No. 755 บล๊อกประจำ พฤหัสบดี - พุธ |
|
|
เรายังอยู่เมืองชนบทของญี่ปุ่น อากาศที่เย็นสบาย ประมาณ 5 องศาเซลเซียส |
รถไต่ขึ้นทางด่วน ทำความเร็วได้ดี โชเฟอร์เป็นชาย ยังคิดเลยว่า นี่หรือ คนขับรถนำเที่ยว |
เป็นเช่นไร ค่อยเล่าภายหลัง หุ หุ |
|
นั่งมองข้างหน้ารถ ที่พาเราไปบนทางด่วนที่เรียบ ตรงข้าง มีคดเคี้ยวบางตอน เขาคงออกแบบ |
มิให้เป็นทางตรงตลอด ไม่เช่นนั้นคนขับจะหลับ ที่น่าแปลกใจคือ ไม่มีคันอื่นแซงรถเราเลย
|
ซ้ายมือ ยังคงเป็นป่าสน แอ่งดอย สายน้ำเล็ก ๆ บ้านคน บิ่งนา แหะ ๆ ลืมไปว่าอยู่ |
ตปท.คิดว่า อยู่บ้านนอกของไทย เป็นนาข้าวเล็ก ๆ ที่เกี่ยวข้าวแล้ว |
|
ในวัลเล่ หรือหมู่บ้านแอ่งเขา มีถนนคอนกรีต หรือลาดยางเรียบ วิ่งสวนกันได้ เลี้ยวไปตาม |
บ้านคนที่ปลูกไว้ มีรถบันทุก 4 ล้อเล็กทรงสี่เหลี่ยม จอดอยู่บ้าง มิได้มากหมายเหมือนรถ |
พิคอัพแบบไทยที่เกือบทุกบ้านมี
|
เขาปลูกผักหลายอย่าง น่าจะเป็นผักกาด กับหัวไชเท้า ต้นผลไม้มีบ้าง พวกลูกพลับออก |
ลูกสีเหลืองอมส้ม ดกแต่ลูกไม่โต
|
ถาม ไกด์หนุ่มไทย รูปร่างสันทัดขี้เล่นตามสไตล์ พูดญี่ปุ่นคล่องเพราะอยู่ญี่ปุ่นหลายปี |
เกือบยี่สิบแล้วมั้งก็ตั้งแต่ ไปเรียนที่นั่น .... ผักที่เขาปลูกนำไปขาย หรือส่งเข้าตลาดสดแบบ |
ไทยมีหรือเปล่า.... ใจผมนึกถึงตลาดเช้าตามบ้านนอกไทย 555 ได้ความว่า |
|
คนชนบทญี่ปุ่นปลูกผักไว้กินกันเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะนำไปขายหรือส่งตลาด |
ต้องขออนุญาตต่อ ที่ทำการหมู่บ้านหรือเทศบาล ซึ่งเขากำหนดข้อห้าม พวกใช้ยา หรือปุ๋ย |
มิได้ห้ามใช้เลย เพียงแต่ต้องทิ้งระยะให้สาร สลายไปตามอายุที่ ต้องเป็นหรือกำหนด |
|
ฮู้ลำบากเนาะ สู้ประเทศไหนไม่รู้ ปลูกถั่วลันเตา ฉีดยาฆ่าแมลงไว้เมื่อ สิบวัน ก็เก็บฝักที่อวบ |
เปล่ง ส่งขายแล้ว..... เพื่อนในรถฮากันตรึม คงรู้แหละว่าที่ไหน |
|
ไกด์บอกว่า ผักหรือผลผลิตจากผักที่นี่ เขาจะติดฉลากว่า ปลูกหรือผลิตจาก ไหน ดูที่ป้ายบอก |
ราคา ก็จะเห็นนะครับ |
ถึงเห็น ก็อ่านไม่ออก ใช่ปะ คนเดิมแซวอีก ญี่ปุ่นเขาไม่ค่อยใช้ภาษาอังกฤษที่ เราพออ่านออก |
แหะ ๆ... (พี่แกพูดอีกก็ถูกอิฐ เอ้ย อีก) |
|
นั่งรถบนทางด่วน ที่ราบเรียบ มุดเข้าอุโมงบ่อยมาก เขามักจะตัดถนนเรียบไหล่เขาค่อนข้าง |
เป็นเส้นตรง ถ้าเจอเขา ก็จะเจาะอุโมงแทนการไต่ภูเขาที่สูง จะเห็นป้ายอิเล็กทรอนิค
|
บอกอุณหภูมิไว้เป็นระยะ เช่น 5 C บางแห่ง 1 C ผมลองเช็คดูอุณหภูมิในมือถือที่ใช้ซิม |
ญี่ปุ่น กำหนดโดยจีพีเอสมั้ง หุ หุ ระบุค่อนข้างตรง กับป้าย ใช้ได้ดีเดียว.. |
|
มองสองข้างทาง ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม..เพลิน ไม่เบื่อตามประสาคนในเมืองที่ไม่เคย |
เห็นป่าเขาที่มีต้นไม้เยอะเช่นนี้ โชเฟอร์หนุ่มก็เลี้ยวรถ จอดลานกว้าง หน้าร้านอาหารที่เราจะ |
ได้กินมื้อกลางวัน พอลงจากรถ ต้องรีบกระชับคอเสื้อ ผ้าพันคอให้แนบติด
|
หนาว..เย็น มาก ๆ ก็ที่ผ่านมา มีหิมะ กองตกค้าง สองข้างทางอยู่บ้าง แม้ไม่มากก็ ชื่นใจตาม |
ประสาคนเมืองร้อน แหะ ๆ |
|
ร้านอาหาร เป็นอาคารชั้นเดียว แผ่ยาวไป ซ้ายมือขวามือ เขาผายมือให้ไปขวามือ เดินผ่าน
|
|
|
เรานั่งเป็นโต๊ะ 4 คนมั้ง 2 คนมั่ง เป็นแถวยาว ครู่เดียวก็มีอาหารดั่งเดิมของท้องถิ่นมาให้ |
ชิม ใช้คำได้จริงด้วย ญี่ปุ่นมักจะให้อาหาร เนื้อ ปลา ข้าวถ้วยเล็ก
|
|
อาหารจุ๋มจิ๋ม รสดี ที่รู้เพราะ เปิดแรฟ ฟิล์มพลาสติกออกชิม แหะ ๆ ยังคิดเลยว่า อะไรให้ปลาตัวติ๊ดเดียว ก็เราเคยกินอาหาร ที่ไทย หรือที่อื่นจะเป็นปลา ใส่จานเปล ตัวเบ่อเริ่ม ควันขึ้นฉุย แต่นี่ไม่เป็นแบบนั้น
ใช้ตะเกียบจิ้มตัวปลา คีบเนื้อปลาเข้าปาก ดูคุ้น ๆ รส..อืม เหมือนปลาทูต้มเค็ม ที่ แม่กลองร้านนายแดง หุหุ อร่อยดี
|
|
เราต่างถ่ายภาพอาหาร ไว้เป็นหลักฐาน 555 ว่าได้มาญี่ปุ่นแล้วนะ กลัวคนจะไม่รู้
อะ...อาหารตามภาพข้างล่าง รสเค็มนิด ๆ คาวหน่อย หอมอะไรไม่รู้ ทีแรกกะว่า จะคีบใบพืชสีน้ำตาล ที่มีแป้งวางไว้เข้าปาก
ดู ๆ แล้ว ไม่แน่ใจ เขาให้กิน หรือนำมารองให้สวย ๆ แบบอาหารพื้นเมือง มองซ้ายมองขวา เขาไม่กินกัน หุ หุ |
|
|
ชามนี่ มีไฟอุ่นอยู่ข้างล่าง อร่อย และก็ไม่น่าเชื่อว่า กิมอิ่ม พอดี กินไม่เหลือ ยกเว้นใบไม้แห้งสีน้ำตาล
มีกาน้ำร้อนให้ดื่มทุกโต๊ะ
อยากจะรู้ว่า ทำไมเขาให้ปลา ตัวเล็กมาก น่าจะเป็นปลาพื้นเมือง เมื่อกินอิ่ม เดินออกมาดูของขาย ในบริเวณร้าน ชื่อปลาน่าจะ
Shishamo เรื่องนี้ไม่ยืนยัน ไว้รอเพื่อนที่เข้ามาอ่าน ช่วยให้ความรู้ด้วยนะครับ
เห็นปลาที่เขาให้เรากิน 4 ตัว 900 Y เป็นเงินไทย ตัวละประมาณ 75 บาท รสเหมือนปลาทูต้มเค็มของไทย(ภาพล่าง) ตัวเลขเท่านี้ชี้ผู้ชาย เรียวหน่อยนะ
กินอาหารเสร็จ ผมเห็นหลังร้านเป็น แอ่งน้ำ ต้นไม้ เลยเดินอ้อมไปดู คนเดียว
.....
ดูป่า ภูมิประเทศ แห้ง ผิดจากไทย
ข้างบนเป็นแม่น้ำ จำชื่อไม่ได้แล้ว ไกด์บอกเหมือนกันว่า เป็นแม่น้ำที่ยาว ผ่านหลายท้องที่
ยืนมองลูกไม้เล็ก ๆ เป็นต้นไม้ใบชนิดหนึ่ง ออกผลด้วยแต่คงกินไม่ได้ อากาศเริ่มหนาวลงอีก เลยเดินไปดูสินค้าข้างในร้าน
มีขายไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นของกินพื้นบ้าน ของฝากแห้ง ๆ เลยเดินออกไปข้างนอก
หนาวครับ ยอมทนใส่ถุงมือ ขาดปลายนิ้วทุกนิ้วไปก่อน คู่หนึ่งในไทย 600 กว่าบาทเอง.. ถ้าหุ้มปลายนิ้วด้วยน่าจะแพงกว่า
เพิ่งรู้ว่าตัวเองใส่ถุงมือชนิดนี้ ทุเรศมาก หุ หุ
ยืนได้ไม่นาน หนาวเย็นลงอีก เลยเดินไปหลบหลืบหน้าร้าน แต่ไม่ไหวกลิ่นบุหรี ที่ชาวยา ทิ้งจิ้มในถัง เลยเดินมาสมทบ หนุ่ม ๆ จากไทย หลายคน ได้ยินเสียงเพลงไทยวัยรุ่น ที่เรา แหะ ๆ ไม่เคยฟัง..
ใจนึกเลยว่า หนุ่มไทยพวกนี้ ยังพกมือถือฟังเพลงไทย รักชาติไทยจริงเลย
เดินหลบไปอีกทาง ห่างคนกว่า 15 เมตร เสียงเพลงไทยวัยรุ่นส่งเสียงตามมา เลยรู้ว่า หนุ่ม ๆ ไทยไม่ได้เปิด
แต่ร้านอาหารเขาเปิดต้อนรับคนไทย 555
ก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ บอกลูกสาวว่า เลือกบริษัททัวร์ที่ไปเที่ยวเมืองเล็ก ๆ เมือง |
โบราณไปบ้างนะ แต่ต้องไปบ้านทรงพนมมือ หุ หุ ส่วนจะช๊อปปิ้งโอเค ไม่ว่ากัน หลายคนต้อง |
การอยู่แล้ว.... แต่เลือกเมืองที่มีหิมะตกบ้าง ชนิดตกจนพื้นเป็นน้ำแข็ง ลื่นไม่เอานะ |
เข็ดแล้ว พูดยังกะเคยไปบ่อย แฮ่..คุ้นเคยบ้านนอกของ ลาว พม่าไทย มากกว่า |
พวกเราขึ้นรถแล้ว 33 คน รวมไกด์โชเฟอร์เป็น 35 คนรถค่อย ๆ เคลื่อนตัวช้า ๆ
|
เป็นธรรมเนียม ของร้านค้า หรือโรงแรมในท้องที่ ก่อนที่พวกเราจะเดินทางต่อ ผจก.โรงแรมจะไปยืนส่งหน้าโรงแรม
แต่งตัวใส่สูท รองเท้าขัดมัน ผูกเน็คไท คอเสื้อเชิร์ตเนียบ สวย ทันสมัย แตกต่างกว่านักร้องไทยที่เพิ่งเข้าวงการ ใส่เสื้อคอห้อยห่างเป็นนิ้ว ปลายแขนเชิร์ต โผล่จากเสื้อนอกเกือบ 2 นิ้ว
ใจคิดเลยว่า มาญี่ปุ่นต้อง หาเสื้อเชิร์ต คอเสื้อสวย กลับไปไทยบ้าง จริงนะเขาคงมีให้เลือกขนาดคอ
