ปฏิบัติโยงศัพท์ทางธรรม


คคห. หนึ่ง 450 11 ซึ่งยังไม่ใช่ภาคปฏิบัติทางจิต  แต่อ่านพระสูตรแล้วคิดวาดภาพไปตามศัพท์แสงทางธรรม

> นั่งหลับตาปฎิบัติ  จะเข้าใจ "ฌาน"  "สมาธิ"  "ญาณ"  "ปัญญา"  ไม่เหมือนกันกับ "ลืมตาปฎิบัติ" ในพระสูตรเดียวกัน

  ผมอ่านกระทู้ และความเห็นในกระทู้มานานพอสมควร  สังเกตุดูพอจะสรุปได้อย่างหนึ่งว่า ผู้นั่งหลับตาปฎิบัติ  จะเข้าใจคำว่า "ฌาน"  "สมาธิ"  "ญาณ"  "ปัญญา"  ในพระสูตร ไม่เหมือนกันกับผู้  "ลืมตาปฎิบัติ"  ในพระสูตรเดียวกัน

และผู้หลับตาปฎิบัติเหมือนกัน ก็จะเข้าใจคำเหล่านี้  ต่างกันไปอีก และยังไม่เจอผู้ปฎิบัติแบบลืมตาเปิดทวารทั้ง 6 ไว้ สติตื่นเต็มร้อยกำจัดนิวรณ์ 5 อยู่ เนือง ๆ  ปฎิบัติไปพร้อมกับการดำเนินชีวิตประจำวัน อ่านกายในกาย  เวทนาในเวทนา  จิตในจิต  ธรรมในธรรม

แล้วปรับเปลี่ยนโดยทำใจในใจให้มันเป็นสัมมาปฎิบัติ  เป็น  "ปัจจุบันธรรม"  ตากระทบรูป  หูกระทบเสียง จมูก..........ฯ  เกิด "เวทนา" สุข-ทุกข์ ชอบ-ชัง ดูด-ผลัก ที่ใจ เมื่อรู้ว่า "กิเลส" ม้นเกิด  ก็ปฎิบัติ  "อริยสัจ 4"  รู้ทุกข์  หาเหตุแห่งทุกข์  เจอเหตุแล้วก็ดับมันด้วยมรรค  มันดับเราก็รู้ว่ามันดับ .... ก็ปฎิบัติ  ซ้ำแบบนี้ทุกครั้งที่  "กิเลส"  หรือ "ทุกข์ "  มันเกิด  ทำบ่อย ๆ ก็เกิดความชำนาญ เหมือนผู้ทำงานอาชีพต่าง ๆ เมื่อเราปฎิบัติอย่างนี้ กิเลส/ทุกข์ มันก็จะเบาบาง จางคลายลงเรื่อย ๆ
ตัวไหนเคยดับมันได้สนิทแล้ว มันก็จะไม่มาเกิดอีก หรือถ้ายังเหลือ  มันโผล่หัวมา เราก็ปฎิบัติซ้ำ มันก็จะดับสนิท
ฌาน สมาธิ ญาณ ปัญญา วิชชา จะเกิดอยู่ตลอด  ด้วยการปฎิบัติที่กล่าวแล้วข้างต้น โดยลืมตาปฎิบัติในชีวิตประจำวัน

ส่วนหลับตา ปลีกตัวไปปฎิบัติจากการใช้ชีวิตประจำวัน ปิดทวาร 5 ไว้ เปิดทวารใจไว้ทวารเดียว "เวทนา 36"  ที่เป็น "ปัจจุบันธรรม" ไม่เกิดแล้วจะปฎิบัติ "อริยสัจ 4" อย่างไร เพราะหลับตาจะมีแต่ "เวทนาอดีต 36" กับ "เวทนาอนาคต 36" เท่านั้นที่เกิด (ดูเวทนา108)

และหลับตาไปได้ฌานมาแบบอาฬาดาบส อุทกดาบส ได้ถึง "ฌาน 8" พระพุทธเจ้าไม่รับรองแม้กระทั่ง "โสดาบัน" เพราะไม่มีการกำจัดกิเลส ตัณหา อุปปทานออกจากจิตเลย แล้วจะต้องปฎิบัติกันไปอีกนานเท่าไหร่ จึงจะ "นิพพาน"

https://pantip.com/topic/42540907


235 ตัวอย่างคนปฏิบัติหลับตา ลืมตา 


> ผมก็นั่งตามลมหายใจพุทโธไป

   วันแรกๆ ก็ไม่เป็นอะไร  พอวันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่มมีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจนเวียนหัว จึงนั่งต่อไม่ได้ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น  เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับมาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก  จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้  แต่มันก็ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีก

     จนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเอง  จนได้อ่านบันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม  คราวนี้ก็ทำตามหนังสือ  หายใจตอนแรกก็ยาว    ก็ตามไปซักพัก  เริ่มพิจารณาตามสติปัฏฐาน  คราวนี้หมุนเร็วเลยหมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย   ผมก็พิจารณาว่าเป็นทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็หมุนอีกเรื่อยๆ   จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง  ล่าสุดเมื่อคืนหมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา  ยังมีอาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซักสิบห้านาทีค่อยดีขึ้น

คำถามครับ

       1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี   ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้องกำหนดอะไรยังไง

       2. จุดมุ่งหมายจริงๆ   คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ     

     ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ  พอดีผมเรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว  เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา     เหมือนเท่าที่อ่านการฝึกวิปัสสนา  ทำให้เราเข้าใจว่า  ทุกอย่างมีเกิด-ดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด   แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร  หรือว่าให้จิตเราแข็งแกร่ง   จะได้มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ   หลังสึกออกมาทุกวันนี้     เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมีสติมาห้ามทัน   แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง    ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน 

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=09-04-2021&group=5&gblog=2

235 ผู้ปฏิบัติไม่ต้องไปตั้งใจละกิลงกิเลสอะไรดอก ทำไปปฏิบัติไป เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วกิเลสมันสงบยระงับเอง ตัวอย่างผู้ปฏิบัตินี่เห็นชัด  เรื่องหนังสือเขาก็อ่านชัดสะด้วย แต่ก็นั่นแหละ ไปไม่รอด


235 ข้อสังเกต  ผู้ลงมือปฏิบัติ ลงมือทำเนี่ย แทบไม่พูดคำศัพท์ทางธรรมสักตัว บอกแต่ว่าทำแล้วมันมีปัญหาแบบนี้ๆ  พอปัญหาเกิดแล้ว ไม่รู้จะเอาอิท่าไหนดี  9


> สวัสดีค่ะ ขอรบกวนสอบถาม คือปกติเราเป็นคนเข้าวัด ทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระปกตินะคะ ตั้งแต่เด็ก จิตก็ฟุ้งบ้างสงบบ้างธรรมดา  แต่พื้นฐานเป็นคนคิดมาก  คิดไปไกล  บางทีคิดมั่วจนตัวเองงง ทีนี้  โดยปกติแล้ว  จิตเรามันก็ดีบ้างชั่วบ้าง  แวบไปมา แต่ก่อนเวลาจิตมันคิดชั่วก็ปัดๆทิ้ง   นานๆมันมาที   ก็ไม่เดือดร้อนอะไร

    ทีนี้เรามาสวดแบบทำกรรมฐานค่ะ  สวดแบบตั้งสัจจะอธิษฐาน   แล้วก็เกิดศรัทธาท่วมท้น เหมือนคนพบแนวทาง   รู้สึกเกิดความแน่ใจ   เราสวดเช้าเย็น   ว่างก็ฟังธรรม  นึกได้ก็สวดในหัว ทีนี้ไม่นาน   เรารู้สึกว่าจิตมันเบาขึ้น   สวดได้นิ่งขึ้นปัญหาก็ตามมา   คือพอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มทำดีแล้วเนี่ย  จิตอกุศลมันมากวนบ่อย   แล้วมันมาแบบชั่วช้ามากกว่าแต่ก่อน    มันเกิดกับครูบาที่เราเคารพมากๆด้วย  กับท่านอื่นไม่เป็นนะคะ    ตอนแรกตกใจมากๆ ทำตัวไม่ถูก ก็ปัดๆออก  แต่มันก็มาอีกเรื่อยๆ   จนเราคิดว่าหรือเราหมกมุ่นอะไรมากไปไหม   เราก็เริ่มกลัวแล้วก็ถอยๆออกมา หาเรื่องอื่นมาใส่หัว  ไม่กล้ามองรูปท่าน  ไม่กล้านึกถึงท่านมากเท่าไร ใจมันกังวล


ศึกษาหลักที่

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=09-11-2021&group=28&gblog=16


235  ตัวอย่าง นั่งคิดเอาศัพท์นั่นนี่โน่น ยกเอาลมหายใจเข้า-ออกตั้งแล้ว ก็โยงศัพท์  วิตก  วิจาร  เป็นต้นไปเรื่อย    

https://pantip.com/topic/42662182
 



Create Date : 25 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 23 เมษายน 2567 20:37:56 น.
Counter : 62 Pageviews.

0 comments
(โหวต blog นี้) 
กฎของธรรมชาติ ปัญญา Dh
(20 เม.ย. 2567 10:45:01 น.)
봄 처녀(Virgin spring) by 홍난파(NanPa Hong) ปรศุราม
(17 เม.ย. 2567 10:09:12 น.)
เรื่องนี้ไม่ง่าย แต่คนมักชอบอะไรที่มันง่ายๆ 121 235 เขาถาม - ตอบกัน 450 > คำถาม : ทำอย่างไ สมาชิกหมายเลข 7881572
(16 เม.ย. 2567 09:58:49 น.)
: รูปแบบของการตระหนักในการรับรู้ : กะว่าก๋า
(15 เม.ย. 2567 05:37:45 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Samathijit.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด