
ปัญหาเขามีอยู่ว่า

- ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา (ยาวนะคะ)
1.เราถือศีลเป็นปกติ
2.เราภาวนาเป็นปกติ (มีแว่บบ้างอะไรบ้างตามสไตล์ฆราวาส ยิ่งตอนนี้หย่อนมากค่ะ)
เราเริ่มการภาวนาจากการสวดมนต์ค่ะ เริ่มวันแรก
ตัวสั่นถามอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นปิติ เราก็ยังภาวนาต่อทีนี้เริ่มนั่งสมาธิด้วย
หลังจากนั้นประมาณ 5-6 เดือน เรานั่งสมาธิและถือศีลแปดด้วยทำเป็นประจำรวมทั้งนอนสมาธิด้วยค่ะ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เราภาวนาอยู่ทุกอารมณ์ ทุกลมหายใจ เราล้มตัวลงพักผ่อนขณะมองดูลมหายใจไป
ตัวก็หายไปค่ะ ตอนนั้นเรา
ตกใจแล้วหลุดออกมา
เราก็ถามรุ่นพี่นะคะ ท่านบอกว่าคราวหน้าให้ดูย้อนตรงๆไปเลย แต่
ใจเราบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่
ทำไม่ได้แน่นอน ก็ละไปแต่รักษา ศีล สวดมนต์เอาค่ะ
วันหนึ่ง เรา
หลับเห็น
แสงสว่างมากๆตั้งอยู่รอบข้างกว้างไพศาลพูดไม่ถูก เราก็มอง มันพูดยากมากแต่เหมือนเราพิจารณา
แสงนั้นแล้วมันทวนย้อน (อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ) ตื่นมาก็อิ่มมาก ทุกอย่างกระจ่างไปหมด เบา สบาย
หลังจากนั้นเราได้งานก็เลยละภาวนาไปเยอะ แต่ก็ยังรักษาศีลอยู่
ต่อมาก็ยังมีอีกช่วงหนึ่งเรามีเรื่องในชีวิตให้คิดไม่ตก รู้สึกเหมือนมีอะไรปั่นอยู่กลางอกแล้วดีดออก ปั่นๆแล้วดีดออก นอนก็ปั่นๆอยู่ทั้งคืนนอนไม่ได้เลย จนกระทั่งมันปิ๊ง! เหมือนตัดเรื่องนั้นขาดเห็นต้นเหตุ-การแก้ไข-การวาง (ตอนนั้นก็น้อมมาพิจารณาแหล่ะค่ะ)อะไรบางอย่างถึงจะยอมลงให้แล้วจะรู้สึกปลง ปล่อย
จนเมื่อเร็วๆนี้ที่ทำงานพาเราไปวัดค่ะเพื่อบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ ท้ายกระบวนการเขาก็ให้ขึ้นนั่งสมาธิเราก็นั่งข้างๆพัดลมเล็กๆค่ะ
เราไม่ได้นั่งเอาจริงเอาจังเลยนะคะ ก็สักแต่นั่ง
ตามลมไปแต่กลับรู้สึกว่า
ร่างกายใจหายทุกอย่างนิ่ง ตอนแรกได้ยินเสียงพัดลมแล้วเสียงพัดลมก็หายไป ดับนิ่งสนิท ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเราก็
ตกใจหลุดออกมา ... แบบวู้บ ...
ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้านจนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลงขออนุญาตสอบถามค่ะว่าเราควรทำอย่างไรต่อไปดี ตอนนี้ตัวเราเค้าไม่เอาแล้ว ... กลัว ... แหยง ๆ ... ไม่แตะเลย รักษาศีลยังรักษาอยู่ แต่
พอจะนั่งเหมือนเขาร้องว่าไม่เอาๆ กลัว อยากให้ทราบว่า
มันทรมานจริงๆค่ะ เคยปฏิบัติได้แต่ปฏิบัติไม่ได้กลัวอะไรก็ไม่รู้
เราอยากปฏิบัติต่อมากๆ ... เราควรไปหาพระอาจารย์สักคนไหมคะเพื่อขอแนวทาง
รบกวนขอความกรุณาด้วยนะคะ อาจจะยาวแล้วก็คำประหลาดๆแต่เราไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
ภาวนาแล้วตัวหายค่ะ เรียนปรึกษา(ยาวนะคะ) - Pantip 
ถ้าพูดแบบเล่าเป็นนิทานก็ว่า
กิเลสมารขวางไม่ให้ทำ พูดทำนองนี้ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร เหมือนปลอบใจกัน แต่ถ้าพูดเพื่อแก้ปัญหาพูดอย่างผู้ปฏิบัติธรรม อย่างผู้ปฏิบัติกรรมฐาน อย่างเป็นจิตตภาวนาแล้ว ก็ว่า พึง
กำหนดความรู้สึก แหยงๆ ความรู้สึกกลัว ความรู้สึกเหมือนมันร้องไม่เอาๆนั่นแลตรงๆกับความรู้สึก รู้สึกยังไง กำหนด (ปริญญา) ยังงั้น วิธีปฏิบัติมีแค่นี้ รู้สึกกลัว กลัวหนอๆๆๆ ดังนี้เป็นตัวอย่าง ต่อให้มีสภาวะร้อยสีพันอย่างกระทบใจ รู้สึกยังไงก็ยังงั้น กำหนดทัน ทางกายก็เช่นเดียวกัน ตัวสั่นสะท้านกำหนดทันทีไม่รีรอ
ที่ว่า
....
ทีนี้ร่างกายเราสั่นแบบควบคุมไม่ได้เลย นั่งสะท้านจนเราไปขอให้หลวงพี่เล่าธรรมะให้ฟังถึงคลายลง
อารมณ์เก่าคือร่างกายที่สั่นสะท้าน (เราไม่รู้วิธีแก้ปัญหา) ก็ไปขอให้หลวงพี่เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง เราก็ฟัง พอฟังก็เป็นอารมณ์ใหม่ที่จิตรับรู้ อารมณ์เก่าก็คลายก็ดับ แค่นี้ เพราะฉะนั้น วิธีปฏิบัติธรรม ท่านจึงให้โยคีกำหนดรู้ทุกอารมณ์ที่เกิดกระทบความรู้สึกทุกอย่าง ปฏิบัติไปๆสติเกิดทันทุกสภาวะ โยคีก็เห็นการเกิด-ดับของอารมณ์นั่นนี่เอง คือ รู้ที่มาที่ไปเอง ทีนี้ก็ไม่ต้องไปหาใครเล่าเรื่องอะไรให้ฟังรู้เองเห็นเองแก้ปัญหาเองได้
ปัสสัทธิ ความสงบกายสงบใจ, ความสงบใจและอารมณ์, ความสงบเย็น, ความผ่อนคลายกายใจ (ข้อ ๕ ในโพชฌงค์ ๗)