อาจารย์สำนักหนึ่งแนะนำ วิ ธี บ ร ร ลุ ธ ร ร ม ![]() - จากที่สนทนาแลกเปลี่ยนกันที่ ![]() https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=14-05-2024&group=82&gblog=139 ![]() - 607 คำตอบของผม ก็อยู่ในคำถามนี้แหละ ถ้าคุณสามารถตอบคำถามนี้ของผมได้ คุณก็จะได้คำตอบของผม V "ท่านพระสารีบุตร ในขณะที่ยังเป็นอุปติสสะมานพ เมื่อฟังพระธรรมคาถาสั้นๆ จากท่านพระอัสสชิจบลง ท่านปฏิบัติอย่างไร ถึงได้บรรลุเป็นพระโสดาบันทันทีเมื่อฟังจบ นางขุชชุตตรา ในเวลาที่ไปจ่ายตลาดตอนเช้า แล้วหยุดแวะฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า เมื่อฟังจบลง นางขุชชุตราบรรลุเป็นโสดาบันทันที นางเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติเพื่อบรรลุเป็นโสดาบันบุคคล" ![]() ![]() เย ธมฺมา เหตุปปภาวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ. - 607 ก็ฟังให้เข้าใจประโยคนี้ ![]() - อุปติสสะฟังประโยคนี้แล้วเข้าใจแจ่มแจ้งแทงตลอด ปัญญาจึงนำไปสู่ปฏิปัตติ หรือ ความถึงเฉพาะซึ่งลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริงแท้ที่ไม่มีอวิชชาครอบงำ ฉะนั้น ถ้าฟังแล้วยังไม่เข้าใจเช่นอุปติสสะ ก็ฟังต่อไปจนกว่าจะเกิดสุตมยปัญญา ครับ เมื่อถึงเวลาพร้อม ปัญญาก็ทำกิจของปัญญา ไม่ใช่เอาอัตตาตัวตนไปพยายามที่จะละอัตตา ปริยัติ --> ปฏิปัตติ --> ปฏิเวธ ข้ามขั้นตอนไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้น ในขณะที่ท่านพระสารีบุตร สมัยยังเป็นปุถุชน ได้ฟังพระธรรมเพียงสั้นๆ จากท่านอัสสชิ หรือท่านพระอานนท์ได้ฟังพระธรรมบทสั้นๆ จากท่านพระปุณณมันตานีบุตร หรือพระนางสามาวดีได้ฟังธรรมจากนางขุชชุตตรา หญิงรับใช้ร่างคร่อมของตนเอง ฯลฯ แล้วท่านเหล่านี้ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พวกท่านไม่ได้ลงมือทำแต่อย่างใด แต่พวกท่านถึง ซึ่งเฉพาะและประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมทีละหนึ่งขณะตามความเป็นจริงว่าเป็นอนัตตา ท่านได้ประจักษ์แจ้งถึง ซึ่งเฉพาะลักษณะของไตรลักษณ์ ถึงซึ่งเฉพาะลักษณะของทุกข์ในขณะนั้น (ที่มิใช่การมโนว่าประจักษ์แจ้งเหมือนโสดาบันเก๊มากมายในปัจจุบัน) แล้วจึงถึงซึ่งปฏิเวธ ดับกิเลสในชั้นแรกได้เป็นสมุจเฉท ละสักกายทิฏฐิหรือความเห็นผิดว่าเป็นตัว เป็นต้น ได้ มีหลักฐานตรงไหนในพระไตรปิฎกที่สืบทอดมา 2500 กว่าปีว่า พวกท่านเหล่านี้จะต้องไปนั่งปฏิบัติสมาธิเสียก่อนจึงจะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ส่วนเมื่อบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ยังคงถือเป็นพระเสขะ คือผู้ที่ยังต้องศึกษาพระธรรมต่อเพื่อการดับกิเลสในชั้นต่อๆ แต่แน่นอนว่า พวกท่านเหล่านี้ไม่มีความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนของตนแล้ว การปฏิบัติของท่านจึงเป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยสัมมาสมาธิ สัมมาวายามะ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ ฯลฯ ไม่ใช่เหมือนอย่างการปฏิบัติของปุถุชนส่วนใหญ่ที่ยังเต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ เพราะขาดการฟังพระสัทธรรมโดยบริบูรณ์ การบรรลุธรรมได้ ปัญญาจะต้องเป็นตามลำดับขั้น ตั้งแต่ "ปริยัติ - ปฏิบัติ - ปฏิเวธ" ดั่งพระพุทธพจน์ที่ว่า "“.....ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรลาดลุ่มลึกลงไปโดยลำดับไม่โกรกชันเหนือเหวฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง...ฯ” เพราะฉะนั้น ถ้าแปลความหมายของคำว่า "ปฏิบัติ" หมายถึง ลงมือทำ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระอานนท์ ท่านพาหิยะ ท่านอัสสชิ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามิคารมาตา นางขุชชุตตรา พระนางสามาวดี ฯลฯ ก็คงจะไม่สามารถได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันได้เป็นแน่แท้ เพราะไม่ได้ลงมือนั่งปฏิบัติ หรือเดินปฏิบัติ หรือทำสมาธิเลย เพียงฟังธรรมสั้นๆ ก็บรรลุโสดาบันทันที จะเป็นไปได้อย่างไร แต่ถ้าแปลความหมายของคำว่า "ปฏิบัติ" ตามความหมายในภาษาบาลีว่า หมายถึง "ความถึงเฉพาะ" ก็จะหายสงสัยว่า ทำไมพวกท่านเหล่านี้ จึงบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ ก็เพราะพวกท่านเหล่านี้ ซึ่งได้สะสมปัญญาบารมี ด้วยการพังพระสัทธรรม ในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ มานับชาติไม่ถ้วน เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ของปัญญาที่มีชิ้นต่อเป็นหลายล้านชิ้น ค่อยๆ ต่อไปทีละชั้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เป็นปัญญาความเข้าใจที่เพิ่มพูนสะสมสืบต่อทีละน้อยๆๆๆๆ จนปัญญาถึงพร้อมแล้ว ที่จะบรรลุธรรมในชาตินี้ ที่ได้เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้ฟังธรรมแม้เพียงบทสั้นๆ ก็เหมือนการต่อจิ๊กซอว์ของปัญญาชิ้นสุดท้าย จึงเป็นเหตุปัจจัยให้สติสัมปชัญญะพร้อมด้วยปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ถึงเฉพาะ ซึ่งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ทีละหนึ่งขณะๆๆ แยกชัดระหว่างรูป และนาม เกิดวิปัสสนาญาณ ประจักษ์แจ้งเห็นทุกข์ในไตรลักษณะ ประจักษ์ชัดแจ้งถึงความเป็นอนัตตาของสรรพสิ่ง จึงถึงซึ่งปฏิเวธ แทงตลอด ละความเห็นผิดในสักกายทิฏฐิได้ ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันในที่สุด จากนั้น เมื่อเป็นพระโสดาบัน ก็ละความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว การปฏิบัติต่อเพื่อให้ถึงซึ่งการดับกิเลสทั้งปวงได้เป็นสมุจเฉท จึงเป็นไปโดยชอบในมรรคมีองค์ 8 ประกอบด้วยสัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นต้น จึงต่างจากปุถุชนที่ยังคงละความเห็นผิดในตัวตนของตนไม่ได้ ลงมือปฏิบัติด้วยตัวตนของตน มีแต่เราจะนั่ง เราจะทำ เราจะเดิน เราจะยืน หายใจเข้าก็เป็นเราที่หายใจ หายใจออกก็ยังคงเป็นเราที่หายใจออก หายใจเบาไปไม่กระทบจมูก ก็ต้องเร่งลมหายใจให้แรงขึ้นเพื่อจะได้รู้สัมผัสถึงลมที่กระทบปลายจมูก มีแต่เราๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่ปฏิบัติ ที่ลงมือทำ แล้วเมื่อไหร่จะมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบันได้อย่างแท้จริง เท่าที่เห็นในปัจจุบัน มีแต่พวกโสดาบันปลอมที่ยังมีแต่ตัวเราของเราเต็มเปี่ยมไปหมด ที่ยังคงลูบคลำยึดถือในข้อประพฤติผิดๆ ยังคงละสีลัพพตปรามาสไม่ได้ ยังคงนุ่งขาวห่มขาวราวกับว่าชุดขาวจะทำให้จิตใจบริสุทธิ์ได้ ซึ่งเป็นสีลัพพตปรามาส เป็นการลูบคลำข้อประพฤติผิดๆ อยู่ แต่อ้างว่าตนได้บรรลุเป็นโสดาบันแล้ว ![]() - คาถาธรรมบทที่อุปติสสะฟัง มีสาระยังไง ผู้ฟังๆแล้วตีความกันเอา หากยังมองไม่ออกว่า แปลว่ายังไง ก็เสิร์ชหาคำแปลดู ถ้าฟังแล้วยังไม่เข้าใจเช่นอุปติสสะ ก็ฟังต่อไปจนกว่าจะเกิดสุตมยปัญญา แต่ก็ต้องอาศัยบารมีที่สะสมการฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ในอดีตชาติอย่างนับชาติไม่ถ้วนด้วย เหมือนต่อจิ๊กซอว์ ว่าซั่น ![]() ![]() เอาข้อความนี่ ![]() ![]() |
บทความทั้งหมด
|