คอร์สโกก้า วันที่ 1-9


รายนี้เล่าพอเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร  450


     ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทางท่านอาจารย์โกเอ็นก้า  คือนั่งดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรมและให้ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้มีอุเบกขา

     คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา 10 วัน   และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน

     ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3  ดิฉันมีอาการร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็นร้อยๆเล่มอยู่ในหัว  บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว  จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ  อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ทรมานมาก

     ระยะหลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง      เพราะปวดหัวเหลือเกิน      บางอาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร  อาการเป็นตลอด เวลา  2 - 4 ชั่วโมง  ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร      ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9  ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา  อาการยังมีตลอด  ดิฉันก็ได้แต่อุเบกขา ทำใจไป  คิดไปต่างๆนานา   เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง 

     ตอนนี้นับระยะเวลาเป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ

 




ส่วนรายนี้เล่าละเอียดยาวจนต้องมีหน้า ๒   450



การรู้เห็นกรรมตัวเองจากการนั่งวิปัสนากรรมฐาน และเห็นแสงเมื่อทำสมาธิ


     เรื่องจะยาวหน่อยนะคะ ฉันอยากเขียนมันขึ้นมา เพื่อเป็นข้อเตือนใจและเตือนถึงความอันตรายของการปฎิบัติสมาธิแบบที่ไม่เหมาะกับตัวเองให้คนที่อาจมีอาการเช่นเดียวกันรับรู้และระวังค่ะ

คุณเคยสงสัยว่าทำไมบางคนนั้นสมาธิแล้วแสดงอาการแปลกๆ ท่าทางหรืออะไรก็ตามที่ผิดแปลกไปจากปกติ หรือนั้นคืออาการที่เรียกว่ากรรมเก่าออก? หรือหลับตาแล้วเห็นโน้นนี้ แสงเอย ใดๆเอย มันคืออะไรกันแน่ ?

เรื่องนี้ค่อยข้างจะยาว คุณเคยได้ยินไหมคะว่ากรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ฉันกำลังจะเล่าเรื่องการประสบพบเจอสิ่งที่เรียกว่ากรรมตามสนอง อย่างทีละขั้นตอน ตั้งแต่จุดเริ่มกรรม จุดที่กรรมกำลังสะสมกำลังเพื่อสงผล และจุดที่ฉันทรมาณจากผลของกรรมที่ทำ และจุดที่ฉันหลุดพ้นกรรมนั้นมาได้อย่างมีสติ และเรื่องนี้ค่อนข้างอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์


- ขอเริ่มเรื่องด้วยคำถามว่า แสงที่เห็นเมื่อหลับตาเมื่อทำสมาธิคืออะไร ?

     หากลองตั้งคำถามนี้ในบอร์ดวิทยาศาตร์ก็จะได้คำตอบอีกอย่าง   หากในบอร์ดที่เกี่ยวกับพลังจิตหรือการทำสมาธิก็จะได้คำตอบที่เหนือโลกอีกอย่าง  ส่วนตัวฉันเองค่อนข้างชอบหลักการที่มีเหตุผลอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ และเชื่อว่าศาสนาพุทธก็คือศาสนาแห่งปัญญา  พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เพราะการเฝ้าดูทุกสิ่งเกิด-ดับตามความเป็นจริง เกิดปัญญารู้แจ้งและดับทุกข์ได้ตามหลักอริยสัจ ๔ (ถ้าพูดผิดในข้อการตรัสรู้ขออภัยล่วงหน้านะคะ เนื่องจากอิงตามความเข้าใจตัวเอง) ดังนั้น  ฉันจึงเป็นผู้ที่นับถือพุทธเพราะชอบหลักการที่มีเหตุและผลนี้

ปกติฉันก็นั่งสมาธิบ้าง  (ไม่ประจำ) ก่อนนอน ระยะเวลาที่นั่งได้ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยกำหนด พุธ เข้า – โธ ออก เอาสติจับที่ลมหายใจพร้อมคำบริกรรม และมีประสบการณ์ไปปฏิบัติติธรรมตอนเพิ่งเรียนจบ ป.ตรี แนวเจริญสติปัฏฐาน 4 ซึ่งก็ได้ประสบการณ์ที่ดี  จากคนที่ไม่เคยนั่งสมาธิเลยก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจการทำสมาธิและการอยู่นิ่งๆดูลมหายใจเข้าออกได้มากขึ้น หลังจากนั้นก็ไปอีกครั้ง   ฉันขอเกริ่นให้พอรู้คร่าวๆถึงประสบการณ์ที่มีว่าเคยทำสมาธิมาบ้างแล้ว  และครั้งนี้คือการไปเข้าคอร์สฝึกสมาธิอีกครั้ง  หลังไม่ได้ไปมาหลายปี   ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ค่ะ

เข้าเรื่องราวอันยืดยาวนับ 10 วันแห่งการปฏิบัติที่เปิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ชีวิตนี้ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันมีทั้งความสุข และมันสร้างความทุกข์จนฉันรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณสามารถดับจากร่างในนี้ได้ชั่ววินาทีใดวินาทีหนึ่ง

หลักสูตร 10 วัน คอร์สปฏิบัติติกรรมฐาน  ที่ฉันรู้จากคนดังท่านหนึ่ง มันฟังดูน่าสนใจ ความคาดหวังก่อนไปคือแค่อยากไปฝึกตัวเองให้ตื่นเช้าขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น โดยไม่มีความเข้าใจใดๆเลยกับวิธีปฏิบัติตแนวนี้ รู้แค่วิธีการคร่าวๆ ดูลมหายใจตามความจริง โดยไม่บริกรรม



     1-3 วันแรก คือการเอาสติจดจ่อ ดูลมที่เข้าออกช่องจมูก แค่ดูตามความเป็นจริง ไม่มีคำบริกรรมใดๆ  หนึ่งวันนั่งนานครั้งละ 1-1.5 ชั่วโมง/ครั้ง รวมทั้งวันคือนั่ง 11 ชั่วโมง ส่วนตัวฉันเองทำได้แค่ 9 ชั่วโมง นอกนั้นในชั่วโมงปฏิบัติในห้องพักก็มีแอบงีบบ้าง ฉันผ่านไปได้ด้วยดี มีสมาธิมาก ไม่ค่อยส่งจิตออกนอกไปปรุงแต่งเรื่องราวตามความเคยชิน

วันที่ 4 ช่วงบ่าย เริ่มต้นวิธีการสอนทำวิปัสสนา โดยให้เพ่งจิตดูเวทนาที่เกิดขึ้นตรงช่องเล็กๆบริเวณที่ลมหายใจ เข้า-ออก ให้สัมผัสว่าเห็นอะไรบ้าง
เวทนาหยาบ-เวทนาละเอียด ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าต้องดูหรือเห็นอะไร ฉันเห็นแค่ลมหายใจตัวเอง ฉันคือผู้ปฏิบัติใหม่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า สมาธิ กับ วิปัสสนาแตกต่างกันอย่างไร แต่ฉันก็ทำต่อไปเรื่อยๆ

และวิธีการก็เพิ่มขึ้นคือ

434เคลื่อนย้ายสติให้เริ่มจับที่กลางหัว > เลื่อนต่อไปทั่วหนังหัว > หน้าผาก > คิ้ว > ตา > คอ > คอด้านหลัง > หลังส่วนบน-ล่าง > ทุกๆส่วนของร่างกายไล่จนถึงเท้า และไล่กลับขึ้นมาด้านบนใหม่ ทำแบบนี้ซ้ำๆ โดยนั่งสมาธิหลับตา จับความรู้สึกใดก็ตามให้ได้ เย็น ร้อน แสงสว่าง คัน อะไรก็แล้วแต่ ...

ฉันสัมผัสได้แค่ว่าเวลาหลับตาจะเห็นแสงสว่างเหมือนส่องมาจากหน้าผากด้านซ้ายและที่จุดบนอื่นๆ แรกเริ่มมันไม่เคลื่อนไหว ต่อมามันอาบไปทั่วหน้าผาก ทั้งที่ทั้งห้องไม่ค่อยมีแสงยิ่งหลับตาทำสมาธินานยิ่งเห็นชัด มันคือการเห็นชัดเจนเกินจะบอกแค่ว่ารู้สึก ฉันเคยเอาผ้ามาผูกตาให้มืดที่สุดเมื่ออยู่ในห้องพัก แม้ช่องระหว่างจมูกที่แสงรอดเข้าได้ก็เอาผ้ามาปิดเพื่อทดสอบเรื่องนี้ และแสงนั้นก็ค่อยๆสว่างขึ้นเช่นเคยเมื่อหลับตาทำสมาธิ เรื่องแสงนี้แม้แต่ตอนนั่งสมาธิที่บ้านแบบกำหนดดูลมหายใจที่จมูกก็เคยเห็นแสงแต่มันจางๆบางๆ บางทีมีบางทีไม่มี ก็ไม่รู้จริงๆว่าคืออะไร แต่ครั้งนี้มันชัดมาก และเคลื่อนที่ตามการนึกคิดหรือจิตฉันได้ คิดไปที่คิ้วมันก็ไปที่คิดแบบค่อยๆไหลแผ่ไป

วันที่ 5-6 ก็ดำเนินต่อไปเช่นวันที่ 4 แต่ฉันเริ่มมีอาการเมื่อจะนอน หัวสัมผัสถึงหมอนฉันเริ่มมีความรู้สึกมึนหัวอย่างแรง เหมือนมีการหมุนวนๆบนหัวแม้หลับตาก็ยังรู้สึกมึนๆอยู่สักครู่ก่อนมันจะหายไป อ่อ น่าจะเพราะนั่งหลับตานาน เลือดไปเลี้ยงหัวไม่พอมั้ง ฉันให้คำตอบตัวเองแบบส่งๆไป

ต่อวันที่ 7 ฉันไม่เคยรู้จักเวทนาละเอียดมาก่อน  แค่รู้สึกว่าลมหายใจจะเบาลงเมื่อทำสมาธินานๆ อ.ท่านว่าลมหายใจก็ต้องละเอียดลงอยู่แล้ว เพราะร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว ฉันได้แต่แย้งในใจ ก็เสียงสอนในวีดีโอให้ให้สัมผัสอะไรก็ได้  แม้จะแค่ความธรรมดาที่ไม่พิเศษ สัมผัสไม่ได้ก็ไม่ต้องผิดหวัง ให้วางอุเบกขา

รู้ว่าลมออกร้อนกว่าลมหายใจเข้า ก็นับว่าดีแล้ว แต่เมื่อรายงานผลปฏิบัติติแก่อาจารย์ก็ถูกตำหนิว่า นี้มันวันที่ 7 แล้วทำไมถึงไม่มีความรู้สึกอะไรสักที  ฉันเคยรายงานอาจารย์เรื่องว่าเห็นแสงไปก่อนหน้านี้ ท่านก็บอกไม่ต้องสนใจ ให้เคลื่อนความสนใจไปที่ส่วนอื่นๆต่อไปเรื่อยๆ ครั้งนี้ฉันเลยไม่ได้บอกท่านอีก


ดังนั้นฉันจึงพยายามเพ่งสติหรือสมาธิหรือจิต (แล้วแต่ใครจะเรียกเลยค่ะ) มากขึ้นจากที่เคยปล่อยรู้สึกสบายๆ เพื่อสัมผัสอะไรก็ได้ที่มันพิเศษๆในร่างกายนี้ให้เจอเหมือนคนอื่น จนในที่จุดฉันสัมผัสได้ถึงการเต้นตุบๆที่ช่องเข้าออกลมหายใจที่มีฐานเหนือปากบน ความรู้สึกมันเหมือนก้อนมนๆ คล้ายไข่ไซส์จิ๋วเล็กๆ เต้น ตุบ ตุบ ฉันดีใจมากในที่สุดฉันก็สัมผัสอะไรที่พิเศษได้ เวทนาที่ละเอียด