เวลากลัดดุม จะพอดี ไม่ห้อย คงจะให้เลือก ขนาดคอ กับปลายแขนได้ สิบกว่าปีนี้ ในไทยบอกลูกค้าที่จะซื้อไว้เพียง ไซส์
S M L ไม่แบ่งไซส์ คอ 15 .1/2 หรือ 16. 1/2
จะหาที่นี้กลับไทย เป็นเชิร์ตแบบข้างล่าง ชนิดฟิต
พอดีกับตัว แต่คงต้องเผื่อ พุง บ้าง หุ หุ
ที่ร้านอาหารนี้ก็เช่นกัน มีคนมาโค้ง เพื่ออำลา และขอบคุณที่ใช้บริการ เป็นหญิง ตามภาพข้างล่าง
แต่ข้างบน คนของร้านที่คอยต้อนรับเราเข้าร้าน มายืนโบกมืออำลา แน่นอนพวกเราโบกมือตอบ โชเฟอร์ก็ค่อย ๆ ขับ
รถอ้อยอิ่ง ให้เราชื่นชม วิธีการรับแขก... ไกด์เลยบอกว่า ขับรถให้เร็วขึ้นหน่อย สงสารเขาที่ยืนโบกมือท่ามกลางความหนาว
เย็นที่ ลดลงตลอดเวลา
รถพาเราขึ้นทางด่วน ผ่านด่านแบบ ชนิดเครื่องอัตโนมัติ เห็นค่าผ่านทางแล้ว หนาวก็คิดเป็นบาท ก็หลาย...อยู่
เรากำลังจะไปเที่ยวเมืองในหุบเขาที่ เขาว่าแสนสวย เป็นเอกลักษณ์ ถ้าหิมะไม่ตกหนักเกินไป เราอาจจะเข้าหมู่บ้านได้นะครับ ไกด์ บอก
ว่าเข้านั่น... ผมกลับลุ้น เพี้ยงขอเจอ หิมะตกเยอะ ๆ หน่อยก็แล้วกัน 555
รถวิ่งผ่านหมู่บ้านด้านซ้ายมือ เป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า Valley หมู่บ้านในหุบเขา บางทีก็หมุดเข้าอุโมงค์
ภาพข้างล่าง จะเห็นถนนที่โผล่จากภูเขา ไปสู่อุโมงค์อีกภูเขา มองเหมือนสะพาน ก็ใช่สะพานครับ
เพียงแต่จากอุโมงค์ สู่อีกอุโมงค์เท่านั้น
นั่งรถกว่า ชั่วโมง เจอหิมะโปรย ขาวหน้ารถ ดีใจกันใหญ่เลย หุ หุ และแล้วเราก็มุดเข้าอุโมงค์ ไปโผล่อีกแห่ง หันไปมองข้างหลัง
และแล้วก็รถเลี้ยวขวาโค้งตามภาพข้างล่าง เข้าจอดลานจอดใหญ่ ที่อยู่ขวามือเมื่อออกจากอุโมงค์ ข้างบน ถนนเส้นที่มีเลข 156 ข้างล่าง ใช่เลย
น่าจะยาว พอดี ไม่มากเกินไป.....ไว้ดูภาพกับ เรื่องราวในตอนต่อไปนะครับ
|
ขอบคุณเพื่อนผู้เอื้อเฟื้อภาพ |
L 1,430,598 |
st. ผู้เข้าชม 1,428,747 |
= 1,851 |
งานเขียนประเภท Diarist |
|
สวัสดียามเช้าครับพี่ไวน์
ไปกับทัวร์ก็สะดวกไปอีกแบบนึง
ผมก็ชอบครับ
มีคนจัดเตรียมให้หมด
เที่ยวอย่างเดียว สบาย 555
พี่ไวน์ไปช่วงที่อากาศหนาวจัดพอดีเลย
เที่ยวหนาวๆก็สนุกไปอีกแบบ เย็นสบายดีนะครับพี่
โหวตครับ