แปะไว้ก่อน



แปะไว้ก่อน  ยังอ่านไม่จบ ยาวมากมาย  ทำธุระก่อน แล้วค่อยมาอ่านใหม่  ถึงตรงนี้ล่ะ 9
 


ฉันลงชื่อเข้าพบอาจารย์ช่วงประมาณเที่ยง  เล่าอาการให้ฟังตั้งแต่คืนวันที่ 7

อาจารย์บอกว่า ฉันใช้ตาเคลื่อนไปเวลากำหนดจิต   “เธอไม่ไปแค่จิต เธอใช้ลูกตาไปด้วย ตาดำเธอเคลื่อนไปทุกที่ ”   เพื่อความแน่ใจฉันเลยถามเพิ่ม โดยแจ้งไปว่า  หนูเคยลองจ้องไปที่ต้นไม้และกำหนดจิตไปที่ขาก็สัมผัสถึงขาได้ โดยตาก็ไม่เคลื่อนตามนะคะ

ท่านว่า "ตอนเธอลืมตาเธอมีสติ แต่พอหลับตาเธอไม่รู้ตัว"

และเนื่องจากอาการป่วยในแต่ละคืนไม่เหมือนกัน (มันเพิ่มระดับ) ฉันจึงอยากอธิบายอาการให้ชัดเจนขึ้น   ถึงคืนวันที่ 9 ล่าสุด   อาจารย์บอก   “พอๆ จะยังไงก็เหมือนกัน  คือเธอใช้ตา เธอต้องยอมรับ”

ฉันยอมรับได้  มันไม่ใช่สิ่งน่าอาย   ฉันแค่อยากอธิบายหากมันอันตรายฉันจะได้รับการรักษา แต่ท่านค่อนข้างไม่ชอบฟังแล้วค่ะ   เริ่มแรกถูกตำหนิว่าไม่วางอุเบกขา   ฉันจึงแจ้งไปว่า วางค่ำถึงเช้าก็ไม่หาย   ท่านจึงเงียบไป   ฉันแจ้งท่านว่า   ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมากจนมือสั่น  คิดกำหนดหรือไม่คิด  เช่น  คิดถึงผ้าห่ม  แล้วผ้าห่มมันวางที่เท้า  คิดแค่นี้เท้าก็เต้นตุบๆ จนหัวใจเต้นรัวตาม


https://pantip.com/topic/41864658


ถ้าใครไปสำนักที่ปฏิบัติประมาณนี้อีก  ช่วยถามเจ้าสำนักว่า ที่ให้สาวกทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้น เพื่อจุดประสงค์ใด   (ใช่สำนักแถวๆพิษณุโลกหรือเปล่า ? 3  เลยไปอีกก็แถบๆ จ. เลย  ลงไปทางใต้ ก็ที่พังงา)


175 174 173

1-3 วันแรก คือการเอาสติจดจ่อ  ดูลมที่เข้าออกช่องจมูก  แค่ดูตามความเป็นจริง ไม่มีคำบริกรรมใดๆ หนึ่งวันนั่งนานครั้งละ 1-1.5 ชั่วโมง/ครั้ง  รวมทั้งวันคือนั่ง 11 ชั่วโมง  ส่วนตัวฉันเองทำได้แค่ 9 ชั่วโมง นอกนั้นในชั่วโมงปฏิบัติในห้องพักก็มีแอบงีบบ้าง ฉันผ่านไปได้ด้วยดี มีสมาธิมาก ไม่ค่อยส่งจิตออกนอกไปปรุงแต่งเรื่องราวตามความเคยชิน