และฉันก็เคลื่อนสติหรือจิตไปที่ส่วนอื่นๆแล้วฉันก็สัมผัสมันได้เพิ่มขึ้นๆ การเต้น ตุบๆ มีทุกส่วนในร่างกาย   ว้าวฉันทึ่งมาก  เริ่มเข้าใจแล้วว่าผู้ที่สามารถรู้ถึงการทำงานของร่างการภายในโดยไม่เคยศึกษาเห็นการทำงานของตับ ไต หัวใจ เขารู้กันได้ยังไง จิตที่มีสมาธิสูงก็เหมือนกับการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานพอ มันทำให้เราเห็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งๆขึ้น นี่แค่การฝึกจับความรู้สึกที่ผิวหนังฉันยังสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นได้แล้ว

ในขณะที่กลับมาตั้งสติสำรวจที่หน้าจะเห็นแสงขาวค่อยๆไล่ไปฉาบตรงจุดที่ตั้งสติไปจับทุกครั้ง   เช่น  บริเวณปลายหางตาทั้งสองข้าง   ฉันสัมผัสถึงก้อนตุบ ๆ ทั้งสองฝั่งที่หางตา และมีแสงกระจายจากจุดนั้น  เหมือนการฉายไฟออกจากรูปทรงกรวย  มันสว่างวาบและบีบเข้า สลับซ้ำๆอยู่แบบนั้น

ส่วนที่คิ้ว แสงนั้น  จะฉาบปกคลุมไปทั้งคิ้วทั้งสองด้านก่อน  จากนั้นจึงตามมาที่ก้อนมนๆ ตุบตุบที่ใต้คิ้วทั้ง 2 มันตุบๆตรงกระบอกตาทั้ง 2 ข้าง

แล้วก็ล่วงถึง 3 ทุ่ม  คืนวันที่ 7

เมื่อจะนอนฉันสัมผัสได้ถึงเม็ดตุบๆที่หัวมันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ฉันงงว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ได้หลับตากำหนดด้วยซ้ำ เหมือนร่างกายมันกำหนดรู้สิ่งนี้เอง และเมื่อลองพยายามละความสนใจจากหัวไปที่ส่วนอื่น  ร่างกายส่วนอื่นเหมือนรับรู้พากับเต้นตุบๆ  จนรู้สึกปวดไปหมดทั้งร่างกาย ฉันงงมากว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร  มันคือเพราะเราฝึกสมาธิมากซะจนจิตไม่ยอมถอนออกจากสมาธิแล้วไปเพ่งดูการเต้นของชีพจรเองหรอ ?  แต่มันคือการรับรู้ที่เจ็บปวดทั้งร่าง ร่างที่มีจังหวะชีพจรเต้นรัวเร็ว

ฉันไม่รู้วิธีแก้ เพราะไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน เจ็บจากเม็ดเล็กๆที่เต้นไปทั่ว หรืออาการของฉันตรงกับที่วีดีโอบรรยาย จิตใต้สำนึกสื่อสารกับร่างการผ่านเวทนา แค่รับรู้ไม่ปรุงแต่งมันจะจบลง เพราะทุกสิ่งคือความอนิจจัง ควรวางอุเบกขาให้ได้


ฉันได้แค่กินยาแก้ไมเกรน ทั้งที่เมื่อลืมตาตื่นขมับด้านขวาที่มักปวดหัวข้างเดียวก็ไม่เต้นรัวขนาดนั้น มันไม่ใช่อาการไมเกรน มันเป็นอาการที่จะเกิดเมื่อมีสมาธิ แต่ดึกแล้วฉันไม่รู้วิธีแก้ได้แต่หลับตาลงข่มความเจ็บปวดเฝ้าดูอาการปวดที่หัวโดยตั้งจิตแค่ที่หัวดู เพื่อให้เจ็บน้อยส่วนที่สุดเมื่อทำเช่นนี้ร่างกายส่วนอื่นจะไม่ปวด (เช่นหากตั้งจิตไปที่มือ มันจะปวดทั้งมือ+ปวดหัว) ฉันเห็นการเกิดดับของเม็ดเล็กๆ แต่ละเม็ด มันเต้นรัว ตุบ ตุบ อยู่เช่นนั้นหลายเม็ดพร้อมกัน แต่มันจะมีเม็ดที่แรงสุดแรงเจ็บสุด เจ็บพอที่จิตจะไปเฝ้าดูมันเพียงจุดเดียว เฝ้าดูวางอุเบกขาจนมันหายไป แล้วจุดใหม่ก็ทำหน้าที่ทรมาณฉันต่ออย่างต่อเนื่องจนถึงประมาณตีสาม  ค่อยหลับลงได้ และมันน่าแปลกมากที่ตื่นเช้ามาฉันไม่มีอาการไข้ขึ้น หรือปวดใดๆ มันรู้สึกโล่งและก็หน่วงๆ เหมือนมีทั้งสุขและทุกข์ผสานกัน

และเมื่อมันหายฉันจึงไม่ได้ไปถามอาจารย์ถึงอาการเมื่อคืน เช้า-ค่ำ ปฏิบัติวิปัสสนาเช่นเดิมอย่างขยัน คืนวันที่ 8 ก็มึนๆก่อนนอนอยู่บ้างแต่ก็หลับลง


   วันที่ 9 ฉันปฏิบัติวิปัสสนาเช่นเดิมอย่างขยัน เรื่องแปลกช่วงเช้าฉันสัมผัสได้ว่าเมื่อหายใจเข้า มันจะมีลมสายหนึ่ง  คล้ายแท่งเข็มแต่ไม่คม  มันเย็นกว่าลมหายใจเข้าอื่นๆ เมื่อเคลื่อนผ่านรูจมูกด้านไหนด้านนั้นก็จะโล่ง และก็กลับมาทึบอีก  มันก็เคลื่อนผ่านเข้ามาทางจมูกแล้วไปบรรจุที่ช่องอกด้านบน เป็นเช่นนี้ทั้งวัน อาการแปลกๆที่ฉันไม่รู้จัก ก็ได้แต่วางอุเบกขาเพราะพูดกับใครไม่ได้

จนล่วงสู่ 3 ทุ่ม เวลาเข้านอน วันนี้ฉันรู้สึกถึงแรงบีบทั้งร่าง มันมาอีกแล้ว การเต้นตุบๆ + หัวใจเต้นรัวอย่างน่ากลัว ความบ้าคลั่งในร่างกายทุกส่วน ไม่ว่าจะไม่สนใจหรือไม่สนใจมันก็ปวด

ฉันพยายามคิดถึงสิ่งอื่นเช่นเสียงนาฬิกา และหูก็เริ่มเต้น ตุบๆ +ใจเต้นรัว เพราะใช่ค่ะเราใช้หูฟังเสียง และเราฝึกมันทั้งวี่ทั้งวันผูกทุกส่วนในร่างกายไว้กับสมาธิจิต ฉันลืมตาตั้งใจมองเพดานตาก็เต้นตุบๆ หลับตาลงพยายามคิดไปเรื่องอื่นๆ คิดไปได้ไม่นานจิตก็เป็นสมาธิมาจับที่ลมหายใจเอง จนเริ่มปวดที่บริเวณจมูก
มันอธิบายได้ยาก  ฉันอยากจะสรุปให้ฟังว่า ฉันหนีมันไม่พ้น จิต + กายผูกกันอย่างแน่นหนา มีเพียงการคิดจินตนาการไปทั่วๆ ไม่ให้เกิดสมาธิความเจ็บปวดค่อยจางลง  แต่เมื่อเจ็บปวดฉันมักคิดอะไรไม่ออกพยายามนับเลข นับ 1-15 แล้วสมองก็เริ่มตื้อ  พยายามบวกเลขตั้งโจทย์ยากๆก็ช่วยทุเลาได้ชั่วคราว ฉันจึงตัดสินใจหลับตาลงเฝ้ามองดูความเจ็บปวด ทนเฝ้ามองดูจนเห็นการเกิด ดับ ของจุดที่เจ็บปวด  แต่มันก็ย้ายที่ไปเรื่อย เหมือนเกิด-ดับ แบบไม่มีวี่แววจะหยุด ไม่ว่าจะบอกให้ตัวเองวางอุเบกขาสักเท่าไหร่

