน เช่น มาม่า ไข่ทอด
ผมตักแบ่งใส่ถ้วยเล็กๆ เดินไปวางไว้ที่เสาบ้าน
ยกมือบอกเจ้าที่เจ้าทาง “ผมขออยู่อาศัยหนึ่งนะครับ”
แล้วกลับมานั่งกินนั่งคุยกันต่อ....

จนกลางดึก
หญิงสาวสองสามคนที่พักอยู่บ้านหลังใกล้ๆกัน
เดินเข้ามาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พวกเธอ..ใครมีพระห้อยคอบ้าง ขอยืมหน่อยสิ”
วงเหล้าของผมเงียบกริบในทันที
“มีอะไรหรือ ?” ผมถาม
ทั้งหมดไม่ยอมพูด เพียงแต่ย้ำว่ามีพระให้ยืมไหม ?...
ใครจะไปให้ยืม ให้ยืมพระกับคนแปลกหน้านี่นะ
พวกผมปฏิเสธไป...เพราะไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงต้องยืมพระกันกลางดึกแบบนี้ด้วย
และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สวมพระมาด้วย
ผมเองมีแต่ตระกรุดใส่ไว้ที่แขนเหมือนสายสิญจน์เท่านั้นเอง
แล้วเธอก็เดินจากไป.....

เสียงเฮฮาจากบ้านที่พวกเธออยู่เงียบเสียงไปแล้ว
พวกผมนั่งวิพากษ์วิจารณ์กันเงียบๆ ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเหน็บ
ไอหมอกคลุ้งขึ้นมาจากพื้นดิน ปกคลุมให้บรรยากาศยิ่งเงียบสงัดวังเวง
พวกผมนั่งคุยกันจนดึก จนง่วงมากเข้าก็เข้านอน


.................................................



เช้าตื่นขึ้นมา ผมไปเดินเล่นแถวๆลานสวนสน
คณะฯของเธอกำลังเดินกลับบ้าน
บรรยากาศดูเงียบเหงาซึมเซาผิดปกติ
ผมกับเพื่อนเดินเข้าไปสอบถามว่ามีอะไรหรือ ทำไมรีบกลับล่ะ
หนึ่งในนั้นตอบว่า เมื่อเช้านี้เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเขา
ถูกประตูลังที่ใส่ผ้าห่มกันหนาวหนีบมือ...จนมือเป็นแผลเหวอะหวะ
ต้องรีบขอเจ้าหน้าที่อุทยานฯนำตัวไปส่งที่โรงพยาบาลโดยด่วน
และที่สำคัญ เขาถามว่าจำได้ไหมที่เมื่อคืน เพื่อนของเขาเดินไปขอยืมพระที่กลุ่มผม....
เขาเล่าต่อว่า หลังจากอาบน้ำ กินข้าวเสร็จ
มีคนหนึ่งอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำ
มองดูกระจกเงา....และเห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยยืนมองอยู่ข้างหลัง
เขาว่าคืนนั้นทั้งคืน ไม่มีใครได้นอนเลยสักคนเดียว


..........................................


บริเวณถ้ำขุนตาลเป็นสถานที่ที่มีคนตายเป็นจำนวนมากเมื่อครั้งสงครามโลก
และมีการสร้างทางรถไฟที่นี่ เชลยศึกนับพันนับหมื่นคนเสียชีวิตจากการก่อสร้างในพื้นที่ที่มีไข้ป่าและโรคร้ายชุกชุม

หลายเรื่องเล่าที่รับรู้มาก่อนมาเที่ยวที่นี่ก็คือ

กลางดึกมักมีเสียงร้องโหยหวนของคนดังขึ้นเสมอ
เป็นเสียงการเดินทัพของนักรบโบราณบ้าง
เป็นเสียงการสู้รบในสงครามบ้าง

บางทีนั่งคุยกันอยู่ดีๆ คนในกลุ่มก็ลุกเดินลงดอยแล้วหายไปเลย
พบอีกทีก็กลายเป็นศพอยู่บริเวณด้านล่างของเหว

อีกหนึ่งเรื่องเล่าบอกว่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่งขึ้นมาที่นี่
แล้วลักลอบไปมีเซ็กส์กันกลางป่า
ปรากฏว่าชายหนุ่มไม่สามารถดึงอวัยวะเพศของตัวเองออกมาจากอวัยวะเพศของฝ่ายหญิงได้ เจ้าหน้าที่ฯต้องนำตัวไปส่งที่โรงพยาบาล สุดท้ายต้องจุดธูปขอขมาจึงทำการรักษาต่อได้

หรือคนปากบอนที่พูดอะไรไม่เหมาะสม เดินอยู่ดีๆ แล้วหลงป่า หาทางออกไม่เจอ เดินวนไปเวียนมาอยู่บริเวณตรงนั้นสองสามวัน
จนต้องยกมือขอขมาจึงหาทางออกพบ


..............................................


“เรื่องเล่า” ก็คือ เรื่องเล่า….
ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าคือ “เรื่องจริง”
แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้ก็คือ ไม่ว่าไปที่ไหน..
ควรไปอย่างมีจิตสำนึก ไปในฐานะของแขกผู้มาเยี่ยมเยือน
ไปด้วยกริยามรรยาทที่สงบ และเคารพสถานที่
ที่ไหนว่าแรงๆ ผีดุ ผมไม่เคยเจอ
ที่ไหนน่ากลัว เราไปด้วยความเคารพ พบเจอก็แต่ความสวยงาม

ผีมีจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ
ผีที่แท้จริงอาจอยู่ในใจคุณ
และเป็นเพียงความรู้สึกกลัวที่จินตนาการของตนเองสร้างขึ้น

แต่สิ่งที่คุณควรตระหนักรู้ก็คือ มันไม่มีสถานที่ไหนที่เป็นของคุณ
ทุกตารางนิ้วบนโลกนี้ เกิดมาก่อนคุณ
มีคนครอบครองมาก่อนคุณ
เจ้าของที่แท้จริง คือ “ธรรมชาติ”

อย่าแปลกใจหากไปที่ไหน
แล้วคุณเห็นใครคนหนึ่งกำลังยกมือไหว้บอกเจ้าที่เจ้าทาง
นั่นแหละ...ผมเอง.


เขียนโดย : สิงห์โตหมอบ
5 มีนาคม 2550



ช่วงอายุ 16-17 ผมไปเที่ยวดอยขุนตาลถึงสองครั้ง
ในช่วงระยะเวลาที่ต่างกัน…
เหตุผลเดียวที่ไปคือ สวย และค่าใช้จ่ายไม่แพงนัก
นัดเพื่อน 7- 8 คน รวมพลได้ก็นั่งรถไฟชั้นสามจากเชียงใหม่ไปลงหน้าอุโมงค์ขุนตาล
แล้วก็เดินขึ้นดอย ไปนอนที่ ย.3 หรือยอดที่เขาลูกที่สามนั่นเอง


.........................................


ทุกครั้งที่ไป ผมเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ต้องเตรียมธูปไหว้พระไปด้วย
ไปถึงศาลเจ้าพ่อขุนตาลก็เรียกเพื่อนให้ไปกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนั้น
บอกกล่าวในใจว่า “พวกผมมาขอเที่ยวอาศัยคืนหนึ่งนะครับ”
ผมดูเป็นคนงมงายรึเปล่าในสายตาใคร ?.....
คนยุคเทคโนโลยีก้าวไกลและมีการศึกษาที่ดีกว่าคนในยุคก่อน ทำไมยังเชื่อถือเรื่องผีสางนางไม้อยู่เล่า....


...........................................


วันที่ไปมีนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นไปพร้อมกัน
จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเราเรียนสถาบันเดียวกัน แต่คนละคณะฯ
ตอนที่ผมเกณฑ์เพื่อนไปไหว้พระอยู่นั้น
คณะฯนี้ก็เดินขึ้นดอยไปก่อนแบบเฮฮาร่าเริงโดยไม่ได้หยุดแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบพวกผม
ต่างคน ต่างเดิน….
ใช้เวลาไม่น้อย แม้อากาศบนดอยจะหนาวเหน็บ
แต่การเดินขึ้นดอยทีละลูกๆ ก็เล่นเอาเหงื่อซึมแผ่นหลัง
ยิ่งเดินสูงขึ้นไป เสียงพูดคุยยิ่งเงียบลง
รอบกายมีแต่กลุ่มต้นไม้เขียวครึ้ม และเสียงสัตว์ป่าร้องก้องไปทั้งป่า

ถึง ย.3 ก็บ่ายสาม แต่อากาศมืดครึ้มเหมือนห้าโมงเย็น
ไปถึงลานสน มีบ้านเช่าอยู่สามสี่หลังตั้งอยู่ห่างกันพอสมควร
พวกผมตั้งวงเล่นกีต้าร์ ร้องเพลง เฮฮากันไปตามประสา
ตอนเย็นนั่งเล่นรอบกองไฟ พูดคุยหยอกล้อกันไปเรื่อย
ก่อนกินข้าวเย็น เราทำกับข้าวง่ายๆกินกัน เช่น มาม่า ไข่ทอด
ผมตักแบ่งใส่ถ้วยเล็กๆ เดินไปวางไว้ที่เสาบ้าน
ยกมือบอกเจ้าที่เจ้าทาง “ผมขออยู่อาศัยหนึ่งนะครับ”
แล้วกลับมานั่งกินนั่งคุยกันต่อ....

จนกลางดึก
หญิงสาวสองสามคนที่พักอยู่บ้านหลังใกล้ๆกัน
เดินเข้ามาพูดคุยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“พวกเธอ..ใครมีพระห้อยคอบ้าง ขอยืมหน่อยสิ”
วงเหล้าของผมเงียบกริบในทันที
“มีอะไรหรือ ?” ผมถาม
ทั้งหมดไม่ยอมพูด เพียงแต่ย้ำว่ามีพระให้ยืมไหม ?...
ใครจะไปให้ยืม ให้ยืมพระกับคนแปลกหน้านี่นะ
พวกผมปฏิเสธไป...เพราะไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงต้องยืมพระกันกลางดึกแบบนี้ด้วย
และส่วนใหญ่ก็ไม่ได้สวมพระมาด้วย
ผมเองมีแต่ตระกรุดใส่ไว้ที่แขนเหมือนสายสิญจน์เท่านั้นเอง
แล้วเธอก็เดินจากไป.....

เสียงเฮฮาจากบ้านที่พวกเธออยู่เงียบเสียงไปแล้ว
พวกผมนั่งวิพากษ์วิจารณ์กันเงียบๆ ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเหน็บ
ไอหมอกคลุ้งขึ้นมาจากพื้นดิน ปกคลุมให้บรรยากาศยิ่งเงียบสงัดวังเวง
พวกผมนั่งคุยกันจนดึก จนง่วงมากเข้าก็เข้านอน


.................................................



เช้าตื่นขึ้นมา ผมไปเดินเล่นแถวๆลานสวนสน
คณะฯของเธอกำลังเดินกลับบ้าน
บรรยากาศดูเงียบเหงาซึมเซาผิดปกติ
ผมกับเพื่อนเดินเข้าไปสอบถามว่ามีอะไรหรือ ทำไมรีบกลับล่ะ
หนึ่งในนั้นตอบว่า เมื่อเช้านี้เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มของเขา
ถูกประตูลังที่ใส่ผ้าห่มกันหนาวหนีบมือ...จนมือเป็นแผลเหวอะหวะ
ต้องรีบขอเจ้าหน้าที่อุทยานฯนำตัวไปส่งที่โรงพยาบาลโดยด่วน
และที่สำคัญ เขาถามว่าจำได้ไหมที่เมื่อคืน เพื่อนของเขาเดินไปขอยืมพระที่กลุ่มผม....
เขาเล่าต่อว่า หลังจากอาบน้ำ กินข้าวเสร็จ
มีคนหนึ่งอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำ
มองดูกระจกเงา....และเห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยยืนมองอยู่ข้างหลัง
เขาว่าคืนนั้นทั้งคืน ไม่มีใครได้นอนเลยสักคนเดียว


..........................................


บริเวณถ้ำขุนตาลเป็นสถานที่ที่มีคนตายเป็นจำนวนมากเมื่อครั้งสงครามโลก
และมีการสร้างทางรถไฟที่นี่ เชลยศึกนับพันนับหมื่นคนเสียชีวิตจากการก่อสร้างในพื้นที่ที่มีไข้ป่าและโรคร้ายชุกชุม

หลายเรื่องเล่าที่รับรู้มาก่อนมาเที่ยวที่นี่ก็คือ

กลางดึกมักมีเสียงร้องโหยหวนของคนดังขึ้นเสมอ
เป็นเสียงการเดินทัพของนักรบโบราณบ้าง
เป็นเสียงการสู้รบในสงครามบ้าง

บางทีนั่งคุยกันอยู่ดีๆ คนในกลุ่มก็ลุกเดินลงดอยแล้วหายไปเลย
พบอีกทีก็กลายเป็นศพอยู่บริเวณด้านล่างของเหว

อีกหนึ่งเรื่องเล่าบอกว่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่งขึ้นมาที่นี่
แล้วลักลอบไปมีเซ็กส์กันกลางป่า
ปรากฏว่าชายหนุ่มไม่สามารถดึงอวัยวะเพศของตัวเองออกมาจากอวัยวะเพศของฝ่ายหญิงได้ เจ้าหน้าที่ฯต้องนำตัวไปส่งที่โรงพยาบาล สุดท้ายต้องจุดธูปขอขมาจึงทำการรักษาต่อได้

หรือคนปากบอนที่พูดอะไรไม่เหมาะสม เดินอยู่ดีๆ แล้วหลงป่า หาทางออกไม่เจอ เดินวนไปเวียนมาอยู่บริเวณตรงนั้นสองสามวัน
จนต้องยกมือขอขมาจึงหาทางออกพบ


..............................................


“เรื่องเล่า” ก็คือ เรื่องเล่า….
ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าคือ “เรื่องจริง”
แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้ก็คือ ไม่ว่าไปที่ไหน..
ควรไปอย่างมีจิตสำนึก ไปในฐานะของแขกผู้มาเยี่ยมเยือน
ไปด้วยกริยามรรยาทที่สงบ และเคารพสถานที่
ที่ไหนว่าแรงๆ ผีดุ ผมไม่เคยเจอ
ที่ไหนน่ากลัว เราไปด้วยความเคารพ พบเจอก็แต่ความสวยงาม

ผีมีจริงหรือไม่ ไม่สำคัญ
ผีที่แท้จริงอาจอยู่ในใจคุณ
และเป็นเพียงความรู้สึกกลัวที่จินตนาการของตนเองสร้างขึ้น

แต่สิ่งที่คุณควรตระหนักรู้ก็คือ มันไม่มีสถานที่ไหนที่เป็นของคุณ
ทุกตารางนิ้วบนโลกนี้ เกิดมาก่อนคุณ
มีคนครอบครองมาก่อนคุณ
เจ้าของที่แท้จริง คือ “ธรรมชาติ”

อย่าแปลกใจหากไปที่ไหน
แล้วคุณเห็นใครคนหนึ่งกำลังยกมือไหว้บอกเจ้าที่เจ้าทาง
นั่นแหละ...ผมเอง.








........................................


เป็นภาพแรกที่วาดตอนไปเช่าบ้านอยู่
เพื่อเรียนระดับปริญญาตรี ประมาณปี พ.ศ.2537
วาดเสร็จแล้วแปะไว้ตรงชานพักบันไดขึ้นชั้นสอง
แปะไว้สองวันเพื่อนขอร้องให้แกะออก เพราะ
"เสียวสันหลัง สั่นประสาท"....ทุกครั้งที่ขึ้นลงบันได


Create Date : 13 มีนาคม 2550
Last Update : 13 มีนาคม 2550 12:25:55 น. 9 comments
Counter : 19742 Pageviews.  

 
บางความเจ็บปวดของชีวิตเราไม่มีสิทธิ์กลับไปแก้ไขได้
และอีกบางความเจ็บปวด กลับเป็นผลปวงมาถึงปัจจุบัน
แต่ทุกๆความเจ็บปวด ก็สอนให้เราเรียนรู้ที่จะแก้ไข...
...ไม่ว่าด้วยวิธีใดใดก็ตาม....

ดีใจค่ะ ที่ได้กลับมาเจอกันอีก...


โดย: คนเลวที่แสนดี วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:11:32:31 น.  

 
แปะไว้ในนี้ไม่มีใครขอร้องให้เอาออกหรอกมั้ง

แต่ภาพได้อารมณ์มากเลย


โดย: กายแก้ว วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:14:28:35 น.  

 
โทษทีค่ะ เมื่อเช้าตั้งใจตอบในเรื่องหมาสีแดง แต่ดันมาโผล่ในนี้...สงสัยเมาขี้ตาค่ะ


โดย: คนเลวที่แสนดี วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:14:49:50 น.  

 
ก้อน่าเสียวสันหลังอยู่หรอกค่ะ



โดย: blue_raindrop วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:15:20:29 น.  

 
อ่านดูก้อสยองอยู่......

แต่พอเจอภาพยิ่งสยองไปใหญ่........บรื๋อ..


โดย: jetmom3425 วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:16:06:45 น.  

 


โดย: แดนนี่ บอย วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:16:14:14 น.  

 
วันนี้มีประสบการณ์แปลกมาเปิดบล๊อคนะคะ
ถ้าจะแลกเปลี่ยนเรื่องลึกลับ..ท่าทางจะยาว
เพราะปกติก็เป็นคนมีสัมผัสพิเศษ (ที่ไม่ต้องการ) เหมือนกันค่ะ


โดย: มับเมียง (todayd ) วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:19:04:29 น.  

 
อ่านแล้วผวา มองหน้ามองหลังเลยอ่ะค่ะ

ยิ่งดุรูปแล้วยิ่งผวาใหญ่เลย
ไม่ชอบเรื่องแนวนี้เลยค่ะ เพราะเป็นคนขี้กลัวอ่ะ


โดย: fonrin วันที่: 13 มีนาคม 2550 เวลา:19:58:33 น.  

 
ดอยขุนตาล พระอาทิตย์ขึ้นและตกสวยมากๆ

เคยขึ้นไปนอนตรงศาลาย.3
หลับสนิทไม่ได้ยินอะไรเลย
ตอนเช้าเพื่อนบอกได้ยินเสียงกรอบแกรบเหมือนคนเดินรอบเต็นท์
แต่เราว่าน่าจะเป็นเสียงลมพัดใบไม้มากกว่า
ถ้ามีโอกาสก็อยากไปอีก
^^


โดย: I am just fine^^ วันที่: 28 มีนาคม 2550 เวลา:9:47:23 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add 's blog to your web]