วันที่ 4 ช่วงบ่าย เริ่มต้นวิธีการสอนทำวิปัสสนา โดยให้เพ่งจิตดูเวทนาที่เกิดขึ้นตรงช่องเล็กๆบริเวณที่ลมหายใจ เข้า-ออก ให้สัมผัสว่าเห็นอะไรบ้าง
เวทนาหยาบ-เวทนาละเอียด  ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าต้องดู หรือเห็นอะไร  ฉันเห็นแค่ลมหายใจตัวเอง ฉันคือผู้ปฏิบัติใหม่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า สมาธิกับวิปัสสนาแตกต่างกันอย่างไร แต่ฉันก็ทำต่อไปเรื่อยๆ

และวิธีการก็เพิ่มขึ้นคือ

เคลื่อนย้ายสติให้เริ่มจับที่กลางหัว  > เลื่อนต่อไปทั่วหนังหัว > หน้าผาก > คิ้ว >ตา > คอ > คอด้านหลัง  >  หลังส่วนบน-ล่าง > ทุกๆส่วนของร่างกายไล่จนถึงเท้า และไล่กลับขึ้นมาด้านบนใหม่ ทำแบบนี้ซ้ำๆ โดยนั่งสมาธิหลับตา  จับความรู้สึกใดก็ตามให้ได้ เย็น ร้อน แสงสว่าง คัน อะไรก็แล้วแต่ 

(มิจฉาปฏิปทา = เหตุ 451  ผล 450  ของการปฏิบัติผิด) 

ฉันสัมผัสได้แค่ว่าเวลาหลับตา   จะเห็นแสงสว่างเหมือนส่องมาจากหน้าผากด้านซ้าย และที่จุดบนอื่นๆ    แรกเริ่มมันไม่เคลื่อนไหว   ต่อมามันอาบไปทั่วหน้าผาก    ทั้งที่ทั้งห้องไม่ค่อยมีแสงยิ่งหลับตาทำสมาธินานยิ่งเห็นชัด มันคือการเห็นชัดเจนเกินจะบอกแค่ว่ารู้สึก  ฉันเคยเอาผ้ามาผูกตาให้มืดที่สุดเมื่ออยู่ในห้องพัก  แม้ช่องระหว่างจมูกที่แสงรอดเข้าได้ก็เอาผ้ามาปิดเพื่อทดสอบเรื่องนี้ และแสงนั้นก็ค่อยๆสว่างขึ้นเช่นเคยเมื่อหลับตาทำสมาธิ  เรื่องแสงนี้แม้แต่ตอนนั่งสมาธิที่บ้านแบบกำหนดดูลมหายใจที่จมูกก็เคยเห็นแสงแต่มันจางๆบางๆ  บางทีมีบางทีไม่มี  ก็ไม่รู้จริงๆว่าคืออะไร  แต่ครั้งนี้มันชัดมาก และเคลื่อนที่ตามการนึกคิดหรือจิตฉันได้คิดไปที่คิ้วมันก็ไปที่คิดแบบค่อยๆไหลแผ่ไป

วันที่ 5-6 ก็ดำเนินต่อไปเช่นวันที่ 4 แต่ฉันเริ่มมีอาการเมื่อจะนอน หัวสัมผัสถึงหมอนฉันเริ่มมีความรู้สึกมึนหัวอย่างแรง เหมือนมีการหมุนวนๆบนหัวแม้หลับตาก็ยังรู้สึกมึนๆอยู่สักครู่ก่อนมันจะหายไป อ่อ น่าจะเพราะนั่งหลับตานาน เลือดไปเลี้ยงหัวไม่พอมั้ง ฉันให้คำตอบตัวเองแบบส่งๆไป
ต่อวันที่ 7 ฉันไม่เคยรู้จักเวทนาละเอียดมาก่อน   แค่รู้สึกว่าลมหายใจจะเบาลงเมื่อทำสมาธินานๆ อ.ท่านว่าลมหายใจก็ต้องละเอียดลงอยู่แล้ว   เพราะร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว ฉันได้แต่แย้งในใจ ก็เสียงสอนในวีดีโอให้ให้สัมผัสอะไรก็ได้    แม้จะแค่ความธรรมดาที่ไม่พิเศษ สัมผัสไม่ได้ก็ไม่ต้องผิดหวัง ให้วางอุเบกขา