หวังว่ามันจะจบลงเช่นคืนวันที่ 7 แต่ไม่เลยค่ะ เมื่อจะกำลังจะหลับลงได้ ขาฉันกระตุกอย่างแรงจนต้องตื่น  ไม่ขาก็แขน  ไม่ก็คล้ายมีเสียงกังวานเรียกชื่อ 1 ครั้งดังๆจนตื่น


คคห. 3-1   450

เดิมเมื่อทำสมาธิดูลมหายใจ เข้า-ออก ไม่ก่อให้เกิดปัญหา

หลังจากวันที่ 4 บ่ายเริ่มวิธีดูร่างกายแทน  แทบไม่กลับไปดูลมหายใจ  มันคือการตั้งเงื่อนไขร่างกายแล้วค่ะ 9 ชม./วัน x 6 วัน ที่ทำวิธีนี้
วิธีเพ่งดูเวทนาที่จมูกว่าเกิดอะไรบ้าง  (ในตอนนั้น ไม่ใช่แค่จิตที่ค่อยเฝ้าดู ลูกตาด้านในก็กรอกไปด้วย มันคือการสั่งสมเงื่อนไขความเจ็บปวด) จนเมื่อสัมผัสถึงการเต้นตุบ ตุบ ได้เมื่อใดก็ตาม กระบวนการร่างกายที่ผิดปกติมันตามมา  เหมือนคนอาการผวา เหมือนการสร้าง  Condition การหลั่งน้ำลายของสุนัข ในการทดลองทางจิตวิทยา สมองเรามันตีความว่าต้องเจ็บ

ไม่แน่ใจว่าเราพูดเคลียร์ไหม  แค่จะจับลมหายใจก็ทำแค่นั้นไม่ได้  มันบวกการรับรู้ที่จมูกแถมไปด้วย


คคห. 3-3

ก็ตามวิธีที่คอร์สอนอบรมค่ะ  ดูเวทนาที่ผิวหนัง ไล่ไป
ทุกส่วน ขึ้นลง ให้ดูว่ารู้สึกอะไร  ดูวนซ้ำๆ  เราไม่มีความรู้เรื่องการปฎิบัติมากมายนะคะ เพิ่งเคยรู้จักวิธีนี้ก็แค่ทำตามที่ถูกสอน  จนเกิดปัญหาเลยอยากเเชร์เรื่องที่พบเจอกับตัวเองให้ฟัง  (แค่จะแชร์ว่าร่างกายทุกคนไม่เหมาะกับวิธีนี้)


ต่อวันที่ 10 วันสุดท้าย

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=06-12-2023&group=5&gblog=99

 



Create Date : 06 ธันวาคม 2566
Last Update : 30 มีนาคม 2567 12:01:46 น.
Counter : 138 Pageviews.

0 comments
: รูปแบบของความรู้สึก : กะว่าก๋า
(19 เม.ย. 2567 05:12:42 น.)
หลักปฏิบัติ ปัญญา Dh
(18 เม.ย. 2567 19:08:42 น.)
: รูปแบบของความว่าง : กะว่าก๋า
(18 เม.ย. 2567 04:00:35 น.)
: รูปแบบของการค้นพบตนเอง : กะว่าก๋า
(16 เม.ย. 2567 06:05:58 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Samathijit.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด