Group Blog
All Blog
###ทำบุญเป็นเห็นความสุข ###











 

ทำบุญเป็นเห็นความสุข

....................



บุญจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีการดำเนินชีวิต

 เมื่อถึงจุดหนึ่ง ผลแห่งการปฏิบัติจะช่วยพัฒนาชีวิตของเรา

ให้ก้าวไปสู่การค้นพบความสุขที่แท้จริง

 เป็นความสุขที่สงบ ประณีตและเป็นอิสระ

ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหรือแสวงหาวัตถุจากภายนอก

เพื่อมาตอบสนองความต้องการที่ไม่รู้จบสิ้นของเราอีกเลย

จะว่าไปแล้วเรื่องของการ ‘ทำบุญ‘

เป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับคนไทยมาทุกยุคสมัย

 โดยเฉพาะเวลาที่มีความทุกข์ หลายคนมักจะได้รับคำแนะนำ

ให้ไปทำบุญ ซึ่งในสายตาของคนรุ่นใหม่

 อาจเกิดคำถามขึ้นในใจว่า การทำบุญ

ซึ่งดูคล้ายเป็นเรื่องภายนอกนั้น จะไปเกี่ยวพัน

หรือส่งผลกับทุกข์สุขที่เกิดขึ้นในใจได้อย่างไร?

เคยมีคำกล่าวว่า ต้นไม้จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อได้แผ่กิ่งก้าน

ให้ความร่มเย็นแก่ผู้คนบนโลก

พืชพรรณจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อผลิดอกออกผล

แม้บางครั้งอาจไม่ช่วยให้อิ่มท้อง

แต่ก็ให้ความชื่นตาชื่นใจแก่ผู้พบเห็น

ส่วนมนุษย์คนหนึ่งจะสมบูรณ์ได้นั้น ก็ต่อเมื่อ

ได้ประกอบผลบุญ อันเป็นประโยชน์

ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่นและสังคม

ความหมายของคำว่า บุญ ในทางพุทธศาสนานั้น

หมายถึง เครื่องชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์

เป็นเครื่องกำจัดสิ่งเศร้าหมองที่เรียกว่ากิเลส

อันเป็นเหตุแห่งความทุกข์

ดังนั้น การทำบุญ จึงหมายถึง การกระทำ

ที่เป็นการช่วย ลด-ละ-เลิก ความโลภ ความเห็นแก่ตัว

ความใจแคบ ความตระหนี่ถี่เหนียว ความหวงแหน

ยึดติดลุ่มหลงในวัตถุสิ่งของ อันเป็นสาเหตุหนึ่ง

ของความทุกข์ให้หมดไปจากใจ

และหากยังไม่แน่ใจว่าการกระทำใดถือว่าเป็นการทำบุญบ้าง

 ก็ขอให้พิจารณาดูง่ายๆ ว่า การกระทำอะไรก็ตามแต่

ที่ทำแล้วเข้าข่ายคำว่า ‘สงบเย็นและเป็นประโยชน์’

  ถือได้ว่าเป็นการทำบุญทั้งสิ้น

ซึ่งหากเราทุกคนมีความเข้าใจความหมายของบุญตามนี้แล้ว

การทำบุญก็จะสามารถประยุกต์เข้าไป

กับการดำเนินชีวิตของเราได้ทุกขณะ

โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงการบริจาคทรัพย์สินเงินทอง

อย่างที่หลายคนเคยเข้าใจแต่อย่างใด

การเริ่มต้นทำบุญอย่างถูกวิธี สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ

ด้วย ‘บุญกริยาวัตถุ 10′ อันเป็น10 วิธีการทำบุญ

ที่ถ้าใครได้ลองปฏิบัติแล้ว วิถีแห่งความสุขในชีวิตที่สงบและยั่งยืน

 จะไม่ใช่เรื่องไกลเกินคว้าอีกต่อไป

สำหรับ 10 วิธีที่ว่านี้มีอะไรบ้าง มาติดตามกัน



วิธีที่ 1 ให้ทาน – การแบ่งปันผู้อื่นด้วยสิ่งของ

 เป็นวิธีในการช่วยขัดเกลาความเห็นแก่ตัว

 ความตระหนี่ การยึดติดในวัตถุของเรา

วิธีที่ 2 รักษาศีล – ฝึกฝนที่จะลด ละ เลิกความชั่ว

 มุ่งทำความดี  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เบียดเบียนใคร

พัฒนาชีวิตของตนเองสู่ความดีงาม

วิธีที่ 3 เจริญภาวนา – การภาวนาจะช่วยพัฒนาจิตและปัญญา

ทำให้จิตสงบ ไม่มีกิเลส มองเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง

วิธีที่ 4 อ่อนน้อมถ่อมตน – แค่ผู้น้อยรู้จักถ่อมตนต่อผู้ใหญ่

ผู้ใหญ่ให้ความเมตตาแก่ผู้น้อย ให้เกียรติ

เคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง ก็ถือเป็นการทำบุญแล้ว

 เพราะนั่นหมายถึงการลดความยึดมั่นถือมั่น

ในความเป็นตัวตนของตนเอง

วิธีที่ 5 ช่วยเหลือสังคม – ได้แก่งานจิตอาสาทุกประเภท

การสละแรงกายเพื่อช่วยเหลือทั้งคนใกล้ชิดและสังคม

ล้วนเป็นการทำบุญทั้งหมด

วิธีที่ 6 เปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำบุญ –

หมายความรวมไปถึงการทำงานที่เปิดโอกาส

ให้คนอื่นได้เข้ามาร่วมทำ

 ร่วมแสดงความคิดเห็น และยังหมายถึง

การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย

วิธีที่ 7 ยอมรับและยินดีในการทำความดี

หรือการทำบุญของคนอื่น

– เวลาเห็นคนอื่นทำความดีก็ชื่นชมยินดีด้วยใจจริง

ไม่อิจฉา ระแวงสงสัยในความดีของเขา

วิธีที่ 8 ฟังธรรม – ข้อนี้ไม่ได้หมายความเพียงแค่การฟังธรรม

จากพระสงฆ์เท่านั้น แค่เพียงการเลือกฟังสิ่งดีๆ

ที่มีประโยชน์ต่อชีวิตจากบุคคลรอบตัว

 ก็ถือเป็นการฟังธรรมด้วยเช่นกัน

วิธีที่ 9 แสดงธรรม – เช่นเดียวกับข้อ 8

การแสดงธรรมในยุคปัจจุบันนี้

ไม่จำกัดเพียงพระสงฆ์เท่านั้น การที่เรานำเรื่องดีๆ

ที่มีประโยชน์ไปบอกเล่าต่อกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใด

ก็ถือว่าเป็นการทำบุญในข้อนี้ทั้งสิ้น

วิธีที่ 10 ทำความเห็นให้ถูกต้อง – อาจเรียกได้ว่าข้อสุดท้ายนี้

 เป็นหัวใจสำคัญที่นำมากำกับการกระทำในทุกหัวข้อเลยก็ว่าได้

หากไม่แน่ใจว่าสิ่งใดถือเป็นความเห็นที่ถูกต้อง

อาจพิจารณาง่ายๆ ว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์

และเกื้อกูลต่อผู้อื่นหรือไม่

 ถ้าใช่ ก็นับเป็นความเห็นที่ถูกต้อง

อันเป็นส่วนหนึ่งของการทำบุญแล้ว












เห็นไหมว่าการทำบุญทั้ง 10 วิธีสามารถทำได้ตลอดเวลา

 ถ้าทำได้ตามนี้แล้ว บุญจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีการดำเนินชีวิต

 ซึ่งหากเราทำได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงจุดหนึ่ง

ผลแห่งการปฏิบัติก็จะช่วยพัฒนาชีวิตของเรา

ให้ก้าวไปสู่การค้นพบความสุขที่แท้จริง

เป็นความสุขที่สงบ ประณีต และเป็นอิสระ

 ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหรือแสวงหาวัตถุจากภายนอก

 เพื่อมาตอบสนองความต้องการที่ไม่รู้จบสิ้นของเราอีกเลย

 และนี่ก็น่าจะเป็น ‘ผลแห่งบุญ’อันเป็นคำตอบแท้จริงที่ซ่อนอยู่

ภายใต้คำพร่ำสอนของผู้ใหญ่ที่เน้นย้ำให้ลูกหลานทำบุญ

ในยามประสบความทุกข์ในชีวิต

ที่สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัยนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม 10 ปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น

 10 ตาเห็นก็คงไม่เท่าลงมือทำ

 จะรอช้าอยู่ไย เมื่ออ่านจบแล้ว เริ่มออกเดินทาง

ตามหาความสุขของคุณ

ด้วยเส้นทางของ ‘บุญ 10 วิธี’ กันได้เลย !

ขอขอบคุณ

ข้อมูล: โครงการฉลาดทำบุญ เครือข่ายพุทธิกา

ภาพ :โครงการฉลาดทำบุญ เครือข่ายพุทธิกา / ธนาคารจิตอาสา


//www.happinessisthailand.com/?p=2437







Create Date : 29 กันยายน 2558
Last Update : 30 กันยายน 2558 11:40:23 น.
Counter : 1042 Pageviews.

0 comment
### ของดีที่แท้จริง ###














 ของดีที่แท้จริง
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

......................

เรื่องเล่าเช้าวันพระ:
พระไพศาล วิสาโล เขียนเล่าเรื่อง

ในวัยหนุ่มหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ นิยมเดินธุดงค์

และปลีกวิเวกอยู่ตามป่าเขาเถื่อนถ้ำต่าง ๆ

แต่ครึ่งชีวิตหลังของท่าน ซึ่งยาวนานถึง ๔๓ ปี

ท่านแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย พำนักอยู่แต่ในวัดสะแก

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 กิจวัตรประจำวันคือนั่งรับแขกหน้ากุฏิตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

แม้ชรามากแล้วท่านก็ไม่เคยทิ้งกิจวัตรดังกล่าว

ทั้งนี้เพื่อช่วยคลายความทุกข์ของญาติโยมที่มาจากทุกสารทิศ

หลายคนมาหาท่านเพื่อขอหวยเพราะอยากรวยทางลัด

 จำนวนไม่น้อยอยากให้ท่านรดน้ำมนต์เป่าหัว

จะได้หายจากความเจ็บป่วย ไม่มีใครที่ถูกท่านปฏิเสธ

 แต่ใช่ว่าท่านจะสนองความต้องการ

ของญาติโยมในทุกกรณีก็หาไม่

บางครั้งท่านก็ให้ของที่ดีกว่านั้น

คราวหนึ่งเกิดไฟไหม้ที่วัดสะแก

บริเวณตรงข้ามกุฏิของหลวงปู่ถูกเพลิงเผาพินาศ

แต่กุฏิของท่านไม่เป็นอะไร เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่ผู้คนทั่วไป

โยมผู้หนึ่งเชื่อว่าหลวงปู่มีพระดีเป็นแน่ จึงไปหาหลวงปู่

“หลวงปู่ครับ ผมขอพระดีที่กันไฟได้หน่อยครับ”

หลวงปู่ยิ้มก่อนตอบว่า “พุทธัง ธัมมัง สังฆัง

ไตรสรณคมน์นี่แหละ พระดี”

“ไม่ใช่ครับ ผมขอพระเป็นองค์ ๆ อย่างพระสมเด็จน่ะครับ”

หลวงปู่กล่าวย้ำว่า “ก็พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละ

มีแค่นี้ล่ะ ภาวนาให้ดี”

เป็นอันว่าหลวงปู่มิได้ให้อะไรเขา เมื่อโยมผู้นั้นกลับไป

 หลวงปู่จึงได้ปรารภกับศิษย์ว่า

“คนเรานี่ก็แปลก ข้าให้ของจริงกลับไม่เอา จะเอาของปลอม”

