Group Blog
All Blog
### ขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อมรรคผล ###















“ขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อมรรคผล”

เงินทองนี้มีประโยชน์

แต่การออกบวชนี้มีประโยชน์มากกว่าเงินทอง

 เพราะเงินทองซื้อนิพพานไม่ได้

การบวชนี้ทำให้หลุดพ้นทำให้เป็นพระพุทธเจ้าได้

 พระพุทธเจ้าจึงไม่เสียดายทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง

พอถึงเวลาที่จะต้องไป ท่านก็ไปได้อย่างง่ายดาย

ไม่เคยคิดถึงมันเลย แม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ขณะที่ออกไป

ไปสวนทางกับขอทาน ขอทานเห็นว่าสวยก็เปลี่ยนให้

 ท่านกลับชอบเสื้อผ้าของขอทาน

 เพราะมันไม่ต้องดูแลรักษาลำบาก

เสื้อผ้าของเจ้าชายนี้มันวิจิตรพิสดารเปื้อนง่าย

เสื้อผ้าของขอทานนี้ มันเปื้อนง่ายเพราะมันเปื้อนอยู่แล้ว

 นั่งกับดินกินกับทรายมันสบาย

ท่านก็เลยดีใจมีคนมาขอเปลี่ยน ก็ยกให้เขาไปเลย

 นี่แหละอานิสงส์ของคนที่ไม่ยึดติดกับทรัพย์สมบัติ

ข้าวของเงินทองต่างๆ คนที่ยึดติดกับบุญกุศลจะเป็นอย่างนี้

จะไม่ค่อยหวงไม่ค่อยห่วงกับสิ่งต่างๆ

เพราะความหวง ความห่วงกับสิ่งต่างๆนี้มันเป็นทุกข์ เป็นอกุศล

 การทำบุญ การเสียสละ การแบ่งปันนี้มันเป็นกุศล

ทำแล้วใจสงบใจเย็นใจมีความสุข

นี่คือการปฏิบัติขั้นแรกของผู้ที่ต้องการ

ออกจาก วัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ต้องไม่ยึดติดในวัตถุต่างๆ ที่มีอยู่ ให้มีไว้พอกินพอใช้ก็พอ

ถ้ามีเกินอันนั้นก็อย่าเอามาใช้ให้เกิดกิเลส

 เพราะว่ามันจะทำให้เราติด เช่น เอาเงินไปเที่ยว

เที่ยวแล้วมันก็ติดมันก็ต้องเที่ยวอยู่เรื่อยๆ

เอาเงินไปช๊อปปิ้งมันก็ต้องไปช๊อปปิ้งอยู่เรื่อยๆ

ข้าวของเต็มบ้านล้นบ้านมันก็ยังช๊อปอยู่นั่น

 เห็นกระเป๋าใบใหม่ก็อยากจะได้ เห็นรองเท้าคู่ใหม่ก็อยากจะได้

ทั้งๆที่เท้าก็มีอยู่คู่เดียวเวลาใส่ก็ใส่ครั้งละคู่เดียวแต่มีเป็นสิบๆ คู่

นี่มันทำให้เรามาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ

 แทนที่จะเอาเวลามาตัดตัณหากิเลสต่างๆ

ที่เป็นตัวผูกรัดให้ยึดติดอยู่กับการเกิดแก่เจ็บตาย

การเวียนว่ายตายเกิด เราก็ไม่มีวันที่จะไปทำได้

 เพราะเราถูกมันดึงเอาไว้ด้วยความอยากในวัตถุต่างๆ

นอกจากวัตถุแล้วก็ยังอยากดูอยากฟัง

อยากดื่มอยากรับประทานอะไรต่างๆ

 เวลารับประทาน เวลาดื่มก็สุขเดี๋ยวเดียว

พอเสร็จแล้วมันหายไปเหมือนควันไฟ

ปล่อยให้เหลือแต่ความอ้างว้างความหิวความอยาก

ที่จะต้องไปหามาดูมาฟัง มาดื่มมารับประทานใหม่

ถ้าไม่ตัดสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันที่จะตัดกิเลสตัณหา

 ตัวที่ฉุดลากให้เราไปเวียนว่ายตายเกิดได้

นี่ตัวแรกที่เราต้องตัดให้ได้ก็คือกามฉันทะ

ความอยากในรูปเสียงกลิ่นรส การตัดมันก็ต้องใช้ศีล ๘ ช่วย

เรายังไม่มีกำลังก็ต้องอาศัยศีล ๘

ถ้าเรามีศีล ๘ เราก็จะได้ห้ามใจเราได้ว่า ทำไม่ได้นะ

เช่นวันนี้วันพระมาถือศีล ๘ กัน วันนี้นอนกับแฟนไม่ได้นะ

 หลังจากเที่ยงวันไปแล้วกินไม่ได้แล้วนะ

ห้ามเปิดทีวีห้ามดูหนังฟังเพลง

ห้ามไปเที่ยวตามสถานบันเทิงต่างๆ

ไปงานเลี้ยงวันเกิดงานแต่งงานของใครก็ไปไม่ได้แล้ว

ห้ามออก แล้วก็ห้ามแต่งตัวสวยๆงามๆ เสียเวลา

 แต่งไปแล้วเดี๋ยวก็ต้องถอดมันอยู่ดีเวลานอน

และนอนก็นอนบนพื้นไม้แข็งๆ อย่าไปนอนบนฟูกหนาๆ

 เพราะจะนอนมากเกินไป ร่างกายมันต้องการพัก

เพียง ๔ - ๕ ชั่วโมง ถ้านอนบนไม้แข็ง

เวลามันง่วงมากๆ เหนื่อยๆ มากๆ มันก็นอนได้

แล้วพอมันพักเต็มที่ ๔ - ๕ ชั่วโมงมันก็จะตื่นขึ้นมา

แล้วพอมันรู้สึกตัวว่ามันนอนบนไม้แข็งมันก็ไม่อยากจะนอนต่อ

ก็จะลุกขึ้นมานั่งไหว้พระสวดมนต์  ไปเดินจงกรม

 ถ้านอนบนฟูกหนาๆ มันสบาย ตื่นขึ้นมาแล้วก็ไม่อยากจะลุก

นอนต่อ นอนต่ออีก ๒-๔ชั่วโมง

 เวลาที่จะได้เอามาทำใจให้สงบ

มาสร้างความสุขที่แท้จริงก็ไม่ได้ทำ

 ก็จะต้องติดอยู่กับการหาความสุขทางร่างกาย

พอเวลาที่ร่างกายไม่สามารถทำตามความอยากได้

ก็จะเป็นเวลา ที่มีแต่ความทุกข์ เช่นเวลาแก่ เวลาเจ็บ เวลาตาย

ดังนั้นตอนนี้ยังไม่แก่ ยังไม่เจ็บ ยังไม่ตาย รีบมาสละ

 รีบมาเลิกหาความสุขผ่านทางร่างกาย

แล้วมาหาความสุขผ่านทางธรรม

ธรรมะของพระพุทธเจ้า คือสติ สมาธิ ปัญญา

นี่คือขั้นต้นของปฏิบัติ ทำทานเพื่อที่จะได้ตัดการไปยึดติด

กับความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วจะได้มารักษาศีล ๘ได้

 รักษาศีล ๘ ได้ก็ไปอยู่ที่วิเวกอยู่คนเดียวได้

อยู่ที่คนเดียวก็จะได้มีเวลาควบคุมความคิด

ถ้าไปอยู่ด้วยกันเดี๋ยว ก็อดชวนกันคุยไม่ได้

 คุยกันแล้วมันก็ฟุ้งมันไม่สงบ คุยกันแล้วเดี๋ยวก็เกิดความอยาก

 เดี๋ยวก็อยากกินโน่นกินนี่ นั่งคุยกันเดี๋ยวก็ไปเอากาแฟมาดื่ม

เอาขนมมากิน ก็เลยไม่ได้ไปนั่งสมาธิไม่ได้ไปเดินจงกรม

ผู้ที่ต้องการความสงบความสุขทางใจนี้

ต้องปลีกวิเวกต้องอยู่คนเดียว แล้วต้องมีวินัยบังคับตัวเอง

 ให้ทำงานที่ต้องทำ พวกที่ยังต้องไปเข้าค่ายอยู่

ก็เพราะว่ายังไม่มีวินัย

 ต้องไปปฏิบัติหลักสูตร ๓ วัน ๗ วันให้เขาต้อนเหมือนวัวควาย

 ถึงเวลาตื่นก็ปลุก ถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลาเดินก็เดิน

