วิปัสสะนึก ไม่ใช่วิปัสสนา



   มีตัวอย่าง  วิปัสสะนึก  วิปัสสะคิดเอาเอง  ให้ศึกษา  แนวนี้  ไม่ใช่วิปัสสนา แล้วก็ไม่ใช่วิปัสสนากรรมฐาน (ดูแค่นั้น ก็เห็นหมดเห็นตลอดสายแล้ว) 

ความคิดเห็นที่  1  ดู 450 
  

วัตถุประสงค์   ที่เราปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน   เพื่อพิจารณา

     ๑ ดูรูปนั่ง นอน ยืน เดิน  ให้เห็นเป็นรูป  ไม่ใช่ตัวเรา

     ๒ ดูรูปนั่ง นอน ยืน เดิน ให้เห็นเป็นทุกข์  ไม่ใช่สุข


https://pantip.com/topic/41825126


-  นำศัพท์ทางธรรมมาคิดมาตีความเอาตามที่ตัวเองวาดภาพจะให้มันเป็นตามที่ตัวเองต้องการ  ตัวอย่างข้อ ๑. รูปมันก็รูป (รูปะ)  ที่ทางธรรมท่านสอนว่า ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา (พูดโดยภาษาปรมัตถ์)  แล้วทำไมไปว่า  => ๑. ดูรูปนั่ง นอน ยืน เดิน  ให้เห็นเป็นรูป  ไม่ใช่ตัวเรา <=  นั่นแหละวิปัสสะนึก วิปัสสะคิดเอาเอง ไม่ใช่วิปัสสนาแบบอย่างพุทธธรรม

ข้อ ๒ ที่ว่า

    ๒ ดูรูปนั่ง นอน ยืน เดิน ให้เห็นเป็นทุกข์  ไม่ใช่สุข         

- ดูหลักเวทนา ๓  สุข  ทุกข์  เฉยๆ  (สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา)  ถ้าเรายืน  เดิน นั่ง นอน แล้วสุขเวทนาเกิดล่ะ   จะให้ดูให้คิดว่า มันเป็นทุกข์กระนั้นหรือ แบบนั้น  จะพูดจะเรียกว่า รู้เห็นตามเป็นจริง รู้เห็นตามที่มันเป็นอย่างไรเล่า ?  9 

ข้อนี้มีตัวอย่างเทียบให้ดู 450 


    ตอนนี้ผมอยู่ที่ญี่ปุ่นครับ   ก่อนหน้านี้ไม่เคยปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆเลย จนกระทั่งไม่นานมานี้ วาสนาพาให้ได้พบกับพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ญี่ปุ่นนี่   ทราบว่า  ท่านน่าจะมาโปรดสัตว์

ผมได้ถามท่านว่า    ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์   ท่านก็ไม่ตอบอะไร   ยื่นหนังสือของท่านให้สามเล่ม เป็นหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติตามแนวทางในอานาปานสติสูตร แล้วผมก็กราบลาท่านมา

หลังจากได้หนังสือสามเล่มนั้นมาแล้ว   ผมก็อ่านแค่เล่มแรกก่อน ใจความในเล่มแรกคือ ให้กำหนดรู้ลมหายใจให้ตลอด   ในชีวิตประจำวัน   จะทำกิจกรรมอะไรก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ยกเว้นเวลาขับรถ หรือเวลาอ่านหนังสือ   แต่ก็ให้มีสติรู้อยู่ว่าเราทำอะไรอยู่   ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้

หลังจากนั้น    ผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน  เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ
หลังจากนั้น    มีวันหนึ่ง   ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา   ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ (ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)   ในการนั่งสมาธิครั้งนี้  ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน   
แต่ผมก็คิดว่า  เวลาจิตเราสงบมากแล้ว  แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่าผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔  (ที่ผมเปลี่ยนเป็นวิธีนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือเรื่องสมถ ๔o วิธีแล้วรู้สึกว่าเราน่าจะเหมาะกับวิธีนี้ คือเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเอง)   แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลาย   ไม่มีประมาณ   ในทิศเบื้องหน้า จากนั้น   ก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น   
จากนั้น    ผมก็รู้สึกเหมือนกายขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย    รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว   กายขยายไปทุกทิศจนรู้สึกว่ากายหายไป คือไม่มีกายเวลานี้   รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ   มีแต่ความสุขไปหมด   จากนั้น

ผมก็คิดขึ้นมาว่า   "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด  โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว    คนทั้งโลกมัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่    บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน    ทำไปทำไมนะ    มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย    ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก    อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"   

จากนั้น   ผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่าลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก   ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง   ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก :)

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปิติอยู่   แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่   
จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น    แล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ"   จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ    เริ่มปั่นป่วน    หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

แต่หลังจากนั้นมา   ผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือทำได้มากสุดก็แค่ทำปิติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น  (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้   จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปิติ  แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้.



- เขาอ่านหนังสือ (ไม่ใช่หยุดแค่อ่าน) ไปอีก ไปลงมือทำลงมือปฏิบัติจนจิตมันสงบถึงระดับหนึ่งนิวรณ์ก็สงบ   ความสุขเกิด (สุขเวทนา) อย่างนี้ จะให้คิดให้ดูว่า มันเป็นทุกข์ (ทุกขเวทนา) กระนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้น จะเรียกว่า รู้เห็นตามเป็นจริงอย่างไรเล่า ไม่หลอกตัวเองหรอ   ถ้าคิดแบบนั้นนะเสียเวลาเปล่า ชะดีชะร้ายจะบาปเอาก็ได้ ที่ไปแนะนำให้คนเกิดมิจฉาทิฏฐิ

- ปล. สุข ทุกข์ เป็นต้น มันเกิดได้ก็ดับได้  (เกิดดับๆตลอดเวลา ปัญหาอยู่ที่คนเราไม่เห็นความเป็นเช่นนั้นของมัน จึงวุ่นไม่รู้จบ รู้เห็นตามที่มันเป็นแล้วจบ) มันเป็นของมันเอง ไม่ใช่ไปคิดเอาเอง ถ้าคิดเอาเอง ก็เป็นวิปัสสะนึก วิปัสสะคิดฟุ้งซ่านธรรมไปแล. 

 



Create Date : 16 มกราคม 2566
Last Update : 23 เมษายน 2567 20:00:46 น.
Counter : 342 Pageviews.

0 comments
การหา เติมความมี ปัญญา Dh
(16 เม.ย. 2567 18:08:16 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 35 : กะว่าก๋า
(13 เม.ย. 2567 05:51:40 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 32 : กะว่าก๋า
(10 เม.ย. 2567 06:04:44 น.)
ไม่ควรก่อแผลหรือก่อแผลเป็น ปัญญา Dh
(8 เม.ย. 2567 20:22:02 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Samathijit.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด