แพทย์แผนไทย --แพทย์วิถีพุทธ --โฮมีโอพาธี--การแพทย์มหัศจรรย์
--การแพทย์ทางเลือก มีความหมายเกินกว่าการแพทย์แบบแผนโบราณ หรือการฝังเข็ม กินยาสมุนไพร
--ยาพลังงาน ก็คือยาที่ไม่ได้มีตัวยา แต่มีรูปแบบพลังงานที่จะเข้าไปรักษาโรคนั้นๆได้ โดยที่ตัวยาจะมีโครงสร้างรูปร่างของพลัง เหมือนกับ เชื้อโรค หรือ โรคนั้นๆ จึงสามารถรักษาโรคไนั้นได้ ดังเช่นคำของสุภาษิตจีนที่ว่า "ใช้พิษไปต้านพิษ" ยกตัวอย่างเช่น "ยาควินิน รักษาไข้มาเลเรียได้" โดยไม่มีเหตุผลทางวิชาการใดๆ และเมื่อเรากินยาควินินแบบเล่นๆ เราก็จะเกิดอาการของไข้ที่คล้ายมาเลเรียในเวลาไม่นาน แสดงว่าเป็นยานี้รูปแบบพลังงานเดียวกันกับตัว "ไข้มาเลเรีย"
---ตัวอย่างทางแพทย์แผนจีน มีหลักการที่ว่า อาการปวดตามข้อ ตามเข่า คืออาการของการถูกพิษ ทางแก้ ก็คือการกินสัตว์มีพิษ เช่น ตะขาบ แมลงป่อง ตรงนี้ไม่มีคำรับรองจากแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ว่ามันทำงานได้จริง--เวิร์คอ่ะ-- และเป็นจริงมาสองพันปีแล้ว คนจีนที่ถือว่า แมวสีอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่จับหนูได้ จึงรักษาธรรมเนียม องค์ความรู้ทางการแพทย์แผนจีนเอาไว้ครบถ้วนกระบวนความทั้งการฝังเข็ม มีบางท่านกำเข็มมาหนึ่งกำมือ แล้วลูบปร๊าด เข็มก้จะไปฝังอยู่ตามตำแหน่งสำคัญได้ เหมือนเทพยาดา แต่ก็มีผู้ทำได้จริง ไม่เชื่อไปถามหมอหยู ที่อ่างศิลาดูได้(พ่อของหมอหยูนะครับ)
----- แม้แต่การฝังเข็ม ก็ไม่มีทฤษฎี หรือคำอธิบายทางการแพทย์ หรือทางวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน-- จึงต้องนำทฤษฎีพลังชีวิต "ชี่"-Chi หรือ"พลังลมปราณ"--Prana ของทางตะวันออกมากล้อมแกล้มกันไป (ไม่ทราบว่าทางตะวันตกจะอายหน้าม้านไหม ที่มีองค์ความรู้น้อยมากๆเลยอ่ะ)
--ถ้าเราวิเคราะห์ดูการแพทย์พื้นบ้านของ ทิเบต จีน ไทย เยอรมัน อะไรต่างๆ จะพบว่าการแพทย์แผนไทยนี้-ดีที่สุดในโลกครับ เพราะจำแนกคนไข้ ตามธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และรักษาตามนั้น แต่ก็ยังมีการประยุกต์จากพุทธศาสนา เป็นการแพทย์วิถีพุทธ ที่รักษาได้ผล 97 เปอร์เซ็นต์ มากที่สุดในโลก--โดยที่แพทย์แผนปัจจุบัน กับแผนไทย --แผนจีน อัตราการรักษาให้หายขาด อยู่ที่ประมาณ 25 เปอร์เซนต์เท่านั้น
--แพทย์วิถีพุทธ--วิถีธรรม มีการขูดพิษ หรือกัวซาเหมือนกัน--มีการล้างพิษ-ดีท็อกซ์ มีการให้ดื่มน้ำปัสสาวะของตนเองด้วย-- เน้นยาสมุนไพรที่รสเย็นมากกว่าร้อน เน้นการทานอาหารเจ ที่ไม่ปรุงรส สุขภาพจะดีมากๆ เพราะเป็นวิถีทางแบบองค์รวมที่คัดสรรและทดลองมาแล้ว--ผู้ใดสนใจ ติดต่อที่กระทรวงสาธารณสุขได้ครับ มีการอบรมด้วย(บ้านหมอเขียว--ผู้ค้นพบ อยู่ จ.อำนาจเจริญ และเป็นกลุ่มสันติอโศกด้วย--เปิดบ้านรับผู้ป่วยด้วยครับ)
