มิถุนายน 2564
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
24 มิถุนายน 2564

:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 280 ::


:: ถนนสายนี้มีตะพาบ โครงการที่ 280 ::

โจทย์ --- มหาลัยวัยซน

ผู้คิดโจทย์ --- nonnoiGiwGiw






:: วัยชน ::

ผลงาน : กะว่าก๋า









เห็นโจทย์ตะพาบครั้งแรก
ผมอ่านโจทย์เป็น “มหาลัยวัยชน” แทนที่จะเป็น “มหาลัยวัยซน”
แล้วก็ย้อนนึกถึงเรื่องราวของตัวเองสมัยเป็นนิสิต
ผมมีวีรกรรมเรื่องความซนน้อยมาก แต่มีเรื่องราวที่จดบันทึกไว้มากมายขณะเรียนในมหาวิทยาลัย
และในภายหลังมันกลายเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเขียนหลังจากเรียนจบ
นั่นคือ หนังสือเรื่อง “สองปีที่ฝันร้าย”

ผมเลือกตอนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้มาให้เพื่อนๆได้อ่าน
เป็นความทรงจำที่ผมชอบมากที่สุดขณะที่ได้เรียนอยู่ที่นี่









: เป็นครูไม่กี่วัน เป็นครูตลอดชีวิต :



ปี 2 เทอมสุดท้ายนักศึกษาครุศาสตร์ทุกคนจะต้องไปทำการฝึกสอนในสถานศึกษาจริง
ผมเลือกสมัครสอนที่วิทยาลัยศิลปะใกล้บ้าน เป็นวิทยาลัยเก่าแก่มีชื่อเสียงมายาวนาน
ผมชวนเพื่อนไปสมัครสอนด้วยกันที่นี่รวมทั้งหมด 4 คน
เช้านั้นเราเดินไปที่ตึกอำนวยการ ผมยื่นจดหมายแจ้งความจำนง สมัครเป็นครูฝึกสอนวิชาสถาปัตยกรรมไทย
ขณะยืนรอเจ้าหน้าตรวจสอบเอกสาร มีอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่งเดินผ่านมาพอดี ท่านเอ่ยถามผมว่า
“พวกคุณเป็นใคร มาทำอะไรกันคะ ?”

“พวกผมมาสมัครเป็นครูฝึกสอนครับ” ผมตอบอย่างสุภาพ

“มาจากสถาบันอะไร ?” ท่านมองหน้าผมแล้วถามอย่างจริงจัง
พอผมบอกชื่อสถาบันของเราไปเท่านั้น หน้าของท่านก็เปลี่ยนไปทันที
อาจารย์ตอบกลับมาด้วยเสียงฉุนเฉียวไม่พอใจว่า

“มาทำไมอีก พี่บอกแล้วไงว่าจะไม่รับนักศึกษาจากสถาบันนี้มาฝึกงานอีกแล้ว”

ผมและเพื่อนยืนงงอยู่ตรงนั้น เจ้าหน้าที่หันมามองทำหน้าไม่ถูก

“ไป...ไป...ออกไปเลย ก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาอีก มาทำไม” เสียงท่านเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ
เพื่อนผมที่มาด้วยกันขยับตัวเตรียมเดินหันหลังกลับไป อีกคนดึงแขนผมไว้เหมือนจะบอกว่าไปเถอะ

“เดี๋ยวครับอาจารย์ ผมอยากได้คำอธิบายว่าเพราะอะไร อาจารย์ถึงไม่รับพวกผม”

ผมจ้องหน้าอาจารย์โดยไม่เกรงกลัว ผมอยากรู้ ทำไมอาจารย์ถึงพูดกับพวกผมแบบนี้
ทั้งที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

“ปีที่แล้วพวกรุ่นพี่คุณมาฝึกสอนที่นี่ แล้วก็ไม่มีความรับผิดชอบเลย
นอกจากไม่ตั้งใจสอน พอช่วงธีสิสก็ทิ้งห้อง ไม่ยอมสอนให้จบหลักสูตร
ไม่ทำข้อสอบไม่มาตัดเกรดให้เด็กด้วย พี่แจ้งไปที่แผนกของพวกคุณแล้ว
ว่าไม่ต้องมาสอนที่นี่อีก คุณกลับไปได้เลย”

“อาจารย์ครับ” ผมพูดขึ้นมา ในขณะที่เพื่อนผมเตรียมตัวกลับกันหมดแล้ว
“นั่นเป็นเรื่องของรุ่นพี่ ไม่ใช่เรื่องที่ผมทำไว้ ทำไมปลาเน่าตัวเดียว
อาจารย์ถึงเหมาว่ามันจะต้องเน่าเหมือนกันหมด ไม่ยุติธรรมเลยครับ”

อาจารย์นิ่งไปชั่วขณะ จ้องตาผมแล้วถามว่า
“แล้วคุณจะเอายังไง ?”

“ผมอยากขอโอกาสพิสูจน์ตัวเอง ว่าผมไม่ได้เป็นอย่างรุ่นพี่พวกนั้นครับ” ผมพูดโดยไม่หลบตา

“คุณแน่ใจนะว่าจะไม่เป็นอย่างรุ่นพี่พวกนั้น”

“ครับ” ผมยืนยันอย่างมั่นใจ

“ได้...งั้นพี่จะให้โอกาสพวกคุณ วันจันทร์เข้ามานั่งคุยกันเรื่องการเตรียมตัวสอน”

ผมยกมือไหว้และกล่าวคำขอบคุณที่อาจารย์หัวหน้าแผนกให้โอกาส
ตอนเดินกลับมาจากวิทยาลัยแห่งนั้น ผมบอกเพื่อนทุกคนว่า

“ได้โอกาสนี้มาแล้ว อย่าทำให้อาจารย์ท่านผิดหวังนะ ช่วยกันนะ ทำให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้เป็นอย่างเขาว่า”


การสอนเด็กช่างศิลป์ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง
ยังอยู่ในวัยรุ่นอายุ 15-16 บางคนย้อมผมสีม่วง เรื่องแต่งกายไม่ต้องพูดถึง ผิดระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า
แต่ผมใช้เวลาเพียงคาบแรกก็สามารถสร้างความคุ้นเคยกับเด็กได้ ผมบอกนักศึกษาว่า

“ผมมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่ ตั้งใจอยากมามอบสิ่งที่ผมรู้ให้พวกคุณรู้
ผมไม่ได้เก่งอะไรมากมาย แค่มีอายุมากกว่านิดหน่อย เรียนรู้ตำรามามากกว่านิดหน่อย ถือว่าเรามาเรียนรู้ร่วมกัน
เรื่องกฎระเบียบ ผมไม่สนใจ คุณจะย้อมผมสีอะไรก็ได้ เอาเสื้อออกนอกกางเกงก็ได้ ใส่รองเท้าแตะมาเรียนก็ได้
ขอให้มาเรียน แต่เวลาเดินอยู่นอกห้องเจออาจารย์ฝ่ายปกครองก็หลบ ๆ หน่อยละกัน แล้วอย่าบอกว่าครูเป็นคนบอกล่ะ”

เด็กฟังแล้วก็ฮาครืน รู้สึกว่าผมเหมือนพี่ เหมือนเพื่อนซึ่งพูดคุยกันได้ มากกว่าจะมาเป็นครูที่คอยสั่งคอยบังคับพวกเขา
คาบแรกที่ผมเข้าสอน อาจารย์หัวหน้าแผนกมายืนนิเทศด้วยตัวเองที่หลังห้อง
เมื่อผมสอนจนจบคาบ อาจารย์เดินมาบอกกับผมว่า

“คุณทำได้ดีมาก พี่จะเข้านิเทศครั้งนี้ครั้งเดียวพอ ต่อไปก็ขอให้ตั้งใจสอนแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ”