ท่านเคยพูดถึงพระเครื่อง ซึ่งใคร ๆ อยากได้เพื่อบูชา

โดยเฉพาะพระสมเด็จวัดระฆัง ว่า

การนับถือพระเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่เป็นดีภายนอก มิใช่ดีภายใน

 แล้วท่านแนะว่า “ให้หาพระเก่าให้พบ นี่ซิของแท้ของดีจริง”

เมื่อศิษย์ถามท่านว่าพระเก่าหมายถึงอะไร หลวงปู่ตอบว่า

 “ก็หมายถึงพระพุทธเจ้าน่ะซิ นั่นท่านเป็นพระเก่า

พระโบราณ พระองค์แรกที่สุด”

นอกจากวัตถุมงคลแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้คนปรารถนา

และเสาะแสวงหาก็คือ ความมั่งคั่งร่ำรวย

 โดยไม่ตระหนักว่ามีสิ่งอื่นที่ดีกว่า ประเสริฐกว่า

 นั่นคือบุญกุศล คุณธรรมความดี

 ประเสริฐสูงสุดคือนิพพาน ความพ้นทุกข์

มีเรื่องเล่าว่า พระรูปหนึ่งมาบวชที่วัดสะแกอยู่พักใหญ่

ก่อนจะลาสิกขาก็มาหาหลวงปู่เพื่อขอให้ท่านพรมน้ำมนต์และให้พร

 ขณะที่หลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้ พระรูปนั้นก็อธิษฐานในใจว่า

 “ขอความร่ำรวยมหาศาล ขอลาภขอผลพูนทวี

มีกินมีใช้ ไม่รู้หมด จะได้แบ่งไปทำบุญมาก ๆ”

พอท่านอธิษฐานเสร็จ หลวงปู่ก็มองหน้าพร้อมกับพูดว่า

 “ท่าน...ที่ท่านคิดน่ะมันต่ำ คิดให้มันสูงไว้ไม่ดีหรือ

แล้วเรื่องที่ท่านคิดน่ะจะตามมาทีหลัง”

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่มาขอโชคลาภหรือวัตถุมงคลจากท่าน

จำนวนไม่น้อยมาหาท่านเพื่อสนทนาธรรม

มีคนหนึ่งถามท่านว่า เขาขี้เกียจปฏิบัติธรรม จะทำอย่างไรดี

คำตอบของท่านคือ “หมั่นทำเข้าไว้....ถ้าขี้เกียจให้นึกถึงข้า

 ข้าทำมา ๕๐ ปี อุปัชฌาย์ข้าเคยสอนไว้ว่า

ถ้าวันไหนยังกินข้าวอยู่ ก็ต้องทำ

วันไหนเลิกกินข้าว....นั่นแหละถึงไม่ต้องทำ”

หลวงปู่พูดเสมอว่า “ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นตามดูจิต รักษาจิต”

เคยมีผู้ปฏิบัติตามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ครับ ขอธรรมะสั้น ๆ

 ในเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อให้กิเลส ๓ ตัว คือ โกรธ โลภ หลง

 หมดไปจากใจเรา จะทำได้อย่างไรครับ”

หลวงปู่ตอบเสียงดังฟังชัดว่า “สติ”

คืนที่ท่านจะมรณภาพนั้นมีคณะศิษย์มากราบท่าน

หลวงปู่ได้เล่าให้ญาติโยมกลุ่มนี้ด้วยสีหน้าปกติว่า

 “ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดในร่างกายข้าที่ไม่เจ็บปวดเลย

 ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้องไอซียูไปนานแล้ว”

 แล้วท่านก็กล่าวต่อว่า “ข้าจะไปแล้วนะ”

ไม่มีใครคาดคิดว่าท่านจะจากไป

เพราะท่านไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยให้เห็น

ท่านทิ้งท้ายว่า “ถึงอย่างไรก็ขออย่าได้ทิ้งการปฏิบัติ

 ก็เหมือนนักมวยขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่าเงอะ ๆ งะ ๆ”

ตี ๕ คืนนั้นหลวงปู่ได้ละสังขารอย่างสงบ

ด้วยโรคหัวใจในกุฏิของท่าน สิริอายุได้ ๘๕ ปี












ขอบคุณที่มา fb. วัดป่าสุคะโตธรรมชาติที่พักใจ
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพค่ะ




Create Date : 27 กันยายน 2558
Last Update : 27 กันยายน 2558 10:50:32 น.
Counter : 978 Pageviews.