--การแพทย์ที่จะพูดถึง คือ โฮมีโอพาธี ---Homeopathy กำเนิดที่เยอรมัน โดย ซามูเอล ฮาหืเนมานน์ ปีพศ. 2339 และได้ตีพิมพ์ตำราชื่อ " Organon of the Medical " ในปี 2353 และก่อนที่เขาจะตาย ได้มีการพิมพ์ซ้ำถึง 6ครั้ง ---- ปี 2385 ดังสุดขีด จนแพร่ไปยังอเมริกา รัสเซีย แม้จะเป็นแหล่งเป็นรัง-เป็นที่มั่นของการแพทย์แผนปัจจุบันก็ตาม
-----โดยที่โฮมีโอพาธี-ใช้ยาพลังงาน ซึ่งต่างจากพื้นฐานของแพทย์แผนปัจจุบันราวฟ้ากับดินเลย และยิ่งไปกว่านั้นในปี 2389 แพทยสมาคมอเมริกัน ได้ออกกฏว่า ห้ามทำการรักษาที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของแพทย์แผนปัจจุบัน ทำให้ความนิยมโฮมีโอพาธีนั้นซบเซาลง โรงเรียนแพทย์ 20แห่งที่สอนก็ปิดตัวลงเรื่อยๆ จนหมดรุ่นในปี 2493 แต่ราวปี 2513 กลับได้รับความนิยมขึ้นมา หลังจากพบว่าการแพทย์ปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่เป็นอันมาก
-----และโฮมีโอพาธี เป็นการแพทย์ทางเลือกที่น่าสนใจมาก ข้าพเจ้าจึงได้มอบหมายให้คุณ มณพกา ธีรชัยสกุล ผู้สนใจศึกษาศาสตร์แขนงนี้มาก่อน ให้จัดทำหนังสือนี้ออกมาอย่างมีคุณภาพ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาศาสตร์แขนงนี้ตามวิสัยทัศน์ของกรม.. ต่อไปในอนาคต นายแพทย์ วิชีย โชคศิริวัฒน อธปดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
อ้อ จากคำนำของหนังสือเล่มเล่มบางๆ ชื่อ "ไขความลับ "การบำบัดแบบโฮมีโอพาธี" --------------(คือจะเน้นเรื่อง โฮมีโอพาธี นะครับ) ---ถ้าไม่แท้ เหมือนเล่นกล แค่ทำไมรัฐบาลบางประเทศ ให้เบิกค่ารักษาแบบนี้ได้
--"พลาเซโบ" คือการใช้"ยาหลอก" ที่ไม่มีคุณสมบัติทางยาใดๆเลย เช่นแป้งมัน นำไปใส่แค็ปซูลทึบแสง แล้วบอกว่าเป็นยาที่หมอสั่งให้ ให้คนไข้ใช้แทนยาปกติ แน่นอนครับ คนไข้จะสร้างภาพว่าตนเองหาย อาการต่างๆ ก็เป็นไปตามอำนาจจิตล้วนๆ โดยที่ร่างกายของเจ้าตัวรักษาตนเอง
--จากงานงานวิจัยทั้งหมด 127 ฉบับ แบ่งเป็น การใช้โฮมีโอพาธีกับยาหลอก106ฉบับ--และ77ฉบับ หรือ 72.6 เปอร์เซนต์ ยอมรับว่า โฮมีโอพาธี ให้ผลการรักษาที่สูงกว่ายาหลอก
--รายงาน 21 ฉบับ วิจัยโฮมีโอพาธี กับยาแผนปัจจุบัน ทั้ง 21 ฉบับ คือ 100เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่า โฮมีโอพาธี-ให้ผลการรักษาที่"ไม่ด้อยกว่า"ยาแผนปัจจุบัน (คำว่า ไม่ด้อยกว่า แปลว่า "เทียบเท่า" หรือ "ดีกว่า" ยาแผนปัจจุบัน)
--เคยดื่มน้ำเย็น ลอยดอกมะลิไหมครับ---จะว่าไปนั่นคือ "ยา" แบบหนึ่งของ โฮมีโอพาธี
---แจมได้ ขัดแย้งได้ แต่ขอให้อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล และวิชาการเท่านั้นครับ (เพราะที่เขียนมานี่ไม่ได้ตังนะครับ --ไม่มีผู้ใดมาจ้าง--- แต่หวังว่าทุกคนจะได้รับความรู้ใหม่ๆ) จากคลิปบอกว่าโฮมีโอพาธีมีมา200ปีแล้ว กฏของมัน คือ 1. เอาต้นเหตุนั้นมารักษาอาการ แต่พบว่าเหล่านั้นเป็นยาพิษก็มี จึงนำมาทำให้เจือจาง
2. ยิ่งเจือจาง-- ตัวยายิ่่งแรง คือมีอำนาจการรักษาสูงขึ้น แต่เราขยายประวิทธิภาพของมันด้วยการเขย่า ----แต่ก็ยิ่งสวนทางกับ ความคิดแบบวิทยาศาสตร์แผนปัจจุบัน -- ยิ่งเจือจางจนเหลือ 1 โมเลกุลของตัวยา ในน้ำ 1 ขวด ก็ยิ่งโอเค น่างงมะ
https://www.youtube.com/watch?v=_ZhmG97lYog
--เอาต้นเหตุมารักษาอาการ หมายความว่า ใช้เนื่อเยื่อ หรือฝีหนอง จากโรคนั้น ก็ได้นะครับ
--ปัจจุบัน มีบ.ยา รับเหมาเอาลิขสิทธิ์ ทำยาแบบนี้ออกจำหน่ายแล้ว แต่ผมเอง เชื่อว่า ควรเป็นแบบ ทำสดๆ เท่านั้นจึงจะเวิร์ค
--มีคนเชื่อว่า รักษาเอดส์ได้ แต่ผมไม่เป็น และไม่อยากทดลองเป็นเลยอดที่จะทดสอบการรักษาแบบนี้นะครับ 555
https://www.youtube.com/watch?v=-jE3hT5lLwA&feature=related
--จากคลิปว่า--จากการทดลอง หลายร้อยครั้ง ผลที่ได้ คือ ความมหัศจรรย์จริงๆ น้ำ ได้เปลี่ยนคุณสมบัติไป มันทำตัวเหมือนว่า "มียาอยู่ในนั้นอย่างเข้มข้น" มัน "จำ"คุณสมบัติเดิม นะครับ
ความคิดเห็นที่ 6
ถ้าใช้สมมติฐานนี้ เอาข้าวหนึ่งเมล็ด ใส่น้ำหนึ่งลิตร กินแล้วจะได้พลังงานเหมือนกินข้าวห้าจานใช่ไหมครับ เพราะยิ่งเจือจาง ข้าวจะยิ่งแรงขึ้น
จากคุณ : PUFF เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 21:55:00 [แก้ไข] ความคิดเห็นที่ 7
สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้คือ "แหกตา" นั่นเอง
จากคุณ : kraab
ความคิดเห็นที่ 8 [ถูกใจ] [แจ้งลบ] ติดต่อทีมงาน
--ยา ก็ไม่ใช่อาหาร คนเคยกินสามมื้อ สี่มื้อ มากินอาหารมื้อเดียว เช่น บวชเป็นพระ ก็ไม่ตาย --พระ หรือ โยคีที่อดอาหารได้ 7-15 30วัน ก็มี โดยที่เราคิดว่า มีการย่อย และใช้พลังงาน คือน้ำตาลในเลือด เป็นแบบ วันต่อวัน ทำไมพวกเขาจึงไม่ตาย ฝังดิน --ขาดออกซิเจน ก็ไม่ตาย แล้วเขาใช้พลังงานอะไรทำให้มีชีวิตอยู่ คนเราน่าจะีพลังอะไรที่ากกว่าพลังงานทางเคมี ชีวะ ที่เรา คิดว่า เรามี เราเป็น และใช้งานมันอยู่--อันนี้ชี้มูลแย้ง
-คนที่ไม่กินอะไรเป็นปีๆ ก็มีบันทึกเอาไว้ครับ ร่างกายมนุษย์นี้ เป็นของมหัศจรรย์
--ผมก็ไม่ได้เป็นเจ้าของแนวคิด โฮมีโอพาธีนะครับ เพียงแต่นำเสนอเท่านั้นเอง คห 7 ครับ สิ่งที่ไม่จริง ก็จะไม่จีรัง และหายไปจากสังคมในที่สุด รัฐบาลหลายประเทศ สามรถให้เบิกค่ายาได้ เป็นการยอมรับว่า "โง่ทั้งประเทศ" โปรดพิจารณา --เต้องทำใจให้กว้าง ใช้สติและปัญญา ---ขอคุยกับคนที่รู้เรื่องนี้ดีกว่าครับ ไม่รู้ดี ควรไปดูคลิปให้ครบ 5 ตอนนะครับ
---แต่ก่อน คนเรายัง.. ไม่ใช่สิ คนเรายังไม่รู้ --มีคณะกรรมการกลุ่มหนึ่ง เป็นผู้เชียวชาญทางวัตถุระเบิด ไปดูคนกลุ่มนึงทำระเบิด สรุปว่า มันไม่ได้ผลแน่นอน ไม่มีดินระเบิด ไม่มีเชื้อปะทุ ชนวนอะไรก็ไม่มี---แหกตาชัวร์ครับพี่น้อง เขาสรุปมา ---แต่ว่าพวกนั้นกำลังทำ "ระเบิดปรมาณู(นิวเคลียร์)ลูกแรกของโลก" --ถึงวันนี้ใครๆก็รู้ว่าทำไมไม่มีตัวจุด ไม่มีดินระเบิด --ก็เพราะ "ไม่รู้" นี่แหละ หรือ "มองในสมมุติฐาน ประสบการณ์ที่ต่างกัน --สรุปแล้วคนสองกลุ่ม ใครผิด และตัดสินอย่างไรครับ--ผิดเพราะข้อมูลไม่พอ รู้ไม่พอ --ไม่รู้นี่หว่า...ก็เร่งเข้าไปรู้ --เข้าไปศึกษาสิครับ มนุษย์คือเวไนยส.. ส...ที่สามารถอบรมสั่งสอนได้.. --ผมจะไม่เข้ามาอีกแล้วครับ.... ไม่สนใจ ก็ให้ท่านอื่นอ่านไป
----(อ้างอิง)---ตัวอย่างทางแพทย์แผนจีน มีหลักการที่ว่า อาการปวดตามข้อ ตามเข่า คืออาการของการถูกพิษ ทางแก้ ก็คือการกินสัตว์มีพิษ เช่น ตะขาบ แมลงป่อง ตรงนี้ไม่มีคำรับรองจากแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ว่ามันทำงานได้จริง--เวิร์คอ่ะ-- และเป็นจริงมาสองพันปีแล้ว คนจีนที่ถือว่า แมวสีอะไรไม่สำคัญ สำคัญที่จับหนูได้ จึงรักษาธรรมเนียม องค์ความรู้ทางการแพทย์แผนจีนเอาไว้ครบถ้วนกระบวนความทั้งการฝังเข็ม มีบางท่านกำเข็มมาหนึ่งกำมือ แล้วลูบปร๊าด เข็มก้จะไปฝังอยู่ตามตำแหน่งสำคัญได้ เหมือนเทพยาดา แต่ก็มีผู้ทำได้จริง ไม่เชื่อไปถามหมอหยู ที่อ่างศิลาดูได้(พ่อของหมอหยูนะครับ)
---- แม้แต่การฝังเข็ม ก็ไม่มีทฤษฎี หรือคำอธิบายทางการแพทย์ หรือทางวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบัน-- จึงต้องนำทฤษฎีพลังชีวิต "ชี่"-Chi หรือ"พลังลมปราณ"--Prana ของทางตะวันออกมากล้อมแกล้มกันไป (ไม่ทราบว่าทางตะวันตกจะอายหน้าม้านไหม ที่มีองค์ความรู้น้อยมากๆเลยอ่ะ) --------------------------------------------------------------- ------หลายประเด็นเกิน ผมลายตา ขอยกมาแค่เรื่องใช้ยาจีน กับเรื่องฝังเข็มแล้วกันครับ -----ทั้งการใช้ยา และการฝังเข็มต่างก็มีทฤษฎีพื้นฐานนะครับ ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้มั่วๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ คือทฤษฎีอิน-หยาง(阴阳学说) เบญจธาตุ(五行学说) การใช้ยา/ฝังเข็มต้องวินิจฉัยอาการและสาเหตุของโรคก่อน(病因病机) แล้วจึงวิเคราะห์ว่าควรใช้ยาตัวใดรักษาอาการแบบใด(辨证论治) บางโรคมีอาการคล้ายกันแต่ใช้ยารักษาไม่เหมือนกัน(同病异治) แต่บางครั้งใช้ยาตัวเดียวกันรักษาอาการของโรคที่ต่างกัน(异病同治)
หรือแม้แต่การฝังเข็มยังต้องมีการวินิจฉัยอาการตามเส้นลมปราณ(分经辩证) การวิเคราะห์เส้นลมปราณเพื่อเลือกใช้จุดฝังเข็ม(循经取穴) การใช้ยาให้เหมาะกับเส้นลมปราณแต่ละเส้น(药物归经)