รู้ว่าลมออกร้อนกว่าลมหายใจเข้า ก็นับว่าดีแล้ว  แต่เมื่อรายงานผลปฏิบัติติแก่อาจารย์ก็ถูกตำหนิว่า นี้มันวันที่ 7 แล้วทำไมถึงไม่มีความรู้สึกอะไรสักที    ฉันเคยรายงานอาจารย์เรื่องว่าเห็นแสงไปก่อนหน้านี้ ท่านก็บอกไม่ต้องสนใจ ให้เคลื่อนความสนใจไปที่ส่วนอื่นๆต่อไปเรื่อยๆ ครั้งนี้ฉันเลยไม่ได้บอกท่านอีก.


เป็นสำนักพิษณุโลกาจริงๆ   9  จึงบอกหลายคำว่า  สถานที่แห่งนี้  สอนปฏิบัติผิด  แล้วก็ไม่ใช่ผิดธรรมดาๆ ผิดมหันต์ภัยด้วย   ตัวอย่างใน blog นี้มีอยู่สองสามราย  เขาสอนให้หาอะไรของเขา 107

คิดวางนั่นวางนี้ วางอุเบกขา มันวางไม่ง่ายดังปากพูดดอก   ดูอุเบกขา

 
   ฉฬังคุเบกขา    อุเบกขามีองค์ ๖ คือ ด้วยตาเห็นรูป   หูได้ยินเสียง   จมูกดมกลิ่น  ลิ้นลิ้มรส  กายถูกต้องโผฏฐัพพะ   ใจรู้ธรรมารมณ์แล้ว  ไม่ดี  ไม่เสียใจ  วางจิตอุเบกขา   มีสติสัมปชัญญะอยู่ (ขุ.ม.29/413/289) เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของพระอรหันต์   ซึ่งมีอุเบกขาด้วยญาณ คือ ด้วยความรู้เท่าทันถึงสภาวะของสิ่งทั้งหลาย    อันทำให้ไม่ถูกความชอบ ความยินดี ยินร้าย ครอบงำ ในการรับรู้อารมณ์ทั้งหลาย   ตลอดจนไม่หวั่นไหวเพราะโลกธรรมทั้งปวง

   อุเบกขา 1. ความวางใจเป็นกลาง   ไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง, ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย   เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุ  และรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้น, ความรู้จักวางใจเฉยดู   เมื่อเห็นว่าเขารับผิดชอบตนเองได้ หรือในเมื่อเขาควรต้องได้รับผลอันสมควรแก่ความรับผิดชอบของเขาเอง, ความวางทีเฉยคอยดูอยู่ ในเมื่อคนนั้นๆ สิ่งนั้นๆ ดำรงอยู่หรือดำเนินไปตามควรของเขาตามควรของมัน ไม่เข้าข้างไม่ตกเป็นฝักฝ่าย ไม่สอดแส่ ไม่จู้จี้สาระแน ไม่ก้าวก่ายแทรกแซง  2. ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกเต็มว่า อุเบกขาเวทนา (= อทุกขมสุข)

 



Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2566
Last Update : 14 พฤษภาคม 2566 20:02:41 น.
Counter : 88 Pageviews.

0 comments
(โหวต blog นี้) 
ความดีซื้อไม่ได้ **mp5**
(19 พ.ค. 2566 10:43:44 น.)
ทำให้ไม่มีแรงใจในการทำผิด ทำให้มีแรงใจในการทำถูก ปัญญา Dh
(16 พ.ค. 2566 08:58:24 น.)
กระดูก นาฬิกาสีชมพู
(16 พ.ค. 2566 09:13:14 น.)
ฝึก นาฬิกาสีชมพู
(15 พ.ค. 2566 09:43:53 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Samathijit.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด