Group Blog
All Blog
|
### คำสอนที่ลึกซึ้งมาก ###
ที่มีความหมายที่ลึกซึ้งมาก ที่เป็นความจริงที่จะทำให้ดับความหลงทั้งหลาย ดับความทุกข์ทั้งหลาย ให้หมดไปจากใจของเราได้ คำสอน ๒ ประโยคนี้คือ ๑. มโน ปุพพัง คมา ธัมมา คือใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน ใจเป็นของล้ำค่า ใจเป็นทรัพย์ของเรา ส่วนอีกประโยคหนึ่งก็คือ ๒. สัพเพ ธัมมา อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากใจเป็นอนัตตา คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราเข้าใจหลักนี้แล้ว เราจะได้รู้ว่า เราควรจะปฏิบัติอย่างไร ก็คือเราต้องปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ไม่ใช่เป็นของเรานั่นเอง แล้วเราก็จะได้มาดูแลรักษา ของที่เป็นของเรา ก็คือ ใจ นี่เอง ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจเป็นสิ่งที่ไม่มีวันจากเราไป เป็นสิ่งที่อยู่กับเราไปตลอด ส่วนของต่างๆในโลกนี้ ไม่ใช่เป็นของเรา เป็นของดินน้ำลมไฟเท่านั้น ร่างกายของเราก็เป็นของดินน้ำลมไฟ ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ บุคคลต่างๆ ก็เป็นของดินน้ำลมไฟทั้งนั้น เราก็จะมาปฏิบัติ เพื่อละเพื่อปล่อยของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เรายึดติดอยู่ ที่เราถือว่าเป็นของเรา เป็นตัวเรา เพราะถ้าเราไม่ปล่อย เราก็จะสร้างความทุกข์ให้แก่ใจของเรา เพราะเวลาที่ของต่างๆที่เรารักที่เราชอบ ที่เราถือว่าเป็นของเราเป็นตัวเรา จะต้องจากเราไป เราก็จะมีแต่ความทุกข์ทรมานใจ เพียงแต่คิดถึงมันก็ไม่สบายใจแล้ว เพียงแต่คิดว่าจะต้องสูญเสีย สิ่งนั้นสิ่งนี้ไป บุคคลนั้นบุคคลนี้ไป สูญเสียร่างกายนี้ไป ก็เกิดความไม่สบายใจแล้ว แต่เราไม่รู้ว่า ถ้าเราปล่อยได้ วางได้ ตัดได้ ไม่ยึดไม่ติด กับของต่างๆ กับบุคคลต่างๆ กับร่างกายของเรา เรากลับจะมีความสุข กลับจะมีความสบายใจ ถ้าเราไม่ได้มีพระพุทธเจ้า มาเสนอแนะมาบอกพวกเรา ให้รู้ความจริงอันนี้ พวกเราก็จะกอดติดกับสิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่าเป็นของเราเป็นตัวเรา ถึงแม้ว่าใจของเราจะทุกข์ทรมานขนาดไหน เราก็ปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ สละไม่ได้ แต่ถ้าเราได้ยินได้ฟัง พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเห็นโทษของการยึดติด เห็นความทุกข์ที่เกิดจากการยึดติด เราก็จะรู้ว่าเราจะต้องปล่อยมัน เพราะโดยลำพังเพียงแต่รู้ว่าเราต้องปล่อย แต่เราไม่มีกำลังที่จะปล่อย เพราะแรงที่ดึงใจของเรา ให้ไปยึดไปติดนี้ มันมีกำลังมากกว่า กำลังที่เราจะปล่อย ดังนั้น เราจึงต้องมาสร้างกำลัง เพื่อจะได้ปล่อย สิ่งต่างๆที่เราไปหลงยึดติด ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นตัวเรา เพื่อเราจะได้ไม่ต้องทุกข์กับสิ่งต่างๆ เวลาที่เราต้องแยกทางกัน การปฏิบัติธรรม ก็เพื่อสร้างกำลังที่จะถอดถอนอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งต่างๆในบุคคลต่างๆ ในร่างกายของเรา ในความรู้สึกที่มีอยู่ในร่างกายของเรา ถ้าเราไม่มีเครื่องมือ ถึงแม้ว่าเราได้ยินได้ฟัง ว่าการยึดติดกับสิ่งต่างๆ จะทำให้เราทุกข์ทรมานใจ แต่เราก็จะปล่อยไม่ได้ เช่นคนที่ยึดติดกับสุรายาเมา หรือยาเสพติด ทั้งๆที่รู้ว่าการเสพสุรายาเมา การเสพยาเสพติดนี้ เป็นความทุกข์ทรมานใจ แต่ก็เลิกไม่ได้ เพราะเวลาจะเลิกนี้ ความทุกข์ทรมานใจมันรุนแรงกว่า ความทุกข์ทรมานใจที่เกิดจากการยึดติด แต่ถ้าเรามีเครื่องมือ ที่จะมาทำให้การปล่อยวางนี้ ไม่ทุกข์ทรมาน เราก็จะสามารถปล่อยวางได้ เหมือนกับเวลาที่เราต้องรักษาตัว ไปโรงพยาบาล หมอต้องทำการผ่าตัด ถ้าหมอไม่ดมยาให้ เราก็จะเจ็บมากปวดมาก เราก็จะไม่ยอมให้หมอทำการผ่าตัด แต่ถ้ามียาสลบ ทำให้เราไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ในขณะที่หมอทำการผ่าตัด เราก็จะให้หมอผ่าตัดเราได้ หรือเวลาที่เราไปทำฟันไปถอนฟัน ถ้าไม่ได้ฉีดยาชา เวลาจะถอนฟันนี้มันเจ็บมากปวดมาก เราจะไม่อยากให้หมอถอนให้ แต่ถ้าหมอมียาชาฉีดเข้าไปในเหงือก พอเกิดอาการชาขึ้นมาแล้ว เวลาหมอถอนฟันนี่ไม่รู้สึกเจ็บไม่รู้สึกปวดเลย ที่เป็นตัวที่ทำให้เรายึดติด อยู่กับสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้ เราก็จำเป็นจะต้องมียาชามียาสลบ ยาชาหรือยาสลบที่จะช่วยทำให้การถอดถอนอุปาทาน ออกจากสิ่งต่างๆเป็นไปได้อย่างไม่ยากเย็น ก็คือการทำใจให้สงบเป็นอุเบกขานั่นเอง หรือที่เรียกว่าสมาธิ ถ้าใจมีสมาธิ มีอุเบกขา เวลาที่จะปล่อยอะไรนี้ จะไม่รู้สึกเดือดร้อนแต่อย่างใด เพราะใจตั้งอยู่ในความสงบ ตั้งอยู่ในความเป็นกลางนั่นเอง คือไม่รักไม่ชัง เมื่อไม่รักไม่ชังเวลาที่ต้องเสียสิ่งที่รักไป ก็จะไม่รู้สึกเดือดร้อนแต่อย่างใด เวลาที่จะต้องเผชิญของที่เราไม่มีความชัง เราก็จะไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร แต่เวลาถ้าเราไม่มีอุเบกขา เรามีความรักมีความชัง เวลาที่เราต้องเสียของที่รักไปเราก็จะเดือดร้อน หรือเวลาเราต้องประสบต้องเจอกับของที่เราไม่รัก ของที่เราเกลียด เราก็จะเดือดร้อน แต่ถ้าเราทำใจให้เป็นอุเบกขาได้ เวลาที่เราต้องเจอกับสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็จะเฉยๆ เวลาจะต้องสูญเสียสิ่งที่เรารักเราชอบไป เราก็จะรู้สึกเฉยๆ เพราะตอนนั้นเราไม่มีความรักความไม่ชอบ กับสิ่งใดๆนั่นเอง นี่แหละเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการที่เราจะปล่อยวาง ถอดถอนอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต ....................................