แสดงว่า ๑.ยังไม่รู้จักวิธีปฏิบัติ

 ๒.ไม่มีวินัยบังคับตัวเอง กลับไปบ้านก็เหมือนเดิม

 ไปอยู่มากี่วันพอกลับไปบ้านก็เหมือนเดิม

ไปก็ไม่ได้อะไร ได้แค่ขณะที่อยู่เท่านั้นเอง

 พอกลับมาบ้านก็ไม่บังคับตัวเองทำต่อ

เพราะ ๑.ที่บ้านก็บรรยากาศไม่เอื้อไม่อำนวย

 เพราะคนที่บ้านมีแต่ทำกิจกรรมที่มันทวนกระแสกับการปฏิบัติ

ดังนั้นผู้ที่ต้องการได้กอบกำในการปฏิบัติ ก็ต้องออกบวช

ถึงจะได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่องไม่ชักเข้าชักออก

ไปวัดที ๓ วันกลับมาอยู่บ้านอีกเดือนหนึ่ง แล้วค่อยกลับไปใหม่

มันก็ชักเข้าชักออก ถ้าปลูกต้นไม้ก็ปลูก ๓ วัน

แล้วถอนมันขึ้นมา เก็บไว้ก่อนแล้วอีกเดือน ค่อยเอามาลงใหม่

 อย่างนี้ต้นไม้ไม่มีวันที่จะเจริญเติบโตขึ้นไปได้

ต้องปลูกแล้วก็ปล่อยมันเลยให้ราก มันแผ่กระจายไป

มันจะได้ดูดซึมอาหารได้อย่างเต็มที่จะได้เจริญเติบโต

 การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ก็แบบนี้

รากของธรรมะมันจะแผ่มันจะกระจาย สติมันจะกระจายไปทั่ว

ทุกระยะเลยทั้งวันทั้งคืน ถ้าฝึกสติต่อไปเรื่อยๆ

 ต่อไปมันจะไม่เผลอ แล้วเวลานั่งสมาธิมันก็สงบแล้ว

 พอสงบมันก็จะมองเห็นธรรม เห็นทุกข์ว่าเกิดจากความอยาก

เห็นโทษของความหลงที่ไปคิดว่า สิ่งต่างๆที่เราอยากได้นั้น

 เป็นสุขเพราะเราไปเห็นว่ามันไม่เที่ยง เห็นแต่ว่ามันดีๆ

ได้มาแล้วมันจะให้ความสุขกับเรา พอมันหายไปก็เสียอกเสียใจ

ร้องห่มร้องไห้เพราะไม่คิดว่ามันจะจากเราไป

 คิดว่าได้อะไรมาแล้วจะต้องเป็นของเราอยู่กับเราไปเสมอ

นี่คือความหลงไม่เห็นความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของชั่วคราว

 ได้อะไรมาแล้วเดี๋ยวก็ต้องหมดไป หมดไปก็ต้องทุกข์ทรมานใจ

 ถ้าไม่อยากทุกข์ทรมานใจก็อย่าไปได้มันมา

 อยู่กับความว่างอยู่กับความไม่มีดีที่สุด

 ถ้าไม่มีอะไรแล้วมันจะมีอะไรต้องเสียหรือเปล่า

 ถ้าไม่มีแฟนแล้วจะเสียแฟนไปหรือเปล่า

ไม่มีทรัพย์แล้วจะเสียทรัพย์ไปหรือเปล่า

นี่มันมีอะไรมันก็ต้องเสีย เพราะของทุกอย่างมันไม่เที่ยง

มันจะต้องมีวันสิ้นสุดลง มีสิ่งเดียวที่ไม่มีวันสิ้นสุดก็คือความว่าง

เราทำอะไรมีอะไรกับใครที่ไหนพอกลับมาบ้าน

ก็อยู่กับความว่างคนเดียวแล้วเห็นไหม

หนีความว่างไม่พ้นหรอก อยู่กับมันดีกว่า

หัดอยู่กับความว่างให้ได้ อยู่กับความว่างได้แล้วจะไม่ผิดหวัง

เพราะจะมีความว่างเป็นเพื่อนอยู่ตลอดเวลา

 วิธีที่จะอยู่กับความว่างได้ก็ต้องหยุดความอยาก

หยุดความอยากก็ต้องใช้สติหยุดความคิดทำใจให้สงบ

พอใจสงบมันก็จะอยู่กับความว่างได้

ดูพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านมีอะไรเหมือนพวกเรามีกันหรือเปล่า

 รถราบ้านช่องท่านมีกันหรือเปล่า ท่านมีก็แค่อัฐบริขาร

 สมบัติ ๘ ชิ้นไว้สำหรับเลี้ยงดูร่างกายเท่านั้นเอง

แล้วถ้าเลี้ยงดูไม่ได้ท่านก็ไม่เดือดร้อน

ร่างกายนี้ท่านก็พร้อมที่จะส่งมันไปสุสานได้ทุกเมื่อ

 เพราะสำหรับท่านมันเป็นภาระมากกว่าเป็นประโยชน์

 แต่ที่ท่านยังเลี้ยงดูมันก็เพราะว่ามันยังเอามาทำประโยชน์

ให้แก่คนอื่นได้ ถ้าไม่มีร่างกายพระพุทธเจ้า จะแสดงธรรม

ให้พวกเราฟังได้อย่างไร พอหลังจากพระพุทธเจ้าตายไปก็หมด

ไม่สามารถแสดงธรรมได้

แต่อย่างน้อยพระพุทธเจ้าได้สร้างผู้ ที่จะมาสืบทอดต่อ

สร้างพระอรหันต์ไว้ต่อ

พระอรหันต์ก็เลยมาทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า

 เอาธรรมะนี้มาสั่งสอน สั่งสอนกันมาเป็นทอดๆ

 มาจนถึงปัจจุบันนี้ พระอรหันต์ก็สอนคนที่ไม่เป็น

สอนไปแล้วเขาปฏิบัติเดี๋ยวเขาก็เป็น

 พอเขาเป็นแล้วเขาไปสอนต่อ ๆ ไปจนถึงปัจจุบันนี้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๘

 สนทนาธรรม














ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2559 15:09:42 น.
Counter : 948 Pageviews.

0 comment
### สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ###















สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

 โลกนี้เป็นสังขารหมด

สังขารความปรุงแต่ง

 แต่งปรุงขึ้นแล้วก็ดับไป

สังขารเมื่อเปรียบก็เหมือนกับ "ระลอกน้ำ"

คือ มีตนมีตัว เมื่อระลอกน้ำหมด ลมพัด ก็หายไป

หายไปที่ไหน..มันก็ลงไปในน้ำนั่นเอง

ลงไปไหน..ดินก็เป็นดิน น้ำก็เป็นน้ำ ลมก็เป็นลม

ไฟก็เป็นไฟ อากาศธาตุก็เป็นอากาศ

เมื่อสังขารไม่มีแล้ว..

ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายมันก็ไม่มี

ความทุกข์ทั้งหลายมันก็ไม่มี มันจะเอาอะไรมาทุกข์

มันไม่ได้ปรุงได้แต่งนี้มันก็สุข

.................

หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร










ขอบคุณที่มา fb. วัดป่า
ขอบคุณเจ้าของภาพคะ




Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2559 11:46:17 น.
Counter : 1217 Pageviews.

0 comment
### ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ###














ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง

“ชีวิตนี้แท้จริงแล้วไม่มีความมั่นคงเลยแม้แต่น้อย

 เพราะทุกคนเมื่อเกิดมา นอกจากต้องแก่ ต้องป่วยแล้ว

 ยังหนีความตายไม่พ้น ชีวิตที่มีความตายเป็นจุดหมาย

โดยมีความเจ็บป่วย ความแก่อยู่ระหว่างทาง

 (ไม่นับความสูญเสียพลัดพรากที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน)

 จะเป็นสิ่งที่มั่นคงได้อย่างไร

ไม่ว่ามีเงินมากมาย มีอำนาจล้นฟ้า

ก็ไม่อาจป้องกันความแก่ ความเจ็บ และความตายได้

(ทำได้อย่างมากก็แค่ชะลอเท่านั้น)

ใช่แต่เท่านั้น เงินทองและอำนาจก็ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง

ไม่จิรัง ไม่มั่นคง แปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

ในเมื่อตัวมันเองยังไม่มั่นคง

 มันจะไปค้ำยันชีวิตเราให้มั่นคงได้อย่างไร”

พระไพศาล วิสาโล











ขอบคุณที่มา fb. วัดป่าสุคะโตธรรมชาติที่พักใจ
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2559 10:04:15 น.
Counter : 1321 Pageviews.