0 comment
### เปลี่ยนแปลงชีวิตจากจุดเล็กๆ ###

















เปลี่ยนแปลงชีวิตจากจุดเล็กๆ

 

...........................

“เป็นเพราะลืมมองตน ผู้คนจึงมักสร้างปัญหา
หรือมีส่วนทำให้ปัญหาลุกลามขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นเมื่อใดที่คิดจะแก้ปัญหา ควรหันมาสำรวจ
ตนเองก่อนที่จะเรียกร้องหรือจัดการคนอื่น
แม้แต่การช่วยคนอื่นก็เช่นกัน เพียงแค่
ดูแลตนเองให้ดีก็สามารถช่วยคนอื่นได้มาก”



พระไพศาล วิสาโล
วัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ













ขอบคุณที่มา fb. วัดป่าสุคะโตธรรมชาติที่พักใจ
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพค่ะ




Create Date : 25 กันยายน 2558
Last Update : 25 กันยายน 2558 11:49:05 น.
Counter : 1220 Pageviews.

0 comment
### กายป่วยใจไม่ป่วย ###

















กายป่วย ใจไม่ป่วย

.............

คราวหนึ่งหลวงปู่บุดดา ถาวโร

ได้รับนิมนต์ไปฉันที่บ้าน ของโยมผู้หนึ่ง

มีพระหลายรูปไปร่วมฉันด้วย

พอฉันเสร็จไม่นานพระทุกรูปก็อาเจียนอย่างหนัก

เนื่องจากอาหารเป็นพิษ อาเจียนเสร็จก็หมดแรง

 ส่วนเจ้าบ้านตกใจมากที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น

เช้าวันนั้นพระทุกรูปล้มนอนเพราะหมดแรง

คงเหลือแต่หลวงปู่บุดดาองค์เดียว

ที่ยังนั่งพูดคุยกับเจ้าของบ้านและญาติโยม

ทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็อาเจียนไม่น้อยกว่าพระรูปอื่น

เวลาจะอาเจียนท่านก็ลากกระโถนจากใต้ที่นั่งออกมา

 พออาเจียนเสร็จท่านก็คุยต่อ ไม่ได้แสดงอาการอ่อนเพลียแต่อย่างใด

ภายหลังได้มีผู้ถามหลวงปู่บุดดาว่า หลวงพ่อไม่เป็นอะไรหรือ

จึงนั่งคุยกับญาติโยมเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลวงปู่บุดดาตอบว่า เจ้าภาพเขามีความทุกข์ใจ

ที่นำอาหารเป็นพิษมาถวายพระ

ท่านเลยนั่งคุยให้เขาคลายทุกข์ใจ ท่านยังกล่าวต่อว่า

“ร่างกายเรานี้มันสักแต่ว่าเท่านั้น ธาตุ ๔ มันถูกยาเมา ยาเบื่อ

มันก็แสดงอาการต่างๆ นานา ส่วนจิตใจมันไม่ได้ถูก

 ก็เลยไม่เป็นอะไร เหตุเพราะกายกับใจมันคนละเรื่อง รวมกันไม่ได้”

อีกคราวหนึ่งท่านต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดนิ่ว

 หลังจากผ่าตัดเสร็จ หลวงปู่ก็พูดว่า “ค่อยยังชั่วแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”

แพทย์และพยาบาลพากันแปลกใจ ถามหลวงปู่ว่า

ท่านไม่รู้สึกเจ็บเลยหรือ คนอื่นผ่าตัดน้อยกว่าหลวงปู่

ยังแสดงอาการเจ็บปวดมากกว่า หลวงปู่ทำอย่างไรถึงไม่เจ็บ

หลวงปู่ตอบว่า “ร่างกายของหลวงปู่ก็เหมือนกันทำไมมันจะไม่เจ็บ

 แต่จิตใจต่างหากที่ไม่ได้เจ็บป่วยไปกับร่างกายด้วยเท่านั้น”

ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องของกาย

แต่แทนที่จะเห็นว่ากายป่วยหรือกายเจ็บ

เรามักจะทึกทักหรือสำคัญมั่นหมายว่า “กูป่วย”หรือ “กูเจ็บ”

 ความป่วยจึงลามไปถึงใจ หาไม่ก็ไปยึดติดถือมั่นกับความเจ็บปวด

 ใจจึง ปวดไปด้วย หลวงปู่บุดดาเป็นผู้มีปัญญา

ท่านเห็นว่าความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา

ใจจึงไม่ทุกข์ร้อนไปด้วย แม้จะมีทุกขเวทนาเกิดขึ้น

 ก็เพียงแต่รู้เฉยๆ ไม่ยึดติดถือมั่นกับทุกขเวทนานั้น

 ใจจึงโปร่งเบาสุขสบาย

...................

พระไพศาล วิสาโล












ขอบคุณที่มา fb. พระไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพ




Create Date : 25 กันยายน 2558
Last Update : 25 กันยายน 2558 11:35:15 น.
Counter : 1040 Pageviews.

0 comment
### สวมหัวโขน ###




















หัวโขนที่เขาสวมแสดง ใครจะสวมแสดงอยู่ตลอดชีวิต

 มันก็ไม่ได้ ต้องมีการปลดออก ในชีวิตเราก็เป็นเช่นนั้น

 มีอะไรเกิดขึ้นมันก็ไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลง

เป็นไปตามธรรมชาติ

เราอย่าไปยึดถือว่าอันนี้เป็นของเราเป็นตัวเรา

เพราะการเข้าไปยึดติดอย่างนั้นมันก่อให้เกิดปัญหา

คือความทุกข์ความเดือดร้อนใจ

มีบางเรื่องเราไม่เคยประสบ แต่มาประสบเข้าก็คิดไม่ทัน

เพราะไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้า พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า

ให้คิดไว้ล่วงหน้า เมื่ออะไรเกิดขึ้นก็ให้คิดว่า

 วันหนึ่ง มันจะเปลี่ยนแปลง เช่น เราได้อะไรมา ยกขึ้นดู

 แล้วก็บอกด้วยว่ามันไม่ถาวรทั้งนั้น

วันนี้มันอยู่กับเราพรุ่งนี้ไม่แน่ มันอาจจะเปลี่ยนแปลงไป

เราบอกตัวเองไว้ให้รู้ล่วงหน้าไว้ก่อน

 ว่ามันจะเกิดจะเป็นขึ้นมา แล้วพอมันเป็นขึ้นมา

เราก็ไม่ทุกข์เกินไป

 เราสบายใจเพราะเราได้บอกตัวเองไว้แล้ว

 อันนี้เขาเรียกว่าเป็นผู้ตื่นอยู่ ไม่ประมาทไม่มัวเมาในเรื่องนั้น

 คนอย่างนี้หาได้ยาก ส่วนมากไม่ค่อยได้คิดไว้ ล่วงหน้า

 มักจะถูกทุกข์โจมตีโดยไม่รู้ตัว ไม่ทันตั้งตัว เลยหนักทุกที

 เพราะไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อน

คนที่ศึกษาธรรมะ ก็คือคนที่เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า

ในการที่จะผจญกับปัญหาประเภทต่างๆ

 ที่มันจะเข้ามากลุ้ม รุมจิตใจของเรา โดยเราไม่เสียท่าสิ่งนั้น

 อันนี้เขาเรียกว่าได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราเรียนมา

 คือธรรมะที่จะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

เพื่อแก้ไขเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่อไป

ปัญญานันทภิกขุ











ขอบคุณที่มา fb. หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ




Create Date : 24 กันยายน 2558
Last Update : 24 กันยายน 2558 22:18:22 น.
Counter : 4882 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