
ตัวอย่าง นั่นนี่โน่น ปฏิบัติถูกทุกคน แต่ขาดนิดเดียว คือ ไม่กำหนดรู้สภาวธรรมตามที่มันเป็นของมัน ไปคิดสะว่าเป็นนั่นเป็นนี่บลาๆ จึงหลุดจากปัจจุบันอารมณ์ กิเลสมารจึงได้ช่อง
- เดินจงกรมร่วมด้วย อย่านั่งสมาธิอย่างเดียว

ตัวอย่าง

- > ดิฉันนั่งสมาธิแล้วชอบ
ได้ยินเสียงสิ่งที่มองไม่เห็น ทำให้ดิฉันรู้สึกกังวลและกลัว ว่านั่นคือเรื่องจริง หรือแค่เราคิดไปเอง เคยนั่งจน
จิตมองเห็นเป็นภาพเลยล่ะ ว่าเราอยู่ที่นั่น ที่นี่ รู้สึกสับสนและกลัว จนดิฉัน
เลิกการทำสมาธิไปเป็นปีเลยล่ะ
ถามบางคน เค้าก็บอกว่า ทำต่อไปเรื่อย ๆ จิตเราแค่คิดไปเอง พอมาลองนั่งใหม่ดู นั่งได้ 2 วันซึ่งเวลาก็ไม่ถึงครึ่ง ชม. ด้วยซ้ำ ตอนเช้ามีคนเรียกให้ตื่น เสียงเป็นคนมีอายุผู้ชาย เราลืมตามองรอบๆ ไม่เห็นมีไร ที่บ้านก็ยังไม่มีใครตื่นใครเรียกนะ. หรือว่าเราหูแว่ว เลยนอนต่อ กำลังจะเคลื้มหลับ
ได้ยินอีกเรียกให้ตื่น ดังมากจนสะดุ้งตื่น
ป่านนี้ยังไม่ตื่นอีก แนะมีบ่นตอนท้าย ใครหว่า พอเปิดประตูห้อง อ้าวไม่เห็นมีใครเลย แล้วใครปลุกให้ตื่นนะ ? แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรนะคะ. แปลกมากกก
สวดมนต์ ทำสมาธิบ่อยๆทีไรเป็นแบบนี้ประจำ แต่สิ่งที่กลัวที่สุดคือ ... สิ่งที่มองไม่เห็นเค้ามาขอความช่วยเหลือ
มาแต่เสียง ยิ่งนั่ง ยิ่งเยอะ จนหลอน กลัวมาก จะทำอย่างไรดีคะ ทำยังไงถึงไม่เจอเรื่องแบบนี้คะ ใครพอมีคำแนะอะไรบ้างคะ

วิธีแก้อารมณ์ภาคปฏิบัติ มีทางเดียว คือ กำหนดรู้ตามที่มันเป็น ตามที่เห็น ตามที่ได้ยิน ตามที่ได้กลิ่น ฯลฯ
ตามที่คิด ได้ยินเสียงปุ๊บ กำหนดปั๊บ เสียงหนอๆๆๆๆ กำหนดแล้วปล่อย ทุกๆสภาวะกำหนดวาง กำหนดปล่อย ขณะนั้่นเราเองทำอะไรก็แล้วแต่ ดึงความสนใจมาอยู่กับกิจที่ทำสะ ทำไปๆ ได้ยินอีก กำหนดอีก เสียงหนอๆๆๆ กำหนดแล้วปล่อย กำหนดแล้วไม่สนใจปล่อย แต่ให้กำหนดรู้จักมันก่อน รู้สึกกลัว กลัวหนอๆๆๆ กำหนดแล้วปล่อย อย่าหนีสภาวะในขณะนั้นๆ รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น