ผมอยู่กับเด็กนักศึกษาตลอดทั้งเทอม ตั้งใจสอนเต็มที่
ว่างจากการเรียนที่มหาวิทยาลัยก็เข้าไปที่วิทยาลัย
นั่งทำงานเอกสารต่าง ๆ ในห้องพักครูช่วยทำงานอื่น ๆ เท่าที่ทำได้
ผมไม่เคยขาดสอนแม้แต่ครั้งเดียว ช่วยพาเด็กไปทัศนศึกษานอกสถานที่
ทำข้อสอบ ตรวจข้อสอบ ตัดเกรด รับผิดชอบงานสอนของตัวเองตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายของการฝึกสอน
วันที่ผมเดินไปกล่าวคำขอบคุณและกล่าวลาหัวหน้าแผนก
ท่านยังเมตตาเดินพาผมไปที่หอพักของวิทยาลัย
ผมเดินตามไปด้วยแบบงง ๆ ท่านชี้มือไปที่ห้องพักของอาจารย์

“เลือกไว้เลย คุณชอบห้องไหน จองไว้ เรียนจบแล้วมาทำงานกับพี่
พี่จะรับคุณเป็นอาจารย์ที่นี่ มาช่วยกันทำงานนะ”

ผมตอบรับด้วยความขอบคุณ แต่บอกอาจารย์ไปว่า
ผมอยากกลับบ้านที่เชียงใหม่ก่อน ยังไงจะลองรับข้อเสนอและตัดสินดูอีกครั้ง
แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้กลับไปที่วิทยาลัยแห่งนี้อีกเลย




-------------------------------------------------------



หลังจากเขียนหนังสือ “สองปีที่ฝันร้าย” จบ
ผมส่งหนังสือทำมือ 10 เล่มนี้ให้กับอาจารย์ที่ผมเคารพรัก
ส่งให้กับเพื่อนสนิทบางคนให้ได้อ่านและรับรู้ความรู้สึกของผม

สองสามปีหลังจากนั้น มีรุ่นน้องผู้หญิงคนหนึ่งโทรศัพท์มาหาผม

“พี่..หนูชอบหนังสือสองปีที่ฝันร้ายของพี่มาก ๆ เลย พี่เขียนได้ตรงใจหนูมากๆเลยค่ะ”

ผมกล่าวคำขอบคุณและบอกเธอไปว่า
“ขอบคุณครับน้อง แต่พี่ไม่ได้คิดแบบนั้นอีกแล้วกับที่นี่ พี่ไม่โกรธอาจารย์เหล่านั้นแล้วครับ”

น้องดูจะผิดหวังในคำตอบของผมไม่น้อย แต่ผมก็รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ
ใช่ --- เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ดูเหมือนความเกรี้ยวกราดในใจผมจะค่อย ๆ จางลง
ความเกลียดที่เคยมีเหมือนมันค่อย ๆ คลายตัว
ผมมองอาจารย์เหล่านั้นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป มีผิดมีถูก มีดีมีผิดพลาด
ความโกรธที่เคยรู้สึก เปลี่ยนไปเป็นความชาเฉย
ผมไม่อยากรับรู้เรื่องราวอะไรอีกแล้ว ที่นั่นจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะสนใจอีกต่อไป

หลังเรียนจบผมกลับมาทำงานที่เชียงใหม่กับที่บ้าน
หลายปีผ่านไป อาจารย์และนักศึกษาจาก “สถาบันเทคโนโลยีฯ” แห่งนี้
ได้ขึ้นมาจัดงานนิทรรศการที่เชียงใหม่
ผมได้เดินไปดูผลงานน้อง ๆ ด้วย เมื่อพบอาจารย์รุ่นพี่ซึ่งรู้จักกัน ประโยคแรกที่อาจารย์รุ่นพี่ทักทายผมคือ

“นายยังแรงเหมือนเดิมรึเปล่า ?”

ผมอดขำไม่ได้ หลายปีผ่านไป ผมเปลี่ยนวิธีคิดของตัวเองอย่างมากมาย
ไม่มีใครเป็นเหมือนเดิมได้ตลอดเวลาหรอก
เราต่างได้เรียนรู้ ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เห็นตัวเองชัดเจนขึ้น
ทุกฝันร้ายจะจบลงเมื่อเราตื่นลืมตามาพบกับความจริง
เช้าวันใหม่ของชีวิตเกิดขึ้นได้เสมอ
เมื่อเรายอมรับว่า “ฝันร้าย คือ ฝันร้าย”
แต่วันหนึ่งมันจะผ่านไป ไม่หลงเหลืออะไรติดค้างในใจอีกต่อไป


ผมพิมพ์ต้นฉบับหนังสือ “สองปีที่ฝันร้าย” จบลงในวันที่ 28 มกราคม 2540
เคยเซฟไฟล์ต้นฉบับงานไว้ในแผ่น floppy disk (ปัจจุบันเลิกใช้ไปนานแล้ว) และมันหายไปไหนก็ไม่รู้


เดือนเมษายน 2564
ผมกลับไปค้นเจอต้นฉบับหนังสือเล่มนี้ที่ผมถ่ายเอกสารเก็บไว้
เหลืออยู่กับตัวเองเพียงเล่มเดียวจากชั้นหนังสือในบ้าน
จึงนำกลับมานั่งพิมพ์และเรียบเรียงต้นฉบับใหม่อีกครั้ง
ถ้อยคำใดที่รุนแรงเกินไปก็ตัดออก เรื่องราวใดที่เวิ่นเว้อฟูมฟายก็ลบทิ้ง
ตัดทอนเพิ่มเติมจนกลายมาเป็นต้นฉบับล่าสุดนี้อีกครั้ง

แม้ในวันนี้ผมอาจไม่ได้คิดอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว อาจารย์หลายท่านที่เคยมีปัญหากันก็ลาจากโลกนี้ไป
มหาวิทยาลัยซึ่งผมเคยเรียนแห่งนี้ ตอนนี้คงเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
ทั้งตัวอาคาร ผู้คน หลักสูตร อาจารย์และนักศึกษาที่เปลี่ยนเวียนหน้ากันใหม่ตลอดเวลา

ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป
เหลือไว้เพียงความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตและตัวตนของผมในช่วงวัยนั้น
ไม่มากก็น้อยสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นจะตกตะกอนนอนก้นอยู่ในความทรงจำของผม
เพื่อรอวันลืมเลือน




 

Create Date : 24 มิถุนายน 2564
20 comments
Last Update : 24 มิถุนายน 2564 5:49:03 น.
Counter : 947 Pageviews.

 

นี่ใช่เลย คนจริง... มีความมุ่งมั่นทำงานให้สำเร็จลุล่วง จิตมั่นคง
ไม่กลัว (ค่อนข้างห่าม แหะ ๆ)

ปรับตัวเข้ากับคนที่เกี่ยวข้องเป็นการซื้อใจได้ดี.. เมื่อน้อง ๆ
ศรัทธาแล้วก็ โน้มน้าวให้เขาคล้อยตาม

ผมว่านี่ใช่เลยครู.. และนำประสพการณ์ไปใช้ในการประกอบ
อาชีพอื่นได้ดี

 

โดย: ไวน์กับสายน้ำ 24 มิถุนายน 2564 6:27:32 น.  

 

ครูฝึกสอน เป็นสีสันของเด็ก นร.
อย่างน้อยก็ไม่ดุ
ไม่ซีเรียส เหมือน ครูประจำ

ครูฝึกสอน มี 2 แบบ

แบบตั้งใจมาเป็นครู
แบบเรียนไปให้จบ ป.ตรี

แบบแรกเหมือนคุณก๋า..
มีพลังงาน และมีไฟ สนุกและท้าทาย
กับการถ่ายทอดความรู้ เพื่อให้เด็กรู้และเกิดทักษะ



พี่อ้อก็ชอบมากๆค่ะเวลาเรียนกับ ครูฝึกสอน
(แม้สมัยเรียน..มัธยม จะเป็นเด็กเรียนก็ตาม)

สายๆตะพ่บพี่อ้คงออกเดิน
วันนี้มีภาระกิจเยอะ

 

โดย: เริงฤดีนะ 24 มิถุนายน 2564 7:18:20 น.  

 

ตะพาบพี่อ้อ*

 

โดย: เริงฤดีนะ 24 มิถุนายน 2564 7:18:57 น.  

 

เซียนกระบี่ลุ่มแม่น้ำวัง 
สวัสดีครับ

สวัสดียามเช้าครับ ก๋า

 

โดย: เซียน_กีตาร์ 24 มิถุนายน 2564 7:46:45 น.  

 

น่าเสียดาย สังคมไทยเลยไม่มีครูดีดี
อย่างครูก๋าไว้เป็นแม่พิมพ์สร้างคนนะ

 

โดย: หอมกร 24 มิถุนายน 2564 8:16:13 น.  

 

สวัสดีมีสุขค่ะ

นี่เลยค่ะคนจริง...อย่าเรียกว่าแรงนะคะ
เราเลือกเรียนทางนี้ ส่วนหนึ่งเพราะใจรัก
ทำในสิ่งที่เราอยากได้ สอนในสิ่งที่เด็กอยากรู้ เยี่ยมที่สุดค่ะ
สมกับเป็น ครูในดวงใจ

 

โดย: ตะลีกีปัส 24 มิถุนายน 2564 8:45:04 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณก๋า..

เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจนะคะ..

เป็นประสบการณ์ในช่วงชีวิตหนึ่ง..

ซึ่งไม่ได้ย้อนคืนกลับมาอีกแล้ว



 

โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) 24 มิถุนายน 2564 9:07:19 น.  

 

พี่ว่าคุณก๋าเขียนเรื่องที่แรงๆ.. แต่กลับให้อ่านดู soft ลง
จริงๆมันคงเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจอาจจะมีบางคำพูดที่ไม่น่าฟัง.....

พี่ชอบประโยคนี่มากสำหรับหน้าเรื่องเช้านวันนี้.... ไม่มีใครเป็นเหมือนเดิมได้ตลอดเวลาหรอก
...
เห็นด้วยอย่างยิ่ง

 

โดย: โอพีย์ 24 มิถุนายน 2564 9:11:40 น.  

 

โหยยยยย.. ไม่น่าเชื่อว่าพี่ก๋าเคยแรงมาก่อน อิอิ

แต่จริงค่ะ ความโกรธเกลียดอะไรพวกนี้
พอเวลาผ่านไป มันก็จางลงๆ จนบางทีตอนนี้
น้องยังนึกเลยว่า ตรูจะกำมันไว้ทำไมคนเดียวให้หนักวะ
อีกฝั่งไม่ได้อะไรเลย อยู่ดีมีสุข ไปกำอย่างอื่นที่ทำให้
ชีวิตเราเจริญก้าวหน้าซะยังดีกว่า

ปล.ช่วงมหาลัยของน้องก็ไม่ซนค้าาาาา
ออกแนวสโลวไลฟ์น๊าาา (คิดเอง 555+)

 

โดย: nonnoiGiwGiw 24 มิถุนายน 2564 9:23:47 น.  

 

อ่านแค่บทเดียวแล้วชอบมากเลยครับพี่ก๋า
ผมชอบที่พี่ก๋าขอเหตุผลอาจารย์เรื่องไม่รับสถาบันนี้ฝึกงาน
มันเป็นเรื่องไม่แฟร์ที่เราไม่ควรได้รับ แล้วควรได้โอกาสพิสูจน์ตัวเองอ่ะครับ
เอาจริงๆ ผมไม่ชอบเรื่องสถาบันกับการทำงานเลยนะครับ ปากก็บอกไม่มีๆ แต่จริงๆ มันมีแหละ มีทุกที่ มีมาตลอด ผมอาจจะไม่ได้อยู่มรจุดที่เจอปัญหา แต่ก็เกลียดปัญหานี้มากครับ

จารย์ก๋า เอ้ย! พี่ก๋า ตอนนั้นต้องเฟี้ยวมากแน่ๆ เด็กช่างนี่ต้องได้จารย์เฟี้ยวๆ เข้าใจ ไม่เรื่องมาก สไตล์ อ.โอนิสึกะ ใน GTO ถึงเข้ากับเด็ก ๆ ได้ เค้าเห็นเราเป็นเพื่อน

ถึงพี่ก๋าจะบอกว่า มันคือ สองปีที่ฝันร้าย แต่ผมว่า มันเป็นสองปีที่สนุกแล้วท้าทายมากเลยครับ ถ้ามองย้อนกลับไป

ชอบๆ พี่ก๋าอย่างเท่

 

โดย: จันทราน็อคเทิร์น 24 มิถุนายน 2564 10:57:41 น.  

 

สวัสดี จ้ะ น้องก๋า

มาอ่านตะพาบ ประสบการณ์หนึ่งในชีวิตของนักศึกษาฝึกสอน
จ้ะ ประสบการณ์แรกที่มาเจอครูในโรงเรียนที่มีหน้าที่รับนักศึกษา
ฝึกสอน ใช้ภาษาไม่ต้อนรับแถมไล่กลับด้วย เป็นใครก็ต้องผงะแหละ
นะ อิอิ แต่มองในแง่ประสบการณ์ที่ครูได้รับจากนักศึกษารุ่นพี่เธอ
ที่เขาได้รับก็น่าเห็นใจเขานะ เพียงแต่เธอใช้คำพูดขาดศิลปะเท่านั้น
เอง ดีที่ก๋า กล้าหาญขอเหตุผล เขาจึงได้ระบายประสบการณ์ที่
ไม่พึงประสงค์ที่รุ่นพี่เธอทำไว้ นี่เรียกว่า ใช้ความกล้าในทางที่ถูก จ้ะ เมื่อเธอให้เหตุผลว่า มันคนละคนกัน พร้อมกับให้การรับรอง
ว่า จะไม่มีพฤติกรรมเหมือนรุ่นพี่ ครูผู้นั้น ก็ดีนะ ยอมรับเหตุผล
และคำรับรอง คำสัญญา ของก๋า แสดงว่า เป็นคนใช้ได้นะ อิอิ

แล้วก๋ากับเพื่อน ๆ ก็ได้ทำตามสัญญาสอนนักเรียนโรงเรียน
เขาเป็นอย่างดีและเป็นที่ยอมรับของโรงเรียนที่มาฝึกสอน ถึงกับ
เชิญชวนให้มาทำงานที่โรงเรียนของเขา นับว่า เธอและเพื่อน ๆ
ประสบความสำเร็จในการฝึกสอนครั้งนี้ จ้ะ

โหวดหมวด ตะพาบ

 

โดย: อาจารย์สุวิมล 24 มิถุนายน 2564 11:53:26 น.  

 

เกือบได้เป็นอาจารย์เหมือน อ.เต๊ะละ

 

โดย: tuk-tuk@korat 24 มิถุนายน 2564 12:44:56 น.  

 

จากบล๊อก
ระบบว๊ากผมก็ไม่ชอบครับ มันไร้สาระมาก
ไม่เห็นได้อะไรจากการว๊ากเลย
แต่ตอนปี 1 ผมเข้าห้องเชียร์น้อยมาก เพราะต้องแยกไปฝึกซ้อมอย่างอื่น
ส่วนปี 2 ก็ไม่ได้ว๊ากน้อง แต่จะมาเหมือนเป็นรางวัลให้น้องถ้าร้องเพลงดี เลยไม่ต้องฝืนใจทำสิ่งที่ไม่ชอบครับ

ตอนไปแคสสนุกดีครับ จำบรรยากาศได้เลย เสียดายที่ไม่ได้เล่น

ที่ลาดกระบังคงเป็นประสบกาสรณ์ที่ยังไงก็ไม่ลืมเหมือนกันใช่ไหมครับ
ทกประสบการณ์ดีเสมอครับพี่ก๋า ^^

 

โดย: จันทราน็อคเทิร์น 24 มิถุนายน 2564 13:52:42 น.  

 

อ่านที่คุณก๋าเขียนวันนี้แล้ว อยากอ่านต่ออีกเรื่อย ๆ ครับ ผมว่าชีวิตมหาฯลัย เป็นอะไรที่สุด ๆ แล้วครับ
ตะพาบคุณหนอนวันนี้ตอนแรกผมนึกว่าหัวข้อ มหาลัยวัวชน ต้องกลับไปแก้ใหม่ 555
ยูโรรอบ 16 มันส์หลายคู่เลยครับ แต่โคป้าวันนี้มีดราม่าอีกละครับ

 

โดย: The Kop Civil 24 มิถุนายน 2564 14:07:07 น.  

 

วันนี้วันส่งการบ้านตะพาบ โหวตหมดไวมากครับ อิอิอิ ติดไว้ก่อนนะคราบ

 

โดย: ทนายอ้วน 24 มิถุนายน 2564 15:29:00 น.  

 

นี่ไง!! ข้อพิสูจน์ง่ายๆ อย่างหนึ่งในการเป็นครู ถ้ามีความสนิทสนมกับเด็ก ทุกอย่างมันจะง่ายขึ้นเยอะ ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของคนที่ชอบอ้างตัวเองว่าครูทั้งที่ไม่มีจิตวิญญาณความเป็นครู

ครู 2 คนเดินกลับบ้าน (เวลากลับต่างกัน) คนหนึ่งนักเรียนตะโกนทักแต่ไกลถามว่าจะกลับแล้วเหรอครับ ครูตอบรับแล้วบอกนักเรียนว่าพวกเธอก็รีบกลับบ้าน เดี๋ยวฝนตกจะกลับลำบาก ต่างฝ่ายต่างมีไมตรีต่อกัน อีกคนนักเรียนเห็นกลับรีบหลบ แล้วพูดไอ้เ-ี้ยXXXมา มันเกิดอะไรขึ้นกับครูคนที่สอง น่าพิจารณาตัวเองว่าทำไมไม่มีเด็กอยากเข้าใกล้ เจอแล้วไม่อยากทักทาย หรือพยายามหลบ

ผมไม่คชอบพฤติกรรมเหมารวมเลย มันโดนปลูกฝังตั้งแต่ประถมรึไงก็ไม่ทราบ เช่น การตียกห้อง หักคะแนนยกห้อง นี่เป็นเรื่องที่เลวร้ายมากในสังคม ปลูกฝังให้คนดีเปลี่ยนเป็นคนเลว เพราะทำผิดมันก็โดนกันหมด หรือถ้ามองว่าให้เด็กปรามกันเอง พ่อแม่มันยังไม่ฟังเลยมันจะฟังเพื่อนหรือ?

 

โดย: คุณต่อ (toor36 ) 24 มิถุนายน 2564 15:55:15 น.  

 

แรงไปโดนแบนเลย

 

โดย: คุณต่อ (toor36 ) 24 มิถุนายน 2564 15:55:42 น.  

 

สมัยผมสอบเข้ามหาฯลัยไม่ได้เหมือนมีความผิดเลยครับ ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ๆ จบที่ไหนก็ไม่สำคัญ ขอแค่ให้มีงานทำ อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ผมว่าแค่นี้พอแล้วครับ

 

โดย: The Kop Civil 24 มิถุนายน 2564 16:36:53 น.  

 

นักศึกษาฝึกงาน นักศึกษาฝึกสอน รุ่นพี่หลายๆที่ ก็ทำวีรกรรมไว้เยอะครับ
ผมรับนักศึกษาฝึกงาน(รุ่นน้อง) รู้สึกว่าเด็กรุ่นๆหลัง ดื้อมากขึ้นครับ
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
ยิ่งเจอผู้ปกครองที่ว่า ลูกฉันเป็นคนดีด้วย แทบไม่อยากรับมาฝึกงานครับ

 

โดย: สองแผ่นดิน 24 มิถุนายน 2564 23:32:08 น.  

 

คุณก๋าถามอาจารย์กลับได้ทันใจมากค่ะ
และพิสูจน์ตัวเองด้วยความตั้งใจและรับผิดชอบงานสอน
สิ่งนี้อาจเป็นประโยชน์สำหรับรุ่นน้องปีต่อไปด้วยนะคะ

เวลาเปลี่ยน ความรู้สึกและความคิดเราเปลี่ยนเกิดกับตัวเองด้วยค่ะ
และสิ่งที่เราคิดวันนี้ วันหน้าก็อาจคิดต่างได้

ภาพการ์ตูนปกหนังสือทั้งท่านั่งและขอเกี่ยว
คงมีความหมายแฝงนะคะ


 

โดย: Sweet_pills 25 มิถุนายน 2564 0:21:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




[Add 's blog to your web]