กัณฑ์ที่ ๔๗๕ ธรรมะบนเขา วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๗ ### ความรักสองประเภท ###
ประเภทหนึ่งเป็นความรักที่มีความยึดติดถือมั่น เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เพื่อตอบสนองตัวตน หรือหวังความสุขเพื่อปรนเปรอตัวตน เราเรียกว่า สิเนหะ หรือเสน่หา เช่น ต้องถูกใจฉัน ต้องพะเน้าพะนอฉัน ความรักอีกประเภทหนึ่งเป็นความรักที่เป็นความปรารถนาดี ไม่มุ่งหรือคาดหวังให้เขามาปรนเปรอตัวตน เป็นความปรารถนาดีโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว อันนี้เรียกว่าเมตตา เพราะว่าถ้าคาดหวังให้เป็นไปตามใจตัวแล้ว เมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังก็ทุกข์ เกิดความพลัดพรากสูญเสียไปก็ทุกข์ แต่เมตตานั้น เนื่องจากไม่มีความยึดติด ถือมั่นเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ดังนั้นเขาจะทำอย่างไรกับเรา เราก็ไม่ทุกข์ เพราะว่ามีแต่ความปรารถนาดีอย่างเดียว ไม่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องทำดีกับฉัน เขาต้องเทิดทูนบูชาฉัน หรือว่าเขาต้องเป็นลูกของฉัน เป็นสามีของฉัน เป็นคนรักของฉัน เท่ากับพระราหุล เมตตาคือความรักโดยไม่แบ่งแยก คนส่วนใหญ่มองว่าถ้าเป็นลูกฉันก็รัก ถ้าเป็นศัตรูฉันไม่รัก อันนี้เป็นสิเนหะ แต่เมตตาไม่มีเลือก ไม่มีแบ่งแยก เป็นความรักที่ไม่มีประมาณ ไม่มีเงื่อนไข ขณะเดียวกันเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับเขา เราก็ไม่ทุกข์ เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา หรือต้องอยู่กับเราชั่วนิจนิรันดร์
พระไพศาล วิสาโล ### เรื่องของคน ###
พระเจ้าก็ไม่นบ วันศีลก็ไม่ละ วันพระก็ไม่ถือ แล้วจะเอาดีมาจากไหน" ............
หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ### พระอรหันต์อยู่ในบ้าน ###
พระอรหันต์อยู่ในบ้าน
ธรรมเทศนาของท่านเข้าใจง่าย ไม่ต้องนั่งแปลไทยให้เป็นไทย เพราะท่านใช้คำไทยตรงๆ เป็นภาษาพื้นๆ ที่คนทั่วไปได้ฟังก็เข้าใจ เป็นที่นิยมของชนทุกชั้น ฟังไปก็สนุกเพลิดเพลิน และยังได้คติธรรม ไม่ง่วงเหงาหาวนอนเหมือนนักเทศน์ท่านอื่นๆ ให้แสดงธรรม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกมาท่ามกลางเหล่าขุนนาง ข้าราชการ และข้าราชบริพาร ครั้นพอพบหน้าท่านเจ้าผู้ครองแผ่นดิน ก็ทรงสัพยอกว่า ท่านเจ้าคุณ เห็นเขาชมกันทั้งเมือง ว่าท่านเทศน์ดีนักนี่ วันนี้ต้องขอพิสูจน์หน่อย และได้รู้เห็นในธรรมนี้แล้วเขาก็ชมว่าดี ขอถวายพระพร มหาบพิตร และวันนี้อาตมาจะมาเทศน์เรื่อง พระอรหันต์อยู่ในบ้าน และเหล่าขุนนาง ข้าราชการและข้าราชบริพาร ต่างก็มีความสงสัย เพราะเคยได้ยินแต่ว่า พระอรหันต์ท่านจะอยู่ในถ้ำ ในป่า ในเขา ในที่เงียบสงัด หรือที่วัดวาอารามเท่านั้น แต่ทำไมสมเด็จโตจึงกล่าวว่า จะเทศนาเรื่องพระอรหันต์อยู่ในบ้าน ในขณะที่ทุกคนพากันคิดสงสัยอยู่นั้น ฝ่ายสมเด็จโตทรงทราบด้วยญาณวิถีของทุกคน ท่านจึงขยายความต่อไปว่า จิตพระอรหันต์เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านละจากความโลภ ความหลง ไม่ยินดียินร้ายในเรื่องใดๆทั้งสิ้น เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม หากใครได้ทำบุญกับพระอรหันต์แล้วไซร้ ก็ถือได้ว่าเป็นลาภอันประเสริฐที่สุด บุญที่ได้ทำกับท่านจะให้ผลในชาติปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้า ทุกๆคนจึงมุ่งเสาะแสวงหาแต่พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน แต่ไม่เคยมองเห็นพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านเลย ต่างทำสีหน้างุนงงไปตามกัน เพราะไม่เข้าใจความหมาย สมเด็จโตจึงเทศนาต่อไปว่า พระอรหันต์คือ พระผู้ประเสริฐ คนเราทั้งหลายพยายามค้นหาพระผู้ประเสริฐ เพียงหวังที่จะยึดท่าน เกาะผ้าเหลืองท่าน เกาะหลังของท่าน เพื่อให้ท่านพาไปสู่ความสุข แม้ว่าท่านจะอยู่ไกลสุดขอบฟ้า คนเราก็ยังอุตสาห์ดั้นด้นดิ้นรนไปหา เพียงหวังเพื่อยึดเหนี่ยวและบูชาท่าน แต่พระที่อยู่ภายในที่ใกล้ตัวที่สุดกลับมองข้าม มองไม่เห็น เหมือนใกล้เกลือ แต่กลับไปกินด่าง อันน้ำใจของพ่อ แม่ ที่ให้ต่อลูก มีแต่ความบริสุทธิ์ ไม่คิดหวังสิ่งตอบแทน เช่นเดียวกับน้ำใจของพระอรหันต์ ที่ให้ต่อมนุษย์ ก็มีความบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน ท่านมีน้ำใจบริสุทธิ์ต่อลูกมากมายนัก ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่อยู่ในท้องของท่าน ทนทุกข์ทรมานร่วมเก้าเดือนบ้างสิบเดือนบ้าง แต่ท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นสักนิด มีแต่ความสุขใจ แม้ลูกเกิดมาแล้วพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด ท่านก็ยังรักยังสงสาร เพราะท่านคิดเสมอว่านั้นคือสายเลือด ถือว่าเป็นลูก ไม่เคยคิดรังเกียจและทอดทิ้ง แต่ท่านกลับจะเพิ่มความรักความสงสารมากยิ่งขึ้น ครั้นตอนที่เราเป็นเด็กเล็กๆ ก็ซุกซนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เราเคยหยิก เคยข่วน ทุบ ตี เตะ ต่อย กัด หรือด่าทอพ่อแม่ต่างๆ นานา เพราะความไร้เดียงสา ท่านก็ไม่เคยโกรธเคือง กลับยิ้มร่าชอบใจ เพิ่มความรักความเอ็นดูให้เสียอีก แม้เราจะเป็นผู้ใหญ่รู้ผิดชอบชั่วดี แต่บางครั้งด้วยความโกรธ ความหลง เราก็ยังทุบตีหรือด่าทอท่านอยู่ แทนที่ท่านจะโกรธหรือถือโทษเอาผิดต่อเรา ท่านกลับยอมนิ่งเฉย ยอมที่จะทนรับทุกข์เพียงฝ่ายเดียว ยอมเสียน้ำตา ยอมเป็นเครื่องรองรับมือ รับเท้า และปากของเรา ท่านให้อภัย ในการกระทำของเราเสมอ เพราะท่านกลัวเราจะมีบาปติดตัว จึงยอมที่จะเจ็บ ยอมทุกข์เสียเอง ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะรักเรา และหวังดีต่อเราอย่างจริงจังและจริงใจ เหมือนพ่อแม่ ท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กจนเราเติบใหญ่ ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และกำลังทรัพย์ให้แก่เราอย่างมากมาย จนไม่อาจประมาณค่าเป็นตัวเลขได้ ทั้งนี้เพราะมันมากมายจนเกินกว่าจะประมาณค่าได้ และในบางครั้ง ลูกหลงผิดเป็นคนชั่วด้วยอารมณ์แห่งโทสะ เป็นคนเมาขาดสติ ก่อกรรมทำเข็ญเป็นที่เดือดร้อนแก่ชาวบ้าน ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ในสายตาของท่านแล้ว เมื่อมีภัยสู่ลูก ก็ยังโอบไปปกป้องรักษา ช่วยเหลือลูกอย่างเต็มกำลัง และสุดความสามารถ ยอมเสียทรัพย์สินและเงินมากมาย เพื่อให้ลูกได้พ้นผิด ถึงแม้ว่าในบางครั้งลูกต้องถูกจองจำหมดแล้ว ซึ่งอิสรภาพด้วยอาญาแห่งแผ่นดิน ก็คงมีแต่พ่อแม่เท่านั้นที่คอยหมั่นดูแลไปเยี่ยม ไปเยียน คอยส่งน้ำส่งข้าวปลาอาหาร คอยให้กำลังใจแก่ลูก ให้ต่อสู้กับความเจ็บปวด และทุกข์ทรมานของจิตใจที่ลูกได้รับ และรอนับเวลาที่ลูกจะกลับมาสู่อ้อมกอดอีกครั้งหนึ่ง เปรียบเท่ากับน้ำใจของพระอรหันต์โดยแท้ พ่อแม่จึงเป็นพระอรหันต์ในบ้านของเราจริงๆ ทำไมพวกท่านจึงไม่คิดที่จะทำบุญ กับพระอรหันต์ที่อยู่ในบ้านของท่านเล่า เป็นคนชั่วใจสายตาของบุคคลอื่น แต่สำหรับลูกแล้ว ท่านเสียสละได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง แม้แต่ชีวิตท่านก็สามารถเสียสละให้ลูกได้ พ่อแม่มีลูกนับ 10 คนเลี้ยงดูมาเติบใหญ่ แต่ลูกทั้ง 10 คน กลับเลี้ยงดูพ่อแม่เพียง 2 คนไม่ได้ ชอบเกี่ยงกันเพราะลูกเหล่านั้นกำลังลืมคำว่า พระคุณของพ่อแม่ โดยการซื้ออาหารการกิน ซื้อเสื้อผ้า พาท่านไปทำบุญทำทาน เข้าวัดเข้าวา อะไรก็ตามที่ทำแล้วให้ท่านมีความสุข ก็ควรทำให้ท่าน ดูแลความทุกข์สุข และเลี้ยงดูจิตใจท่าน เชื่อฟังในโอวาทคำเตือนของท่าน คำพูดคำจาที่จะพูดกับท่านก็ต้องระมัดระวัง เพราะคนแก่นั้นใจน้อย ต้องรักษาน้ำใจท่านไว้ ด้วยคำพูดที่นิ่มหู ฟังดูแล้วไม่ทำให้ท่านไม่สบายใจ ไม่ปล่อยทิ้งให้ท่านอยู่อย่างว้าเหว่ คอยเอาใจใส่ปรนนิบัติดูแลท่านอย่างใกล้ชิด แต่คนส่วนมากมักจะทำบุญให้พ่อแม่ เมื่อยามที่ท่านตายจากเราไปแล้ว เพราะนั่นคือการพลาด และเป็นการพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเราเอง ซึ่งความจริงแล้ว เราควรที่จะทำบุญให้กับพ่อแม่ ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที จงกลับไปทำบุญกับพ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์ในบ้าน การทำบุญแบบนี้จะได้อานิสงส์ทันตาเห็นในชาติปัจจุบัน บุญที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน คือบุญที่ทำกับพระอรหันต์ผู้ประเสริฐ แต่พระอรหันต์ที่อยู่นอกบ้าน พวกท่านไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่า องค์ใดจริงหรือไม่จริง แต่ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด และเป็นของจริง และบูชาได้อย่างแน่นอน ไม่เคยเห็นผู้ใดเลย ที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่แล้ว ต้องพบกับความวิบัติไม่เคยมี มีแต่จะทำมาหากินอาชีพอะไร ก็จะเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้ มีแต่ความสุข อายุยืนยาวตายตามกาลเวลา และพิจารณาในเรื่องราวต่างๆ ที่อาตมาได้เทศนาให้ฟังในครั้งนี้ให้ดี แล้วประโยชน์และความสุข ก็จะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย อย่างทันตาเห็น เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้ ขอถวายพระพร เหล่าขุนนางข้าราชการและข้าราชบริพารทั้งปวง ได้ฟังคำเทศนาของสมเด็จโตจบลง บ้างน้ำตาก็คลอเบ้าทั้งสอง บ้างน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาสุดที่จะกลั้นได้ ด้วยความรู้สึกรักสงสาร และคิดถึงพระคุณพ่อแม่ขึ้นมา อย่างจับจิตจับใจ อย่างที่ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย จึงตรัสด้วยพระสุรเสียงอันสั่นเครือ ปนน้ำพระเนตรว่า ท่านเจ้าคุณท่านเทศน์ได้จับใจยิ่งนัก และขอให้ทุกคนจงกลับไปทำบุญกับ พ่อแม่ผู้เป็นพระอรหันต์เถิด ### การเจริญการเสื่อมของใจ ###
ไม่ได้เจ็บตามร่างกาย แต่เราหลงไปคิดเองว่าเราเป็นร่างกาย พอร่างกายเป็นอะไรก็เป็นไปกับมัน เหมือนมีนิทานเรื่องชายเลี้ยงม้าคนหนึ่งขาเป๋ เดินไปก็ขาเป๋ ม้ามันก็เดินขาเป๋ตามคนเลี้ยงม้า เพราะอยู่ด้วยกันเลี้ยงมาตั้งเเต่เล็ก พอโตขึ้นเห็นเขาเดินเป๋ ม้ามันก็เป๋ตาม ใจก็เหมือนกัน พอออกมาก็ออกมาคู่กับร่างกาย พอร่างกายคลอดออกมาใจก็เกาะติดอยู่กับร่างกาย เจริญเติบโตกับร่างกายก็เลยแก่ เจ็บ ตายตามร่างกายไป แต่ใจไม่ได้ตายใจไม่ได้แก่ ใจไม่มีรูปร่างก็เลยไม่มีการเจริญหรือการเสื่อม ถ้าใจทุกข์ก็เสื่อม ถ้าใจสุขก็เจริญ ใจสุขก็เพราะมีธรรมะ มีความดี ถ้าใจเสื่อมก็เพราะว่ามีกิเลสมีตัณหา มีการกระทำไม่ดี ดังนั้นพระพุทธเจ้าสอนให้เรามาพัฒนาใจกัน ด้วยการสร้างธรรมะ ด้วยการทำความดี ทำทาน รักษาศีล ภาวนา อันนี้เป็นการพัฒนาใจให้เจริญขึ้นไปตามลำดับ ใจเจริญต่างกับร่างกาย ร่างกายเจริญด้วยขนาดใหญ่ขึ้น สูงขึ้น ยาวขึ้น หนักขึ้น แต่ความเจริญของใจสูงขึ้น ด้วยคุณธรรม คุณธรรมของมนุษย์ คุณธรรมของเทวดา คุณธรรมของพรหม คุณธรรมของพระอริยเจ้า อันนี้จะสูงขึ้นไปตามลำดับ คุณธรรมสูงขึ้นเท่าไรความสุขก็มีมากขึ้น เทวดาก็มีศีล ๕ ขึ้นไป ถ้าพรหมก็มีศีล ๘ ความสงบ มีสมาธิ ถ้าพระอริยเจ้าก็มีปัญญา นี่คือการเจริญของใจ ถ้าเสื่อมก็บาปถ้าไม่มีศีล ๕ ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์แล้ว เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์นรก ใจก็เสื่อมได้ ที่เป็นนรกนี่ก็ใจ ใจที่เป็นพระพุทธเจ้านี้ก็เป็นนรกมาก่อน เช่นเทวทัต ใจของเทวทัตไปทำบาปมาก เลยต้องไปใช้กรรมในอบายไปตกนรกไป พอใช้กรรมเสร็จแล้วก็กลับมาเป็นมนุษย์ใหม่ แล้วก็มาพัฒนาใจมาบวชใหม่ มาปฏิบัติธรรมใหม่ แล้วก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป เพราะว่าเทวทัตกับพระพุทธเจ้านี้เป็นคู่กัดกันมาทุกภพทุกชาติ ถ้าเป็นนักมวยก็อยู่ระดับเดียวกัน แต่ไปต่อยแบบผิดกติกา ต่อยใต้เข็มขัดก็เลยถูกเขาลงทัณฑ์ไว้ไม่ให้แข่งไม่ให้ขึ้นเวที ต้องไปใช้โทษก่อน พอหมดโทษแล้วก็ขึ้นมาชกบนเวทีใหม่ เขาเป็นระดับพุทธภูมิ เทวทัตกับพระพุทธเจ้านี้เป็นพวกพุทธภูมิ.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
.............................
ธรรมะบนเขา วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๙ สนทนาธรรม |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |