มีตัวอย่าง วิปัสสะนึกคือคิดเอาเอง ใครศึกษาแนวนี้ไม่ใช่วิปัสสนา แล้วก็ไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน (ดูแค่นั้น ก็เห็นหมดเห็นตลอดสายแล้ว)
- ความคิดเห็นที่ 1 ดู
- วัตถุประสงค์ ที่เราปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อพิจารณา
๑
ดูรูปนั่ง นอน ยืน เดิน
ให้เห็นเป็นรูป ไม่ใช่ตัวเรา ๒
ดูรูปนั่ง นอน ยืน เดิน
ให้เห็นเป็นทุกข์ ไม่ใช่สุขสำนักปฎิบัติธรรมไหน สถานที่ดี หรูหน่อย (เสียเงินก็ได้ ) ไม่ต้องตื่นเช้ามาก เด็กอายุ12ไปด้วย ครับ - Pantip- นำ
ศัพท์ทางธรรมมาคิดมาตีความเอาตามที่ตัวเองวาดภาพจะให้มันเป็นตามที่ตัวเองต้องการ ตัวอย่างข้อ ๑.
รูปมันก็
รูป (รูปะ) ที่ทางธรรมท่านสอนว่า ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา (พูดโดยภาษาปรมัตถ์) แล้วทำไมไปว่า => ๑.
ดูรูปนั่ง นอน ยืน เดิน
ให้เห็นเป็นรูป ไม่ใช่ตัวเรา <= นั่นแหละวิปัสสะนึก วิปัสสะคิดเอาเอง ไม่ใช่วิปัสสนาแบบอย่างพุทธธรรม
ข้อ ๒ ที่ว่า
๒
ดูรูปนั่ง นอน ยืน เดิน
ให้เห็นเป็นทุกข์ ไม่ใช่สุข - ดูหลักเวทนา ๓ สุข ทุกข์ เฉยๆ (สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา) ถ้าเรายืน เดิน นั่ง นอน แล้วสุขเวทนาเกิดล่ะ จะให้ดูให้คิดว่า มันเป็นทุกข์กระนั้นหรือ แบบนั้น จะพูดจะเรียกว่า รู้เห็นตามเป็นจริง รู้เห็นตามที่มันเป็นอย่างไรเล่า ?
ข้อนี้มีตัวอย่างเทียบให้ดู
ตอนนี้ผมอยู่ที่ญี่ปุ่นครับ ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่ ทราบว่า ท่านน่าจะมาโปรดสัตว์
ผมได้ถามท่านว่า ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์ ท่านก็ไม่ตอบอะไร
ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับ
การปฏิบัติตามแนวทางใน
อานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา
หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรกคือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด ในชีวิตประจำวัน จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่ ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้
หลังจากนั้น ผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ
หลังจากนั้น มีวันหนึ่ง ผมเกิดนึก
อยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลย
นั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ (ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก) ในการนั่งสมาธิครั้งนี้
ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่า เวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่าผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔
(ที่ผมเปลี่ยนเป็นวิธีนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือเรื่องสมถ ๔o วิธีแล้วรู้สึกว่าเราน่าจะเหมาะกับวิธีนี้ คือเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเอง) แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลาย ไม่มีประมาณ ในทิศเบื้องหน้า จากนั้น ก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
จากนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนกายขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่ากายหายไป คือไม่มีกายเวลานี้ รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ
มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้น
ผมก็
คิดขึ้นมาว่า "
มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"
จากนั้น ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)
ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปิติอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึก
จิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่
จากนั้นผมก็
รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ" จน
จิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง
(คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น
แต่หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือทำได้มากสุดก็แค่ทำปิติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น
(แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้ จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปิติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้.
- เขาอ่านหนังสือ (ไม่ใช่หยุดแค่อ่าน) ไปอีก ไปลงมือทำลงมือปฏิบัติจนจิตมันสงบถึงระดับหนึ่งนิวรณ์ก็สงบ ความสุขเกิด (สุขเวทนา) อย่างนี้ จะให้คิดให้ดูว่า มันเป็นทุกข์ (ทุกขเวทนา) กระนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้น จะเรียกว่า รู้เห็นตามเป็นจริงอย่างไรเล่า ไม่หลอกตัวเองหรอ ถ้าคิดแบบนั้นนะเสียเวลาเปล่า ชะดีชะร้ายจะบาปเอาก็ได้ ที่ไปแนะนำให้คนเกิดมิจฉาทิฏฐิ
- ปล. สุข ทุกข์ เป็นต้น มันเกิดได้ก็ดับได้ (เกิดดับๆตลอดเวลา ปัญหาอยู่ที่คนเราไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นของมัน จึงวุ่นไม่รู้จบ รู้เห็นตามที่มันเป็นแล้วจบ) มันเป็นของมันเอง ไม่ใช่ไปคิดเอาเอง ถ้าคิดเอาเอง ก็เป็นวิปัสสะนึก วิปัสสะคิดฟุ้งซ่านธรรมไปแล.