*ขออภัยที่ต้องพิมพ์วงเล็บภาษาจีนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้สอบเสร็จแล้วถ้ามีเวลาจะเข้ามาอธิบายและยกตัวอย่างเพิ่มเติมครับ,,
จากคุณ : Vive L'Amour เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 22:27:04 [แก้ไข] ความคิดเห็นที่ 10 อ้าว จขกท.น้อยใจ...หนีไปแล้ว หนักแน่นหน่อยครับ ทองแท้ต้องไม่กลัวไฟ... ถ้าของเขาดีจริงก็อยู่ได้ตลอดไป อย่างกรณีดื่มปัสสาวะรักษาโรค มีมาเป็นพันปีแล้ว วันนี้ก็ยังมีคนหยามเหยียดว่าหลอกลวง โดยที่ยังไม่ได้ลองก็สรุปผลไปแล้ว
จากคุณ : FreeWing [Bloggang] เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 23:08:16 [แก้ไข] ความคิดเห็นที่ 11
ด้วยความที่ผมได้ศึกษามา ทั้ง ศาสตร์แพทย์แผนไทย แผนจีน และนับถือพุทธ
-----อยากจะบอกว่า "ได้โปรดอย่าลาก" การแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนจีน และพระพุทธศาสนาเข้าไปรวมหรือพยายามเอามาอ้างอิงเพื่อสนับสนุน "โฮมิโอพาธี" เพราะมันคนละเรื่องเลยครับ
-----เท่าที่เคยเห็นมา ผมเห็น โฮมิโอพาธี มีข้อดีที่ต้องยอมซูฮกอยู่อย่างเดียว คือการสอบประวัติผู้ป่วยที่ละเอียดมาก อันประกอบไปด้วยข้อมูลประวัติ ข้อมูลด้านกายภาย และข้อมูลด้านสภาพจิตใจ
------การสอบประวัติต่อผู้มารับบริการนั้น จะต้องกรอกข้อมูลประวัติลงในเอกสารที่เตรียมให้อย่างละเอียดยิบเป็นสิบหน้า ------จากนั้นก็ใช้เวลาพูดคุยสอบถามข้อมูลทุกอย่างกันอย่างลับ เพื่อเปิดทุกอย่างในใจให้หมด ตกแล้วอีกประมาณ 2 ชั่วโมง/คน ------นั่งถามกันไปจนกว่าจะ รู้ไส้ รู้พุง / รู้รสนิยม / รู้พฤติกรรม / รู้ความลับต่างๆ / รู้รูปแบบชีวิตคุณ และรวมไปถึงเรื่องของคนรอบกายใกล้ตัว / เรียกว่ารู้อะไรได้ข้าก็จะขอรู้นั่นแหละ
-----หมอโฮมิโอพาธี จะเรียกคำแทนตนเองว่า practitioner และ practitioner เองก็จะอ้างถึงความเป็นแพทย์ในทุกๆด้าน เพื่อทำให้คุณยอมเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของคุณให้เขาทราบอย่างละเอียด
-----และการได้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้มารับบริการอย่างละเอียดมากๆนี้เอง ย่อมทำให้มองเห็นองค์ประกอบที่อาจเชื่อมโยงต่อพยาธิสภาพชนิดนั้นๆได้ชัดเจนขึ้นมากกว่าการแพทย์แผนอื่นๆ ----ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลอย่างละเอียดนี้เอง ถือเป็นเรื่องเดียวที่ผมยกให้โฮมิโอพาธีถือไพ่เหนือกว่าชนิดคนอื่นสู้ไม่ได้และคงไม่มีใครอยากสู้ เพราะบางเรื่องที่ถามก็ส่วนตัวซร้า อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ว่างงานกันมากมายขนาดนั้น
แต่เรื่องนี้ก็ถือเป็นข้อเด่น ที่หากได้มีการนำไปปรับใช้อย่างเหมาะสมแล้ว ย่อมจะช่วยเสริมประโยชน์ต่อวงการแพทย์ในทุกๆศาสตร์สาขา
อีกเรื่องหนึ่งที่มีการพูดถึงกันในกระทู้นี้ คือเรื่อง การแพทย์วิถีพุทธ--วิถีธรรม ตามที่เจ้าของกระทู้กล่าวว่า มีการขูดพิษ หรือกัวซา --มีการล้างพิษ-ดีท็อกซ์ มีการให้ดื่มน้ำปัสสาวะของตนเอง อะไรนั้น
วิธีการรักษาเหล่านี้อาจจะดีในการใช้เยียวยารักษาผู้ป่วยได้บ้างตามสมควร แต่เมื่อมองอีกนัยหนึ่ง นี่คือการมั่ว ที่ดึงเอาคำว่าพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องกับของนอกเรื่องอย่างไม่ควร เพราะจะทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย ว่าพระพุทธศาสนามีคำสอนหรือรับรองเรื่อง การขูดพิษ / กัวซา / ล้างพิษ-ดีท็อกซ์ / ดื่มน้ำปัสสาวะของตนเอง ฯลฯ
จากคุณ : รู้สึกตัว เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 23:28:20 ถูกใจ : OmegaPi, ลูกหมีเขี้ยวยาวเขาโง้ง ------------------------------------------------------------------------- ความคิดเห็นที่ 12
เรื่องอื่นไม่รู้ครับ แต่ผมดื่มปัสสาวะตัวเองเพื่อการรักษาโรค ได้ผลเป็นที่น่าพอในใจเกือบทุกโรคที่เป็นอยู่
ตอนนี้ก็เลยกำลังลองอยู่ว่าโรคไหนใช้ได้ผลดี ได้ผลบ้าง หรือไม่ได้ผล
แต่เท่าที่ลองขณะนี้ ใครเป็นโรคภูมิแพ้ล่ะก็ ดื่มปัสสาวะรักษาโรคได้เลยครับ ได้ผลดีกับโรคภูมิแพ้หลายๆ แบบเลยจริงๆ
ลองมาแล้วครับ
จากคุณ : นาย X-MAN เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 13:56:15 [แก้ไข] ------------------------------------------ ความคิดเห็นที่ 13
--ผู้ที่คิดการแพทย์วิถีพุทธ เป็นผู้ที่รอบรู้การรักษาแบบแผนไทย --จีน เพราระพ่อของท่านเป็นหมอแผนโบราณครับ--แต่ท่านได้ค้นในพระไตรปิฏก มีพูดถึง ความเย็น ความร้อน ก็มาเทียบถึง ยารสเย็น รสร้อน และ รักษาแบบนั้นกับแม่ของท่านเอง
---ไม่ได้เหมารวมโฮมีโอพาธี กับการแพทย์อื่นๆครับ พอดีว่า อาจจะเขียนมาสั้นเกินไป
--ไม่ควรยอมรับ หรือปฏิเสธสิ่งใดง่ายเกินไป เครื่องบินหนักกว่าอากาศก็ยังบินได้ น้ำทะเลเค็มมาก ก็มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ แม้จะัขัดกับความรู้สึก แต่ เป็นจริง ความคิดนอกกรอบบางครั้งนำโลกให้เจริญได้
---ก็เชื่อว่าผู้ที่มาตอบหลังนี่ รู้จริงครับ และพอใจกับคำตอบของทุกท่านครับ(หลังๆ) ขอนำไปลงในบล็อกด้วยครับ
---พระพุทธองค์ทรงให้ดื่มยาที่หมักจากนน้ำปัสสาวะ (มูตรเน่า)ของตนเองครับ ส่วนใหญ่จะดองกับผลสมอไทย----
แก้ไขเมื่อ 13 ต.ค. 54 21:25:10 จากคุณ : jesdath เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 21:18:52 [แก้ไข] -----------------------------------------------------------------------------
Create Date : 11 ตุลาคม 2554 |
Last Update : 13 ตุลาคม 2554 21:36:47 น. |
|
3 comments
|
Counter : 6302 Pageviews. |
|
|
|
.ภาพเคลื่อนไหว.