3 comment
### การพิจารณาปัญญาต้องพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก ###

















“การพิจารณาปัญญา

จะต้องพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก”

การพิจารณาปัญญานี้จำเป็นจะต้องพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก

 เพื่อให้ไม่หลงไม่ลืมให้เห็นทุกเวลานาที

เวลาที่ออกมาจากสมาธิจะต้องเห็นทุกอย่าง

ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทันที

จะต้องเห็นอุสภะความไม่สวยไม่งามของร่างกายทันที

 จะต้องเห็นความสกปรกความไม่น่าดู

ไม่น่ารับประทานของอาหารต่างๆ ทันที

ถ้าไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ ตัณหาความอยากนี้จะเกิดขึ้นได้

จะดึงใจให้ไปอยากเสพรูป เสียง กลิ่น รสได้

จะดึงใจให้ไปอยากรับประทานอาหาร

อยากจะรับประทานขนมนมเนย

 อยากจะดื่มเครื่องดื่มชนิดต่างๆได้ นี่คือการเจริญปัญญา

ต้องทำแล้วทำอีก ทำแล้วทำอีก ซ้ำๆซากๆ

เพื่อไม่ให้หลงไม่ให้ลืม เหมือนกับการสวดมนต์

 หรือการท่องสูตรคูณต้องสวดไปเรื่อยๆ ท่องไปเรื่อยๆ

จนมันอยู่ในใจตลอดเวลา ต้องการที่จะสวดบทไหนนี้สวดได้ทันทีเลย

อันนี้ก็เหมือนกันต้องการจะเห็นอนิจจังก็เห็นได้ทันที

 ต้องการเห็นทุกขังก็เห็นได้ทันทีเลย

ต้องการเห็นอนัตตาก็เห็นได้ทันที ต้องการเห็นอสุภะก็เห็นได้ทันที

 ต้องการเห็นความสกปรกของอาหาร ก็เห็นได้ทันที

ถ้าเห็นแล้วมันก็จะกำจัดตัณหาความอยากได้

ถ้าเวลาใดไม่เห็นนั้นพอตัณหาความอยากมา

ก็อยากจะทำตามความอยากทันที แสดงว่าปัญญายังไม่เต็มที่

ยังไม่พร้อมยังไม่ทันกิเลสตัณหาก็ต้องหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ

 หมั่นพิจารณาสัพเพสังขารา อนิจจา สัพเพสังขารา ทุกขา

 สัพเพธัมมา อนัตตา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่แท้จริง

มันก็มาจากดิน น้ำ ลม ไฟ นี่เอง

ร่างกายของทุกๆคนนี้มันก็มาจากดิน น้ำ ลม ไฟ

แล้วเดี๋ยวมันก็กลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟไป

เวลาที่เอาร่างกายไปเผาแล้วมีอะไรเหลืออยู่ ก็เหลืออยู่แต่ธาตุดิน

 ธาตุลมก็หายไป ธาตุลมก็กลับไปอยู่กับธาตุลม

 ธาตุน้ำก็กลับไปอยู่กับธาตุน้ำ ธาตุไฟก็กลับไปอยู่ธาตุไฟ

ก็เหลืออยู่ที่ธาตุดินถ้าเอาไปกลบเอาไปฝังก็อยู่กับดินไป

ตัวตนมีอยู่ตรงไหน ร่างกายนี้มีตัวมีตนอยู่ตรงไหน

มันมีแค่ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟนี่เอง ธาตุรู้ก็ไปตามสถานภาพของธาตุรู้

 ถ้ามีปัญญาก็ไปนิพพาน ถ้ามีความหลงก็ไปเวียนว่ายตายเกิดต่อไป

นี่คือเรื่องของปัญญาที่ผู้ปฏิบัติจะต้องพิจารณา

หลังจากที่มีสมาธิที่ชำนาญแล้ว

 ในระหว่างที่ไม่มีสมาธิที่ชำนาญก็สามารถพิจารณาได้แต่ต้องระวัง

 เวลาที่ออกจากสมาธิมาก็พิจารณาไปได้

แต่ต้องคอยสังเกตดูว่าเริ่มออกนอกลู่นอกทางหรือยัง

หรือยังอยู่ในแนวของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่

ถ้าไปพิจารณาว่าเป็นสามีเป็นภรรยา เป็นพ่อเป็นแม่

เป็นบุตรเป็นธิดา เป็นอะไร เป็นของเราเป็นตัวเรา

 อันนี้แสดงว่าเริ่มออกนอกลู่นอกทางของปัญญาแล้ว

 ถ้าเป็นปัญญาแล้วมันจะไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีพี่ไม่มีน้อง

 ไม่มีสามีไม่มีภรรยา ไม่มีบุตรไม่มีธิดา ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล

 ไม่มีหญิงไม่มีชาย ไม่มีสูงไม่มีต่ำ มีเพียงแต่ดิน น้ำ ลม ไฟ

 หรือมีเพียงแต่อาการ ๓๒ คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก

 มีอยู่เท่านั้น ส่วนความรู้ต่างๆ เหล่านั้นเป็นความรู้ของทางโลก

 เรียกว่าสมมุติ ความรู้ของสมมุติไม่ใช่เป็นความรู้จริง

ไม่ใช่เป็นความจริง ความจริงก็คือดิน น้ำ ลม ไฟ

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภะ

นี่คือความจริงของทางปัญญาเป็นอย่างนี้

ความจริงของทางโลกก็จะเห็นว่าเป็นชายเป็นหญิง เป็นพ่อเป็นแม่

 เป็นพี่เป็นน้อง เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นบุตร เป็นธิดา

 เป็นเจ้านายเป็นลูกน้อง เป็นมหาเศรษฐี เป็นนายก

 เป็นประธานาธิบดี ความรู้เหล่านี้ความจริงเหล่านี้

เป็นความจริงที่ไม่สำคัญต่อจิตใจ

ไม่ใช่เป็นความจริงของทางปัญญา

ความจริงของทางปัญญานี้ จะเห็นว่าเป็นธาตุเท่านั้น

เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นอนิจจังไม่เที่ยงไม่แน่นอน

เป็นทุกข์ถ้าไปยึดไปติด ไปอยากให้อยู่กับเราไปตลอด

เป็นอย่างนี้ไปตลอดก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา

เวลาพิจารณาก็ต้องคอยสังเกตเวลาที่เรายังไม่มีความชำนาญมาก

ในทางสมาธิเพราะถ้าปล่อยให้ออกนอกลู่นอกทางไป

ก็อาจจะไปเกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมา

และอาจจะเสียเวลาดึงกลับมาให้สู้ความสงบได้

 ถ้าเริ่มพิจารณาออกนอกลู่นอกทางออกจากแนวของปัญญา

เริ่มไปแนวของอวิชชาสมมุติ ว่าเป็นพี่เป็นน้อง

 เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นเราเป็นของเรา

อันนี้เริ่มออกไปนอกลู่นอกทางแล้ว ควรต้องดึงกลับมาทันที

ว่ามีอะไรเป็นของเราบ้าง สัพเพธัมมา อนัตตา

สิ่งต่างๆ ทุกอย่างในโลกนี้ทุกอย่างไม่ได้เป็นเรา

เป็นเพียงธาตุทั้ง ๖ นี่เอง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ

 อากาศธาตุ และธาตุรู้เท่านั้นเอง เป็นอนิจจัง

รวมตัวกันแล้วเดี๋ยวก็แยกกันออกไป

 ร่างกายนี้มารวมตัวด้วยธาตุ ๔ เดี๋ยวมันก็แยกออกจากกัน

เดี๋ยวมันก็ไปกันคนละทิศคนละทาง

ร่างกายนี้ต่อไปมันก็จะอันตธานหายไปหมด

 เหลืออยู่แต่ความทรงจำเท่านั้นเอง

ร่างกายของคนที่ตายไปแล้วลองไปดูซิว่าอยู่ตรงไหน

 ถ้าเผาก็เหลือแต่ขี้เถ้า เหลือแก่เศษกระดูก

ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็เหลือพระธาตุ

ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า กระดูกบางส่วนก็เป็นพระธาตุไป

ธาตุก็เป็นธาตุดินอยู่ดี เพียงแต่เราเรียกว่าพระธาตุ

 คือเราไม่เรียกว่าเป็นกระดูก เพราะว่ากระดูกนี้มันต่างจากพระธาตุ

 พระธาตุนี้เป็นธาตุแท้ กระดูกนี้มันยังมีส่วนอื่นผสมอยู่

นี่คือการเจริญทางปัญญา ผู้ปฏิบัติเวลาออกทางปัญญา

ต้องคอยสังเกตุดูว่า พิจารณาอยู่ในแนวทางของปัญญาหรือไม่

ถ้าเริ่มออกไปในแนวทางของอวิชชา ก็ต้องหยุดพิจารณา

กลับมาทำใจให้สงบ ทำใจให้สงบแล้ว

พอออกจากความสงบก็กลับไปพิจารณาใหม่

พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาอสุภะใหม่

ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆสลับกับการเข้าสมาธิ

 ปัญญาก็จะเร็วขึ้นไวขึ้นจะอยู่คู่กับใจได้นานขึ้น

และต่อไปก็จะอยู่คู่กับใจตลอดเวลา

พออยู่คู่กับใจตลอดเวลาแล้ว

ตัณหาก็จะไม่มีทางที่จะมาดึงใจให้ไปหาความทุกข์

จากสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ได้

 ใจก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

 ใจก็จะมีแต่ความสุขตลอดเวลาที่เรียกว่า บรมสุข

ปรมัง สุขัง บรมสุข

นี่คือแนวทางของการบำเพ็ญ ของพระพุทธเจ้า

 และของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

จำเป็นที่จะต้องเลือกทางเดินว่า

จะเดินไปในทางของความสุขปลอม

หรือเดินทางไปในทางความสุขแท้

มันเป็นทางคนละทางกันมันไปด้วยกันไม่ได้

อยากจะได้ทางใดก็ต้องไปทางนั้น

 ถ้าจะเอาทั้งสองทางก็ต้องเดินกลับไปกลับมา

เดินทางนี้แล้วเดี๋ยวก็ต้องเดินกลับไปทางนั้นใหม่

มันก็ได้อย่างละนิดอย่างละหน่อย

 แต่จะไม่วันที่จะได้อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างถาวร

ผู้ปฏิบัติจะต้องพิจารณาตัวเอง เลือกทางเดินของตนเอง

 อย่าเอาแบบรักพี่เสียดายน้องเพราะจะไม่ได้ทั้งพี่ทั้งน้อง

เอาสักอย่างหนึ่ง จะเอาพี่ก็เอาพี่จะเอาน้องก็เอาน้องไปเลย

 จะเอาความสุขปลอมหรือเอาความสุขแท้ก็เลือกเอา

เอาความสุขปลอมก็เอาความทุกข์นั่นเอง

 ถ้าเอาความสุขแท้ก็คือบรมสุข ปรมัง สุขังนั่นเอง

เอาความสิ้นสุดของความทุกข์

การสิ้นสุดของความทุกข์อยู่ที่ความสุขแท้

ความอยู่อย่างต่อเนื่องของความทุกข์อยู่ที่ความสุขปลอม

คือความสุขทางร่างกาย ความสุขทางลาภยศ สรรเสริญ

นี่คือทางเลือกของสัตว์โลก ทุกคนนานๆ จะได้มีโอกาส

ได้พบทางเลือกนี้สักครั้งหนึ่ง

เวลาที่มีพระพุทธศาสนาปรากฏขึ้นมา

จะมีคนมาปักป้ายบอกว่ามีทางไปอีกทางนี้ทางหนึ่ง

ไม่ใช่ทางนี้ทางเดียว ทางที่เป็นความสุขที่ถาวรก็มี

 ทางที่คุณกำลังไปกันอยู่นี้มันเป็นความสุขปลอมกัน

ผู้ที่มาปักป้ายนี้ก็คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

 ท่านมาบอกพวกเราว่าความสุขที่เรามีกันอยู่นี้

 มันเป็นความสุขปลอม เป็นความสุขชั่วคราว

เป็นความสุขที่จะต้องมีความทุกข์ตามมาทีหลัง

 เราได้พบความสุขแท้แล้ว อยู่ทางนี้ไปทางนี้

 ถ้าอยากจะพบกับความสุขแท้

 อยากจะพบกับความสิ้นสุดของความทุกข์ทั้งหลายให้ไปทางนี้

ถ้าเราอยากจะพบกับความสุขที่แท้จริง

ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้พบกัน

เราก็ต้องไปตามทางที่พระพุทธเจ้า

และพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ไปกัน

 ก็คือต้องออกจากความสุขปลอมไป ต้องทิ้งความสุขปลอมไป

เพื่อที่จะได้ไปหาความสุขที่แท้จริงได้.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต


......................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘

“ทิ้งสุขปลอมแล้วจะเจอสุขจริง”









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2559 11:46:15 น.
Counter : 708 Pageviews.

0 comment
### หลวงตากับขอทาน ###


















นิทานโดนใจเรื่อง

หลวงตากับขอทาน

วัดแห่งหนึ่ง มีชายขอทานพิการเหลือแขนเพียงข้างเดียว

เดินทางมาเพื่อขออาหาร และได้พบหลวงตาเซน

 ผู้เป็นเจ้าอาวาส แต่เมื่อเอ่ยปากขออาหาร

หลวงตากลับชี้มือไปยังกองอิฐที่หน้าโรงทาน

และบอกกับขอทานแขนเดียวว่า

"โยมช่วยย้ายอิฐกองนั้นไปไว้ที่หลังโรงทานก่อนเถอะ"

ขอทานแขนเดียวได้ยินดังนั้นก็ไม่ค่อยพอใจ กล่าวว่า

 "ผมเหลือแขนเพียงข้างเดียวจะย้ายอิฐได้อย่างไร

 ผมมาขออาหาร หากท่านไม่อยากให้ทานก็ไม่เป็นไร

ผมไปขอที่อื่นก็ได้

หลวงตาเซน ไม่พูดอะไรเพียงแต่เดินไปยกก้อนอิฐ

โดยใช้แขนเพียงข้างเดียว จากนั้นค่อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

"งานประเภทนี้ ถึงมีแขนข้างเดียวก็สามารถทำได้"

ขอทานแขนเดียว ด้วยความหิวและต้องการอาหาร

จึงได้แต่ทำตาม โดยค่อยๆ ย้ายก้อนอิฐไปยังหลังโรงทาน

 ทีละก้อน ทีละก้อน ใช้เวลาพักใหญ่จึงย้ายก้อนหินได้หมดกอง

 หลังจากนั้นหลวงตาเซน ก็มอบเงินค่าตอบแทน

ให้กับขอทานจำนวนหนึ่ง ขอทานคาดไม่ถึงว่าจะได้เงิน

จึงดีใจมากและกล่าวคำ "ขอบคุณ ขอบคุณ" ไม่หยุด

หลวงตาเซน จึงตอบว่า "ไม่ต้องขอบคุณอาตมา

 เพราะเงินนี้มาจากน้ำพักน้ำแรงของโยมเอง"

ขอทานรู้สึกปลื้มใจมาก ที่ได้เงินจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง

จึงเอ่ยด้วยความสำนึกว่า "ผมจะจดจำวันนี้เอาไว้"

จากนั้นจึงก้มตัวน้อมคำนับด้วยความสำนึกในบุญคุณ

ก่อนอำลาจากไป

ผ่านไปหลายวัน มีขอทานอีกคนหนึ่งเดินทางมาขอทานที่วัดนี้

หลวงตาเซน ก็พาขอทานผู้นี้เดินมาที่หลังโรงทาน

และชี้ไปยังกองอิฐและกล่าวว่า

"โยมช่วยย้ายอิฐกองนั้นไปยังหน้าโรงทานก่อนเถอะ"

แต่ขอทานผู้มีแขนขาครบผู้นี้กลับไม่สนใจคำกล่าวของหลวงตา

ได้แต่หันกายจากไปโดยพลัน แบบไม่ค่อยพอใจ

บรรดาพระในวัดเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามหลวงตาเซนว่า

 "คราวก่อนหลวงตาให้ขอทานย้ายอิฐมายังหลังโรงทาน

ทำไมวันนี้กลับคิดที่จะให้ขอทานอีกผู้หนึ่ง

ย้ายอิฐกลับไปหน้าโรงทาน

 ที่แท้แล้วหลวงตาอยากให้นำก้อนอิฐไปไว้ที่ใดกันแน่?"

หลวงตาเซนตอบพระลูกศิษย์เพียงสั้นๆ ว่า

"อิฐวางไว้หน้าโรงทานหรือหลังโรงทานล้วนไม่ต่างกัน

ทว่าจะย้ายหรือไม่ย้ายต่างหากที่สำคัญสำหรับขอทานเหล่านั้น"

กาลเวลาผ่านไปนานหลายปี

วันหนึ่งปรากฏคนผู้หนึ่งท่าทางภูมิฐานเดินทางมาที่วัด

คนผู้นี้มีแขนเพียงข้างเดียว ที่แท้ก็คือขอทานแขนเดียว

เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนับตั้งแต่วันที่เขาพบหลวงตาในครั้งนั้น

 เขาจึงค่อยได้รู้ถึงคุณค่าในตัวเอง

จากนั้นจึงหาทางประกอบสัมมาอาชีพที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย

 จนในที่สุดได้พบกับสำเร็จในชีวิตสามารถสร้างฐานะจนร่ำรวย...

ส่วนขอทานที่ไม่ยอมขนย้ายอิฐนั้น

ก็ยังคงเป็นขอทานหมือนเดิมเพราะคิดได้แค่นั้นเอง

( เชื่อมั่นในตนเอง รู้คุณค่าในตนเอง และพึ่งพาตนเอง

 คือคุณสมบัติพื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการเป็นมนุษย์ )










ขอบคุณที่มา fb. วัดป่าสุคะโตเพื่อธรรมะและธรรมชาติ
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2559
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2559 11:52:39 น.
Counter : 1600 Pageviews.

2 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