Group Blog
All Blog
### สถานที่บำเพ็ญสมณธรรม เขาชีโอน ###
















“สถานที่บำเพ็ญสมณธรรม”

 เรื่องประวัติศาลาไม้แห่งนี้ ที่มาที่ไป

พระอาจารย์ : คือที่บนเขาชีโอนนี้ เมื่อก่อนนี้

ก็เป็นเขาที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ทางวัดญาณสังวราราม

ทางสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งตอนนั้นเป็นสมเด็จพระญาณสังวรณ์

ได้ทรงมาสร้างวัดญาณสังวรารามขึ้น

แล้วทรงเห็นว่าบริเวณบนเขานี้เป็นสถานที่เหมาะสม

สัปปายะต่อการเจริญสมถธรรมต่อการบำเพ็ญจิตตภาวนา

 พระองค์จึงได้ให้พระภิกษุสามเณรได้ขึ้นมาสร้างสถานที่บำเพ็ญกัน

โดยมีฆราวาสญาติโยมมาสนับสนุน ช่วงนั้นยังไม่มีถนนขึ้นมาบนเขา

ญาติโยมก็ช่วยกันขนไม้ที่ได้รับจากการบริจาคของผู้มีศรัทธา

 รื้อบ้านเก่าออก นี่เป็นไม้ของบ้านเก่า

 แล้วช่วยกันแบกหามไม้กันขึ้นมา มาสร้างกระต๊อบ

 มาสร้างศาลากัน แล้วก็สร้างที่ประทับ

ให้กับสมเด็จพระสังฆราชด้วย

สมเด็จนี้เวลาท่านมาบำเพ็ญภารกิจเกี่ยวกับ การสร้างวัดญาณฯ

 ท่านก็จะขึ้นมาบำเพ็ญภาวนาในตอนค่ำ ท่านจะพักอยู่บนเขา

 แล้วก็มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้เสด็จ มาหาวันหนึ่ง

ก็ทรงมารับเสด็จที่บนศาลาหลังนี้

 ซึ่งตอนนั้นก็มุงด้วยหญ้าดูแล้วก็รู้สึกเป็นของต่ำต้อย

แต่มีพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระญาณสังวรณ์นั่งสนทนาธรรมกัน

 บรรดาผู้ติดตามเห็นว่าศาลาหลังนี้ มันไม่เหมาะสมกับสถานภาพ

ของผู้หลักผู้ใหญ่ ก็มีการดำริว่าจะรื้อทิ้งแล้วสร้างให้มันดีให้มันถาวร

 ให้มันเหมาะสมกับการต้อนรับผู้ใหญ่ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต

แต่พอชาวบ้านได้ทราบข่าว ชาวบ้านที่เขาเหนื่อยลำบาก

กับการแบกไม้ แบกข้าวแบกของขึ้นมา

แล้วศาลาเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานประมาณสัก ๓ -๔ เดือนได้

 เขาก็ไม่ยอมให้รื้อ เขาถึงบอกเลยว่า

ถ้ารื้อศาลาหลังนี้เขาจะไม่ใส่บาตรให้พระอีก

พอความทราบถึงสมเด็จพระสังฆราช

ท่านก็เลยบอกว่าให้ระงับไว้อย่ารื้อ ให้อนุรักษ์ศาลาหลังนี้ไว้

ศาลาหลังนี้สร้างในปี พ.ศ.๒๕๒๖

 เป็นปีที่สมเด็จท่านรับเสด็จพระเจ้าแผ่นดินที่บนศาลาหลังนี้

เมื่อก่อนเป็นมุงด้วยหญ้า หญ้านี้ถ้ามุงไว้ใช้ประมาณ ๔ - ๕ ปี

มันก็จะผุต้องรื้อทำใหม่ ก็จะต้องรื้ออยู่เรื่อยๆ ทุก ๔ -๕ ปี

ก็เลยตัดภาระเรื่องนี้ไป โดยการมุงเป็นสังกะสีไป

 สังกะสีชุดนี้ก็เป็นชุดที่ ๒ เปลี่ยนเป็นสังกะสีมานี้ก็ประมาณปี ๒๕๓๐

 ก็เปลี่ยน ๒ ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ ด้วยกัน

ก็ยังใช้เป็นประโยชน์ได้มาจนถึงทุกวันนี้

มีคนบ่นว่าอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็บอกเขาว่าอย่าไปมองที่รูปมัน

 ให้มองที่การใช้งานว่ามันใช้งานได้หรือเปล่า

 เรานั่งบนนี้ปลอดภัยกันหรือเปล่า มันพังหรือเปล่า

 มันหลบแดดหลบฝนได้หรือเปล่าเท่านี้ก็พอ

 สมัยพระพุทธกาลท่านไม่ได้สนใจกับเรื่องถาวรวัตถุ

 สมัยที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญนี้ไม่มีศาลา ไม่มีกุฏิ

 ทรงประทับอยู่ตามโคนไม้บ้าง ตามถ้ำ ตามเงื้อมผาบ้าง

ตามเรือนร้างบ้าง นี่แหละคือที่เกิดของพระพุทธเจ้า

ของพระอริยเจ้าทั้งหลายไม่ได้เกิดตามกุฏิวิหารอันหรูหรา

ราคาสิบล้านร้อยล้าน แต่เกิดอยู่กับสภาพที่เรียบง่าย

สภาพตามแบบธรรมะจัดสรรคือตามมีตามเกิด มีอะไรก็อยู่ไป

ข้อสำคัญที่อยู่นั้นขอให้วิเวกสงบ สงัด ห่างไกลจากแสง สี เสียง

ห่างไกลจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ที่จะมาคอยยั่วยวนกวนใจให้เกิดกิเลสตัณหา

ให้เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมาเท่านั้น

อันนี้คือหลักของการหาสถานที่บำเพ็ญอยู่ตรงนี้

 ไม่ได้อยู่ที่ว่าจะต้องหรูหรา กุฏิจะต้องมีราคาเป็นสิบล้าน

ถึงจะบรรลุมรรคผล นิพพานได้

ยิ่งราคาเเพงเท่าไร ยิ่งบรรลุยากขึ้นเท่านั้น

 เพราะติดอยู่กับความสุข นิพพานนี้ท่านบอกว่าอยู่ฟากตาย

 ครูบาอาจารย์ท่านเคยพูดไว้ว่า ผู้ที่อยากจะไปนิพพานนี้

ถ้าไม่ยอมตายนี้ไปไม่ได้ ถ้ายังรักตัวกลัวตายอยู่

ยังต้องอยู่ในกุฏิที่ปลอดภัยที่ไม่มีภัยอันตรายเข้ามาเหยียบย่ำ

ทำลายชีวิตได้ ก็จะไม่มีวัน ที่จะไปถึงพระนิพพานได้

เพราะความกลัวตายนี้มันเป็นกิเลสนั่นเอง

เป็นกิเลสที่เราต้องทำลายให้ได้

 เพราะว่ากลัวหรือไม่กลัวมันก็ตายอยู่ดี

 แต่ผู้ที่ไม่กลัวนี้แลจะเป็นผู้ที่หลุดพ้นจากความทุกข์ได้

บรรลุมรรคผล นิพพานได้

ผู้ที่กลัวความตายนี้จะไม่มีวันหลุดพ้นได้

เพราะว่าความกลัวตายนี้ก็คือกิเลสตัณหาดีๆนี่เอง

 และผู้ที่จำบรรลุมรรคผล นิพพานได้

ก็ต้องทำลายกิเลสตัณหาทั้งหมดให้หมดให้ได้

ดังนั้นถ้ามีความกลัวตายแล้วก็จะไม่สามารถ

ที่จะบรรลุมรรคผล นิพพานได้

การที่จะทำลายความกลัวตายได้ ก็ต้องอยู่แบบเดนตาย

 อยู่แบบตามมีตามเกิด อย่างพระธุดงทั้งหลายท่านอยู่กัน

ท่านแบกกลด แบกบาตรไป อยู่ตามป่าตามเขา

มีตรงไหนหลบแดดหลบฝนได้ก็อยู่มันตรงนั้น

 ส่วนใหญ่ก็จะได้ชาวบ้านมาเมตตาสงสาร

 สร้างแคร่ให้อยู่อันหนึ่งเท่านั้งเอง ส่วนหลังคาก็ใช้มุ้งกลด

เวลาฝนตกก็คือกางมุ้งกลด เวลาจะนอนจะภาวนาก็มีมุ้งก็กางมุ้งกลด

แล้วก็กางมุ้งนั่งอยู่ในกลดนั้น นั่นแหละคือที่อยู่ของพระอริยเจ้า

ที่เกิดของพระอริยเจ้าท่านเกิดในที่เหล่านั้น

ลองศึกษาประวัติของครูบาอาจารย์ต่างๆ ดู

ดูว่าท่านบรรลุในกุฏิเรือนละสิบล้านยี่สิบล้านกันหรือเปล่า

หรือว่าท่านบรรลุกันบนแคร่บนเรือนร้างบ้าง ตามโคนไม้ในถ้ำ

นี่แหละคือที่บรรลุมรรคผล นิพพานกัน

ถ้าเราอยากจะบรรลุมรรคผล นิพพานเราก็ต้องทำแบบเดียวกัน

 อย่าไปกลัวความตายกลัวไม่กลัวก็ตายเหมือนกัน

 และสิ่งที่ตายก็ไม่ใช่ตัวเราของเราอยู่ดี

เป็นเพียงบ้านที่เราอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง

ร่างกายนี้เป็นเหมือนบ้านตัวเราคือใจที่ไม่มีวันตาย

 เราอาศัยร่างกายนี้เป็นบ้านเป็นที่อยู่อาศัย เป็นที่ทำภารกิจต่างๆ

ฉะนั้นเราควรที่จะเอาร่างกายนี้มาทำภารกิจให้กับใจ

อย่าเอามาทำภารกิจให้กับกิเลสตัณหา ด้วยการกลัวความตาย

หรือด้วยการกลัวความทุกข์ยากลำบาก

อันนี้เท่ากับเราเอาร่างกายมาทำประโยชน์ ให้กับกิเลสตัณหา

 ไม่ได้มาทำประโยชน์ให้กับธรรมะ ถ้าธรรมะแล้วต้องไม่กลัวตาย

 เพราะถ้ากลัวตาย ก็จะไม่มีวันเห็นธรรม ไม่มีวันที่จะบรรลุธรรมได้

นี่ก็คือเรื่องของความเป็นมาของสถานที่ปฏิบัติธรรมบนเขานี้

ตอนต้นก็สร้างเป็นกระต๊อบกันแล้ว ต่อมาสมเด็จท่านก็มีญาติ

มีศรัทธาถวาย กุฏิทีละหลังสองหลัง ตอนนี้มีกุฏิให้พระอยู่

ได้ประมาณ ๑๐ กว่ารูปด้วยกัน

แล้วก็มีศรัทธาญาติโยมสร้างกุฏิถวายให้พระองค์

ประทับอยู่ถึง ๒ - ๓ หลังด้วยกัน

 พระองค์ก็ทรงเสด็จขึ้นมาทุกครั้งที่มาบำเพ็ญภารกิจทางวัดญาณฯ

จนไม่สามารถที่จะขึ้นมาได้เนื่องจากชราภาพ

เพราะว่าต้องมีแพทย์ติดตามต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ

ซึ่งการที่จะมาประทับอยู่นี้มันยาก เพราะไม่มีน้ำประปา ไม่มีไฟฟ้า

 ตอนที่สร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมบนนี้ ก็ทรงดำริว่าไม่ให้ใช้ไฟฟ้ากัน

 ต้องการให้อยู่แบบวัดป่าสายหลวงปู่มั่นกัน

เช่นวัดป่าบ้านตาดนั้น ก็จะไม่ได้ใช้ไฟฟ้ากัน

ในยุคที่เป็นยุคบำเพ็ญเพียรกันนี้จะไม่มีไฟฟ้า

มามีตอนยุคหลังๆ ที่มีภารกิจที่เกียวข้องกับฆราวาสญาติโยม

ที่มาทำบุญกันมาก จึงมีไฟฟ้าใช้เฉพาะส่วนกลาง

คือที่ศาลาและที่โรง แต่ยังไม่ให้ใช้ตามกุฏิต่างๆ

 ตามกุฏนี้ก็ไม่ให้ไฟฟ้า เพราะว่าไฟฟ้านี้เป็นสื่อของกิเลส

เป็นเครื่องมือของกิเลส เพราะว่าถ้ามีไฟฟ้าแล้ว

เดี๋ยวรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะชนิดต่างๆ มันก็จะเข้ามาได้

 ตู้เย็นก็เข้ามาได้ ไฟฟ้าก็เข้ามาได้ ทีวีก็เข้ามาได้ วิทยุก็เข้ามาได้

 อะไรต่างๆก็จะเข้ามาได้ ถ้าเข้ามาแล้วก็เท่ากับเผากุฏิของตนเองไป

 เอาไฟมาเผากุฏิของตนเอง เผาใจของตนเอง

ด้วยราคะ ตัณหา ด้วยโทสะโมหะ

หลวงตาท่านจึงเข้มงวดกวดขันเรื่องการมีไฟฟ้ามาก

 โทรทัศน์นี้ท่านตั้งชื่อใหม่ว่าเทวทัต เทวทัตก็คือผู้ทำลายศาสนานี่เอง

 ดังนั้นสมัยที่อาตมาไปปฏิบัตินั้นจะไม่มีไฟฟ้า ไม่มีหนังสือพิมพ์

ไม่มีวิทยุ ไม่มีอะไรทั้งนั้น มีแต่การเดินจงกรม นั่งสมาธิ

 และทำภารกิจของพระ เช่นบิณฑบาต ปัดกวาดลานวัด กวาดถูศาลา

 อันนี้จะเป็นจะเป็นกิจของพระที่อยู่ที่วัดป่าบ้านตาดกัน

 เป็นที่กิจที่จะทำให้สามารถบรรลุมรรคผล นิพพานได้

ถ้ามัวไปยุ่งกับเรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส ในรูปแบบต่างๆ

ก็เท่ากับสึกออกจากการเป็นนักบวชนั่นเอง

การกลับเข้าหากามสุข หารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

ครูบาอาจารย์ท่านจึงระมัดระวังเรื่องของสื่อต่างๆ

 ที่จะเข้ามาทำลายความสงบ การบำเพ็ญของผู้ปฏิบัติกัน

 จึงตัดปัญหาด้วยการไม่ให้ใช้ไฟฟ้า

 พอไม่มีไฟฟ้าแล้วสิ่งต่างๆก็จะเข้ามายาก

 อันนี้ก็เหมือนกันบนเขานี้ ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้มาตลอดเวลา

เมื่อก่อนก็วิตกเหมือนกันว่าคนมามากขึ้นๆ แล้วจะทำอย่างไร

ศาลามันไม่พอนั่ง แต่มันก็มีทางไปจนได้ มันก็มีวิธีใหม่

 ก็นั่งกันบนลานบนพื้นกันไป มีเครื่องขยายเสียง

สามารถที่เอาไปวางไว้จุดต่างๆ ได้ ก็กลับดีเสียอีก

 ไม่ต้องมีการสร้างถาวรวัตถุต่างๆ

บรรยากาศก็ใกล้เคียงกับสมัยพระพุทธกาลมาก

 เช่นวันมาฆบูชามีพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปมาเฝ้าพระพุทธเจ้านี้

 ไม่มีปรากฏว่าทรงประทับอยู่บนศาลาหลังไหนเลย

 เพราะไม่มีศาลาสมัยนั้น เพราะเวลามาก็ไม่ได้นัดกันไว้ก่อน

 มากันแบบธรรมะจัดสรรให้มากันเอง

มากันแล้วทีไหนมีนั่งก็นั่งไป ก็เท่านั้นเอง

อันนี้แหละศาสนาแท้อยู่ที่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ

 อยู่ที่ใจ อยู่ที่ความเรียบง่ายอยู่ตามมีตามเกิด

อย่าเสียเวลาไปกับเรื่องของถาวรวัตถุมากจนเกินไป

 เช่นในช่วงกฐินนี้ส่วนใหญ่ก็วุ่นไปกับเรื่องถาวรวัตถุกัน

 แต่ละวัดก็อยากจะได้เงินได้กฐินกัน

เพื่อที่จะได้เอาเงินไปสร้างโบถส์บ้าง สร้างเจดีย์บ้าง สร้างศาลาบ้าง

 สร้างห้องน้ำห้องส้วมบ้าง สร้างเมรุบ้าง สร้างอะไรกันไปหมดเลย

ลืมไปหมดเลยว่าศาสนานี้ ไม่ไว้เพื่อสร้างมรรคผล นิพพานกัน

กลับมาสร้างห้องส้วมกัน สร้างเมรุกัน

แล้วมันจะเป็นศาสนาที่วิเศษได้อย่างไร

อันนี้แหละคือความห่างไกลของพุทธศาสนิกชนของเรา

เมืองไทยเราถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองพุทธก็จริง

แต่มันจะเป็นพุทธที่เปลือกแล้ว มันไม่ได้เป็นพุทธที่แก่น

 แก่นนี้หาไม่ค่อยได้ ชาวต่างชาติเขากลับเข้าถึงแก่น ง่ายกว่าพวกเรา

ที่เป็นชาวพุทธด้วยซ้ำไป

 ชาวต่างประเทศนี้เขามีหนังสือธรรมะอ่านกัน

หนังสือธรรมะที่คัดมาจากพระไตรปิฎกนี้ล้วนเป็นแก่นทั้งนั้นเลย

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มงคลสูตร สติปัฏฐานสูตร

พอพวกนี้เขาได้ศึกษาพระสูตรเหล่านี้แล้วเขาก็เกิดศรัทธา

อุตส่าห์เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล มาเพื่อมาขอบวชกัน

มาปฏิบัติธรรมกัน ดูซิชาวต่างประเทศที่เขามากัน

 เขาไม่ได้มาเพื่อมาร่วมสร้างเจดีย์ ร่วมสร้างศาลา

 ร่วมสร้างโบสถ์สร้างอะไรเขาผ่านพวกนี้ไปเลย เขาเข้าถึงแก่นเลย

แก่นก็คือการภาวนา การบวช

อันนี้แหละพวกเราที่เป็นชาวพุทธควรที่จะมองเขาเป็นตัวอย่าง

 คิดว่าทำไมเขาทำอย่างนี้ได้ เราทำไมทำไม่ได้

เพราะเราถูกปลูกฝังมาไปในทางที่ผิดนั่นเอง

 ปลูกฝังให้อยู่กับเรื่องพิธีกรรม

ถึงแม้การบวชก็เป็นการบวชเป็นพิธีบวชเพื่อสึกกัน

ทุกคนอยากให้ลูกบวชกัน แต่บวชแล้วอยากให้สึกกัน

ไม่ใช่บวชแล้วไม่สึกกัน ถ้าบวชไม่สึกแล้วเป็นเรื่องขึ้นมาเลย

นั่นแหละเพราะว่าตนเป็นพุทธที่ไม่รู้คุณค่าของการบวช

 ไม่รู้คุณค่าของมรรคผล นิพพานกัน

 เพราะไม่เคยศึกษาแก่นของศาสนากันเลย

ไม่มีธรรมเนียมสอนให้รู้จักกันเลยว่า

ทุกคนที่เกิดมานี้ ต้องรู้จักธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

นี่หัวใจสำคัญของศาสนาอยู่ที่ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

เป็นพระปฐมเทศนา คำสอนครั้งแรกของพระพุทธเจ้านี้

พระองค์ทรงแสดงแก่นของศาสนาเลย

 ถ้าเป็นกฎหมายก็เป็นรัฐธรรมนูญเลย ว่ามีอะไรบ้าง

ทรงแสดงมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ทรงแสดงอริยสัจ ๔

ทรงแสดงมรรค ๘ อันนี้แหละคือแก่นของศาสนา

ถ้าทุกคนเกิดมาพอเรียนรู้ได้แล้วก็ให้มาศึกษาพระสูตรอันนี้

แล้วรับรองได้ว่า จะไม่หลงทางกัน นี่ไม่มีใครสอนกันเลย

กลับไปเรียนรู้วิชาบ้าบอคอแตก มีปริญญาทุกรูปแบบเลย

 ปริญญาเต้นรำก็มี ปริญญาทำกับข้าวก็มี

เรียนไปหาอะไรของพวกนี้ไม่ต้องเรียนมันก็ได้

 เต้นรำต้องไปเรียนปริญญากันที่ไหน

ทำกับข้าวต้องไปเรียนปริญญากันที่ไหน

แต่ความรู้อันวิเศษของพระศาสนากลับไม่เรียนกัน

น่าจะสอนเด็กตั้งแต่เรียนรู้ได้สอนไปเลย

สอนอริยสัจ ๔ มรรค ๘ ไปเลย

เหมือนพระพุทธเจ้าจับพระราหุลบวช ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ

 ทำไมท่านจับเด็กบวชได้

ทำไมเราสอนลูกเราเกี่ยวกับพระอริยสัจ ๔ ไม่ได้

มันต่างกันตรงไหน เราไม่สอนเขา เขาก็เลยไม่รู้เรื่อง

เขาก็เลยโง่เหมือนเรา พระราหุลได้พระพุทธเจ้าเป็นครูก็ได้บรรลุ

 เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน มันไม่ยากหรอกการเป็นพระอรหันต์

ขอให้มีครูที่เป็นพระอรหันต์คอยสอน ก็มีเท่านั้นแหละ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

......................................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖

“ฟังธรรมเพื่อเสริมสติปัญญา”



















ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพค่ะ




Create Date : 16 ธันวาคม 2558
Last Update : 16 ธันวาคม 2558 13:06:25 น.
Counter : 4893 Pageviews.

1 comment
### มรดกของสมเด็จพระสังฆราชคือคำสอนอันล้ำค่า ###















“มรดกของสมเด็จพระสังฆราช

คือคำสอนอันล้ำค่า”

ถาม : หลังจากที่สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์

ก็มีหลายคนเข้าไปศึกษาไปอ่านประวัติ

หรือแม้กระทั่ง ไปอ่านคำสอนของพระองค์ท่านแล้วก็รู้สึกเสียดาย

 แม้ตอนท่านยังมีพระชนชีพอยู่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ปฏิบัติตาม

 ทั้งที่พระองค์ท่านเป็นพระที่งามพร้อม

พระอาจารย์ : ก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้เป็นตัวเขา

 เราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนั้น

 ก็เพราะว่าเขามีความสนใจในเรื่องอื่น เขาก็เลยไม่มาสนใจ

ต้องรอให้เป็นข่าวก่อน ถ้าเวลาเป็นข่าวแล้วทีนี้ มาทำข่าวกัน

 มีคนมาทำข่าวตั้ง ๒ - ๓ เจ้าแล้วทั้งปีทั้งชาติไม่เคยมีใครมาเลย

 พอมีเหตุการณ์ขึ้นมา มันก็เลยทำให้เกิดมีความสนใจ

 แต่มันก็เป็นความสนใจเพียงแค่ชั่วไฟไหม้ฟาง

 เดี๋ยวไม่นานมันก็จางหายไป แต่ก็ยังดี

ถ้าการจากของท่านไปนี้ทำให้เกิดมีความสนใจที่จะศึกษาร่ำเรียน

 ก็ยังสามารถทำได้ เพราะคำสอนของพระองค์ท่าน

ไม่ได้ตายไปกับท่าน

เหมือนกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ไปกับพระพุทธเจ้า

 อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

พวกเธอจะไม่อยู่อย่างปราศจากเราศาสดา เพราะอะไร

 เพราะธรรมวินัยที่ตถาคตได้ตรัสไว้ชอบแล้วนีแล

จะเป็นศาสดาของพวกเธอต่อไป นี่แหละคือศาสดาที่แท้จริง

 ก็คือพระธรรมคำสอน และพระประวัติอันดีงามของพระพุทธเจ้า

 หรือของสมเด็จพระสังฆราช

ท่านทิ้งสมบัติอันล้ำค่าไว้ให้กับพวกเรา มรดกอันล้ำค่า

สิ่งที่ไปนั้นเป็นของไม่มีสาระไม่มีคุณประโยชน์อะไร

ร่างกายไม่มีคุณประโยชน์หลังจากที่ตายไปแล้ว

 เป็นซากศพไป ซากศพของสัตว์กลับมีคุณค่ามากกว่า

 ซากศพของมนุษย์เสียอีก เพราะยังขายได้

 ไก่ตาย เป็ดตาย วัวตาย หมูตายนี้เราไปขายที่ตลาดได้

แต่คนตายนี้เอาไปขายที่ตลาดไม่ได้

กลับต้องมีรายจ่ายต้องเสียค่าทำศพกัน

ร่างกายของมนุษย์จะมีคุณประโยชน์

 ก็เฉพาะตอนที่มีชีวิตอยู่นี้เท่านั้น

 ดังนั้นเราควรที่จะรีบตักตวงประโยชน์ของร่างกายนี้

ประโยชน์ที่เราจะได้ก็มี ๒ ทาง ทางโลกและทางธรรม

ทางโลกก็เป็นประโยชน์ชั่วคราว

 ถ้าทางธรรมก็จะเป็นประโยชน์ที่ถาวร

เพราะเป็นประโยชน์ที่จะติดไปกับใจ ใจที่ไม่มีวันตาย

 แต่ประโยชน์ทางโลกก็จะติดอยู่กับร่างกายไป

 เช่นลาภยศ สรรเสริญ พอตายไปแล้ว

เดี๋ยวก็มีคนนั่งรอรับตำแหน่งสังฆราชกันแล้ว

 นี่คือประโยชน์ทางโลก ประโยชน์ชั่วคราว

แต่มรรคผล นิพพานที่ติดอยู่กับใจนี้ไม่มีใครมาเอาไปได้

ของใครของมัน นี่คือประโยชน์ทางธรรม

พระพุทธเจ้าตายไปแล้วไม่มีใครมาเอามรรคผล นิพพาน

ของพระพุทธเจ้าไปได้

 สมเด็จพระสังฆราชตายไป ก็ไม่มีใครที่จะมาเอามรรคผล นิพพาน

ของท่านไปได้ เอาไปได้ก็คือตำแหน่งสังฆราช

 เดี๋ยวพอเสร็จงานพิธีต่างๆ ผ่านไปแล้ว

เดี๋ยวก็จะมีสังฆราชองค์ใหม่โผล่ขึ้นมา

นี่คือประโยชน์ทางโลกไม่สำคัญเท่ากับประโยชน์ทางใจ

ขอให้เราไม่ต้องไปหลงกับประโยชน์ทางโลกให้มากจนเกินไป

อย่าไปหลงไหลได้เลยจะดีกว่า ให้แค่เพียงหาปัจจัย ๔ ไว้

เพื่อมาดูแลรักษาร่างกายเพื่อให้เราได้เอาร่างกายนี้

มาสร้างประโยชน์ทางใจกันจะดีกว่า

ดังนั้นถ้ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว

ทำให้เกิดมีความสนใจศึกษาก็ดี

เพียงแต่ขอให้ศึกษากันอย่างจริงๆ จังๆ เถิด

ศึกษาแล้วนำเอาไปปฏิบัติเถิด อย่าทำเป็นแบบเเฟชั่น

ทำแบบไฟไหม้ฟาง พอมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็เกิดการสนใจขึ้นมา

แล้วก็มาบ่นว่าเสียดายไม่ได้รู้กันมาก่อน มาศึกษากันก่อน

อันนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร

 เมื่อรู้แล้วว่าพระองค์ท่านมีความดี มีความรู้ที่ดีที่งามไว้สั่งสอนเรา

 เราก็ต้องรีบขวนขวายศึกษากัน ศึกษากันอย่างเอาจริงเอาจัง

ไม่ใช่ศึกษากันเป็นแบบเเฟชั่น

 เดี๋ยวพอมีเหตุการณ์อย่างอื่นปรากฏขึ้นมาก็ลืมเรื่องนี้แล้ว

ก็ไปยุ่งกับเหตุการณ์ใหม่อีก เข้าใจไหม.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...........................

ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๖

“ฟังธรรมเพื่อเสริมสติปัญญา”












ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 16 ธันวาคม 2558
Last Update : 16 ธันวาคม 2558 11:56:31 น.
Counter : 1201 Pageviews.

1 comment
### ผู้ปฏิบัติจะพ้นได้ต้องสำรวม ###


















...ผู้ปฏิบัติจะพ้นได้ ต้องสำรวม

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตน

อย่าได้ยินดียินร้ายและมั่นคงในศีล ๕

 และกรรมบถ ๑๐  เมื่อเจตนาละเว้น

กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ไม่ทำบาปในที่ลับและที่แจ้ง...

เจตนาทำบาปไม่มี จึงพ้นอบายภูมิ

เราพาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้าสู่บารมี ทศบารมี

ทศอุปปารมี ทศปรมัตถปารมี  ให้เต็มรอบเพียงใด

 เราก็จะพ้นภัยเกิดตายนั่นเอง

- หลวงปู่บุดดา ถาวโร















ขอบคุณที่มา fb. อมตะวาทะพระอรหันต์จากพระไตรปิฏก
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 ธันวาคม 2558
Last Update : 15 ธันวาคม 2558 11:29:40 น.
Counter : 1130 Pageviews.

0 comment
### วางเป็นก็เย็นได้ ###














"วางเป็นก็เย็นได้"

พระไพศาล วิสาโล



มือของเราทั้งสองข้างทำอะไรได้หลายอย่าง

 มากมายสุดจะพรรณนา แต่มีสองอย่างที่เราทำวันละหลายครั้ง

 และมีผลตรงข้ามกัน นั่นคือ “หยิบ” และ “วาง”

ความแตกต่างที่มักเกิดขึ้นอีกอย่างก็คือ

เวลาหยิบอะไรก็ตาม เรามักหยิบอย่างตั้งใจ

 จึงไม่ค่อยมีปัญหาตามมา (ยกเว้นพวกมือเบา

ซึ่งบ่อยครั้งก็หยิบอะไรต่ออะไรโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเพราะทำเป็นนิสัย)

 ตรงข้ามกับเวลาวางสิ่งของ เรามักทำอย่างไม่ค่อยใส่ใจ

 หรือทำไปตามความเคยชิน ผลก็คือ

บ่อยครั้งเราจำไม่ได้ว่าวางกุญแจไว้ที่ไหน

 เวลาจะใช้แว่นตาหรือปากกา หาแล้วหาเล่า

สอดส่ายอยู่นานกว่าจะเจอ วันหนึ่ง ๆ เสียเวลาไม่ใช่น้อย

กับการหาข้าวของ ที่แย่กว่านั้นก็คือหาเท่าไรก็หาไม่เจอ

เราเคยสังเกตไหมว่า เวลาเราวางของ โดยเฉพาะของที่ใช้ประจำ

 บ่อยครั้งตาเรามักจะมองไปที่อื่น

เช่น จับจ้องสิ่งที่กำลังจะหยิบหา

ไม่ใจก็กำลังเหม่อลอยหรือคิดนึกสารพัดเรื่อง

 ยิ่งสมัยนี้ผู้คนมีชีวิตที่เร่งรีบ ใช้อะไรเสร็จก็รีบวาง

เพื่อมือจะได้ว่างทำอย่างอื่นต่อ

วางของแต่ละครั้งใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

 ผลก็คือถึงเวลาจะใช้ของนั้น ก็นึกไม่ออกว่าวางที่ไหน

 บางครั้งถึงกับจำไม่ได้ด้วยว่าวางเมื่อใด

ขณะที่ความยุ่งยากในชีวิตของเราบ่อยครั้ง

เกิดจากมือที่วางของไม่เป็นที่

ความทุกข์ใจของผู้คนก็มักเกิดจากใจ

ที่ยึดติดกับสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่รู้จักวาง

อดีตอันเจ็บปวดหรือเหตุการณ์ที่เลวร้ายผ่านไปนานแล้ว

แต่ใจก็ยังหวนคิดถึงมันอย่างไม่ยอมเลิกรา

 คำพูดที่เสียดแทงใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ

 แต่ทำไมเรายังคิดถึงมันราวกับอยากจะทำร้ายตัวเอง

นั่นเป็นเพราะเราไม่รู้ตัว จึงยึดหรือแบกมันไว้ในใจเป็นวันเป็นเดือน

ปัญหาจากมือที่วางไม่เป็นที่  และใจที่ยึดไม่เลิก

 ล้วนมีสาเหตุมาจากสิ่งเดียวกัน นั่นคือ ไม่มีสติ

เมื่อวางอย่างไม่มีสติ ก็จำไม่ได้ว่าวางไว้ที่ไหน

และเมื่อใจไม่มีสติก็เผลอไปฉวยยึดสิ่งต่าง ๆ มาทิ่มแทงใจ

หรือทำให้ใจหนักอึ้ง จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

หรือถึงกับหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต

ชีวิตเราจะยุ่งยากน้อยลงหากวางของอย่างมีสติมากขึ้น

 เช่น เวลาจะวางอะไร ก็อย่าเพิ่งรีบวาง หรือทำตามความเคยชิน

 ให้ช้าลงสักนิด ตั้งสติสักหน่อย ตามองไปที่สิ่งของ

หรือตำแหน่งที่จะวาง จากนั้นจึงค่อยวาง

ทำใหม่ ๆ จะเผลอเป็นส่วนใหญ่ มีสติไม่กี่ครั้ง

 แต่ทำบ่อย ๆ สติก็จะมาไวขึ้น

 เวลาวางสิ่งของ จะทำด้วยความรู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น

ทำไปนาน ๆ จะกลายเป็นนิสัยใหม่

 ถึงตรงนี้ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

 หากทำเป็นอาจิณ มันไม่เพียงช่วยให้เรามีสติเวลาวางสิ่งของ

 ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เท่านั้น

หากยังทำให้เรามีสติในเรื่องอื่น ๆ ด้วย

 เช่น เวลาทำงาน เวลากินอาหาร หรือเวลาพูดคุยกับคนอื่น

หลายคนไม่สังเกตว่าวันหนึ่ง ๆ เราวางสิ่งของต่าง ๆ

 รวมหลายร้อยครั้ง บางช่วงแค่นาทีเดียวเราวางของ ๔-๕ อย่าง

แค่เรามีสติกับการวางของเหล่านี้ครึ่งเดียว

ความรู้เนื้อรู้ตัวของเราจะเพิ่มพูนขึ้น

 และส่งผลดีต่อจิตใจของเราด้วย

 ไม่ใช่ช่วยให้ใจลอยน้อยลงเท่านั้น

หากยังช่วยให้ใจไม่เผลอไปยึดหรือแบกปัญหาต่าง ๆ จนเป็นทุกข์

ไม่ว่าสิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรือยังมาไม่ถึง

แม้แต่งานการที่ค้างคา หนี้ที่ยังชำระไม่หมด ก็ไม่เอามาครุ่นคิด

หากยังไม่ถึงเวลา หรือถึงเผลอคิดไปแล้ว ก็มีสติรู้ทัน

 วางมันลงได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ใจโปร่งเบาและผ่อนคลาย

 ถึงเวลาทำงาน ก็ทำอย่างมีความสุข

เพราะใจไม่ไปหยิบเอาเรื่องอื่นมารกหัว

 มีงานรออยู่ข้างหน้ามากมายเพียงใด ก็ไม่เอามาเป็นอารมณ์

 จึงมีสมาธิในการทำงานอย่างเต็มที่

ความสุขและความทุกข์ของผู้คนส่วนใหญ่

 ถึงที่สุดก็ขมวดอยู่ตรงที่การวางนี้เอง

 ถ้าวางไม่เป็น ไม่ว่าด้วยมือหรือด้วยใจ ก็เป็นทุกข์ได้ง่าย

 แต่ถ้าวางเป็น ชีวิตก็มีความสุขและสงบเย็นได้ง่ายขึ้น

ส่วนจะวางเป็นหรือไม่ คำตอบก็อยู่ที่สติเป็นสำคัญ

..........................
















ขอบคุณที่มา fb, พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 15 ธันวาคม 2558
Last Update : 15 ธันวาคม 2558 11:10:24 น.
Counter : 972 Pageviews.

0 comment
### คุณประโยชน์ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ###


















“คุณประโยชน์ของพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้า”

....................

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาโต ภควตา ธัมโม

 คือเป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นธรรมที่ถูกต้องแม่นยำ

ตามความเป็นจริงทุกประการ

 เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง

 ไม่มีใครรู้ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ได้ด้วยพระองค์เองนี้

 มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว

และเป็นธรรมที่สำคัญต่อจิตใจของสัตว์โลกทั้งปวง

 เพราะเป็นธรรมที่จะสามารถนำพาสัตว์โลก

 ให้หลุดออกจากวัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้

 ให้ออกจากกองทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้

 ถ้าไม่มีพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ จะไม่มีผู้นำทาง

หรือจะไม่มีแสงสว่างในที่มืด ที่จะทำให้ผู้เดินทางได้เห็นทาง

และเดินตามทางจนได้ไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่ปลอดภัยได้

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงตรัสรู้ นำเอาพระธรรมคำสอน

นำเอาความรู้ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้นี้

มาเผยแผ่ให้แก่สัตว์โลก

จะไม่มีวันที่จะได้หลุดพ้นออกจากกองทุกข์

แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้เลย

 จะต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายซ้ำแล้วซ้ำอีก

อย่างที่พวกเรานี้กำลังเป็นกันอยู่

พวกเรานี้เกิด แก่ เจ็บ ตายกันมาไม่รู้กี่ล้านๆ รอบแล้ว

 แล้วก็จะเกิด แก่ เจ็บ ตายอย่างนี้ไปอีก

เป็นล้านๆ รอบเช่นเดียวกัน

 ถ้าเราไม่ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา

ถ้าพบพระพุทธศาสนาแต่ไม่สนใจที่จะศึกษา

ที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

การได้พบกับพระพุทธศาสนาก็ไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด

เหมือนกับไก่ที่ได้พลอย ไก่นี้จะไม่สนใจกับเพชรพลอย

 ที่ขุดคุ้ยเขี่ยไปเจอเข้า

เพราะไก่นี้จะหาแต่ไส้เดือน มาเป็นอาหาร

 ไม่เห็นคุณค่าของเพชรพลอยที่พบ

ในขณะที่ขุดคุ้ยก็จะเขี่ยทิ้งๆไป

ใจของผู้ที่ไม่มีปัญญา ใจของผู้ที่ยังมืดบอดอยู่

จะไม่เห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

จะไม่ให้ความสำคัญจะไม่สนใจที่จะศึกษา

จะไม่สนใจที่จะปฏิบัติตาม

เพราะสิ่งที่ใจของผู้ที่มีความมืดบอดสนใจนั้น

ไม่ใช่เป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

แต่เป็นลาภยศ สรรเสริญ สุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 ผู้ที่มีความมืดบอดจะมุ่งไปหาลาภยศ สรรเสริญ

หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายกัน

จะไม่เข้าหาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

 เพราะไม่ได้เห็นคุณค่าเห็นคุณประโยชน์นั่นเอง

ผู้ที่ยังไม่เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ของพระธรรมคำสอน

ก็ยังไม่สายจนเกินไป ถ้าสนใจเข้ามาศึกษา

เข้ามาฟังมาหาความรู้

หาความเข้าใจว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

 มีคุณค่ามีประโยชน์อย่างไร ถ้าได้ศึกษาไปเรื่อยๆ

ก็จะเกิดความเข้าอกเข้าใจดีขึ้นไปเรื่อยๆ

 จะเห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

เพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่จะปฏิบัติตามได้

แล้วก็ถ้าได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่างขยันหมั่นเพียร

ไม่ท้อถอยไม่ย่อท้อ ไม่หยุดไม่หย่อน

ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ช้าบ้าง เร็วบ้าง มากบ้าง น้อยบ้าง

ตามวาระตามโอกาส ตามกำลัง ไม่ช้าก็เร็ว

ก็จะได้รับผลประโยชน์ จากการปฏิบัติ

ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

 จะได้หลุดพ้นกองทุกข์แห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย

การฟังธรรมจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง

 สำหรับผู้ที่ยังไม่เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ ของพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้า ต้องพยายามหมั่นฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ

เหมือนกับไก่หรือคนที่ไม่เห็นคุณค่าของเพชรนิลจินดา

เช่นเด็กเขาจะไม่รู้จักคุณค่าของเพชรนิลจินดาว่ามีคุณค่าอย่างไร

เด็กๆเขาก็จะสนใจกับขนมนมเนย

 เขาก็จะไม่รู้ว่าเวลาได้เพชรพลอยมาแล้ว

จะเอามาทำประโยชน์อะไรให้กับเขาได้

แต่ถ้าเขาได้ยินได้ฟังคุณค่าของเพชรพลอยอยู่เรื่อยๆ

ว่า มีคุณค่าราคามากกว่าขนมนมเนยที่เขาสนใจที่เขาอยากได้

เพราะถ้ามีเพชรมีพลอยแล้วสามารถเอาเพชรพลอยเหล่านี้

ไปแลกกับขนมนมเนยได้เป็นจำนวนอันมากมาย

 เขาก็จะเริ่มเห็นคุณค่าเห็นความสำคัญ

ของเพชรพลอยต่อไป ฉันใด

ผู้ที่ยังไม่เห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถ้าได้ศึกษาได้ฟังธรรมบ่อยๆเข้าไปแล้ว

ก็จะเริ่มเห็นคุณค่าเห็นคุณประโยชน์ของพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าว่ามีคุณค่า มีคุณประโยชน์

มากกว่าสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลก

มากกว่าสิ่งต่างๆ ที่เขากำลังแสวงหาอยู่ในตอนนี้

คือการหาลาภยศ สรรเสริญ หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 เขาจะเริ่มเห็นว่าการหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 การหาความสุขด้วยลาภยศ สรรเสริญนี้

ถึงแม้ว่าจะเป็นความสุขแต่ก็เป็นความสุขชั่วคราวเท่านั้น

แล้วก็มีความทุกข์อันยิ่งใหญ่ตามมา

 เวลาที่สูญเสียเวลาที่เสื่อมลาภยศ สรรเสริญ

 เวลาที่สูญเสียความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายไป

 หรือเวลาที่เขามีความทุกข์ลาภยศ สรรเสริญ

และความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

ก็จะไม่สามารถดับความทุกข์ใจของเขาได้

แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านี้

 สามารถดับความทุกข์ใจได้ทุกชนิด

นี่คือความเหนือกว่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ต่อสิ่งต่างๆ ทั้งหลายในโลกนี้

