
พุทธพจน์
“ภิกษุทั้งหลาย
ธรรมที่พึงละด้วยกาย มิใช่ด้วยวาจา ก็มี
ธรรมที่พึงละด้วยวาจา มิใช่ด้วยกาย ก็มี
ธรรมที่พึงละมิใช่ด้วยกาย มิใช่ด้วยวาจา
ต้องเห็นชัดด้วยปัญญาจึงละได้ ก็มี”
“ธรรมที่พึงละด้วยกาย มิใช่ด้วยวาจา เป็นไฉน? คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ถึงความละเมิดอันเป็น
อกุศลบางส่วนด้วยกาย เพื่อนพรหมจารีผู้เป็น
วิญญูใคร่ครวญแล้ว กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุถึงความละเมิดอันเป็นอกุศลบางส่วนด้วยกาย จะเป็นการดีแท้ ที่ท่านผู้มีอายุได้โปรดละกายทุจริต จงบำเพ็ญกายสุจริตเถิด เธอถูกเพื่อนพรหมจารีผู้เป็นวิญญูใคร่ครวญแล้ว ว่ากล่าวอยู่ จึงละกายทุจริต บำเพ็ญกายสุจริต นี่เรียกว่า ธรรมที่พึงละด้วยกาย มิใช่ละด้วยวาจา”
“ธรรมที่พึงละด้วยวาจา มิใช่ด้วยกายเป็นไฉน ? คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ถึงความละเมิดอันเป็น
อกุศลบางส่วนด้วยวาจา เพื่อนพรหมจารีผู้เป็นวิญญูใคร่ครวญแล้ว กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุถึงความละเมิดอันเป็นอกุศลบางส่วนด้วยวาจา จะเป็นการดีแท้ ที่ท่านผู้มีอายุได้โปรดละวจีทุจริต จงบำเพ็ญวจีสุจริตเถิด เธอถูกเพื่อนพรหมจารี ผู้เป็นวิญญูใคร่ครวญแล้ว ว่ากล่าวอยู่ จึงละวจีทุจริต บำเพ็ญวจีสุจริต นี่เรียกว่า ธรรมที่พึงละด้วยวาจา มิใช่ละด้วยกาย”
“ธรรมที่พึงละ มิใช่ด้วยกาย มิใช่ด้วยวาจา ต้องเห็นชัดด้วยปัญญาจึงละได้ เป็นไฉน ? คือ
โลภะ ... โทสะ ... โมหะ ... ความโกรธ ... ความผูกโกรธ ... ความหลบหลู่ ... ความยกตัวกดเขาไว้ ... ความตระหนี่ ... พึงละมิใช่ด้วยกาย มิใช่ด้วยวาจา ต้องเห็น
ชัดด้วยปัญญา จึงละได้ ...”
(อง.ทสก. 24/23/41)
ทางกาย ทางวาจา พออาศัยกัลยาณมิตรบัณฑิตชนชี้แนะได้ แต่ทางใจ ต้องเห็นชัดด้วยปัญญาตนเอง จึงละได้
มี ตย.หนึ่ง
- จะทำยังไงให้
ไม่คิดแค้นหรือ
โกรธใครคะ
-> เราเปนคนนึงที่ไม่ชอบคนพูดจาไม่ดีกับเรา หรือเอาเปรียบเรา คิดแล้ว
แค้นไม่สบายใจนอนไม่หลับคะ ทำยังไงถึงจะเลิกคิดได้คะ อยากให้อภัยมีหลักคิดยังไงคะ ถ้าเรายังพบเจอคนนั้น ชีวิตยังวนเวียนอยู่กับเรื่องนั้นๆ มันก้อต้องวนกลับมาคิดใหม่ ช่วยแนะนำหน่อยคะ
จะทำยังไงให้ไม่คิดแค้นหรือโกรธใครคะ - Pantip
คนเราหนีความคิดตัวเองไม่พ้นหรอก เจ้าตัวไปไหนมันก็ตามไปด้วย บุกน้ำลุยน้ำ ดำดิน บินไปในอากาศ เข้าถ้ำ ความคิดก็ติดตามไปทุกหนแห่ง คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ หลักปฏิบัติท่านให้เข้าเผชิญหน้าดูมัน ไม่หนีความรู้สึก กำหนดจิตตามที่มันคิด

เดินๆ อยู่ นั่งๆอยู่ ทำอะไรๆอยู่ คิดปุ๊บ กำหนดปั้บ คิดหนอๆๆๆ
(ปักจิตลงตรงหัวใจใต้ราวนมข้างซ้าย คิดหนอๆๆๆ) แล้ว ขณะนั้นกำลังทำงานอะไร ดึงความคิดมาสนใจงานเฉพาะหน้า ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับสิ่งที่ทำ ทำๆไปแว้บมาอีก กำหนดอีก คิดหนอๆๆๆ แค้นหนอๆๆๆ โกรธหนอๆๆๆ. ยังไม่แนะนำให้นั่งดูมันตรงๆ เช่น นั่งกรรมฐาน อ้าวทำไมล่ะ ? เพราะความคิดที่เป็นพื้นนิสัยมันแรง ดูใกล้ไปเอาไม่อยู่ ต้องเล่นวงนอกกับมันก่อน ภาษามวยเรียกว่าไม่เข้าคลุกวงใน เด้งเชือกต่อยเอา (=จิตตานุปัสสนา) ตามหลักพุทธธรรมก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกเมื่อสองพันกว่าปีว่า อุปาทานขันธ์ห้าเป็นทุกข์

แต่ถ้าว่าพื้นๆบ้าน ท่านให้แผ่เมตตาให้อภัยทาน คิดแค้นเขา เรานั่นแหละแย่ เช่น นอนไม่หลับ เป็นต้น ดังว่า ศัตรูรู้เข้า เขายินดีด้วยซ้ำที่เราเป็นอย่างนั้นให้มันตายๆไปสะ เรียกว่าเข้าทางเขาเลย


................
- ธัมมารมณ์, ธรรมารมณ์ อารมณ์คือธรรม, สิ่งที่ถูกรับรู้ทางใจ, สิ่งที่รู้ด้วยใจ, สิ่งที่ใจรู้สึกนึกคิด
- อารมณ์ เครื่องยึดหน่วงของจิต, สิ่งที่จิตยึดหน่วง, สิ่งที่ถูกรู้หรือถูกรับรู้ (สิ่งเร้า) ได้แก่ อายตนะภายนอก ๖ คือ
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ
ธรรมารมณ์