No. 822 ในความทรงจำ (ตะพาบ) |
 ภาพสนามบิน ปาย ดึงแผนที่ดาวเทียมจากกูเกิ้ลมาใช้แล้วปรับมุมมององศาเองทำพอเป็นเกือบสิบปีได้มั้ง (เปล่าแซวลุงคนนั้นนะเออ 555 ) อำเภอนี้มี เซเว่น เอ้ย สนามบินมาตั้งแต่ผมเป็นเด็กแล้ว แหะ ๆ อวดซะหน่อย |
บ่ายคล้อยในฤดูร้อน แม่เดินจูงแขนผม พี่สาวสองคนเดินเคียงคู่กันไปสู่ลำน้ำปาย ส่วนพี่ชายเดินตามแบบหงอย ๆ |
เราไปอาบน้ำอุ่นนิด ๆ ที่ไหลจากท่อไม้ไผ่ที่เสียบไว้เนินดินเป็นน่ำซึมจากข้างบนตลิ่ง  |
ที่อาบน้ำอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 300 เมตร(ปัจจุบันแถวโรงเรียนอนุบาลริมน้ำปายสายเก่า) อากาศเย็นสบายประมาณ 25 |
องศาเราเป็นเด็กไม่อยากอาบน้ำกันเท่าใด เราถอดเสื้อผ้าสำลีนุ่ม ๆ ค่อนข้างคล้ำออก พี่สาวสองคนนุ่งผ้าถุงสำหรับเด็ก |
ไปยืนใต้ท่อไม้ไผ่ให้น้ำไหลทั้งตัว ผมกับพี่ชายล่อนจ้อน สบายไม่ต้องนุ่งอะไร |
แม่ใช้สบู่สี่เหลี่ยมสีน้ำตาลมีลายสีน้ำเงิน ถูหัวกับตัวขัดขี้ใคลให้ผม เราอาบน้ำกันไม่บ่อยเท่าใด (คงจะเหมือนเด็ก |
บนภูเขาที่ไม่มีที่ทำน้ำอุ่นขี้มูกกรัง 555) อาบน้ำกันไม่นานแม่ใช้ผ้าเช็ดหัวเช็ดตัวให้ผมเสร็จก็รีบ |
เอาผ้าหมาด ๆ ผืนเดิมหุ้มตัวให้อุ่น เรานั่งบนตลิ่งสูงมองสายน้ำปายที่อยู่ข้างล่างก่อนเดินกลับบ้านใส่เสื้อผ้าใหม่ |
|
|
ที่บ้านมีต้นมะม่วงตลับนาก ลำไย ดอกอูนสีขาวขึ้นริมบันใดทางขึ้นชานไม้กว้างหลังบ้าน |
บ้านเราเป็นบ้านสองชั้น ติดกับสี่แยกกลางเมืองเราพักข้างบนบ้าน แม่จะลงบันใดด้านหน้าไปขายของหน้าบ้าน |
นาน ๆ จะมีคนมาซื้อของ แม่ย้ายจากเชียงใหม่ติดตามคุณตาซึ่งมาเป็นนายอำเภอ |
พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย มีอาชีพเสริมรับจ้างตำข้าวด้วยครกน้ำตำ อยู่ห่างจากบ้านไปไกลเส้นทางไป วัดน้ำฮู |
น่าจะเลยโรงพยาบาลในปัจจุบัน มีคนงานชาว ขมุ ทำดูแลตำข้าว |
ที่นั่นเป็นท้องนามีลำห้วยไหลค่อนข้างแรงตลอดปี พ่อเลยทำระหัดน้ำด้วยไม้ไผ่ใหญ่ตั้งไว้ริมลำห้วย |
กระแสน้ำจะพัดพาหุกหรือระหัดหมุน ท่อนไม้ สลักไม้จะกดคานกระเดื่องยกปลายที่มีสากสุด |
แล้วทิ้งสากลงตำข้าว (เป็นภาพแทนนะครับของจริงที่จำได้ ส่วนพื้นที่ตำ มีหลังคาตองตึงคลุม)  |
จนเปลือกข้าวเปลือกหลุด ขมุก็ชาวเขาที่พ่อเลี้ยงไว้ใช้มือคนข้าวให้ถูกสาก พอข้าวหลุดหมด |
คนงานขมุก็ใช้มือกอบข้าวใส่กระด้งไปฝัดให้เปลือกปลิวเหลือแต่เม็ดข้าว แล้วก็กันข้าวไว้ส่วนหนึ่งเป็นค่าจ้าง |
ชาวบ้านคนที่นำข้าวมาให้ตำฐานะคงค่อนข้างดีเป็น ครู มีนาแต่ไม่มีเวลาเหมือนคนอื่น |
|
ครอบครัวเราอยู่ที่นั่นค่อนข้างสบาย จนกระทั่งคุณตาย้ายไปเป็นนายอำเภอที่อื่นไม่นานเราก็อพยพจากปาย |
สู่ตัวเมืองเชียงใหม่ ผมกับพี่ชายเข้าเรียนหนังสือชั้นประถมที่ โรงเรียนวัดหอพระ พี่สาวสองคนเรียนที่วัฒโนทัยพายัพ น้องสาวคนเล็กเกิดที่เชียงใหม่ ยังตัวเล็กไว้หางเปียคู่ แม่ให้น้องสาวนั่งสามล้อไปเรียน ร้องไห้เกือบทุกวันไม่อยากไปโรงเรียน |
แม่ใช้บ้านที่เราเช่าทำเป็นหอพัก รับนักเรียนจาก อ.ปาย หรือ อำเภออื่นของเชียงให่ม่พักอาศัย ได้เงินมาเลี้ยงพวกเราพ่อแม่ |
เด็กบางคนไม่มีเงินก็แบกข้าวสารอาหารแห้งมาให้แทน แม่รับเย็บผ้าอยู่ที่บ้านฐานะค่อนข้างแย่เงินที่แม่ขายบ้าน ที่ดิน ณ อ.ปาย ซื้อเป็นสร้อย แหวนทองไว้แทนเงิน ก็นำไปขายเลี้ยงพวกเรา |
 |
ตอนเย็นแม่จะเดินไปขายตั๋วหนังที่โรงหนัง ตงก๊ก ผมเลยได้ดูหนังฟรีแต่ก็ต้องเสียเลือดบ้าง แหะ ๆ ตัวเลือดที่เกาะ |
บนเก้าอี้ไม้คนดูมันกัด คัน.. ส่วนใหญ่ผมจะไปรับแม่ตอนกลางคืนหลังจากคนเข้าดูหนังหมดแล้ว |
|
บางคืนฝนตกพรำ ๆ ผมกับพี่ชายกลางร่มเดินไปรับแม่ แล้วก็เดินกลับบ้านกันสามคน ถนนในเชียงใหม่เล็กมีแสงไฟจากเสา |
ไม่สว่างนัก แหงนดูแสงไฟผ่านสายฝนที่ตกปรอย ๆ เห็นแมงดาบิน ก็หยุดรอให้แมงดาตกสู่พื้นใช้มือตะปบด้านหลัง |
แล้วจับใส่ถุงผ้าเล็กที่เตรียมไว้ นำไปให้พี่ปิ้งทำน้ำพริกกิน |
 |
ผมจาก อ.ปายมาตั้งแต่อายุ 4 - 5 ขวบมั้งจำ อ.ปายได้ราง ๆ เมืองสงบไม่ได้กลับไปเลยเพราะถนนและ |
รถยังไม่มีใครไประยะนั้นต้องเดินด้วยเท้า แม้แต่มานพ นักเรียนที่พักที่บ้านจะเดินกลับไป อ.ปายกลับมาเล็บเท้าหลุด |
|
จนวันหนึ่งผมอายุได้ 13 ปีเศษ น้าหยา ผจก.โรงหนังตงก๊กที่แม่ทำงานด้วย ชวนผมกับพี่ชายนั่งรถจิ๊บไปเที่ยว |
อ.ปาย มีลูกชายน้าหยากับน้าผู้หญิงไปด้วย แม่อนุญาตให้ไป |
น้าหยาแต่งตัวเท่ ใส่เสื้อหนังสีน้ำตาลมัน ถุงมือหนังบางนุ่มใจดี ชอบเลี้ยงขนม 555 วันเดินทางน้าขับรถผ่าน อ.แม่ริม |
แล้วผ่าน อ.แม่แตงเป็นถนนลาดยางเล็กวิ่งสวน แล้วก็ลัดเลาะไป อ.ปาย |
เป็นถนนดินแดงก็ลูกรัง ถนนไม่ดีเลยมีร่องน้ำแห่งอยู่กลางถนนคงถูกน้ำฝนน้ำป่าไหลเซาะคดเคี้ยว ถนนแคบพอสวน |
กันได้ไม่มีรถเมล์หรือรถอะไรสวนมาเลย  |
ผมนั่งด้านหน้าติดกับน้าหยาที่ขับ ผมใช้นั่งคร่อมเกียร์ ขวามือเป็นพี่ชายผม หรือไม่ก็ลูกชายน้าหยาผลัดกันนั่ง |
บกตรง ๆ ผมนั่งตัวลีบมือจับราวเหล็กตรงแผงหน้ารถ มองไปข้างหน้ารถที่ขึ้นลงเขา ยอมรับเลยว่านั่งไม่สะดวกเลย |
แต่ก็ต้องนั่งไม่อยากเดินเท้าจนเหล็บหลุดแบบ มานพ |
 |
เราเดินทางนานหลาย ชม. น้าหยาพาเรากินก๊วยเตี๋ยวชาวบ้านที่ปลูกเพิงขายของของชาวเขาที่เราเรียกว่า แม้ว |
ระยะนั้นไม่มีใครทักท้วงว่าควรเรียกว่า ม้ง สั่งแล้วรอน้ำเดือด แม่ค้าจะซอยกะหล่ำปลีใส่กับเส้นซอยเนื้อกวางสดใส่ |
กินไปแบบจืด ๆ ไม่อร่อยเลยทั้งที่หิว |
|
กินเสร็จเดินทางต่อ แต่บางช่วงเป็นถนนขึ้นเขาสูงชันมีกรวดเล็ก ๆ อยู่เยอะรถวิ่งขึ้นไม่ได้ ล้อยางตะกุยกรวดเล็ก |
เด็น ล้อหมุนฟรีควันคลุ้ง |
น้าหยาก็หยุดรถ ให้เราขนก้อนหินโต ๆ ใส่หลังรถให้หนักที่สุดเกือบเต็มลำก็ว่าได้ เปิดหลังคาผ้าใบรถออก |
ยืนคนละมุมห่าง ๆ ประจำที่ น้าหยาขับปีนเขาถ้าล้อรถหมุนฟรี |
น้าหยาก็บอกให้พวกเรา ขย่มรถเมื่อเห็นถนนมีก้อนกรวดเยอะ ถนนชัน น้ำหนักจะได้กดที่ล้อ |
ล้อยางรถก็กดลงถนนไต่ขึ้นได้ เราต้องทำเป็นตอน ๆ กว่าจะถึง อ.ปายนานมาก ๆ ต้องคอยลุ้นเนื้อตัวมอมแมมด้วยฝุ่น |
ก็ตอนที่เราขนก้อนหินขึ้น พอลงสู่ทางลาดก็ขนก้อนหินทิ้ง |
|
ถึงน้ำปายทอดยาวขวางหน้ามีสะพานไม้เล็ก ทอดข้ามน้าหยาให้พวกเรา ลงข้างหน้าล้างขาแขน แน่นอนล้างจักกะแร้ |
ด้วย อายุ 13 - 15 ขี่เต่าเริ่มเหม็นแสดงว่ามีฮอโมนชายแล้ว ฮ่า.... |
|
น้าหยาพาเราไปพัก บ้านคนรู้จักไปค้างคืน ไปอาบน้ำปายที่อยู่ใกล้เมือง อาหารไม่ต้องห่วงญาติน้าหยาทำให้กิน |
เรากับน้าหยาได้กินข้าวเจ้าหรือข้าวสวย ถูกใจน้าหยาที่เป็นคนระยอง ข้าวสารเจ้าที่ปายหาไม่ยากเพราะชาวปายกิน |
เป็นหลัก คงจะเป็นคนพื้นเมืองมีเชื้อสายไทยใหญ่ พม่ามั้ง มิได้กินข้าวเหนียวแบบเชียงใหม่ |
 ภาพข้างบนเป็น ภาพเกือบปัจจุบันบ้านเดิมทรงคล้ายกัน ใกล้เสาไฟฟ้าที่เห็น ตอนเป็นเด็กมีต้นลำใยใหญ่คลุมอยู่ |
น้าหยาขับรถพาไปชี้ ๆ ให้ดูว่า บ้านของผมน่าจะใช่ตรงสี่แยกใหญ่น้าได้ฟังแม่ผมเล่าให้ฟัง ผมก็เดินไปดู |
นั่งนึกตอนเป็นเด็กเล็กมาก ๆ หน้าบ้านเป็นบ้านไม้หลังใหญ่ หน้าบ้านเป็นร้านค้า แม่เล่าให้ |
ฟังว่า หนุ่มเมืองปายเดินส่งเสียงดังเพราะเมามาเป็นกลุ่ม |
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน จะเดินเงียบลง เรียกว่าเดินแบบสงบเสงี่ยม พวกเขากลัวพ่อผมที่เป็นข้าราชการ |
ชั้นผู้น้อยตบเอา ฟังแม่เล่าว่าพ่อเป็นคนพูดน้อย ดุ 555 ขี้เมากลัวกันหลายคน |
|
จำได้ว่า พ่อกับให้คนงานขมุตักน้ำในร่องใส่ กะทะต้มน้ำให้เดือด มีหม้อใหญ่วางไว้ข้างบนใส่อะไรไม่รู้อยู่ น่าจะเป็น |
ข้าวหมักเหม็น ๆ หอม ๆ น้ำในกะทะเดือดข้าวสีขาวตุ่นระอุเป็นไอลอยขึ้นข้างบนแล้วไหลลงท่อ |
ผ่านน้ำเย็น กลั่นเป็นหยดน้ำ หอม.....ฮ่า เหล้าครับ ภาพข้างล่างเป็นภาพปัจจุบัน ตอนเป็นเด็กมีลำรางน้ำเล็ก ไหลผ่าน ตรงป้ายห้ามจอดนั่นใช่เลย คนงานจะตักน้ำไปต้มให้ความร้อนถูก หม้อใส่ข้าวที่หมักซ่าเหล้า |
 |
การต้มเหล้าช่วงเวลานั้นคงไม่ผิด กม.มั้ง ถ้าขออนุญาตนายอำเภอเสียค่าธรรมเนียมรายปี |
เงินเข้าหลวง แม่เล่าให้ฟังว่าระยะนั้น พวกฝิ่นเริ่มผิดกฏหมายแล้วแต่ก็ยังมีชาวเขาขนใส่กะชุเดินขึ้นดอยอยู่ |
 |
ผมกลับไปบ้านเกิดอีกครั้งเมื่อปีพศ. 2525 พาแม่ เรา 3 ครอบครัวพี่ชาย น้องสาว ผม ไปเที่ยว (หมาป่าเดียว ดายแอบข้างหลังสุด แพลมใบหน้ามาติ๊ด) |
แล้วก็แวะไปที่บ้านเดิมกลางเมืองปาย กลายเป็นร้านน้องเบียร์ที่มีนักท่องเที่ยว ไทยฝรั่งนั่งทานอาหารจานเดียวกับ |
ดื่มเบียร์ดูคึกคัก แม่เล่าให้ฟังว่าขายที่ดินกับบ้านก่อนอพยพไปอยู่เชียงใหม่ป่านนี้ คงเปลี่ยนมือหลายมือแล้ว |
|
เราไปนั่งที่ร้าน เจอคนสูงอายุอยู่ด้วย จำแม่ได้ ตอนที่คุณนายอยู่(แม่) ข้าเจ้าเป็นละอ่อนบ้านอยู่แถวสนามบิน |
เราเลยพลอยรู้เรื่องเมืองปายขึ้นเยอะจากคำบอกเล่า ผู้สูงวัยคนนั้น ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า สนามบิน อ.ปายมีมาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก อาว์ก็น้องสาวพ่อทำงานที่สนามบิน มีเครื่องบินตกในป่า จนท.ไปเก็บหลักฐาน อาว์ของผม นำเอกสารแสตมป์อากรมาให้ ดูแต่ผมไม่กล้าจับ กลัวน้ำเหลืองจากศพ เปื้อนมือ แหวะ.... |
|
จากความทรงจำที่มิได้บันทึกเลย ต้องบันทึกไว้ก่อนที่ กระผมจะลืมชื่อตัวเอง ฮ่า.... |
|
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้อเฟื้อภาพ |
L 1,568,356 |
st.ผู้เข้าแวะเยือน 1,565,952 |
= 2,404 |
|
ขอบคุณเพื่อนที่แวะมาเยือน มาเม้นท์ทิ้งร่อยรอยไว้จะได้ไปทักทายครับ |
|
สวัสดียามเช้าครับพี่ไวน์
ความทรงจำของพี่ไวน์
ทำให้ผมนึกถึงครั้งแรกที่ผมไปปาย
ที่พักคืนละ 80 บาท แต่บ่ามีผ้าห่มเน้อ
เจ้าของบอกครับ 555
ตอนนั้นยังไม่มีรีสอร์ต ไม่มีนักท่องเที่ยวเยอะเหมือนทุกวันนี้
พี่ไวน์มีความจำที่ดีมากๆ
ขนาดชื่อสถานที่อย่างโรงหนังสมัยก่อนก็ยังจำได้เลย
ผมนี่ลืมหมดครับ 555