จึงมีคุณค่ามีคุณประโยชน์กว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้

เพราะสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่สามารถดับความทุกข์ใจ

กำจัดความทุกข์ใจให้หมดไปจากใจได้

ทำได้ก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ดับความทุกข์ใจด้วยการให้ความสุข

 แต่ก็เป็นความสุขชั่วคราว พอความสุขนั้นหมดไป

ความทุกข์ใจที่มีอยู่ก็ยังกลับคืนมาเหมือนเดิม

 ต่อให้มีความสุขทางลาภยศ สรรเสริญ

ทางตา หู จมูก ลิ้น กายมากมายเพียงไรก็ตาม

ก็จะไม่สามารถที่กำจัดความทุกข์ให้หายไปจากใจอย่างราบคาบได้

 แต่ถ้านำเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ

จะสามารถดับความทุกข์ใจต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจนี้

ให้หมดไปได้อย่างราบคาบเลย

นี่คือคุณประโยชน์ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถ้าเราไม่ได้ศึกษา เราก็จะไม่รู้คุณค่าของพระพุทธศาสนา

คุณค่าของพระธรรมคำสอนเหมือนกับถ้าเราไม่ได้ศึกษา

คุณค่า ของเพชรนิลจินดาต่างๆ เวลาเราเห็นก้อนเพชร

 เราก็จะคิดว่าเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น

ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรได้ แต่ถ้าได้ศึกษาว่าถ้ามีก้อนเพชรนี้

เขาสามารถที่จะเอาไปทำเครื่องประดับ

 เอาไปทำอะไรต่างๆที่มีคุณค่าราคามหาศาลได้

 เขาก็จะเริ่มรู้จักคุณค่าของเพชรนิลจินดา

ดังนั้นการฟังเทศน์ฟังธรรม จึงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อผู้ที่ยังไม่มีศรัทธา

 แล้วก็มีความสำคัญต่อผู้ที่มีศรัทธาแล้ว เช่นเดีวกัน

สำหรับผู้ที่ไม่มีศรัทธาเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็จะเกิดศรัทธา

 เกิดความเชื่อ เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์

ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

สำหรับผู้ที่มีศรัทธาแล้ว ก็จะได้ประโยชน์จากการฟังธรรม

 เพราะจะได้รู้เพิ่มเติม วิธีที่ของการปฏิบัติธรรมขั้นต่างๆ

มากขึ้นไปตามลำดับ เพราะการปฏิบัติธรรมแต่ละขั้น

 ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป

การฟังธรรมเพียงครั้งเดียวนี้

ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงธรรมทั้งหมดได้

ก็ต้องอาศัยการฟังไปเรื่อยๆ เป็นระยะๆ

ยกเว้นผู้ที่ได้มีการศึกษา มีการปฏิบัติมาอย่างโชกโชนแล้ว

เช่นในสมัยพระพุทธกาล ที่มีผู้ได้ศึกษาได้ปฏิบัติ

ที่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง

แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมีไว้รองรับคำสอน

ของพระพุทธเจ้าอีกชั้นหนึ่งก็คือนักบวชทั้งหลาย

 ที่ได้ออกบวชได้รักษาศีล ให้บริสุทธิ์และได้ทำใจให้สงบ

เป็นสมาธิเป็นฌาณ แต่สิ่งที่เขาไม่มีก็คือปัญญา

ความรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

ปัญญานี้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ

ในการที่จะกำจัดความทุกข์ต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้

ถ้าไม่มีปัญญาของพระพุทธเจ้า

ไม่มีความรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้

ผู้ปฏิบัติธรรมที่มีศีล มีสมาธิแล้ว

ก็ยังจะไม่สามารถที่จะกำจัดความทุกข์ต่างๆ ให้หมดไปจากใจได้

 จะทำให้ก็เป็นเพียงการระงับไว้ชั่วครั้งชั่วคราว

ในขณะที่ทำใจให้สงบให้ใจอยู่ในสมาธิ

เวลาใจสงบอยู่ในสมาธิ ความทุกข์ต่างๆ ก็จะยุติไปชั่วคราว

 ท่านเปรียบเทียบสมาธิเป็นเหมือนกับหินทับหญ้า

หินที่ทับหญ้าอยู่ เวลามีหินทับหญ้าอยู่

หญ้าก็จะไม่สามารถงอกเงยขึ้นมาได้

แต่เวลาออกจากสมาธิมาแล้ว

ก็เหมือนกับการยกเอาหินออกจากหญ้าไป

พอไม่มีหินทับหญ้า หญ้าก็จะเจริญขึ้นมาใหม่ได้

จิตก็ออกจากสมาธิมาก็จะคิดปรุงเเต่ง

 ไปในทางที่จะทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาใหม่ได้

เพราะว่าไม่รู้ว่าความคิดปรุงเเต่งต่างๆของจิตนี้เอง

 เป็นตัวสร้างความทุกข์ให้แก่ใจ

ถ้าคิดไปในทางความอยาก ๓ ประการด้วยกัน

 คือความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

เรียกว่ากามตัณหา ความอยากมีอยากเป็น

 อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 บุคคลนั้นบุคคลนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เรียกว่า ภวตัณหา

 และอยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้

บุคคลนั้นบุคคลนี้ไม่ให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้

 อยากนี้เรียกว่าวิภวตัณหา

ถ้ายังมีความคิดไปในแนวทางทั้ง ๓ ประการนี้อยู่

ความทุกข์ก็จะไม่มีวันหมดไป

ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาทรงตรัสรู้ถึงความจริงอันนี้

ว่าความทุกข์เกิดจากความคิดปรุงเเต่งไปในแนวทาง ๓ ประการนี้

ถ้ายังคิดไปในแนวทางของกามตัณหา ภวตัณหา

ของวิภวตัณหาอยู่ความทุกข์ก็จะปรากฏขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ

 ไม่มีวันสิ้นไม่มีวันหมดไป ถ้ายุติการคิดไปในทางนี้ได้

 ก็จะไม่มีความทุกข์ปรากฏขึ้นมา.

.......................

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘

“การเข้าหาพระธรรมคำสอน”







 

 

ขอขอบคุณที่มา  fb.พระอาจารย์สุชาติ  อภิชาโต

ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ 




Create Date : 15 ธันวาคม 2558
Last Update : 15 ธันวาคม 2558 10:31:30 น.
Counter : 1196 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