ผลวิจัยที่ใช้ได้
รายงานนี้ได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการฝึกสมาธิ กับ ความแปรปรวนทางจิตใจผู้ป่วยทั้งหมด
๘ ราย มี
ประวัติของการ
ฝึกสมาธิแบบพุทธก่อน หรือตอนที่เกิดมีอาการของ
โรคจิต ๗ คนเป็นผู้ชาย ส่วน
อีกหนึ่งคนเป็นผู้หญิง ในจำนวนนี้มี
พระ ๓ รูป และสามเณร ๑ องค์ ผู้ป่วยที่เหลือยังเป็นโสดอยู่
ทุกคนมีอาการของโรคจิต ซึ่งเข้าได้กับโรคจิตเภท (Schizophrenia) จากการศึกษา
ผู้ป่วยที่มีอาการโรคจิตขณะฝึกสมาธิ พบว่ามีปัจจัยต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความวิปริตทางจิตใจ ดังนี้
๑. การขาดความเข้าใจอย่างถูกต้องในการฝึกสมาธิ
๒. การถดถอยทางจิตใจ
๓. การมีความขัดแย้งอยู่ก่อนแล้ว
๔. การเกิดความคิดว่าตนมีอำนาจหรือยิ่งใหญ่
๕. บุคลิกภาพก่อนเกิดอาการที่ผิดปกติ
๖. การขาดอาจารย์สอนสมาธิที่สามารถ
๗. การขาดสิ่งเร้า
นักจิตบำบัดส่วนมากรวมทั้งผู้เขียน ต่างมีความเห็นต้องกันว่า
สมาธิมิใช่สิ่งที่จะเอามาใช้แทนจิตบำบัด และไม่สามารถจะนำมาใช้ได้ผลสำหรับผู้ป่วยทุกราย ปัจจุบันหลายท่านได้นำเอาการฝึกสมาธิมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคประสาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดวิตกกังวล และผู้ป่วยที่เป็นจิตสรีระพาธ
(Psychophysiologic disorders) สมาธิไม่ควรนำเอามาใช้อย่างยิ่งในผู้ป่วยโรคจิต หรือผู้ที่มีความแปรปรวนทางจิตอย่างรุนแรง
ผู้ป่วยที่ใช้สมาธิช่วยในการรักษาความผิดปกติทางจิตใจ ควรอยู่ในความดูแลของ
นักจิตบำบัดผู้มีประสบการณ์ และ
ความรู้ในเรื่องการฝึกสมาธิเป็นอย่างดี ผู้ที่ไม่มีความเข้าใจอย่างเพียงพอในจิตพยาธิวิทยา และ
ความขัดแย้งภายในจิตใจไม่ควรแนะนำให้ผู้ป่วยฝึกสมาธิ ถึงแม้ตนเองจะมีความรู้และความชำนาญในเรื่องนี้อย่างมากก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าปัญหาหรือความกดดันต่างๆ อาจถูกปลดปล่อยออกมาอย่างพรั่งพรู และท่วมท้นจนผู้ป่วยไม่สามารถจัดการอะไรได้ นิมิตที่เกิดขึ้นมักเป็นอาการหลงผิด ประสาทหลอน ประสาทลวง หรือความเพ้อฝันเหมือนอย่างที่พบในผู้ป่วยโรคจิต ดังนั้น
การใช้สมาธิในกรณีที่ไม่สมควรแทนที่จะเป็นคุณกลับก่อให้เกิดโทษอย่างมหันต์ได้
https://suicide.dmh.go.th/abstract/details.asp?id=2052 ผู้ที่เป็นอยู่ก่อนแล้วควรรักษาให้หายขาดก่อน อย่าง K ร้อยล้าน อย่าแนะนำไปทำสมาธิบำบัดเป็นอันขาด ควรบำบัดทางยาตามคำสั่งแพทย์ ส่วนผู้ปกติเมื่อจะฝึกต้องได้ผู้รู้ทางปฏิบัติจริงแนะนำ
ตัวอย่างเสริมความเข้าใจ
https://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2010/10/Y9785609/Y9785609.html- ฯลฯ ถึงแม้ตนเองจะมีความรู้และความชำนาญในเรื่องนี้อย่างมากก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่า
ปัญหาหรือ
ความกดดันต่างๆ
อาจถูกปลดปล่อยออกมาอย่างพรั่งพรู และท่วมท้น
จนผู้ป่วยไม่สามารถจัดการอะไรได้. ผู้ที่ปฏิบัติแบบเอา
สมาธิอย่างเดียว (แบบไหนก็ตาม) จะเกิดปัญหาเช่นนั้นมาก เพราะจิตมันคิดนั่นนี่โน่นฟุ้งซ่าน บลาๆๆ แล้วผู้ปฏิบัติเองไม่รู้จะเล่นอิท่าไหนกับมัน ยิ่งบีบยิ่งเตลิด หัวร้อนตัวร้อน ฝืนไปๆๆ สติแตก แก้ผ้าเดินเฉย